ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    คนสมควรตาย รีบกลับเข้าร่างเดี๋ยวนี้! BL

    ลำดับตอนที่ #2 : องก์หนึ่ง

    • อัปเดตล่าสุด 1 มี.ค. 65


       ไห่เป่ยผิงเดินทางต่อท่ามกลางแสงตะวันยามเที่ยง

       ยามมีชีวิต ตัวเขาเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า กายเนื้อเปรียบดังเกราะคอยปกป้องวิญญาณจากอันตรายทั้งปวง เมื่อปราศจากร่างกายแล้วดวงวิญญาณจึงไม่อาจต้องแสงอาทิตย์ มิฉะนั้นจะโดนแสงสุริยันอันแรงกล้าแผดเผาจนเป็นเถ้าธุลี แต่ในฐานะวิญญาณตนหนึ่ง ไห่เป่ยผิงรู้ดีว่าถ้อยคำนั้นเหลวไหลเพียงใด เพราะยามเป็นวิญญาณ ไม่ว่าร้อนหนาวลมฝนล้วนไม่อาจรับรู้ทั้งสิ้น เขาร่อนเร่จนมาถึงจวนหลังใหญ่ที่มีกำแพงเหล็กสูงล้อมรอบ ด้วยความเคยชินชายหนุ่มจึงดีดตัวมุ่งตรงไปยังลานฝึกซ้อมส่วนตัวในเรือนใหญ่ซึ่งยามนี้มีคนผู้หนึ่งร่ายรำอยู่

       เพียงเข้าใกล้ที่หมายก็พลันได้ยินเสียงเสียดสีของเหล็กกับอากาศที่ฟังบาดหู ไห่เป่ยผิงก้าวเข้าไปในลานขณะที่สองตาจับจ้องเงาร่างโดดเด่นไว้อย่างไม่ยอมให้คลาดสายตา

       บนลานหินกว้างที่ดูราบเรียบเสมอกัน ร่างสูงเพรียวในชุดแดงทั้งร่างก้าวขาไปด้านหน้าพลางขยับข้อมือเหวี่ยงหอกพุ่งแทงอากาศจนเกิดเสียงหนัก หากพริบตาถัดมากลับสามารถหมุนแทงหอกย้อนศรไปด้านหลังอย่างไม่ติดขัด ทวงท่าการเคลื่อนไหวที่ดุดันหากแต่ไหลลื่นเหล่านั้นดูงดงามจนคนมองรู้สึกเพลินตา

       ไห่เป่ยผิงชมระบำหอกที่ไม่ได้เห็นเต็มตามานานอย่างเลื่อนลอย นี่อาจนับเป็นหนึ่งในบรรดาไม่กี่ครั้งที่เขาสามารถรับชมเพลงหอกนี้ในระยะประชิด ที่ผ่านมาตัวเขาได้แต่แอบดูอยู่ห่างๆ เพราะคนผู้นี้ เพียงแลเห็นเงาของเขาเป็นต้องชักสีหน้าไม่พอใจและเดินหนีไปเสมอ

       ใบหน้างดงามที่พร่างพราวไปด้วยเหงื่อ คิ้วกระบี่และนัยน์ตาหงส์ รวมถึงผิวกายขาวเนียนดุจหยกที่ขึ้นสีเรื่อจากการออกแรงขับให้ชายหนุ่มในชุดแดงยิ่งดูทรงเสน่ห์น่าหลงใหล ไห่เป่ยผิงใช้ความพยายามอย่างมากในการละสายตาจากภาพนั้น ริมฝีปากสีสดคลี่ยิ้มอ่อนจางขณะหันหลังให้กับความงดงามที่อยู่เบื้องหลัง

    “ เปลวไฟแดงผลาญสิ้น    ชีวี

    วิญญีสูญสุดรั้ง            แรกพบ

    แม้นสุดคะนึงหา           อาวรณ์

    คงจำจรจากเจ้า           ยอดใจ ”

       เสียงพึมพำดังแว่ว ก่อนเลือนหายไปพร้อมกับเงาร่างของต้นเสียง

     

