คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : ตอนที่3 ผมกับ...หม้อไฟ
ตอนที่3
ผมกับ...หม้อไฟ
ผมไม่เคยสนใจใคร ไม่เคยให้ใครเข้าใกล้ และไม่เคยเข้าใกล้ใครเกินความจำเป็น
แต่เหมือนทุกสิ่งทุกอย่างในโลกมักมี "ข้อยกเว้น"
ถ้าผมขีดเส้นโลกของตัวเองไม่ให้ใครก้าวเข้ามา พวกเขาคงเป็นข้อยกเว้นที่ว่า
...
ผมนั่งอยู่ในห้องหรูๆ โต๊ะติดกำแพงที่เป็นกระจกใส มองเห็นชัดถึงวิวทิวทัศน์ด้านล่าง แสงไฟยามค่ำคืนพร่างพราวไม่ต่างอะไรกับทะเลหมู่ดาวอันสุกสกาว ห้องกินข้าวส่วนตัวที่ถูกจัดเป็นสัดส่วนดูกว้างขวางสบายตา รอบห้องตกแต่งด้วยโทนสีน้ำตาลสลับกับสีครีมให้บรรยากาศนุ่มนวลและอบอุ่น มีของตกแต่งเป็นแจกันสีครามลวดลายงดงามประดับตามมุมห้องอย่างมีรสนิยม
ผมมานั่งรอจินกับไปป์กำลังรื้อหาหม้อที่จะใช้ทำสุกี้หม้อไฟในคืนนี้ แต่นี่ก็เกือบครึ่งชั่วโมงแล้วยังไม่เห็นสองคนนั่นหาเจอสักที แถมยังส่งเสียงดังถกเถียงกันอีก
ไปช่วยดีไหมเนี่ย?
"ฉันช่วยหาไหม?"ผมส่งเสียงถามเป็นรอบที่สอง ซึ่งทั้งคู่หันมาปฏิเสธอีกรอบอย่างที่ผมต้องถอนหายใจ เพราะสิบนาทีแรกผมก็ลองถามไปรอบนึงแล้ว แต่ทั้งสองคนก็ปฏิเสธทั้งยืนยันจะหาเอง
ทั้งๆที่ช่วยกันน่าจะเสร็จเร็วกว่าแท้ๆ
"ทำอะไรอยู่เหรอครับ?"เสียงเวย์ร้องถาม ซึ่งผมหันไปกำลังจะตอบแต่ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นผ้ากันเปื้อนที่อีกฝ่ายสวมใส่ทับเสื้อเชิ้ตสีฟ้าเข้ม ผ้ากันเปื้อนที่เวย์หรือคุณชายเวย์ที่ผมตั้งนิยามในใจใส่ไม่ใช่ผ้ากันเปื้อนแมนๆลายพื้นๆแบบที่คนทั่วไปเขาใส่กัน แต่เป็นผ้ากันเปื้อนสีชมพูอ่อนมีระบายตรงปลาย ซึ่งถึงจะมีแค่โบว์อันเล็กๆติดอยู่ตรงกลางอก แต่สำหรับผม...มันออกจะเป็นผ้ากันเปื้อนที่ดูหวานไปสักหน่อย
ซึ่งเวย์เห็นผมมองมาที่ตัวเองก็คล้ายจะรู้ตัวจึงสบตากับผมแล้วส่งยิ้มให้ด้วยท่าทางอายๆ
"คือผืนนี้...คุณแม่เลือกให้น่ะครับ แหะ แหะ"เสียงหัวเราะแห้งกับแก้มแดงๆทำให้ผมอดยิ้มไม่ได้ ก่อนจะพูดวิจารณ์ไปคำนึง
"ก็เหมาะดีนี่"พอผมพูดจบอีกฝ่ายก็ดูมีท่าทีอายยิ่งกว่าเดิม แต่ผมพูดจากใจ ถึงสีมันจะหวานไปหน่อยและออกจะเหมาะกับผู้หญิงมากกว่าในสายตาผม แต่มันก็เหมาะกับหน้าตาหล่อออกหวานๆฉบับคุณชายแบบอีกฝ่ายดี
"แล้ว...ตกลงทำอะไรกันอยู่เหรอครับ?"เวย์วกกลับมาเรื่องที่ถามตอนแรก ซึ่งผมก็เพิ่งนึกได้เลยชี้นิ้วไปหาร่างจินกับไปป์ที่กำลังขมักเขม้นรื้อตู้ในครัวอยู่
"พวกนั้นหาหม้อที่จะใช้ทำหม้อไฟอยู่น่ะ แต่หามาสักพักแล้วยังไม่เจอสักที"คำตอบของผมเรียกเสียงหัวเราะจากเวย์ ก่อนคุณชายจะป้องปากร้องบอกสองคนที่หาของอยู่
