คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : องก์หนึ่ง
ไห่เป่ยผิงเดินทางต่อท่ามกลางแสงตะวันยามเที่ยง
ยามมีชีวิต ตัวเขาเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า กายเนื้อเปรียบดังเกราะคอยปกป้องวิญญาณจากอันตรายทั้งปวง
เมื่อปราศจากร่างกายแล้วดวงวิญญาณจึงไม่อาจต้องแสงอาทิตย์ มิฉะนั้นจะโดนแสงสุริยันอันแรงกล้าแผดเผาจนเป็นเถ้าธุลี
แต่ในฐานะวิญญาณตนหนึ่ง ไห่เป่ยผิงรู้ดีว่าถ้อยคำนั้นเหลวไหลเพียงใด เพราะยามเป็นวิญญาณ
ไม่ว่าร้อนหนาวลมฝนล้วนไม่อาจรับรู้ทั้งสิ้น เขาร่อนเร่จนมาถึงจวนหลังใหญ่ที่มีกำแพงเหล็กสูงล้อมรอบ
ด้วยความเคยชินชายหนุ่มจึงดีดตัวมุ่งตรงไปยังลานฝึกซ้อมส่วนตัวในเรือนใหญ่ซึ่งยามนี้มีคนผู้หนึ่งร่ายรำอยู่
เพียงเข้าใกล้ที่หมายก็พลันได้ยินเสียงเสียดสีของเหล็กกับอากาศที่ฟังบาดหู
ไห่เป่ยผิงก้าวเข้าไปในลานขณะที่สองตาจับจ้องเงาร่างโดดเด่นไว้อย่างไม่ยอมให้คลาดสายตา
บนลานหินกว้างที่ดูราบเรียบเสมอกัน ร่างสูงเพรียวในชุดแดงทั้งร่างก้าวขาไปด้านหน้าพลางขยับข้อมือเหวี่ยงหอกพุ่งแทงอากาศจนเกิดเสียงหนัก
หากพริบตาถัดมากลับสามารถหมุนแทงหอกย้อนศรไปด้านหลังอย่างไม่ติดขัด
ทวงท่าการเคลื่อนไหวที่ดุดันหากแต่ไหลลื่นเหล่านั้นดูงดงามจนคนมองรู้สึกเพลินตา
ไห่เป่ยผิงชมระบำหอกที่ไม่ได้เห็นเต็มตามานานอย่างเลื่อนลอย
นี่อาจนับเป็นหนึ่งในบรรดาไม่กี่ครั้งที่เขาสามารถรับชมเพลงหอกนี้ในระยะประชิด ที่ผ่านมาตัวเขาได้แต่แอบดูอยู่ห่างๆ
เพราะคนผู้นี้ เพียงแลเห็นเงาของเขาเป็นต้องชักสีหน้าไม่พอใจและเดินหนีไปเสมอ
ใบหน้างดงามที่พร่างพราวไปด้วยเหงื่อ
คิ้วกระบี่และนัยน์ตาหงส์ รวมถึงผิวกายขาวเนียนดุจหยกที่ขึ้นสีเรื่อจากการออกแรงขับให้ชายหนุ่มในชุดแดงยิ่งดูทรงเสน่ห์น่าหลงใหล
ไห่เป่ยผิงใช้ความพยายามอย่างมากในการละสายตาจากภาพนั้น ริมฝีปากสีสดคลี่ยิ้มอ่อนจางขณะหันหลังให้กับความงดงามที่อยู่เบื้องหลัง
“ เปลวไฟแดงผลาญสิ้น ชีวี
วิญญีสูญสุดรั้ง แรกพบ
แม้นสุดคะนึงหา อาวรณ์
คงจำจรจากเจ้า ยอดใจ ”
เสียงพึมพำดังแว่ว
ก่อนเลือนหายไปพร้อมกับเงาร่างของต้นเสียง