       สถานที่ถัดไปที่ไห่เป่ยผิงมุ่งไปคือสวนยาแห่งหนึ่ง

       สวนยาแห่งนี้กล่าวได้ว่าเป็นแดนสวรรค์ของเหล่าเซียนโดยแท้ เพียงมองหญ้าตามริมทางยังต้องตะลึง เพราะต้นหญ้าเขียวสดเหล่านั้นคือหญ้าประดับฟ้า หนึ่งในส่วนผสมสำคัญในการทำยาสมานแผลชั้นสูง ยิ่งเดินลึกเข้าไปด้านใน ยิ่งไม่อาจไม่อ้าปากค้างเมื่อได้ยลภาพบรรดาสมุนไพรล้ำค่าที่ผู้คนทั่วหล้าต่างเฝ้าฝันถึง หากแต่ไม่มีโอกาสได้พบเจอและสัมผัส

       ทว่า ไห่เป่ยผิงไม่แม้แต่จะชำเลืองมองสมุนไพรเหล่านั้น นั่นเพราะสำหรับเขาแล้ว สิ่งที่ล้ำค่ายิ่งกว่าสมุนไพรชั้นเลิศใดๆ ได้ถูกแอบซ่อนเอาไว้ในกระท่อมไม้เก่าอันเป็นจุดหมายปลายทาง ในห้องยาเล็กๆ ที่ไร้ซึ่งหน้าต่าง มีเงาร่างผอมของคนผู้หนึ่งยืนเคี่ยวยาอยู่ลำพัง ด้วยเส้นผมสีขาวโพลนดุจใยไหมทำให้ใครต่อใครเข้าใจผิดไปว่าอีกฝ่ายเป็นชายชรา และต้องนึกสับสนเมื่อแลเห็นใบหน้าอ่อนเยาว์ดุจทารกนั้น

       ไห่เป่ยผิงเดินเข้าไปใกล้ จมูกของเขาพลันได้กลิ่นฉุนของสมุนไพรโชยมาเช่นทุกครั้ง ชุดสีฟ้าอ่อนเนื้อโปร่งเบาบนร่างอีกฝ่ายยังคงอบอวลด้วยกลิ่นยาเหมือนเคย มองดูมือขาวบริสุทธิ์ดุจหิมะหยิบจับสมุนไพรตากแห้งใส่ลงไปในหม้อยา ทำให้ชายหนุ่มนึกถึงเรื่องเมื่อนานมาแล้ว...

    “ หัตถาอันโอบอุ้ม    ยังระลึก

    ใจที่ใสสะอาด       ยังงดงาม

    มิอาจแปดเปื้อน      ซึ่งราคี

    มิอาจแตะต้อง        เจ้าหิมะ ”

       คำกล่าวที่ดูซ่อนความหมายลึกล้ำ แต่ก็ราวกับไร้ซึ่งความสำคัญใดๆ ไห่เป่ยผิงเฝ้ามองเสี้ยวหน้านิ่งสงบที่บริสุทธิ์และงดงามกว่าสิ่งใดๆ ซึ่งแววตาเรียบเฉยของอีกคนที่จับจ้องไปยังหม้อยายังคงสะท้อนเพียงความมุ่งมั่นในเส้นทางแห่งการรักษาดังเช่นวันวาน

       เนิ่นนานกว่าเขาจะละสายตา ชายหนุ่มคลี่ยิ้มอำลาก่อนจากมาเงียบๆ

     

       ค่ำคืนถัดมา ไห่เป่ยผิงได้มาเยือนยังสวรรค์ของเหล่ามนุษย์ปุถุชน หอสุขสันต์ สถานเริงรมย์ชั้นสูงที่แม้แต่เชื้อพระวงศ์ยังต้องหาโอกาสมาเยือนสักครั้ง สถานที่แห่งนี้มีทั้งหญิงงามพร้อมมากความสามารถ และบุรุษหลากวัยช่างเอาใจให้เลือกสรร

       น่าเสียดายที่คนที่เขามองหาไม่ใช่หนึ่งในบรรดาผู้คนที่กำลังสำเริงสำราญหรือผู้ให้ความสำราญ แต่เป็น...

