ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    วัวกินหญ้า หรือ หญ้ากินวัว? BL

    ลำดับตอนที่ #15 : บทที่15

    • อัปเดตล่าสุด 5 ก.ย. 64


    ทำไมอีกฝ่ายถึงกล้าไว้ใจ และบอกเรื่องนี้กับเขา?

    จากที่ได้ยินเมื่อครู่ พลังของหลงคุนดูจะพิเศษและสมควรถูกเก็บเป็นความลับระดับสูง ซึ่งมันไม่ควรถูกแพร่งพรายบอกต่อคนนอกอย่างเขา ทว่าเซียงเว่ยกลับพูดออกมาอย่างหน้าตาเฉย

    นี่เพราะอีกฝ่ายคิดว่าเขาไม่มีปัญญาเอาไปบอกคนอื่น? หรือแค่...เชื่อใจ?

    คำว่า เชื่อใจที่ส่งตรงเข้ามาในสมองทำให้กู่หนิวตัวชา และคงเพราะสมองถูกช็อตจากความคิดดังกล่าวทำให้เขาเผลอเปิดปากบอกเล่าความลับของตัวเองไป

    “พลังของผม คือการแลกเปลี่ยนคริสตัลครับ”

    คำพูดที่โพล่งออกไปอย่างไม่ยั้งคิดนี้ทำให้กู่หนิวนึกอยากตบปากตัวเองแรงๆ แต่ทว่าปฏิกิริยาของเซียงเว่ยกลับดูคล้ายไม่ใส่ใจกับสิ่งที่ได้ยิน เด็กหนุ่มเพียงรับฟังแล้วตอบอืมกลับมาเบาๆ กู่หนิวเห็นอย่างนั้นก็รู้สึกโล่งอก ชายหนุ่มนึกในใจว่าช่างโชคดีจริงๆ ที่เซียงเว่ยดูจะไม่ใช่คนประเภทพวกหวังผลประโยชน์ระยะสั้น

    กู่หนิวนึกไม่ออกเหมือนกันว่าหากเจ้านายหนุ่มเกิดคิดละโมบ แล้วบีบบังคับให้เขาใช้ความสามารถพิเศษเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองขึ้นมา...ตัวเขาจะทำยังไง

    ห่างออกไปไม่ไกลจากมุมที่เซียงเว่ยกับกู่หนิวนั่งสนทนา หลงคุนที่ได้ยินคำพูดของทั้งคู่ตั้งแต่ต้นจนจบชัดเจนเต็มสองหูพลันเผยสีหน้าหลากหลายออกมา ตอนแรกเขามุ่นคิ้วไม่ชอบใจที่เซียงเว่ยบอกกล่าวความลับกับบุคคลที่ตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่าเป็นสายให้กับเจ้าของป้อมเฉาเชา แต่ต่อมาตัวเขาก็ต้องตะลึงอ้าปากเหวอเมื่อได้ยินความลับเรื่องพลังของกู่หนิว หลงคุนพลันปะติดปะต่อเรื่องได้ เขารู้แล้วว่าที่ผ่านมาอีกฝ่ายนำคริสตัลพวกนั้นมาจากไหน และนี่เองที่ทำให้ชายหนุ่มมองร่างหนาด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป...

    เมื่อจบมื้ออาหาร กู่หนิวก็ตัดสินใจขอตัวกลับห้องอย่างนึกอ่อนเพลีย แต่ก่อนจะกลับ เซียงเว่ยได้มอบนมสตรอว์เบอรี่สองขวดให้กับเขา ซึ่งนี่นับว่าเป็นครั้งแรกที่อีกฝ่ายมอบอะไรให้กับเขาด้วยมือตัวเอง กู่หนิวมองขวดนมที่ได้รับมาก่อนจะฉีกยิ้มกว้าง

    “ขอบคุณครับ!

    ว่าจบคนตัวโตก็หมุนตัวจากมาด้วยหัวใจที่เบิกบาน ส่วนฝ่ายคนที่มองตามหลังก็ได้แต่นิ่งงันเมื่อนึกถึงรอยยิ้มกว้างที่นับว่าได้เห็นเต็มตาเป็นครั้งที่สอง...

    “คุณชายครับ”

    เสียงหลงคุนดังขึ้นเบาๆ เซียงเว่ยเบนสายตาจากบานประตูมามองคนเรียกที่ยามนี้มีสีหน้าอ่อนใจปนๆจำยอม

    “หากคุณคิดจริงจัง ผมจะช่วย... เรื่องเขา

    เมื่อได้ยินถ้อยคำนี้ นัยน์ตาสีฟ้าของคนฟังพลันส่องประกายวูบ รอยยิ้มอ่อนโยนที่เลือนรางค่อยๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าอันอ่อนเยาว์ของเด็กหนุ่ม

    “ขอบใจ”

    ทางฝั่งกู่หนิวที่ได้รับรู้ความลับยิ่งใหญ่เทียมฟ้ามานั้น ในทีแรกก็นึกกระสับกระส่ายอยู่บ้าง แต่สุดท้ายเมื่อไม่มีอะไรเกิดขึ้นจึงลดท่าทีลง และใช้ชีวิตในแต่ละวันไปเหมือนเคย โดยในทุกๆสามวันเขาจะมีโอกาสไปทานอาหารเย็นร่วมกับเซียงเว่ย โดยมีหลงคุนคอยเป็นพนักงานเสิร์ฟให้