สถานที่ถัดไปที่ไห่เป่ยผิงมุ่งไปคือสวนยาแห่งหนึ่ง
สวนยาแห่งนี้กล่าวได้ว่าเป็นแดนสวรรค์ของเหล่าเซียนโดยแท้
เพียงมองหญ้าตามริมทางยังต้องตะลึง เพราะต้นหญ้าเขียวสดเหล่านั้นคือหญ้าประดับฟ้า หนึ่งในส่วนผสมสำคัญในการทำยาสมานแผลชั้นสูง
ยิ่งเดินลึกเข้าไปด้านใน
ยิ่งไม่อาจไม่อ้าปากค้างเมื่อได้ยลภาพบรรดาสมุนไพรล้ำค่าที่ผู้คนทั่วหล้าต่างเฝ้าฝันถึง
หากแต่ไม่มีโอกาสได้พบเจอและสัมผัส
ทว่า ไห่เป่ยผิงไม่แม้แต่จะชำเลืองมองสมุนไพรเหล่านั้น
นั่นเพราะสำหรับเขาแล้ว สิ่งที่ล้ำค่ายิ่งกว่าสมุนไพรชั้นเลิศใดๆ ได้ถูกแอบซ่อนเอาไว้ในกระท่อมไม้เก่าอันเป็นจุดหมายปลายทาง
ในห้องยาเล็กๆ ที่ไร้ซึ่งหน้าต่าง มีเงาร่างผอมของคนผู้หนึ่งยืนเคี่ยวยาอยู่ลำพัง
ด้วยเส้นผมสีขาวโพลนดุจใยไหมทำให้ใครต่อใครเข้าใจผิดไปว่าอีกฝ่ายเป็นชายชรา
และต้องนึกสับสนเมื่อแลเห็นใบหน้าอ่อนเยาว์ดุจทารกนั้น
ไห่เป่ยผิงเดินเข้าไปใกล้
จมูกของเขาพลันได้กลิ่นฉุนของสมุนไพรโชยมาเช่นทุกครั้ง ชุดสีฟ้าอ่อนเนื้อโปร่งเบาบนร่างอีกฝ่ายยังคงอบอวลด้วยกลิ่นยาเหมือนเคย
มองดูมือขาวบริสุทธิ์ดุจหิมะหยิบจับสมุนไพรตากแห้งใส่ลงไปในหม้อยา ทำให้ชายหนุ่มนึกถึงเรื่องเมื่อนานมาแล้ว...
“ หัตถาอันโอบอุ้ม ยังระลึก
ใจที่ใสสะอาด
ยังงดงาม
มิอาจแปดเปื้อน ซึ่งราคี
มิอาจแตะต้อง เจ้าหิมะ ”
คำกล่าวที่ดูซ่อนความหมายลึกล้ำ
แต่ก็ราวกับไร้ซึ่งความสำคัญใดๆ ไห่เป่ยผิงเฝ้ามองเสี้ยวหน้านิ่งสงบที่บริสุทธิ์และงดงามกว่าสิ่งใดๆ
ซึ่งแววตาเรียบเฉยของอีกคนที่จับจ้องไปยังหม้อยายังคงสะท้อนเพียงความมุ่งมั่นในเส้นทางแห่งการรักษาดังเช่นวันวาน
เนิ่นนานกว่าเขาจะละสายตา ชายหนุ่มคลี่ยิ้มอำลาก่อนจากมาเงียบๆ
ค่ำคืนถัดมา
ไห่เป่ยผิงได้มาเยือนยังสวรรค์ของเหล่ามนุษย์ปุถุชน ‘หอสุขสันต์’
สถานเริงรมย์ชั้นสูงที่แม้แต่เชื้อพระวงศ์ยังต้องหาโอกาสมาเยือนสักครั้ง
สถานที่แห่งนี้มีทั้งหญิงงามพร้อมมากความสามารถ และบุรุษหลากวัยช่างเอาใจให้เลือกสรร
น่าเสียดายที่คนที่เขามองหาไม่ใช่หนึ่งในบรรดาผู้คนที่กำลังสำเริงสำราญหรือผู้ให้ความสำราญ
แต่เป็น...
