คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : บทสอง ความเปลี่ยนแปลง
สองวิญญาณที่ได้มาอาศัยร่างใหม่ค่อยๆปรับตัวทำความคุ้นเคยกับชีวิตที่ได้มา จิ้นเฟยกับเฟยจิ่งใช้ชีวิตในตำหนักตวนหมิงอันเป็นตำหนักเล็กๆ อันมีพื้นที่ไม่กว้างขวางนักอย่างเรียบง่าย
จากความทรงจำที่มีอยู่ ในตำหนักตวนหมิงนี้มีนางกำนัลรับใช้เพียงสองคน และขันทีอีกหนึ่ง ซึ่งนับว่าน้อยพอๆกับสนมขั้นต่ำ
ทางอาหารที่นำมาส่งที่ตำหนักก็ขาดความพิถีพิถันตามที่ควรเป็น แม้รสชาติจะไม่ถึงกับต้องเอาไปเปรียบเทียบกับอาหารหมูก็ตาม แต่ตัวอาหารที่แทบจะเย็นชืดและเรียบง่ายจนไม่น่าเชื่อนี้ก็หาใช่สิ่งที่องค์ชายองค์หนึ่งควรได้รับ การที่ส่งอาหารธรรมดาๆ มาให้ทั้งที่ห้องเครื่องของหลวงได้รวบรวมเหล่าพ่อครัวฝีมือเป็นเลิศเอาไว้มากมายก็เป็นการแสดงถึงความไม่ใส่ใจที่ผู้คนในวังมีต่อร่างนี้ ซึ่งทุกครั้งที่องค์ชายไป๋เฟิงจิ้นได้เห็นเป็นต้องฟึดฟัดอาละวาดกวาดอาหารกระจายลงพื้นแล้วสั่งให้นางกำนัลไปยกอาหารมาใหม่
แต่สุดท้ายอาหารที่ยกเอามาเปลี่ยนก็ไม่ได้ต่างจากเดิมเท่าไหร่
ถังจูและเป้ยฉีสองนางกำนัลน้อยที่มีหน้าที่ยกอาหารมาให้องค์ชายไป๋เฟิงจิ้นเป็นประจำ
หลังจัดวางอาหารเช้าลงบนโต๊ะพวกนางก็ถอยห่างรอดูท่าทีขององค์ชาย
วันนี้ที่ยกมามีปลาหิมะย่างกับเต้าหู้ทรงเครื่อง และผักดองสองสามชนิด
เพียงทราบรายการอาหารพวกนางก็เตรียมรอรับอารมณ์จากองค์ชายน้อยผู้นี้ไว้เรียบร้อย
ทั้งยังเตรียมถาดและผ้าสำหรับเก็บกวาดไว้รอด้วย
ทว่า กลับไม่เกิดสิ่งใดขึ้น
องค์ชายเก้าไป๋เฟิงจิ้นเป็นที่รู้กันดีว่าเย่อหยิ่งและเจ้าอารมณ์ ทุกคราที่พวกนางยกอาหารเหล่านี้มามักต้องเจอกับความกราดเกรี้ยวและถ้อยคำด่าทอ
แต่ในวันนี้องค์ชายน้อยผู้นั้นกลับปรายตามองอาหารแล้วนั่งกินอย่างไม่ปริปากบ่นสิ่งใดสร้างความงงงวยแก่สองนางกำนัลเป็นอย่างมาก
และยิ่งน่าประหลาดใจเมื่อหลังทานเสร็จองค์ชายเฟิงจิ้นได้เอ่ยขอบคุณขึ้น
"ขอบคุณมาก เราต้องรบกวนพวกเจ้าเสมอเลย"
ไม่เพียงแต่จะกล่าวกับพวกนางอย่างมีมารยาทเท่านั้น
แต่ยังยิ้มอ่อนโยนให้ส่งท้าย
จนเมื่อออกห่างจากตำหนักมาไกลพอสมควรถังจูที่ถือถาดเปล่าและผ้าสะอาดที่ไม่ได้ใช้อยู่จำต้องกระซิบถามเป้ยฉีผู้เป็นเพื่อนร่วมงานอย่างสงสัย
"พี่เป้ยฉี
พี่ว่าเมื่อวานองค์ชายเก้าได้เสวยของผิดสำแดงเข้าไปหรือไม่? หรือว่าทรงโดนองค์ชายคนอื่นๆกลั่นแกล้งจนเสียสติไปแล้ว?"คำพูดหมิ่นเบื้องสูงอย่างไม่ระวังปากของนางกำนัลสาวเป็นผลให้เป้ยฉีดีดปากอีกฝ่ายไปหนึ่งที
"พูดจาสิ้นคิด ปีนี้องค์ชายทรงสิบสองชันษาแล้ว
หากจะเกิดความเปลี่ยนแปลงไปบ้างก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เจ้าก็อย่าพูดมาก รีบๆเดินเข้า"
เป้ยฉีพูดเตือนพลางเดินนำไป
แม้นางจะสงสัยกับการเปลี่ยนแปลงกะทันหันขององค์ชาย แต่ใครจะรู้
มันอาจเป็นแค่อาการชั่วคราวก็ได้? ดีไม่ดีพรุ่งนี้พวกนางอาจต้องกลับมาเผชิญหน้ากับพายุอารมณ์ขององค์ชายเหมือนแต่ก่อน แต่...ถ้าหากว่านี่คือการเปลี่ยนแปลงเพราะการเติบโตจริงๆ
นางก็ได้แต่หวังว่ามันจะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้น เป้ยฉีนึกภาวนากับตนเอง
ซึ่งในเวลานั้นนางไม่รู้เลยว่านี่เป็นเพียงความเปลี่ยนแปลงแรกเท่านั้น...