       “นายท่าน ได้เวลาน้ำชาแล้วขอรับ”เงาร่างในชุดดำปิดหน้าคุกเข่าพลางกล่าวเตือนสียงแผ่วเบา

       “อ้อ ถึงเวลาแล้วหรือ?”เสียงนุ่มหวานชวนเคลิบเคลิ้มเอ่ยคำเบาๆ ก่อนมือเรียวจะบรรจงใช้ผ้าเช็ดหน้าปักลายดอกไม้เช็ดรอยเลือดออกจากกริชเล่มงามในมือ เรือนผมสีน้ำตาลอ่อนที่ครึ่งบนถูกเกล้ารัดด้วยหยกขาวเผยใบหน้าขาวเนียนกระจ่างที่งดงามยิ่งกว่าสตรีใด ดวงตาดอกท้อโค้งมนดังจันทร์เสี้ยว ขณะที่ริมฝีปากแดงสดดุจโลหิตผลิยิ้มอ่อนหวานราวกับดอกไม้ ทุกท่วงท่าที่อีกฝ่ายขยับล้วนดูอ่อนช้อยนุ่มนวลและเย้ายวนไปในที ซึ่งหากไม่มีร่างที่นอนจมกองเลือดตรงปลายเท้าแล้วล่ะก็...ภาพที่เห็นคงดูน่ามองกว่านี้

       ไห่เป่ยผิงมองดูชายหนุ่มผู้งดงามราวกับดอกไม้ในชุดแขนกว้างเนื้อบางสีเหลืองอ่อนเดินเยื้องย่างไปทางประตู ก่อนยกยิ้ม

    “ บุปผา  เย้ายวน  ชวนฝัน

    ดื่มด่ำ  มัวเมา  แพ้พ่าย

    พิษร้าย  หวานล้ำ  ยินดี

    ชีวี   ดับดิ้น   มิกลัว ”

       กลอนเปล่าไร้สัมผัสถูกท่องออกมาอย่างคล่องปาก พร้อมกันนั้นรอยยิ้มของร่างสูงก็ค่อยๆ จางลง จนกระทั่งจบท่อนสุดท้าย เงาร่างวิญญาณที่คงอยู่จนถึงเมื่อครู่จึงได้หายลับไปจากบริเวณ

     

       ในหมู่ฝูงชน มีคำร่ำลือมาช้านานเกี่ยวกับเชื้อพระวงศ์ที่งดงามที่สุดในบรรดาสิบห้าแคว้น คนผู้นั้นมีเกศาสีทองคำ และนัยน์ตาสีเดียวกับผืนฟ้า ผิวกายขาวเนียนดุจสลักจากหยกงดงามเสียจนผ้าแพรไหมบรรณาการที่ว่ากันว่าล้ำค้า เมื่อมาอยู่บนร่างของคนผู้นั้นยังต้องหมองไป ทว่า น่าเสียดายก็ที่คนที่งดงามราวสวรรค์สร้างเช่นนี้กลับมีความพิการซ้ำซ้อนแต่กำเนิด

       หนึ่งคือตาบอด สองเป็นใบ้ ซ้ำร้ายขาทั้งสองข้างก็มิอาจก้าวเดิน

       ด้วยสามประการนี้ เชื้อพระวงศ์คนดังกล่าวจึงถูกผู้คนนิยามอย่างทอดถอนว่าเป็นคนงามที่โชคร้ายที่สุดในแผ่นดิน

       แต่ไม่มีใครรู้ว่าในปัจจุบัน ณ วังตากอากาศส่วนตัวของแคว้นจิ้ง เชื้อพระวงศ์ที่งดงามที่สุดและโชคร้ายที่สุดผู้นั้น ยามนี้กำลังอิ่มหนำสุขสำราญเบิกบานยิ่ง สองข้างกายทั้งซ้ายขวามีหญิงงามปรนนิบัติรับใช้ไม่ห่าง เบื้องหน้ามีกลุ่มนางรำที่เอวอ่อนนุ่มผลัดกันเริงระบำให้ความสำราญ นัยน์ตาสีฟ้าที่งดงามยิ่งกว่าอัญมณีใดสะท้อนภาพเหล่าสาวงามชัด ทั้งยังมีเสียงหัวเราะแผ่วแว่วออกจากริมฝีปากสีสด บางคราท่อนขาเรียวยังแกว่งไกวไปตามจังหวะของเสียงเพลง