“นายท่าน ได้เวลาน้ำชาแล้วขอรับ”เงาร่างในชุดดำปิดหน้าคุกเข่าพลางกล่าวเตือนสียงแผ่วเบา
“อ้อ
ถึงเวลาแล้วหรือ?”เสียงนุ่มหวานชวนเคลิบเคลิ้มเอ่ยคำเบาๆ
ก่อนมือเรียวจะบรรจงใช้ผ้าเช็ดหน้าปักลายดอกไม้เช็ดรอยเลือดออกจากกริชเล่มงามในมือ
เรือนผมสีน้ำตาลอ่อนที่ครึ่งบนถูกเกล้ารัดด้วยหยกขาวเผยใบหน้าขาวเนียนกระจ่างที่งดงามยิ่งกว่าสตรีใด
ดวงตาดอกท้อโค้งมนดังจันทร์เสี้ยว ขณะที่ริมฝีปากแดงสดดุจโลหิตผลิยิ้มอ่อนหวานราวกับดอกไม้
ทุกท่วงท่าที่อีกฝ่ายขยับล้วนดูอ่อนช้อยนุ่มนวลและเย้ายวนไปในที ซึ่งหากไม่มีร่างที่นอนจมกองเลือดตรงปลายเท้าแล้วล่ะก็...ภาพที่เห็นคงดูน่ามองกว่านี้
ไห่เป่ยผิงมองดูชายหนุ่มผู้งดงามราวกับดอกไม้ในชุดแขนกว้างเนื้อบางสีเหลืองอ่อนเดินเยื้องย่างไปทางประตู
ก่อนยกยิ้ม
“ บุปผา
เย้ายวน ชวนฝัน
ดื่มด่ำ
มัวเมา แพ้พ่าย
พิษร้าย
หวานล้ำ ยินดี
ชีวี ดับดิ้น
มิกลัว ”
กลอนเปล่าไร้สัมผัสถูกท่องออกมาอย่างคล่องปาก
พร้อมกันนั้นรอยยิ้มของร่างสูงก็ค่อยๆ จางลง จนกระทั่งจบท่อนสุดท้าย
เงาร่างวิญญาณที่คงอยู่จนถึงเมื่อครู่จึงได้หายลับไปจากบริเวณ
ในหมู่ฝูงชน
มีคำร่ำลือมาช้านานเกี่ยวกับเชื้อพระวงศ์ที่งดงามที่สุดในบรรดาสิบห้าแคว้น
คนผู้นั้นมีเกศาสีทองคำ และนัยน์ตาสีเดียวกับผืนฟ้า
ผิวกายขาวเนียนดุจสลักจากหยกงดงามเสียจนผ้าแพรไหมบรรณาการที่ว่ากันว่าล้ำค้า
เมื่อมาอยู่บนร่างของคนผู้นั้นยังต้องหมองไป ทว่า น่าเสียดายก็ที่คนที่งดงามราวสวรรค์สร้างเช่นนี้กลับมีความพิการซ้ำซ้อนแต่กำเนิด
หนึ่งคือตาบอด สองเป็นใบ้
ซ้ำร้ายขาทั้งสองข้างก็มิอาจก้าวเดิน
ด้วยสามประการนี้
เชื้อพระวงศ์คนดังกล่าวจึงถูกผู้คนนิยามอย่างทอดถอนว่าเป็นคนงามที่โชคร้ายที่สุดในแผ่นดิน
แต่ไม่มีใครรู้ว่าในปัจจุบัน ณ
วังตากอากาศส่วนตัวของแคว้นจิ้ง เชื้อพระวงศ์ที่งดงามที่สุดและโชคร้ายที่สุดผู้นั้น
ยามนี้กำลังอิ่มหนำสุขสำราญเบิกบานยิ่ง สองข้างกายทั้งซ้ายขวามีหญิงงามปรนนิบัติรับใช้ไม่ห่าง