"ไปป์ จิน ไม่ต้องหาแล้วครับ หม้ออยู่ที่ห้องซิตซ์ เดี๋ยวผมให้เขาเอาขึ้นมาให้"สิ้นเสียงร่างของจินกับไปป์ก็หยุดชะงัก ก่อนส่งเสียงโวยวายทำนอง ทำไมไม่บอกให้เร็วกว่านี้ ปล่อยให้เสียเวลาหา
ผมก็ยิ้มขำ เพราะสองคนนี่ตั้งใจหากันจริงๆ เล่นเอาเหงื่อออกกันเต็มไปหมด
"เอ้า"ผมหยิบทิชชู่ส่งให้ทั้งสองคนอย่างมีน้ำใจ ซึ่งไปป์รับไปพร้อมบอกขอบใจนิดหน่อย แต่จินกลับไม่รับ มองหน้าผมสลับกับทิชชู่ก่อนพูดขอในสิ่งที่ทำให้ผมแปลกใจ
"เช็ดให้หน่อยสิ"คำพูดนั้นทำให้เวย์ที่หมุนตัวกลับหันมามอง ส่วนไปป์เองก็หยุดมองเหมือนกัน
ผมมองคนพูดที่เอียงหน้ามาใกล้ ทั้งยังมองผมตาแป๋วคล้ายจะสื่อว่าให้รีบเช็ดสิยังไงยังงั้น แต่ผมมองอีกฝ่ายกลับนิ่งๆมือยังอยู่ที่เดิมและไม่คิดทำตาม เพราะเรื่องแค่นี้ตัวจินเองก็ทำได้ไม่มีความจำเป็นอะไรต้องมาใช้ผมสักหน่อย ซึ่งพอจินเห็นผมทำท่าทางอย่างนั้นก็คงเริ่มรู้สึกตัวจึงค่อยๆเอื้อมมือมารับทิชชู่จากมือผม
ทีแรกผมก็ตั้งใจไว้ว่าจะไม่ทำตามคำขอนั้นจนกระทั่งได้เห็นสีหน้าของจินที่ดูผิดหวังหนัก นัยน์ตาสีน้ำตาลที่ชอบออดอ้อนเหมือนลูกหมานั่นหลุบลงต่ำ แถมไหล่ห่อลงนิดๆทำให้ยิ่งดูหดหู่น่าสงสาร พอผมเห็นอย่างนั้นก็อดใจอ่อนไม่ได้จริงๆ
ก็แค่ครั้งเดียวน่า
"...ฉันเช็ดให้ก็ได้ มานี่"ผมที่เปลี่ยนใจในตอนท้ายถอนใจเบาๆก่อนจับแก้มอีกให้หันหน้ามาทางผมแล้วค่อยๆบรรจงใช้ทิชชู่ซับหน้าให้ซึ่งมันกินเวลาไม่ถึงนาทีด้วยซ้ำ จินที่พอผมเช็ดหน้าให้เสร็จก็ถูกไปป์ลากข้างนอกห้อง ผมไม่แน่ใจว่าทั้งคู่ไปไหนแต่ก็ไม่ได้ซักไซ้หันไปบอกกับเวย์ที่ยืนอยู่ไม่ไกล
"ยังเตรียมของไม่เสร็จใช่ไหม? งั้นเดี๋ยวฉันไปช่วยนะ"ผมอาสาช่วยเพราะไม่มีอะไรทำ ทั้งยังเกรงใจที่มารบกวน แต่เวย์ก็ช่วยปัดเป่าความกังวลด้วยรอยยิ้มหวานๆสไตล์คุณชาย
ผมตามเวย์ไปที่ห้องครัวก่อนช่วยล้างผัก หั่นหมู แล้วสุดท้ายก็ช่วยเตรียมวัตถุดิบสำหรับทำน้ำจิ้ม ตอนแรกที่ได้ยินว่าเวย์จะทำน้ำจิ้มสุกี้ด้วยตัวเองผมยังแปลกใจอยู่เลย
"ไม่นึกว่าท่าทางคุณชายแบบเวย์จะทำอาหารเป็นนะนี่ ไปเรียนมาจากไหนเหรอ?"ผมถามอย่างนึกสงสัย
"คุณแม่น่ะครับ ท่านชอบทำอาหารเลยชอบจับผมเข้าครัวเป็นเพื่อน"เวย์ตอบด้วยสีหน้ามีความสุขผสมเขินเล็กๆ ซึ่งผมบอกได้จากสีหน้าท่าทางและคำพูดว่าอีกฝ่ายรักและเคารพคนที่เอ่ยถึงแค่ไหน พอเห็นท่าทางนั้นแล้วทำให้ผมรู้สึก...อิจฉา
"งั้นเหรอ... ดีจังนะ ถ้าเป็นไปได้ฉันก็อยากจะทำอาหารกับ...สักครั้งเหมือนกัน"
ผมพูดพึมพำกับตัวเองอย่างนึกเสียดายและอดอิจฉาเวย์ไม่ได้
ถ้าเมื่อก่อนผมรู้ตัวสักนิดว่าเวลาเป็นสิ่งที่มีค่าแค่ไหนก็คงจะไม่ปล่อยให้โอกาสดีๆผ่านพ้นไปอย่างที่เป็นอยู่ ซึ่งกว่าจะรู้ตัว วันเวลาที่มีค่าเหล่านั้นก็ไม่อาจย้อนกลับมาได้อีกแล้ว...