       ไห่เป่ยผิงเฝ้ามองชายหนุ่มในชุดผ้าไหมสีส้มสว่างปักลายงดงามหรูหราที่ดูจะสำราญใจกับชีวิตเป็นอย่างมาก รอยยิ้มบนใบหน้าชายหนุ่มกดลึกขณะเอ่ยคำเสียงหนัก

    “ ปรารถนา  กักขัง  พันธนาการ

    ปรารถนา  เวลา  ไม่ผ่านพ้น

    ปรารถนา  ให้คน  ไม่ผันเปลี่ยน

    ปรารถนา  เคียงชิดเจ้า  ชั่วกัลป์กาล ”

       หลังพูดจบชายหนุ่มก็หมุนตัวจากมา โดยฝ่ามือใหญ่สองข้างกำหมัดแน่นอย่างคนอดกลั้นที่ทำอะไรไม่ได้

     

       การเดินทางของวิญญาณรวดเร็วกว่าการเดินทางของคนเป็นตรงที่ไม่จำเป็นต้องหลบสายตาผู้ใดหรือระวังการลอบโจมตี หากแต่ก็ไม่ได้สะดวกอะไรนัก ยิ่งเมื่อเป้าหมายไม่ได้อยู่นิ่งกับที่ด้วยแล้ว...

       “จอมโจรร้อยบุปผาออกอาละวาดอีกแล้ว? ไม่ใช่ว่าเจ้านั่นเพิ่งโดนวังสยบมารประกาศจับไปรึ? เหตุใดจึงลงมืออีกแล้วเล่า?”เสียงแหบต่ำของชายคนหนึ่งกล่าวขณะยกจอกสุราขึ้นดื่ม

       “เจ้าโง่! หากโจรนั่นกลัววังสยบมารจริง คงไม่คิดลงมือตั้งแต่แรกแล้ว”ชายที่นั่งฝั่งขวามือกล่าวขณะยกกาสุราขึ้นริน

       “อ้อ จริงของเจ้า ว่าแต่คราวนี้บุกสำนักบ่วงเมฆารึ? ช่างใจกล้าจริงๆ!”ชายคนแรกเอ่ยถามซ้ำ ตอนนี้เองชายคนที่สามซึ่งนั่งอยู่ฝั่งซ้ายมือเอ่ยคำขึ้นบ้าง

       “ข้าได้ยินมาว่าสำนักบ่วงเมฆามีของวิเศษเพียงสามอย่าง ได้แก่ กระจกส่องภพ  กระพรวนลวงจิต และกระบี่อสูร พวกเจ้าคิดว่าจอมโจรนั่นขโมยสิ่งใดไป?”

       “ย่อมต้องเป็นกระบี่อสูรอยู่แล้ว!”ชายคนที่สองเอ่ยอย่างมั่นใจ

       “นั่นสิ ข้าก็ว่ากระบี่อสูร”ชายคนแรกสำทับ

       “เหตุใดพวกเจ้าสองคนจึงไม่คิดว่าเป็นของอย่างอื่นบ้างเล่า?”ชายคนที่สามถามอย่างฉงน

       “กระจกส่องภพทำได้เพียงส่องภูตผีปีศาจ ส่วนกระพรวนลวงจิตเองก็ทำได้แค่ติดต่อกับวิญญาณ หากขโมยไปจะมีประโยชน์อันใดกัน?”

       “ใช่ๆ เพราะงั้นโจรร้อยบุปผานั่นต้องขโมยกระบี่อสูรแน่นอน!