เบื้องหน้ามีกลุ่มนางรำที่เอวอ่อนนุ่มผลัดกันเริงระบำให้ความสำราญ
นัยน์ตาสีฟ้าที่งดงามยิ่งกว่าอัญมณีใดสะท้อนภาพเหล่าสาวงามชัด
ทั้งยังมีเสียงหัวเราะแผ่วแว่วออกจากริมฝีปากสีสด บางคราท่อนขาเรียวยังแกว่งไกวไปตามจังหวะของเสียงเพลง
ไห่เป่ยผิงเฝ้ามองชายหนุ่มในชุดผ้าไหมสีส้มสว่างปักลายงดงามหรูหราที่ดูจะสำราญใจกับชีวิตเป็นอย่างมาก
รอยยิ้มบนใบหน้าชายหนุ่มกดลึกขณะเอ่ยคำเสียงหนัก
“ ปรารถนา
กักขัง พันธนาการ
ปรารถนา
เวลา ไม่ผ่านพ้น
ปรารถนา
ให้คน ไม่ผันเปลี่ยน
ปรารถนา เคียงชิดเจ้า ชั่วกัลป์กาล ”
หลังพูดจบชายหนุ่มก็หมุนตัวจากมา โดยฝ่ามือใหญ่สองข้างกำหมัดแน่นอย่างคนอดกลั้นที่ทำอะไรไม่ได้
การเดินทางของวิญญาณรวดเร็วกว่าการเดินทางของคนเป็นตรงที่ไม่จำเป็นต้องหลบสายตาผู้ใดหรือระวังการลอบโจมตี
หากแต่ก็ไม่ได้สะดวกอะไรนัก ยิ่งเมื่อเป้าหมายไม่ได้อยู่นิ่งกับที่ด้วยแล้ว...
“จอมโจรร้อยบุปผาออกอาละวาดอีกแล้ว? ไม่ใช่ว่าเจ้านั่นเพิ่งโดนวังสยบมารประกาศจับไปรึ?
เหตุใดจึงลงมืออีกแล้วเล่า?”เสียงแหบต่ำของชายคนหนึ่งกล่าวขณะยกจอกสุราขึ้นดื่ม
“เจ้าโง่! หากโจรนั่นกลัววังสยบมารจริง
คงไม่คิดลงมือตั้งแต่แรกแล้ว”ชายที่นั่งฝั่งขวามือกล่าวขณะยกกาสุราขึ้นริน
“อ้อ จริงของเจ้า
ว่าแต่คราวนี้บุกสำนักบ่วงเมฆารึ? ช่างใจกล้าจริงๆ!”ชายคนแรกเอ่ยถามซ้ำ ตอนนี้เองชายคนที่สามซึ่งนั่งอยู่ฝั่งซ้ายมือเอ่ยคำขึ้นบ้าง
“ข้าได้ยินมาว่าสำนักบ่วงเมฆามีของวิเศษเพียงสามอย่าง
ได้แก่ กระจกส่องภพ กระพรวนลวงจิต
และกระบี่อสูร พวกเจ้าคิดว่าจอมโจรนั่นขโมยสิ่งใดไป?”
“ย่อมต้องเป็นกระบี่อสูรอยู่แล้ว!”ชายคนที่สองเอ่ยอย่างมั่นใจ
“นั่นสิ ข้าก็ว่ากระบี่อสูร”ชายคนแรกสำทับ
“เหตุใดพวกเจ้าสองคนจึงไม่คิดว่าเป็นของอย่างอื่นบ้างเล่า?”ชายคนที่สามถามอย่างฉงน
“กระจกส่องภพทำได้เพียงส่องภูตผีปีศาจ ส่วนกระพรวนลวงจิตเองก็ทำได้แค่ติดต่อกับวิญญาณ
หากขโมยไปจะมีประโยชน์อันใดกัน?”
“ใช่ๆ
เพราะงั้นโจรร้อยบุปผานั่นต้องขโมยกระบี่อสูรแน่นอน!”