"เวย์ ต้องเอาอะไรเพิ่มรึเปล่า?"ผมหันไปถามเวย์ที่มีสีหน้าแปลกๆ ซึ่งอีกฝ่ายชะงัก มองผมก่อนทำสีหน้าลังเล
"ทอย... เอ่อ วุ้นเส้นครับ ทอยช่วยไปหยิบวุ้นเส้นในตู้มาแช่เพิ่มอีกสักห่อแล้วกันครับ ผมคิดว่าน่าจะไม่พอน่ะครับ"
ผมมองท่าทางแปลกๆของเวย์อย่างสงสัย แต่ก็ไม่ถามอะไร เดินไปหยิบวุ้นเส้นในตู้ที่ซื้อมาเป็นแพ็คแล้วหยิบออกมาตามจำนวน
พวกผมเตรียมของเกือบเสร็จหมดแล้ว เหลือแต่ยกไปตั้งที่โต๊ะ ซึ่งขั้นตอนนี้ก็ได้แรงจากอีกสี่คนมาช่วย จินกับไปป์ช่วยเตรียมพวกจาน แก้ว ถ้วยน้ำจิ้ม ถาดหมูสไลต์ซิตซ์เป็นคนยก ซึ่งผมอดทึ่งไม่ได้เมื่ออีกฝ่ายยกถาดเหล็กหนักๆสามถาดซ้อนได้ด้วยมือข้างเดียว ส่วนพวกผักกับลังน้ำแข็งไนท์เป็นคนช่วย
ซึ่งเมื่อมามองแบบนี้ผมอดนึกถึงคืนนั้นไม่ได้ แล้วหลุดปากถามไป
"แล้วนี่ลอสกับริกซ์ไปไหนเหรอ?"
ผาง! เสียงเปิดประตูดังไม่เกรงใจ ก่อนร่างของคนเปิดจะตามมา
"ไฮ พูดถึงพวกฉันอยู่รึเปล่า?"
คล้ายกับเดจาวู เมื่อร่างของฝาแฝดเดินเข้ามา ซึ่งเมื่ออีกฝ่ายเห็นผมก็เบิกตาขึ้นพร้อมๆกัน
"ทอย!"เสียงผสานก่อนทั้งสองจะโผร่างเข้าหาผม ซึ่งแรงกอดของผู้ชายสองคนมันไม่มีทางเบาแน่ ผมร้องประท้วงเมื่อหายใจไม่ออก
"เฮ้ ปะ...ปล่อยก่อน ฉันหายใจไม่ออก"ผมตีแขนที่ล็อคคอตัวเองอยู่ ซึ่งทั้งคู่ก็ผละออกไปพร้อมกันก่อนจะมีหนึ่งคนที่ส่งเสียงถามอย่างประหลาดใจ
"โทษที พวกเราดีใจไปหน่อย ทอยมาได้ไงน่ะ?"เสียงคนขวาพูด ซึ่งไม่รอให้ผมตอบตอบคนซ้ายก็พูดขึ้นตามด้วยน้ำเสียงที่คล้ายจะติดโมโหเล็กๆอย่างที่ผมแปลกใจว่าทำไมต้องโกรธกับเรื่องเล็กๆแบบนี้
"ใช่ ไม่เห็นมีใครบอกพวกฉันเลยว่าเจอทอย"เห็นท่าทางปั้นปึ่งตาขวางของอีกฝ่ายแล้วผมก็รีบดึงความสนใจ
"เวย์ชวนฉันมาน่ะ เราบังเอิญเจอกันที่ห้าง แล้วลอสกับริกซ์สบายดีไหม? ไม่เจอกันนานนะ"ผมอธิบาย ก่อนจะทักทายตามลำดับ แต่ฝาแฝดกลับจ้องมาที่ผมนิ่ง ซึ่งผมถามกลับว่าจ้องอะไร
"เปล่า แค่...เมื่อกี้ทอยเรียกคนไหนลอส คนไหนริกซ์?"เสียงคนขวาถามมา ซึ่งผมนิ่งไปเล็กน้อยกับคำถาม ก่อนส่งยิ้มเล็กๆตอบ
"โทษทีนะ แต่ฉันไม่ได้สนิทขนาดจะแยกพวกนายได้ ถ้าเรียกผิดก็ขอโทษแล้วกัน"
"เปล่า ไม่ใช่เรื่องนั้น พวกฉันแค่สงสัย... ถ้าให้นายเดาคิดว่าฉันคือริกซ์หรือลอสล่ะ?"เสียงคนซ้ายว่าบ้าง ซึ่งคำถามนั่นทำให้ผมมองทั้งคู่สลับกัน ทั้งสองคนมองมาที่ผมเหมือนต้องการคำตอบ ซึ่งสายตานั้นกดดันจนผมต้องยอมตอบออกไปในที่สุด
"ฉันว่าคนซ้ายคือริกซ์ ส่วนคนขวาลอส"พอผมตอบทั้งคู่ก็หันไปมองหน้ากันอย่างพร้อมเพรียง ก่อนเดินเข้ามาใกล้ โน้มใบหน้าเข้ามาใกล้แล้วถามพร้อมๆกันด้วยเสียงที่ยากจะแยกออก
"ทำไมถึงคิดอย่างนั้นล่ะ?"