    ชีวิตของเขาโดยรวมแล้วไม่มีอะไรเปลี่ยน จะมีก็แต่คนรอบตัวนั่นแหละที่ดูแปลกไป

    ยกตัวอย่างเช่น หลงคุน พักนี้อีกฝ่ายมักพูดจากับเขาด้วยน้ำเสียงที่เป็นมิตรกว่าที่เคย และไม่ชักสีหน้าใส่อย่างไร้เหตุผลเหมือนเมื่อก่อน คล้ายกับว่าป้อมปราการที่ตั้งขึ้นเพื่อกีดกันตัวเขาได้หายไป ซึ่งจากที่ลองพิจารณาดูแล้ว กู่หนิวเชื่อว่ามันน่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องพลังของเขา

    คนถัดมาที่ดูแปลกไปก็คือจางลู่ พักนี้อีกฝ่ายไม่ได้พูดกระแนะกระแหนหรือเหน็บเขาเท่าไหร่ มีเพียงสายตาแพรวพราวกับรอยยิ้มที่ดูเจ้าเล่ห์ซึ่งส่งมาให้ทุกครั้งที่เจอ แน่นอนว่ากู่หนิวก็คาดเดาได้ว่ามันเกี่ยวข้องกับที่ช่วงหลังๆ เขาใกล้ชิดกับเซียงเว่ยมากขึ้น

    ยังอีกคนที่มีท่าทีแปลกไป เฉ่าเหมย

    ปกติเด็กสาวมักจะกล่าวทักทายเขาด้วยรอยยิ้มเวลาเดินสวนกัน แต่ช่วงหลังมานี้ คล้ายกับว่าอีกฝ่ายกำลังหลบหน้าเขาอยู่...

    “พี่หนิวคะ”เสียงหวานใสดุจกระดิ่งกับคำเรียกขานที่เป็นเอกลักษณ์ทำให้คนโดนเรียกหันไปมองต้นเสียงอย่างแปลกใจ กู่หนิวมองดูใบหน้าจิ้มลิ้มที่ยามนี้สองแก้มแต้มสีระเรื่อ โดยเฉดสีของมันใกล้เคียงกับกิ๊บสตรอว์เบอรี่ที่ติดอยู่บนเรือนผมอีกฝ่ายพอสมควร

    “เฉ่าเหมย”กู่หนิวเช็ดเศษดินกับกางเกงก่อนลุกขึ้นยืน ชายหนุ่มมองดูเด็กสาวในชุดกระโปรงสีฟ้าอ่อนที่ค่อยๆเดินเข้ามาใกล้อย่างนึกสงสัย “มีอะไรรึเปล่า? ถึงมาหาถึงนี่”

    “ค่ะ พี่หนิวคะ คือ...พรุ่งนี้พี่จะหยุดใช่ไหมคะ?”คำถามที่กู่หนิวไม่นึกแปลกใจที่เด็กสาวรู้ เพราะตอนลงไปขอยื่นเรื่องหยุด เขาเห็นอีกฝ่ายนั่งเช็คเอกสารอยู่ไม่ไกล

    “ใช่”

    พอได้รับคำยืนยัน สีหน้าเด็กสาวก็เปลี่ยนเป็นโล่งใจ และไม่นาน เสียงใสๆ ก็เอ่ยคำถามออกมาอีกคราด้วยท่าทีไม่มั่นใจ     

    “ถะ ถ้าอย่างนั้น...พรุ่งนี้ไปเที่ยวกับเหมย...ได้ไหมคะ?”

    คำกล่าวที่คล้ายๆ กับการชักชวนส่งผลให้ร่างของกู่หนิวนิ่งแข็งไปเหมือนโดนสตัฟฟ์ ชายหนุ่มมองดูผู้กล่าวด้วยแววตาซับซ้อน ซึ่งไม่ว่าจะสีหน้าขัดเขินหรือปฏิกิริยาไร้เดียงสาที่เด็กสาวแสดงออกมาอย่างไม่รู้ตัว มันล้วนสะท้อนให้เห็นชัดถึงความรู้สึกที่อีกฝ่ายพยายามเก็บซ่อน และเพราะความรู้สึกที่เห็นได้ชัดเจนนั้นเองที่ทำให้คนมองนึกลังเล

    “เรื่องนั้น...”

    “ต้าหนิว!”ขณะที่กำลังจะให้คำตอบ จางลู่ที่โผล่จากไหนไม่รู้พลันเยี่ยมหน้ามาจากประตูพลางป้องปาก “เลขาบอสให้มาตามแน่ะ ตาลุงนั่นฝากบอกนายว่าถ้าเสร็จแล้วให้ลงไปหาที่ห้องบอส แค่นี้แหละ!”ว่าจบคนก็ปิดประตูไป โดยทิ้งคนสองคนเอาไว้กับบรรยากาศกระอักกระอ่วนและบทสนทนาที่ขาดตอน

    กู่หนิวก้มมองเด็กสาวที่มีสีหน้าค้างไป ก่อนจะถอนใจเบาๆ

    “สำหรับนัดวันพรุ่งนี้... ฉันขอคิดดูก่อนแล้วกันนะ”

    พอส่งเฉ่าเหมยกลับไปได้ กู่หนิวที่เสร็จงานก็ก้าวลงบันไดไปอย่างเชื่องช้า โดยระหว่างทางไปยังห้องของเซียงเว่ยชายหนุ่มได้เผลอเหม่อลอยหลายครั้ง เมื่อคิดไม่ถึงว่าเฉ่าเหมยจะมีความรู้สึกแบบนั้นต่อตน

    กู่หนิวลูบหน้าตัวเองอย่างหนักใจ เพราะถึงอีกฝ่ายจะโตแล้วก็ตาม แต่ทุกครั้งที่มองไปยังเด็กสาว สายตาของเขายังคงปรากