ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เฟิงจิ้น จักรพรรดิสองวิญญา

    ลำดับตอนที่ #2 : บทแรก ชีวิตใหม่

    • อัปเดตล่าสุด 3 มี.ค. 64



       ในศักราชที่ราชสำนักยังคงส่งอิทธิพลต่อประชาราษฎร์  แคว้นอวิ๋นที่งดงามและมีทรัพยากรสมบูรณ์พร้อมได้ประสบปัญหาใหญ่ เมื่อฮ่องเต้องค์ปัจจุบันได้ทรงประชวนล้มป่วยอย่างกะทันหัน ซึ่งอาการป่วยครั้งนี้หนักหนาสาหัสจนถึงขั้นหลับไม่ได้สติมาหลายราตรีแล้ว เหล่าหมอหลวงต่างกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่าพระองค์จะทรงอยู่ได้ไม่เกินสิ้นปีนี้ หรือก็คืออีกไม่เกินสามเดือนข้างหน้า 

       ซึ่งเมื่อเวลานั้นมาถึง...ปฐมบทแห่งสงครามชิงอำนาจก็จะเริ่มขึ้น

       ปัจจุบันฮ่องเต้แคว้นอวิ๋นทรงมีสนมราวสี่สิบคน และเหล่าองค์หญิงองค์ชายนับยี่สิบคน แต่ในบรรดานั้นผู้ที่โดดเด่นมากความสามารถกลับมีเพียงสี่คน นั่นคือ องค์หญิงเจ็ด องค์หญิงสิบสอง องค์ชายหนึ่ง และองค์ชายสี่

       องค์หญิงเจ็ดนั้นมีนิสัยอ่อนหวานเรียบร้อยสมเป็นกุลสตรี พระองค์ทรงมีฝีมือการแพทย์เลิศล้ำเทียบได้กับหมอหลวงในวัง

       ทางองค์หญิงสิบสอง แม้จะเอาแต่ใจและเอาพระทัยได้ยาก หากแต่ทรงมีความสามารถด้านการเจรจาภาษาตะวันตกที่หาได้ยากยิ่ง

       เนื่องด้วยทั้งสองพระองค์เป็นหญิงจึงถูกกันออกห่างจากสงครามครั้งนี้ โดยถูกส่งไปยังตำหนักฤดูร้อนท่ามกลางการอารักขาหนาแน่น

       องค์ชายหนึ่งคือผู้ถือครองตำแหน่งรัชทายาทองค์ปัจจุบัน ทรงมีนิสัยอ่อนโยน ทรงปรีชา เก่งกาจด้านการบริหาร และเป็นตัวเต็งในศึกชิงบัลลังก์ครั้งนี้

       ทางฝ่ายองค์ชายสี่ผู้เก่งกล้า องค์ชายผู้นี้มีตระกูลแม่ทัพใหญ่หนุนหลัง ทั้งยังมีผลงานในการนำทัพเข่นฆ่าศัตรูมาไม่น้อยจึงเป็นที่จับตามองเช่นกัน 

       ในเวลานั้นผู้คนต่างเชื่อกันว่าหากไม่ใช่องค์ชายหนึ่งแล้ว ก็ย่อมต้องเป็นองค์ชายสี่ที่จะเป็นผู้ได้ขึ้นแท่นครอบครองบัลลังก์มังกรแห่งแคว้นอวิ๋น ทว่า ไม่มีใครรู้เลยว่ายังคงมีอีกคนหนึ่งที่ไม่ว่าความสามารถหรือปัญญาเรียกได้ว่าโดดเด่นยิ่งกว่าใคร...

       ...บุรุษผู้หนึ่งซึ่งอีกไม่นานจะปรากฏตัวขึ้นเพื่อทวงบัลลังก์ที่สมควรเป็นของตนคืน...

     

       ย้อนกลับไปก่อนหน้าที่ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันจะล้มป่วยสี่ปี ณ สวนรกร้างใกล้กับบ่อน้ำเก่าที่ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของวังหลวงอันเป็นจุดเริ่มต้นของทุกสิ่ง เด็กชายตัวเล็กรูปร่างผอมแห้งได้ถูกเด็กโตกว่ากลุ่มหนึ่งล้อมไว้ เสื้อผ้าที่กลุ่มเด็กโตเหล่านั้นสวมดูหรูหราเกินกว่าคนธรรมดาจะหามาใส่ได้ ในอ้อมแขนพวกเขามีก้อนหินไม่เล็กไม่ใหญ่อยู่จำนวนหนึ่ง ซึ่งค่อยๆ ร่อยหรอลงตามจำนวนที่ขว้างปาใส่ร่างตรงกลางวง

       "ว่ายังไง เจ้าอดีตรัชทายาทยังกล้าปากเก่งอยู่อีกไหม? ไหนลองพูดอีกที พูดว่า 'ข้าคือองค์รัชทายาท เป็นลูกของฮองเฮา เป็นอนาคตฮ่องเต้คนต่อไป พวกเจ้าไม่มีสิทธิ์ทำกับข้าแบบนี้!' เจ้าลองพูดให้พวกข้าฟังรอบสิ ฮ่าๆ!"เสียงคนที่ดูคล้ายหัวหน้ากลุ่มพูดขึ้นอย่างเยาะเย้ยดังผสานเสียงหัวเราะของคนอื่นๆที่รายล้อม

       แท้จริงแล้วกลุ่มคนเหล่านี้คือบรรดาองค์ชายที่ลำดับศักดิ์ไม่สูงนักเพราะเกิดจากสนมที่ไม่ค่อยได้รับความโปรดปราน พวกเขาต่างถูกเสี้ยมสอนให้อิจฉาริษยาคนที่มีศักดิ์สูงกว่าและเหยียบย่ำคนที่ต่ำศักดิ์กว่า นั่นจึงเป็นเหตุผลให้ ไป๋เฟิงจิ้น ที่ตอนนี้กลายเป็นเพียงอดีตองค์รัชทายาทตกเป็นเป้าหมายในการรังแก ยิ่งเด็กชายพยายามดิ้นรนขัดขืนยิ่งถูกกลั่นแกล้งหนักข้อขึ้น จากแรกเริ่มเพียงพูดถากถาง นานวันก็ได้กลายเป็นลงไม้ลงมือ ในวันนี้หลังพยายามโต้เถียงก็ถูกวิ่งไล่มายังสวนร้างท้ายวังสุดท้ายก็ถูกรุมรังแกอยู่เช่นนี้ แม้สลบไสลไปก็ถูกสาดน้ำใส่ปลุกขึ้นมารังแกต่อ จนเมื่อร่างนั้นทนไม่ไหวจึงได้เอ่ยปากยอมแพ้

       "ข้า...ขอโทษ ต่อไปข้าจะไม่พูดจาอวดเก่งอย่างนั้นอีกแล้ว"

       น้ำเสียงอ่อนระโหยกับถ้อยคำศิโรราบทำให้กลุ่มองค์ชายที่รายล้อมพึงพอใจ ทางองค์ชายที่เป็นหัวหน้ากลุ่มโยนกองหินที่เหลือใส่รวดเดียวให้ร่างกลางวงต้องยกมือขึ้นปัดป้อง ฝ่ายคนโยนปัดไม้ปัดมือมองท่าทางนั้นอย่างชอบใจ ก่อนพูดซ้ำเติม

       "ดี! ให้มันรู้ฐานะตัวเองซะบ้าง คราวหน้าคราวหลังอย่าคิดท้าทายพวกข้าอีก ไปพวกเราวันนี้สนุกพอแล้ว"เสียงหัวเราะระลอกใหญ่ดังสอดรับคำพูดนั้นตามด้วยเสียงฝีเท้ากลุ่มใหญ่เดินจากไป ทิ้งให้ร่างเล็กที่เนื้อตัวบอบช้ำนอนคุดคู้อยู่ที่เดิม