"ก็..."ผมเม้มริมฝีปากนิดๆ เมื่อสองคนตรงหน้าคาดคั้นหาเหตุผล อยากจะหาตัวช่วย แต่คนอื่นๆกลับยืนมองเฉยๆนั่นทำให้ต้องยอมตอบไปในที่สุด
"ก็...ฉันก็แค่เดาล่ะนะ"ผมพูดจบทั้งสองก็ยอมถอยห่างออกไป ไม่มีท่าทีอะไรพิเศษผมเลยไม่รู้ว่าทั้งสองรู้สึกยังไงกับคำตอบ แต่ก็อดพูดเสริมไปไม่ได้
"บอกตามตรงว่าฉันคงแยกพวกนายไม่ออก...ถ้าไม่ได้ทำความรู้จักให้ดีกว่านี้"ผมมองคู่แฝดที่มองมาที่ตัวเองนิ่ง ก่อนยกมือเกาแก้มเบาๆ "แล้วก็เมื่อกี้...ถ้าฉันเดาผิดก็ขอโทษด้วยแล้วกัน"
ผมคิดว่าทั้งสองคนคงรู้สึกไม่ดีเท่าไหร่ที่ถูกคนนอกอย่างผมมาชี้มั่วๆว่าใครเป็นใคร ผมเองก็รู้สึกไม่ดีเหมือนกันที่พูดเดาสุ่มไปแบบนั้น เพราะต้องขอบอกตามตรองที่ตอบไปผมตอบตามสัญชาตญาณล้วนๆ
"อ่า พวกนายซื้อน้ำมาสินะ ฉันช่วยยกนะ"เพราะทั้งคู่ยังเงียบผมเลยอดพูดเปลี่ยนเรื่องเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศไม่ได้ แต่ทั้งสองปฏิเสธแล้วยกไปไว้เอง ซึ่งผมคิดเอาว่าทั้งคู่คงไม่พอใจที่ผมทายผิดเลยอดรู้สึกลำบากใจไม่ได้เมื่อต้องนั่งตรงข้ามกับทั้งสอง
โต๊ะไม้น้ำตาลเข้มที่ผมนั่งนั้นนั่งได้ฝ่ายล่ะสาม ซึ่งหัวโต๊ะนั่งได้ทีล่ะหนึ่ง
ผมนั่งกลางฝั่งนึงโดยมีจินกับไปป์ประกบ ส่วนตรงข้ามคือลอสกับริกซ์แล้วก็ไนท์ ซึ่งเวย์กับซิตซ์นั้นนั่งปิดหัวโต๊ะคนล่ะฝั่ง บรรยากาศมันก็เรื่อยๆไม่เงียบเหงาเพราะจินกับไปป์จะคอยชวนผมคุยและเล่นมุกตลกอยู่ตลอด แต่ผมก็อดกระอักกระอ่วนไม่ได้เมื่อต้องเงยหน้ามองสบกับดวงตาสีฟ้าเขียวสองคู่ที่ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่
"อ๊ะ จริงสิ ทอยบอกว่าทำงานอยู่นี่ ทำงานอะไรเหรอ? แล้วทำงานพิเศษที่ไหนล่ะ? เผื่อฉันอยากเจอจะได้ไปหา"คำถามของจินเหมือนจะทำให้คนอื่นๆหยุดฟังไปด้วย ผมรู้สึกถึงสายตาที่มองมาเหมือนกัน แต่ตอนนี้ผมกลับงงกับคำถามของจินมากกว่า
งานพิเศษ?
"ไม่ใช่งานพิเศษสิ ฉันทำงานประจำต่างหาก"ผมตอบแล้วเหมือนจะฉุดคิดอะไรได้ นี่หรือว่า...
"อ้าว นี่นายไม่ได้เรียนแล้วเหรอ?"จินทำหน้าแปลกใจ ซึ่งผมนั่นพอคาดเดาอะไรได้เลาๆเลยถามเพื่อต้องการความแน่ใจ
"จิน นายคิดว่าฉันอายุเท่าไหร่?"
คำถามนี้ทำให้จินทำหน้าคิดก่อนจะตอบอย่างไม่แน่ใจ
"เอ 21มั้ง? ทอยก็น่าจะอายุพอๆกับฉันนี่นา?"ผมฟังคำตอบแล้วสูดลมหายใจเข้าอย่างไม่รู้ว่าควรตกใจแค่ไหนดี ลองเบนสายตาไปหาคนที่เหลือแล้วไล่ถามซึ่งผลคือคำตอบไม่ต่างกันเท่าไหร่ ไปป์กับเวย์ก็คาดไว้ประมาณนั้น ผมมองลอสกับริกซ์ ทั้งสองมองหน้ากันเหมือนจะปรึกษา
"ถ้าก่อนหน้านี่ก็คิดว่าประมาณ20อยู่หรอกนะ แต่ฟังๆดูแล้วไม่น่าจะใช่ งั้นสัก23?"ผมกระตุกมุมปากแล้วส่ายหัว มองอีกสองคนที่ยังเงียบแต่ท่าทางคงไม่คิดต่างจากเพื่อนมากมาย
"ฮะๆ นายคงไม่บอกพวกฉันว่าตัวเองอายุสิบแปดหรอกใช่ไหม?"ไปป์กระเซ้าขึ้นอย่างขำขันอย่างที่ผมไม่ขำไปด้วย
"ปีนี้ฉัน28แล้ว"
ผมตอบเสร็จก็เห็นสีหน้าอึ้งค้าง แม้แต่ไนท์กับซิตซ์ที่ไม่ค่อยแสดงอารมณ์ยังเผยสีหน้าตกใจออกมา
ให้ตายสิ จะบอกว่าผมหน้าอ่อนก็คงไม่ใช่ นี่พวกเขาใช้อะไรวัดอายุผมกันแน่?
ผมส่ายหัว ก่อนจะนึกได้ว่าตัวผมก็คิดว่า เด็กพวกนี้ อายุพอกับตัวเองเช่นกัน แต่ก็ช่วยไม่ได้ที่ผมจะเข้าใจผิด เพราะตอนเจอกัยเวย์ด้วยท่าทีที่ดูสุภาพและมีความเป็นผู้ใหญ่เกินวัยทำให้ผมตัดสินไปว่าอีกฝ่ายคงอายุพอๆกัน ถึงจะเห็นคนอื่นๆแต่ความประทับใจแรกเริ่มที่มีต่อเวย์ก็ทำให้ผมมองข้ามพฤติกรรมเด็กๆของจินไป
"คาดไม่ถึงเลยนะ ฉันไม่คิดว่าทอย... เอ้อ พี่ทอยจะอายุมากกว่า"ไปป์พูด ซึ่งดูจะกระอักกระอ่วนตอนเรียกผมว่าพี่
ผมส่ายหัว
"ไม่ต้องเรียกพี่หรอก ฉันไม่ถือ ยังไงซะมาเปลี่ยนตอนนี้ก็คงไม่ทันล่ะนะ"ผมพูดแล้วหัวเราะเบาๆ เพราะไม่คิดเหมือนกันว่ามีเรื่องแปลกประหลาดแบบนี้เกิดขึ้น
อย่างที่เขาว่ากัน คนแปลกหน้า เมื่อได้ลองทำความรู้จักมักมีอะไรให้แปลกใจเสมอ
"งั้นแปลว่าพวกนายทุกคนยังเรียนอยู่มหาลัยสินะ? คณะอะไรกันมั่งล่ะ?"ผมถามอย่างนึกสนใจ มาถึงขั้นนี้แล้ว ลองทำความรู้จักกันคนแปลกหน้ากลุ่มนี้ดูสักหน่อยคงไม่เสียหาย
"งั้นเริ่มจากฉัน...คณะนิเทศ สาขาการแสดง"จินชี้ส้อมเข้าหาตัวเองก่อนแนะนำตัว ซึ่งเมื่อผมรู้ก็ไม่แปลกใจนัก ออกจะคิดว่ามันเหมาะมากด้วยซ้ำ เพราะอีกฝ่ายมีพร้อมทั้งรูปลักษณ์และความสดใสอันเป็นเสน่ห์เฉพาะตัว
จินชี้ไปทางไปป์ ซึ่งไปป์ก็ยกช้อนขึ้นมาชี้ตัวเองบ้างก่อนพูดด้วยเสียงแกล้งดัดแบบที่ผมแอบขำเล็กๆ
"คณะมนุษย์ศาสตร์ สาขาวิชาการการจัดการโรงแรมและภัตตาคารครับผม"
พอเห็นท่าทางขยิบตาอย่างขี้เล่นผมก็ส่ายหัวเบาๆ แต่ก็ยอมรับว่าไปป์เข้ากับคนง่าย รู้จักปรับตัว อารมณ์ดีทั้งยังรู้จักใส่ใจคนอื่น ผมมองต่อไปยังคนหัวโต๊ะ ซิตซ์ซึ่งกำลังตักสุกี้อยู่มองสบมาด้วยสีหน้าเหมือนอารมณ์ไม่ค่อยดีจนผมคิดจะข้ามอีกฝ่ายไป คิดไม่ถึงว่าเจ้าตัวจะยอมเอ่ยปากตอบ ...ถึงน้ำเสียงจะห้วนไปหน่อยก็เถอะ
"วิศวะ"
"สาขาวิศวกรรมยานยนต์"ไปป์พูดต่อท้ายอย่างล้อเลียน ซึ่งผมก็แปลกใจนิดๆในสาขาที่อีกฝ่ายเลือกเรียน เบนไปทางฝาแฝด ทั้งคู่ผสานเสียงตอบ
"คณะแพทย์ศาสตร์"ผมฟังแล้วอดตะลึงไม่ได้ เลยพูดแซวไปนิดหน่อย
"งั้นตรงหน้าฉันก็มีว่าที่หมออยู่ตั้งสองคนแล้วสินะ"ผมพูดจบก็เบี่ยงสายตาไปหาไนท์
"...วิทยาการคอมพิวเตอร์"
"อ้อ คณะวิทยาศาสตร์สินะ แล้วจบแล้วอยากเป็นอะไรล่ะ?"ผมถามต่อเพราะเคยได้ยินว่าสาขานี้ต่อได้หลายอาชีพ ไนท์มองผมก่อนก้มมองถ้วยในมือ
"...โปรแกรมเมอร์"
ผมฟังคำตอบแล้วยิ้มนิดๆ หันไปมองคนสุดท้าย...