ตกบ่าย ณ
หอตำราของวังหลวงที่มีผู้คนเข้าออกไม่มาก
ร่างเล็กของเด็กหนุ่มในชุดสีฟ้าพื้นเรียบได้ใช้สองแขนผอมแห้งหอบตำรากองใหญ่ตรงไปยังโต๊ะว่าง
ก่อนเริ่มตั้งหน้าตั้งตาอ่านอย่างจริงจัง
วันนี้จิ้นเฟยได้แบกสังขารที่ยังไม่หายดีจากการกลั่นแกล้งเมื่อวานมายังหอตำราแห่งนี้เพื่อค้นคว้าหาข้อมูลที่จำเป็นสำหรับแผนการและเป้าหมายในอนาคตโดยเฉพาะ
ท่ามกลางเสียงบ่นพึมของเฟยจิ่งที่ต้องการไปฝึกวิชามากกว่า
"ลุงบอกเองนี่ว่าร่างกายนี้อ่อนแอมาก ขืนให้ไปฝึกวิชาหนักๆทั้งที่ร่างกายยังไม่หายดี
เกิดตายอีกรอบขึ้นมาจะขำไม่ออกเอานะ"จิ้นเฟยขยับปากเอ่ยเสียงเบาขณะที่สองตายังกวาดมองตัวอักษรนิ่ง มือซ้ายพลิกหน้าถัดไปด้วยท่าทางใจเย็น
ที่จริงเรื่องนี้วิญญาณทั้งสองก็ได้ทุ่มเถียงและตกลงกันไว้ตั้งแต่ตอนเช้าแล้ว
แต่เฟยจิ่งก็ยังทำฮึดฮัดไม่พอใจ
และบ่นยาวมาจนถึงตอนนี้โดยที่จิ้นเฟยไม่สามารถหลบเลี่ยงได้เมื่ออีกฝ่ายไม่ได้พูดผ่านปากแต่สื่อผ่านทางจิตโดยตรง
อย่างที่รู้กันว่าทั้งสองสามารถสื่อสารกันได้ผ่านห้วงคิดโดยการเพ่งจิตเพื่อสื่อให้อีกคนรับรู้
แต่ด้วยความเคยชินทำให้จิ้นเฟยมักพูดผ่านปาก ขณะที่เฟยจิ่งตอบโต้ผ่านทางความคิด
จิ้นเฟยที่เป็นฝ่ายควบคุมร่างอ่านหนังสือต่อไปได้สักพักก็รู้สึกถึงความเงียบที่ผิดปกติจึงหยุดอ่านก่อนพูด
'ง้อ' วิญญาณอีกดวงในร่าง
"น่าๆ ลุงเฟยจิ่ง แค่อาทิตย์เดียวเอง
ตอนนี้ข้อมูลเป็นสิ่งจำเป็นจริงๆนะ
ลุงก็รู้ดีนี่ว่าก่อนจะเริ่มรบเราต้องมีข้อมูลก่อนจึงจะได้ชัยมา
ส่วนเรื่องฝึกวิชาไว้ร่างนี้หายดีลุงจะฝึกโหดแบบไหนก็ตามสบายเลย"
เฟยจิ่งที่ได้ยินคำพูดของจิ้นเฟยก็ยอมอ่อนลงก่อนหันมาให้ความสนใจกับหนังสือที่อีกฝ่ายอ่าน
"แล้วนั่นเจ้ากำลังอ่านอะไร?"