       ผ่านไปสักพักใหญ่ร่างนั้นจึงมีการเคลื่อนไหว เด็กชายลุกขึ้นยืนก่อนเดินโซซัดโซเซไปยังทางบ่อน้ำเก่า เมื่อไปถึงก็วักน้ำในบ่อลูบหน้าชะล้างคราบฝุ่นดินออกเผยให้เห็นใบหน้าเรียวเล็กที่เต็มไปด้วยรอยแผล ผิวกายขาวปรากฏรอยม่วงช้ำตามตัว ทั้งที่มีสภาพเช่นนั้นแต่ดวงหน้าของเด็กชายก็ยังคงส่อเค้าความหล่อเหลาคมคายที่ถูกถ่ายทอดมาจากฮ่องเต้ ซึ่งเมื่อรวมเข้ากับดวงตากลมโตสีดำขลับคู่สวยและริมฝีปากบางที่ได้มาจากทางมารดาแล้ว หากเติบโตไปไม่พ้นต้องกลายเป็นบุรุษที่สตรีทั่วหล้ามุ่งหมายปองเป็นแน่

       ใบหน้านี้ไม่ว่าใครเห็นเป็นต้องชื่นชม แต่กลับมีคนผู้หนึ่งไม่เห็นด้วย

       "เพ้ย! ใบหน้าขาวเหมือนสตรี รูปร่างอ้อนแอ้นเหมือนขันที บัดซบสิ้นดี!"

       เสียงสบถเล็กๆดังขึ้นอย่างไม่พอใจทำให้อีกเสียงต้องรีบพูดกล่อม

       "ใจเย็นสิลุง ร่างนี้ยังเด็กอยู่เลย แค่ออกกำลังกายนิดๆหน่อยๆเดี๋ยวกล้ามก็ขึ้นเองน่า"คำพูดนั้นได้รับการตอบกลับเป็นเสียง ฮึ หนึ่งที

       บทสนทนาที่หากใครมาได้ยินคงนึกฉงนเมื่อรอบบ่อน้ำมีเพียงร่างของเด็กชายยืนอยู่เพียงลำพังผู้เดียว และอาจคิดไปว่าองค์ชายผู้นี้วิปลาสจึงได้พูดสนทนากับภูตผี แต่หากใครได้ลองมองไปยังเงาสะท้อนในบ่อน้ำก็จะเห็นริมฝีปากเล็กที่ขยับเป็นคำพูด โดยสุ้มเสียงที่เอื้อนเอ่ยแม้คล้ายคลึงแต่ก็ให้บรรยากาศที่ต่างกันชัดเจน ซึ่งหากมองดูใบหน้านั้นให้ดีๆจะพบกับสีหน้าที่สลับไปมาอย่างรวดเร็วดุจสวมหน้ากาก  

       และหากใครตาดีก็อาจได้เห็นเงาหน้าของชายวัยฉกรรจ์กับหญิงสาวซ้อนทับกับใบหน้าของเด็กชายก็เป็นได้...

       "น่าๆ ก่อนที่เราจะไปวิจารณ์เรื่องรูปร่างที่พอแก้ไขได้ เราควรมาสนใจปัญหาเฉพาะหน้านี่ก่อนดีกว่านะ ลุงเฟยจิ่ง"โทนเสียงร่าเริงลอดจากริมฝีปากเล็กที่มีสีหน้าสอดรับคำพูด หากแต่อึดใจต่อมากลับกลายเป็นสีหน้าดุดันน้ำเสียงกดต่ำอย่างไม่สบอารมณ์

       "เจ้าเด็กโง่! ไม่ใช่แค่เพียงรูปร่างเช่นขันทีที่ทำให้ข้าโมโห แต่เป็นเรื่องที่ร่างกายนี้อ่อนแอเกินไปต่างหาก!"

       "จิ้นเฟยลุง ฉันชื่อจิ้นเฟย"

       เสียงใสเอ่ยขึ้นขัดพร้อมสีหน้าสับเปลี่ยนจากยิ้มแย้มเป็นถมึงทึง

       "เจ้าจะฟังข้าได้รึยัง!"