เวย์ส่งยิ้มให้ผม แล้วตอบเสียงนุ่ม
"ผมเรียนคณะบริหารครับ"
คำตอบผิดคาด จริงๆก็ไม่ใช่ว่ามาดไม่ให้หรอก ถ้าแต่งตัวใส่สูทก็คงเป็นนักธุรกิจที่ดูดีคนนึงเลยล่ะ แต่ว่า...
"นึกว่าเวย์จะเรียนพวกการโรงแรมไม่ก็คหกรรมซะอีก"ผมพูดไปอย่างที่คิด อาจเพราะอีกฝ่ายดูเหมาะกับผ้ากันเปื้อน... ไม่สิ ดูมีความสุขตอนทำอาหาร ผมเลยไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะเลือกคณะบริหาร
"ก็...ครับ"เวย์ทำท่าจะพูดแต่ก็เปลี่ยนใจตอบรับแค่คำเดียว แม้ผมจะสงสัยแต่ก็ไม่คิดละลาบละล้วงเรื่องที่คนอื่นไม่อยากพูด
"แล้วนี่ทอยบอกว่าทำงานแล้วสินะ ตกลงว่าทำงานอะไรเหรอ?"ไปป์ที่อยู่ข้างพูดเปลี่ยนเรื่อง ซึ่งมันช่วยให้บรรยากาศแปลกๆเมื่อครู่สลายไป ผมหันไปมองแล้วยกยิ้มมุมปาก
"แล้วคิดว่าฉันทำงานอะไรล่ะ?"
คำถามของผมทำให้ไปป์มุ่นคิ้วอย่างครุ่นคิด ยังไม่ทันตอบ จินซึ่งนั่งอยู่อีกข้างก็โพล่งขึ้นทั้งยังยกมือขึ้นเวลาคล้ายตอบคำถามในของเรียน
"ติวเตอร์! ทอยเหมาะจะเป็นติวเตอร์นะฉันว่า"คำตอบของจินทำให้ไปป์ส่งเสียงแย้ง
"ไม่น่าใช่... ฉันว่าถ้าเป็นติวเตอร์ อย่างทอยน่าจะเป็นอาจารย์ในมหาลัยมากกว่า"คำแย้งได้รับการพยักหน้าอย่างเห็นด้วยจากจินหลังเจ้าตัวมองผมอย่างพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง
"นี่ฉันหน้าตาดุขนาดนั้นเลยเหรอ?"ผมถามอย่างพยายามนึกสงสัย ไปป์กับจินส่ายหน้า
"ไม่ใช่หรอก แค่หน้าตานายดูฉลาด แล้วก็ขรึมๆนิดหน่อย พอดูจากอายุนายตอนนี้มันเลยเหมาะเป็นอาจารย์มหาลัยฯมากกว่าติวเตอร์น่ะ"ไปป์ตอบ ผมที่เห็นคนอื่นๆทำสีหน้าเห็นด้วยก็ส่ายหัวเบาๆ
"ไม่ใช่หรอก ฉันให้พวกนายลองเดาอีกรอบ"พอผมให้โอกาสทีนี้แต่ละคนก็เสนอความเห็นตัวเองออกมา ซึ่งแต่ละอาชีพแสดงถึงภาพพจน์ของผมในหัวอีกฝ่ายได้เป็นอย่างดีจริงๆ
หมอ...ทนายความ...ผู้พิพากษา...ผู้จัดการโรงแรม และบรรณารักษ์
ผมหัวเราะก่อนเฉลย
"ฉันเป็นนักเขียนต่างหาก"
"นักเขียน?"แต่ละคนมองมาอย่างแปลกใจอย่างเห็นได้ชัด ผมเลยถามอย่างเย้าๆ
"นี่ฉันดูไม่เหมาะกับการเป็นนักเขียนขนาดนั้นเลยเหรอ?"