ไห่เป่ยผิงที่แวะมาฟังข่าวที่โรงเตี๊ยมวาสนา
หนึ่งในกิจการสาขาที่เปิดที่เมืองหลวงแคว้นหมิง
หลังฟังคำก็ส่ายหัวให้คนมืออยู่ไม่สุขที่ถูกพูดถึง
เขาร่ายกลอนโดยหวังให้สายลมพัดพาถ้อยคำไปหาคนไกล
“ อันสมบัติล้ำค่า เพียงใด
ยามเปรียบเจ้าไซร้ ไร้ค่า
ครอบครองใต้หล้า มิสู้
เจ้าข้าเคียงคู่ นิรันดร์ ”
จุดมุ่งหมายถัดไปของไห่เป่ยผิงคือวังไผ่เขียว
โดยคนที่เขาแวะเวียนไปหาคือนายน้อยของวัง ซึ่งยามนี้กำลังนั่งเล่นอยู่ในศาลาริมน้ำ โดยรอบบริเวณรายล้อมไปด้วยสัตว์วิเศษน้อยใหญ่ ชายหนุ่มในชุดเขียวอ่อนที่มีลักษณะเหมือนบัณฑิตผู้อ่อนโยนนั่งทอดกายอยู่บนพื้นหินสลัก
ในมือขาวสะอาดมีขลุ่ยหยกงามวิจิตรอยู่เลาหนึ่ง
ไห่เป่ยผิงมองคนที่นั่งเหม่อมองความว่างเปล่าอย่างรอคอย
แต่ไม่ว่าจะรอนานเพียงใดเขาก็ไม่ได้ยินเสียงเพลงที่เฝ้ารอ
ที่จริงตัวเขายินยอมรอไปชั่วชีวิตเพื่อให้ได้รับฟังเสียงขลุ่ยของอีกฝ่ายอีกสักครั้ง
เพียงแต่...
ชายหนุ่มมองร่างกายตัวเองที่รางเลือนกว่าห้าวันก่อนอย่างเห็นได้ชัดแล้วยิ้มจนใจ เขาทิ้งเพียงคำพูดหนึ่งที่คงจะดีไม่น้อยหากอีกฝ่ายได้ยิน
“ มีหนี้
สุดหล้า จำชดใช้
หนี้เบี้ย
พันหมื่น มิกลัวจ่าย
หนี้เลือด
ต้องการ มิหลบลี้
หาก...หนี้รัก
แม้นตาย มิคิดคืน ”
คนสุดท้ายที่เขาตัดสินใจไปหา
ทั้งที่เป็นคนที่หัวใจอยากไปพบเป็นคนแรก ยามนี้อยู่ห่างเพียงบานประตูกั้น เพียงแต่หนึ่งก้านธูปหมดไปแล้วไห่เป่ยผิงก็ยังไม่กล้าก้าวเข้าไปข้างใน
ความรู้สึกในใจคล้ายหวาดกลัวบางอย่าง ทั้งที่ตัวเขาเป็นคนที่ไม่เคยหวาดกลัวต่อสิ่งใดแม้แต่ความตาย
รอจนพลบค่ำบานประตูที่ปิดสนิทก็ยังคงไม่เปิดออก
ไห่เป่ยผิงพลันคิดอย่างเอาแต่ใจ
“หากประตูเปิดออกก่อนรุ่งสาง
ข้าจะไปพบเขา”คำพูดที่คนพูดพึมพำกับตัวเอง จนกระทั่งเวลาใกล้จะหมด ไห่เป่ยผิงเงยหน้ามองฟ้าที่เริ่มสว่าง
ก่อนจะหันกลับมาเอ่ยคำกับคนเบื้องหลังบานประตูด้วยสายตาอ่อนโยน
“ ถูกผิด
ยกให้เจ้าตัดสิน
ดีเลว
ยกให้เจ้าตัดสิน
สูงต่ำ
ยกให้เจ้าตัดสิน
เป็นตาย
ข้า...ยกให้เจ้าตัดสิน ”
เพียงสิ้นเสียง บานประตูที่ปิดสนิทพลันถูกกระชากเปิดอย่างรุนแรง!
“คนสมควรตาย รีบกลับเข้าร่างเดี๋ยวนี้!”
ความคิดเห็น