       "ทราบแล้วจ้า ไม่กวนแล้วจ้า"

       จิ้นเฟย ดวงวิญญาณของหญิงสาวหัวเราะอย่างอารมณ์ดีเมื่อได้กวนประสาทคนแก่ ขณะเดียวกันทาง เฟยจิ่ง วิญญาณของชายกลางคนได้อารมณ์พุ่งสูงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเมื่อเจอเข้ากับการเย้าแหย่กวนโทสะของวิญญาณสาวที่แก่นแก้วเหลือรับ ทั้งสองคือวิญญาณคนตายที่กายเนื้อได้สูญสลายไปแล้ว ซึ่งไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดจึงมาอยู่ในร่างขององค์ชายน้อยเฟิงจิ้นผู้นี้ได้

       องค์ชายเก้าไป๋เฟิงจิ้น ตามความทรงจำที่ตกค้างอยู่ในร่างเป็นเด็กเกเร ซึ่งในอดีตได้ทำตัวกร่างไปทั่วไม่เกรงกลัวผู้ใดโดยถือดีว่ามีตำแหน่งรัชทายาทคอยคุ้มหัว แต่เมื่อฮองเฮาได้ล้มป่วยและสิ้นใจไปเมื่อปีกลาย ชีวิตองค์ชายน้อยก็ต้องพลิกผัน เขาต้องกลับกลายเป็นองค์ชายไร้ค่าในสายตาผู้คน ยศศักดิ์องค์รัชทายาทถูกถอดถอน ทั้งยังถูกดันมาอยู่ตำหนักหลังอันเปล่าเปลี่ยว และโดนกลั่นแกล้งทุบตีจนสิ้นใจไปเมื่อบ่ายนี้

       ถูกแล้ว ช่วงเวลาที่เหล่าองค์ชายทั้งหลายคิดว่าเด็กชายตัวน้อยเพียงแค่สลบไปคือช่วงเวลาเดียวกับที่องค์ชายน้อยผู้อ่อนแอได้สิ้นลมหายใจลง และเมื่อถูกปลุกขึ้นมาอีกครั้ง ผู้ที่ลืมตาตื่นขึ้นมาคือสองวิญญาณที่เข้าแทนที่ เนื่องจากยังไม่เข้าใจสถานการณ์ดีพวกเขาจึงได้แต่ปล่อยให้กลุ่มคนเหล่านั้นทุบตีต่อไป

       ระหว่างนั้นจิ้นเฟยกับเฟยจิ่งได้สื่อสารกันภายใน เป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ที่ทั้งสองรับรู้ถึงการมีอยู่ซึ่งกันและกัน ทั้งยังสามารถสื่อสารกันได้ หลังปรับตัวและได้รับข้อมูลมากพอทั้งสองจึงได้ยุติเรื่องราวเอ่ยปากยอมแพ้แทนองค์ชายน้อยผู้บ้าศักดิ์ศรีที่ตกตายไป

       "ข้าไม่เคยพบเคยเจอสตรีเช่นเจ้ามาก่อน ทั้งก้าวร้าว กระโดกกระเดก ไร้ความเป็นกุลสตรี!"คำต่อว่าที่ผู้พูดถลึงตามองในเงาน้ำ ก่อนใบหน้านั้นจะเปลี่ยนเป็นร่าเริง

       "น่าๆ ก็ยุคของฉันกับลุงไม่เหมือนกันนี่ ผู้หญิงยุคฉันจะให้เรียบร้อยเป็นผ้าพับไว้คงต้องงมเข็มหาล่ะนะ อีกอย่างตอนนี้ฉันเป็นชายทั้งแท่ง เพราะงั้นลุงก็อย่าเครียดไปเลยน่า"น้ำเสียงทะเล้นแฝงความขี้เล่นกล่าวอย่างอารมณ์ดี ใบหน้าในน้ำเปลี่ยนเป็นสีหน้าระอาใจ

       "ฮึ อิสตรีที่เอาแต่สะอึกสะอื้นทั้งวันทั้งคืนผู้นั้นหายไปไหนเสียแล้ว?"คำกล่าวเชิงประชดไม่ได้ยั่วให้อีกคนโมโหขึ้นมาแม้แต่น้อย ทั้งยังโต้สวนกลับอย่างไม่แยแส

       "น่าๆ เรื่องมันก็ผ่านไปแล้ว ลุงนี่ชอบย้ำจัง นี่ก็โรคคนแก่เหรอ?"คำสวนกลับที่ทำให้'คนแก่'เดือดดาลสุดขีด นึกอยากชักกระบี่ฟันอีกฝ่ายนัก

       "สามหาวนัก!"