"ก็เปล่า... คือภาพนักเขียนในหัวฉันมันต้องเป็นพวกหน้าโทรมๆ หนวดเครารกๆ เพราะไม่มีเวลาโกนน่ะ"ไปป์พูดบรรยายซะเห็นภาพ จินพยักหน้าเป็นเชิงเห็นด้วยแล้วเสริมทับ
"ช่าย นักเขียนนี่ต้องหัวฟูๆ สวมแว่นหนาๆ สวมเสื้อผ้าหลวมโพรก ต้องผอมกระหร่องเหมือนคนขาดสารอาหาร และห้องต้องรกเหมือนรังหนูด้วย"
ผมหลุดขำยกใหญ่ จินตนาการของจินกับไปป์ช่างชวนจี้เส้นดีจริงๆ แต่ก็ไม่ผิดเท่าไหร่เพราะผมช่วงปั่นงานก็สภาพประมาณนั้น
ผมหยุดขำก่อนจะอธิบายให้เข้าใจตรงกัน
"ที่พวกนายพูดก็ไม่ผิดหรอกนะ แต่มันก็เป็นช่วงๆ ช่วงสภาพสุดโทรมที่ว่าก็เป็นกันทุกคนนั่นแหละ โดยเฉพาะช่วงเส้นตาย...บางครั้งฉันส่องกระจกแล้วจำตัวเองแทบไม่ได้เหมือนกัน"ผมพูดจบก็เห็นจินทำท่านึก ซึ่งถ้าเดาไม่ผิดอีกฝ่ายคงพยายามจินตนาการภาพผมตอนหัวกระเซิง สวมแว่น แล้วใส่เสื้อผ้าตัวใหญ่ชนิดก้มทีเห็นสะดือ สภาพผมตอนนั้นเรียกได้ว่าโทรมสุดๆจริงๆ
"แล้วทอยเขียนนิยายแนวไหนเหรอครับ? ใช่แนวเดียวกับนิยายเล่มสีน้ำตาลที่ชี้ให้ดูตอนอยู่ในห้างรึเปล่า?"คำถามของเวย์ทำให้ผมหันไปมอง ซึ่งยังไม่ได้ตอบ ลอสหรือริกซ์ก็ได้หยิบหนังสือปกน้ำตาลเล่มคุ้นตาขึ้นมาชูแล้วถาม
"เล่มสีน้ำตาล ใช่เล่มนี้รึเปล่า?"
เวย์หันมามองผมอย่างไม่แน่ใจ ซึ่งผมก็เข้าใจ เพราะตอนที่ยืนดู พวกเราอยู่กันที่นอกร้านซึ่งจากระยะห่างคงทำให้เวย์ไม่สามารถชี้ชัดได้ว่าใช่เล่มที่ว่ารึเปล่า
ผมหันไปพยักหน้านิ่งๆ ทั้งที่ในใจก็คาดไม่ถึงว่าจะมีเรื่องบังเอิญแบบนี้
"ใช่ ก็แนวนั้นแหละ..."
"จริงเหรอ ลอสกับฉันก็ชอบแอบอ่านแนวนี้เหมือนกัน เนอะลอส"เป็นที่แน่นอนแล้วว่าคนที่ถือหนังสืออยู่คือริกซ์ ลอสซึ่งนั่งอยู่ข้างๆก็หันหน้ามองนิดหน่อยก่อนพยักหน้า ซึ่งริกซ์ที่พอรู้ว่าผมเป็นคอเดียวกันก็หันมาถามผมด้วยท่าทางสนใจว่า
"แล้วนามปากกาของนายคืออะไรล่ะ? เผื่อพวกฉันเคยเห็นผ่านตา"
คำพูดนั้นทำให้ผมจนใจจะห้ามตัวเองจริงๆ ผมหลุดระเบิดหัวเราะออกมาเสียงดังจนต้องยกหลังมือปิดปากเมื่อไม่คิดว่าจะเจอเรื่องบังเอิญที่น่าตลกขนาดนี้ในชีวิตจริง ซึ่งพอเห็นสายตาทั้งวงมองมาก็ได้แต่พยายามกลั้นเสียงหัวเราะแล้วตอบ
"คึ... ก็เล่มที่นายถือนั่นแหละ...ผลงานของฉัน"พอผมตอบทั้งลอสกับริกซ์ก็เบิกตากว้าง ซึ่งอาการตะลึงแบบดับเบิ้ลนั่นทำให้ผมหลุดหัวเราะอีกรอบ
"นายพูดจริงดิทอย?"ไปป์ส่งเสียงถาม ซึ่งผมพยักหน้ารับ ไปป์เลยขอหนังสือจากสองแฝดมาดู
"Magic Night ห้วงเวลามนตรา นิยายแนวแฟนตาซีควบผจญภัย โห ได้รับรางวัลขายดีด้วยนี่"ไปป์อุทาน ก่อนหันมามองผมอย่างชื่นชม