"ลำดับเชื้อพระวงศ์แคว้นอวิ๋นน่ะ"จิ้นเฟยไล่ตามองตัวอักษรบนหน้ากระดาษต่อ
ขณะเดียวกันเฟยจิ่งที่อยู่ข้างในก็ถามอย่างไม่เข้าใจ
"เจ้าจะอ่านมันไปเพื่ออะไร?"
"ลุงเฟยนี่ถามแปลกๆ ฉันก็ต้องศึกษาข้อมูลไว้สิ นี่ๆ
ดูตรงนี้สิ ชื่อของพวกเรา"
จิ้นเฟยชี้ชวนให้ดูรายชื่อที่ถูกเขียนร่างไว้
ตั้งแต่พระนามเดิมของฮ่องเต้ ไล่ต่อไปยังฮองเฮา กุ้ยเฟย และสนมลำดับต่างๆ
ต่อท้ายด้วยชื่อของเหล่าองค์ชายและองค์หญิง
ซึ่งเมื่อไล่อ่านไปทีละชื่อความทรงจำเก่าๆของเฟิงจิ้นก็ได้ปรากฏขึ้น
จิ้นเฟยกุมศีรษะที่ปวดแปลบๆ
ในสมองฉายภาพตอนเจ้าของร่างโดนถูกกลั่นแกล้งในช่วงหนึ่งปีมานี้ องค์ชายลำดับสิบ
สิบสาม สิบหก สิบเก้าและยี่สิบ
องค์ชายลำดับเหล่านี้คือกลุ่มคนเมื่อวานที่รุมรังแกเฟิงจิ้นจนตาย
ภาพพลิกไปยังองค์ชายสองจอมเย่อหยิ่งที่พูดเหยียดหยามร่างเล็กในวันที่อดีตฮองเฮาได้จากไป
ภาพองค์หญิงสามแสนร้ายกาจสั่งให้นางกำนัลของตนฉีกภาพเหมือนของอดีตฮองเฮาต่อหน้าเฟิงจิ้น
ภาพอันแสนโหดร้ายสำหรับเด็กน้อยได้ปรากฏเวียนไปเรื่อยๆจนเมื่อสิ้นสุดลงจิ้นเฟยก็ค่อยๆผละมือออกอย่างช้าๆ
"เห ดูเหมือนผู้คนที่นี่จะเอ็นดูเสี่ยวเฟิงของพวกเราซะจริงๆ
ว่างั้นไหมลุงเฟยจิ่ง?"
ใบหน้ายามกล่าวนั้นทั้งคล้ายใส่ใจและไม่ใส่ใจ
ก่อนแปรเปลี่ยนไปเมื่อวิญญาณอีกดวงเข้าครองร่าง เฟยจิ่งกระตุกยิ้มเหี้ยมตอบรับ
ทางจิ้นเฟยยิ้มรับเล็กน้อยก่อนเดินไปขออุปกรณ์เครื่องเขียนมาจดรายนามบัญชีแค้นพร้อมเติมรูปดาวให้กับพวกเมื่อวานโดยเฉพาะ
"กลุ่มองค์ชายเมื่อวานดูจะห่วงใยและรักใคร่เสี่ยวเฟิงเป็นพิเศษ
แบบนี้วันหน้าเราก็ต้องตอบแทนพวกนั้นให้มากหน่อย"จิ้นเฟยตวัดพู่กันพลางกล่าวเรื่อยๆ
เฟยจิ่งไม่ตอบคำแต่ความรู้สึกที่สื่อถึงกันทำให้จิ้นเฟยเผยยิ้มร้าย
"อดีตใดใครก่อ อนาคตย่อมได้รับคุณสนอง"
หลังจากนั้นจิ้นเฟยและเฟยจิ่งก็ได้นั่งอ่านตำราที่เลือกมาจนตกเย็นจึงได้กลับไปยังตำหนัก
มื้อเย็นวันนี้เป็นซุปเห็ดข้นกับของทอดไม่กี่อย่าง
ซึ่งครั้งนี้เมื่อเห็นอาหารที่ถูกจัดวางคิ้วจิ้นเฟยก็พลันขมวดแน่น
ท่าทีคล้ายไม่พอใจนั้นส่งผลให้นางกำนัลทั้งสองพากันถอยห่างอย่างเตรียมรับมือ
ไม่คาดเจ้าตัวเพียงเอ่ยเสียงนิ่ง
"พี่ถังจู พี่เป้ยฉี
เราวานพี่ทั้งสองไปบอกคนครัวให้เปลี่ยนมื้อเช้าทุกมื้อเป็นพวกเนื้อสัตว์... ไม่สิ
เราอยากให้พวกเขาจัดอาหารตามรายการที่เราเขียนส่งไปให้"
"องค์ชายเก้าเพคะ
เรื่องนั้น..."ถังจูที่ได้ยินก็ลอบสบตากับเป้ยฉีอย่างขอความช่วยเหลือ
เรื่องที่องค์ชายเก้าไม่มีคนหนุนหลังทั้งยังมีอุปนิสัยก้าวร้าวจนไม่เป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้นั้นเป็นที่รู้กันทั่ว