       "คิก ใจเย็นๆน่าลุง โกรธมากไปเดี๋ยวความดันขึ้นเอานะเจ้าคะ เอ้ย ขอรับ"น้ำเสียงกลั้วหัวเราะนั้นช่างยียวนเป็นที่สุดจนคนฟังที่ทำอะไรอีกฝ่ายไม่ได้ต้องขบเคี้ยวฟันตัวเองอย่างคับแค้นใจ

       "อ๊ะ อย่านะลุง ขบฟันแบบนั้นบ่อยๆ เดี๋ยวฟันบิ่นฟันเบี้ยวหมดหล่อพอดี ไม่ได้ๆ ห้ามทำ"

       "เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาสั่งข้า!"

       "สิทธิ์ในความเป็นเจ้าของร่างร่วมไงล่ะ ร่างนี้ไม่ใช่ของลุงคนเดียวนะ!"

       จิ้นเฟยท้วงอย่างที่เฟยจิ่งเถียงไม่ได้ เมื่อยามนี้เขากำลังครอบครองร่างนี้ร่วมกันกับวิญญาณสาว ส่วนวิญญาณขององค์ชายน้อยที่สิ้นลมไปนั้นไม่รู้ยามนี้ไปอยู่แห่งหนใด

       ทางจิ้นเฟยที่รู้สึกว่าอีกฝ่ายสงบลงแล้วก็พูดกล่อม

       "นี่ๆ ลุงเฟย เรามาทำข้อตกลงกันดีกว่า เพราะถึงยังไงฉันกับลุงก็ต้องอาศัยร่างนี้ไปอีกพักใหญ่ ญาติดีกันไว้ย่อมดีกว่า"เมื่อเห็นอีกฝ่ายพูดจาดีๆ เฟยจิ่งจึงยอมลดทิฐิลง แต่ยังคงวางท่า กอดอกกล่าวอย่างเย่อหยิ่ง

       "ว่าเงื่อนไขเจ้ามา"

       ได้ยินคำพูดอีกฝ่ายจิ้นเฟยก็ยิ้มกว้าง

       "ไหนๆก็มีโอกาสมีชีวิตอีกรอบทั้งที ฉันไม่ขออะไรมากหรอกนะลุง ขอแค่ชีวิตที่ไม่ลำบาก ไม่ต้องทำงานหนัก ไม่ต้องถูกทุบตี มีเงินใช้ตลอดเวลาก็พอ"คำขอไม่มากมายของเจ้าตัวทำให้วิญญาณอีกดวงที่ฟังถลึงตาใส่เงาในน้ำ

       "ชีวิตเพ้อฝันเช่นนั้น เจ้าคิดจะเป็นฮ่องเต้หรือไร"ฝ่ายหนึ่งว่าเสียงเยาะไม่คิดจริงจัง แต่วิญญาณอีกดวงกลับเงียบเสียงลงพาให้ฝ่ายแรกนึกสะกิดใจ

       "เจ้าคิดจะเป็นฮ่องเต้จริงๆ งั้นรึ?"เฟยจิ่งถามย้ำอย่างไม่อยากเชื่อ ขณะที่จิ้นเฟยเงียบไปครู่หนึ่งก่อนว่าตอบ

       "ในเมื่อเดิมทีมันก็เป็นสิทธิ์ของเจ้าของร่างนี้อยู่แล้ว ถ้าฉันอยากเป็นฮ่องเต้ขึ้นมา ทำไมจะไม่ได้ล่ะ?"

       "ด้วยร่างอ่อนแอปวกเปียกเช่นนี้น่ะรึ"คำพูดถากถางที่ฝ่ายคนฟังเผยยิ้มทะเล้น

       "ฉันเชื่อว่าอย่างลุงต้องมีวิชาเจ๋งๆพอเอาตัวรอดอยู่แน่นอน ...หรือลุงจะยอมเป็นเบี้ยล่างให้ไอ้เด็กกลุ่มเมื่อกี้มันรังแกอีกล่ะ?"คำถามที่คนฟังสวนกลับทันที

       "เรื่องอะไร!"