       ไห่เป่ยผิงที่แวะมาฟังข่าวที่โรงเตี๊ยมวาสนา หนึ่งในกิจการสาขาที่เปิดที่เมืองหลวงแคว้นหมิง หลังฟังคำก็ส่ายหัวให้คนมืออยู่ไม่สุขที่ถูกพูดถึง เขาร่ายกลอนโดยหวังให้สายลมพัดพาถ้อยคำไปหาคนไกล

    “ อันสมบัติล้ำค่า     เพียงใด

    ยามเปรียบเจ้าไซร้    ไร้ค่า

    ครอบครองใต้หล้า    มิสู้

    เจ้าข้าเคียงคู่      นิรันดร์ ”

     

       จุดมุ่งหมายถัดไปของไห่เป่ยผิงคือวังไผ่เขียว โดยคนที่เขาแวะเวียนไปหาคือนายน้อยของวัง ซึ่งยามนี้กำลังนั่งเล่นอยู่ในศาลาริมน้ำ โดยรอบบริเวณรายล้อมไปด้วยสัตว์วิเศษน้อยใหญ่ ชายหนุ่มในชุดเขียวอ่อนที่มีลักษณะเหมือนบัณฑิตผู้อ่อนโยนนั่งทอดกายอยู่บนพื้นหินสลัก ในมือขาวสะอาดมีขลุ่ยหยกงามวิจิตรอยู่เลาหนึ่ง

       ไห่เป่ยผิงมองคนที่นั่งเหม่อมองความว่างเปล่าอย่างรอคอย แต่ไม่ว่าจะรอนานเพียงใดเขาก็ไม่ได้ยินเสียงเพลงที่เฝ้ารอ ที่จริงตัวเขายินยอมรอไปชั่วชีวิตเพื่อให้ได้รับฟังเสียงขลุ่ยของอีกฝ่ายอีกสักครั้ง เพียงแต่...

       ชายหนุ่มมองร่างกายตัวเองที่รางเลือนกว่าห้าวันก่อนอย่างเห็นได้ชัดแล้วยิ้มจนใจ เขาทิ้งเพียงคำพูดหนึ่งที่คงจะดีไม่น้อยหากอีกฝ่ายได้ยิน

    “ มีหนี้  สุดหล้า  จำชดใช้

    หนี้เบี้ย  พันหมื่น  มิกลัวจ่าย

    หนี้เลือด  ต้องการ  มิหลบลี้

    หาก...หนี้รัก  แม้นตาย  มิคิดคืน ”

     

       คนสุดท้ายที่เขาตัดสินใจไปหา ทั้งที่เป็นคนที่หัวใจอยากไปพบเป็นคนแรก ยามนี้อยู่ห่างเพียงบานประตูกั้น เพียงแต่หนึ่งก้านธูปหมดไปแล้วไห่เป่ยผิงก็ยังไม่กล้าก้าวเข้าไปข้างใน ความรู้สึกในใจคล้ายหวาดกลัวบางอย่าง ทั้งที่ตัวเขาเป็นคนที่ไม่เคยหวาดกลัวต่อสิ่งใดแม้แต่ความตาย

       รอจนพลบค่ำบานประตูที่ปิดสนิทก็ยังคงไม่เปิดออก ไห่เป่ยผิงพลันคิดอย่างเอาแต่ใจ

       “หากประตูเปิดออกก่อนรุ่งสาง ข้าจะไปพบเขา”คำพูดที่คนพูดพึมพำกับตัวเอง จนกระทั่งเวลาใกล้จะหมด ไห่เป่ยผิงเงยหน้ามองฟ้าที่เริ่มสว่าง ก่อนจะหันกลับมาเอ่ยคำกับคนเบื้องหลังบานประตูด้วยสายตาอ่อนโยน

    “ ถูกผิด  ยกให้เจ้าตัดสิน

    ดีเลว   ยกให้เจ้าตัดสิน

    สูงต่ำ  ยกให้เจ้าตัดสิน

    เป็นตาย  ข้า...ยกให้เจ้าตัดสิน ”


       เพียงสิ้นเสียง บานประตูที่ปิดสนิทพลันถูกกระชากเปิดอย่างรุนแรง!

       “คนสมควรตาย รีบกลับเข้าร่างเดี๋ยวนี้!

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×