ในสายตาผู้คนในวังองค์ชายน้อยผู้นี้จึงจัดเป็นบุคคลที่ไม่มีค่าควรใส่ใจ
ด้วยเหตุนี้อาหารที่ถูกจัดส่งมาในช่วงครึ่งปีหลังจึงถูกลดความเอาใจใส่ลง
ก่อนนี้พวกนางเคยร้องเรียนไปแล้วแต่ก็ไม่มีคนสนใจ แต่เรื่องนี้นางพูดออกไปไม่ได้
หากนางกล้าพูดออกไปคงไม่พ้นโดนโทษโบยเป็นแน่
"จริงสิ ก่อนจะไปอย่าลืมนำถุงนี่ไปมอบให้ฝ่ายห้องเครื่องเพื่อแสดงความขอบคุณแทนเราด้วย"จิ้นเฟยยื่นถุงเล็กๆใบหนึ่งให้สองนางกำนัลพร้อมกล่าว
"ฝากบอกพวกเขาว่าเราเสียใจที่ตอบแทนความมีน้ำใจพวกเขาได้แค่นี้
หากวันหน้าเรามีโอกาสดีๆ จะต้องตอบแทนพวกเขาอย่างแน่นอน"
คำพูดพร้อมรอยยิ้มสุภาพอ่อนโยนช่างแตกต่างจากที่เคยเป็น
ถังจูลอบแตกตื่น ขณะที่เป้ยฉีเพียงรับถุงมาแล้วก้มศีรษะกล่าวอย่างนอบน้อม
"หม่อมฉันจะไปจัดการให้เพคะ"
ได้ยินอย่างนั้นจิ้นเฟยก็พยักหน้าอย่างพอใจแล้วหันกลับมาจัดการอาหารบนโต๊ะต่อ
ในหัวได้ยินเสียงเฟยจิ่งถาม
"เหตุใดเจ้าต้องยุ่งยากจัดการเรื่องเหล่านี้?"
"ลุงเฟยจิ่ง
ฉันในฐานะนักโภชนาการยอมไม่ได้หรอกนะที่จะให้ร่างนี้กลายเป็นพวกแคระเกร็นน่ะ
ตอนนี้ร่างของพวกเรากำลังอยู่ในช่วงเจริญเติบโต
สมควรได้รับสารอาหารที่เพียงพอต่อร่างกาย"จิ้นเฟยตอบเสียงในหัวพลางคีบอาหารเข้าปาก
เสียงฉุนเฉียวในหัวดังโต้ตอบ
"ไร้สาระ สมัยข้ายังเล็กได้กินแค่ต้นหญ้าแห้งๆที่มีพิษกับเนื้องูไปวันๆยังไม่เห็นมีปัญหาใด"
"หญ้ามีพิษกับงู!? นี่ลุงกินเข้าไปแล้วไม่ตาย?"จิ้นเฟยที่เกือบสำลักอาหารถามอย่างตกใจ
"ย่อมไม่ตาย"เฟยจิ่งกล่าวอย่างไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่
ก่อนอธิบายเพิ่ม "เดิมงูที่ข้ากินเข้าไปคืองูฮั่วเอี๋ยน ซึ่งพิษของมันคือพิษอัคคีผลาญชีพ มันจะแผ่ความร้อนกระจายไปทั่วร่างเจ้า
ความร้อนจะเพิ่มขึ้นสูงอย่างรวดเร็วจนเจ้าต้องลงไปนอนทุรนทุรายด้วยความรู้สึกดุจถูกไฟเผาผลาญร่าง
แต่ข้าได้กินหญ้าหานปิงที่มีคุณสมบัติเยือกแข็งร่างยับยั้งไว้จึงไม่เป็นอันตราย
หญ้าหานปิงนี้หากเจ้ากินมันเข้าไปเดี่ยวๆ
เริ่มแรกเจ้าจะรู้สึกชาไปทั่วร่างก่อนความหนาวเหน็บดุจความตายมาเยือนจะคลืบคลานเข้ามาอย่างช้าๆ
เจ้าจะไม่สามารถขยับตัว ส่งเสียง หรือทำสิ่งใดได้อีก
สิ่งที่เจ้าจักได้สัมผัสมีเพียงความหนาวเย็นที่จะแช่แข็งวิญญาณเจ้าเอาไว้จนกระทั่งดับสูญ"
จิ้นเฟยที่กินไปพลางฟังเรื่องเล่าของเฟยจิ่งไปพลางก็พลันเกิดความรู้สึกนับถือและสนใจ
ขยับมือวางตะเกียบลง ก่อนร้องขอด้วยน้ำเสียงจริงจัง
"นี่ ลุงเฟยจิ่ง ถ้าฉันจะขอให้ลุงช่วยสอนเรื่องสมุนไพร
ลุงจะยอมช่วยรึเปล่า?"