       "งั้นลุงก็ทำตามข้อเสนอฉันสิ ง่ายๆ แค่ฝึกร่างกายให้แข็งแกร่ง แล้วเอาบัลลังก์มา ทีนี้ก็ไม่ถูกรังแก ชีวิตเปรมปรีดิ์ดีจะตาย"จิ้นเฟยว่าอย่างเริงร่า

       "แค่มีร่างกายแข็งแกร่งก็ใช่ว่าจะได้รับชัย"เฟยจิ่งกล่าวอย่างระอา ทางจิ้นเฟยพยักหน้าพร้อมกอดอก

       "ฉันรู้ๆ ไอ้ศึกชิงบัลลังก์แบบนี้ใช้แค่กล้ามเนื้อมันไปไม่รอดหรอก เพราะงั้นฉันจะทำหน้าที่เป็นสมองเอง เห็นอย่างนี้ฉันก็ฉลาดนะ"คำพูดที่ทั้งอวดดีและหลงตัวเองทำให้คนฟังเพียงแค่นเสียงขึ้นจมูกก่อนตอบรับ

       "ฮึ ข้าจะรอดู"

       "รับประกันเลย ท่านเฟยคนนี้จะชิงบัลลังก์ให้ดู!"เสียงหัวเราะร่าดังใสราวกระดิ่งดังอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะค่อยๆเงียบลง ดวงตากลมโตมองไปยังเงาสะท้อนในบ่อน้ำที่สงบนิ่ง ไล่มองไปยังใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยแผล ขยับมือลูบไล้ไปตามร่องรอยบอบช้ำแล้วเอ่ยขึ้นอย่างช้าๆ

       "ในเมื่อร่างนี้เป็นของฉันแล้ว ฉันไม่มีทางยอมให้ใครมารังแกง่ายๆแบบนี้อีกแน่ แผลพวกนี้...สักวันต้องเอาคืน!"แววตาวาววับของคนพูดส่องประกายอย่างหมายมาด เฟยจิ่งที่รับรู้ความคิดก็ชกหมัดเข้ากับฝ่ามืออย่างแรงจนเกิดเสียงก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงเข้มแข็ง

       "ข้าเองก็ไม่ใช่พวกตาขาว เมื่อเกิดเป็นบุรุษก็ต้องสู้ให้สมศักดิ์ศรี จะบัลลังก์หรืออะไรก็ดี แต่หากเจ้าคิดสู้โดยไร้สิ้นกำลังใดๆก็ไม่ต่างอันใดกับฆ่าตัวตาย"คำเตือนที่ได้รับส่งผลให้คนฟังทำหน้ามู่ทู่

       "ฉันรู้น่าลุงเฟย... แต่จะปล่อยให้ถูกรังแกฉันก็ยอมไม่ได้เหมือนกัน"

       "หากฟ้าลิขิตให้เจ้าพ่าย จงยอมจำนน จนกว่าเจ้าจะพร้อม จงรอคอยเวลาเพื่อคว้าชัย"คำกล่าวที่แฝงคำสอนทำให้ดวงตากลมโตเป็นประกาย ชูกำปั้นขึ้นฟ้ากล่าวด้วยเสียงราวกับตะโกน

       "ต่อให้ฟ้าลิขิตให้ฉันเป็นจิ้งจกแต่ถ้าฉันอยากเป็นมังกรฉันก็จะเป็น การยอมแพ้โชคชะตาง่ายๆ เป็นเรื่องน่าขำ ฉันจะเปลี่ยนแปลงมันให้ดู!"

       คำประกาศของสองวิญญาณที่ได้มาเริ่มต้นชีวิตใหม่ในร่างองค์ชายน้อยดังก้องไปทั่วสวนร้าง โดยมีเพียงบ่อน้ำเก่าแก่ท้ายวังเป็นพยานรับรู้ถึงเจตจำนงของวิญญาณทั้งสอง 

       จิ้นเฟย และเฟยจิ่ง หนึ่งสตรีหนึ่งบุรุษผู้ที่จะมาสร้างตำนานอันยิ่งใหญ่ให้ดังสะเทือนกึกก้องไปทั่วแคว้น

       ...ตำนานของชายผู้ที่จะก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดของแผ่นดิน...


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×