"ทอยนี่เจ๋งชะมัด ท่าทางนายจะเขียนเก่งนะ..."จินพูดชมอย่างสนใจ ซึ่งอีกฝ่ายพูดได้แค่นั้นสองแฝดก็พูดโพล่ง
"แน่นอน มนตราพิทักษ์ เป็นนักเขียนดาวรุ่งขายดี ตีพิมพ์มาแล้ว14เล่ม เกือบทุกเรื่องเป็นหนังสือชุด หนังสือเล่มแรกที่ตีพิมพ์ คือเรื่อง Escort มนตราพิทักษ์ ที่ได้ตีพิมพ์ซ้ำถึงสามครั้งภายในเวชาครึ่งปี หลังจากนั้นก็มีหนังสือปล่อยออกมาอีกหลายชุด เล่มแรกที่ฉันได้อ่านคือ Daemon ภูติมนตรา ตัวละครที่ฉันชอบที่สุดคือ ฟีน เจ๋งเป็นบ้าที่สามารถวางกับดักล่อพวกโทรลไปลงเหวแล้วช่วยชีวิตซานีน ไว้ แต่ตอนจบนี่ฉันไม่แน่ใจว่าตกลงว่าฟีนได้กลับโลกภูตรึเปล่า? แล้วตกลงบัลลังก์เอคอนใครเป็นคนได้ไปล่ะ? แล้ว..."ริกซ์ที่พูดเป็นชุดได้รับแรงสะกิดจากฝาแฝดเตือนสติ ซึ่งเหมือนเจ้าตัวเพิ่งรู้สึกตัว
ทั้งไปป์และจินมองเพื่อนด้วยสีหน้าอึ้งๆ ส่วนเวย์หัวเราะ
"เพิ่งรู้เหมือนกันนะครับว่านักศึกษาแพทย์แถวนี้เป็นแฟนนิยายของทอย แถมดูท่าทางจะเป็นแฟนพันธ์แท้ซะด้วยสิ"คำแซวนั่นเรียกสีแดงลามไปทั้งหน้าของคนถูกแซว ลอสเอามือโอบไหล่ริกซ์เป็นการปลอบ ซึ่งริกซ์ก็รีบซุกหน้าลงบนอกลอส ผมเองก็ออกจะอึ้งๆไม่คิดว่าจะได้เจอแฟนพันธุ์แท้ใกล้ตัวแบบนี้ แต่หลังจากคิดอยู่ครู่นึงผมก็ยอมตอบคำถามที่อีกฝ่ายถามทิ้งไว้
"ขอบใจนะที่ชอบนิยายของฉัน เรื่องตอบจบ...ฉันอยากให้คนอ่านคิดเอาเองมากกว่า เพราะทางเลือกคนเรามันมีอยู่มากมาย บางคนอาจคิดให้ฟีนกลับไปรับมงกุฎแห่งเอคอนแล้วปกครองโลกภูตต่อไป บางคนก็อาจจะคิดให้ฟีนทิ้งบัลลังก์นั่นแล้วอาศัยอยู่กับซานีนตลอดกาล นายก็คงเคยได้อ่านแฟนฟิคเรื่องนี้มาบ้างใช่ไหม?"ผมเห็นสองแฝดพยักหน้าก็พูดต่อ "...ใช่ไหมล่ะ? คนเราต่างคิดไม่เหมือนกัน เลือกไม่เหมือนกัน ฉันเลยจบเรื่องราวของภูตมนตราไว้แค่นั้น เพราะฉันอยากให้คนอ่านได้คิดต่อ สร้างโลกภูตแห่งนี้ต่อในแบบของพวกเขา"
ผมพูดจบก็เกิดอาการเขินนิดๆเมื่อทุกสายตามองมาที่ผมกันหมด
"เอ่อ... กินกันต่อเถอะ"ผมพูดก่อนเอื้อมมือไปหยิบที่ตักมาตัก ซึ่งทุกคนก็กลับไปกินเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เว้นแต่...
"เดี๋ยวฉันขอลายเซ็นหน่อย...ได้ไหม?"เสียงท่อนท้ายที่แผ่วลงพร้อมกับรอยสีแดงนิดๆปรากฏขึ้นข้างแก้ม ซึ่งข้างๆมีคนที่มีหน้าตาเหมือนคนพูดไม่ผิดเพี้ยนกำลังมองมาด้วยสายตาคาดหวังเช่นกัน และนั่นทำให้ผมอมยิ้มอย่างอารมณ์ดี
"แน่นอน ได้สิ ลอส ริกซ์"
สำหรับผมแล้ว สุกี้หม้อไฟคืนนี้ดูจะอร่อยเป็นพิเศษ...
ความคิดเห็น