คำถามที่ไม่คาดส่งผลให้เฟยจิ่งนิ่งอึ้ง ก่อนทำเสียงขึ้นจมูก
"เรื่องอะไรข้าต้องช่วยเจ้า"แม้ได้ยินคำพูดตัดรอนเช่นนั้นแต่จิ้นเฟยก็หาได้นึกใส่ใจไม่
ทั้งพูดเกลี้ยกล่อมต่ออย่างใจเย็น
"น่าๆ ลุงก็อย่าหวงวิชานักเลย
ฉันเรียนรู้เรื่องพวกนี้ไว้ก็เป็นการดีใช่ไหมล่ะ? เพราะอีกหน่อยเราต้องเจอบรรดาสารพัดพิษแน่ๆ
ถ้าฉันรู้จักพืชสมุนไพรไว้เยอะๆก็จะแยกออกว่าอะไรมีพิษไม่มีพิษ
โอกาสโดนวางยาพิษก็น้อยลง
หรือถ้ายังไงฉันอาจจะคิดค้นทำยาแก้ไว้ใช้ในยามจำเป็นได้ด้วยนะ?"
ท้ายที่สุดคำพูดกล่อมของจิ้นเฟยก็เป็นฝ่ายชนะ
เฟยจิ่งรับปากช่วยสอนให้อย่างจำยอม แต่เจ้าตัวกล่าวดักไว้ก่อนว่าหากสอนแล้วผลไม่เป็นที่น่าพอใจก็จะเลิกสอน
จิ้นเฟยรับปากอย่างว่าง่าย อาหารค่ำวันนี้จึงจบลงเช่นนั้น
คล้อยหลัง
ระหว่างที่สองนางกำนัลประจำตำหนักยกถาดอาหารไปเก็บยังห้องเครื่อง
"พี่เป้ยฉี พี่เป็นอะไรรึเปล่า?"ถังจูเอ่ยถามอย่างกังวล เมื่อตั้งแต่ออกมาจากตำหนักตวนหมิงเป้ยฉีก็ไม่ยอมพูดอะไรเลย
ทั้งยังทำท่าทางคล้ายคนคิดไม่ตกอีกด้วย
"ไม่มีอะไร ข้าแค่เหนื่อยๆน่ะ เจ้าเองก็ถือดีๆเถอะ
ระวังอย่าให้ตกแตก"เป้ยฉีตอบปฏิเสธพลางกล่าวเตือนนางกำนัลรุ่นน้องที่ชอบทำตัวไม่ระมัดระวังนัก
"รับทราบเจ้าค่ะ"เสียงกล่าวรับคำที่ออกไปทางเย้าแหย่เรียกสายตาดุๆจากเป้ยฉี
พอเห็นท่าไม่ดีนางกำนัลจอมแก่นจึงได้รีบสาวเท้าตรงไปยังห้องเครื่อง
ทางฝ่ายคนมองตามได้แต่ถอนใจอย่างนึกระอา ก่อนนางจะหันไปมองตำหนักเบื้องหลัง
เป้ยฉีครุ่นคิดถึงคำพูดขององค์ชายเก้าเมื่อเย็นนี้
คำกล่าวที่เมื่อนางพิจารณาอย่างถ้วนถี่แล้วก็ต้องส่ายหัว
โอกาสดีๆ? องค์ชายไร้ค่าแห่งวังหลังจะมีโอกาสดีๆไปได้อย่างไร?
ความคิดเห็น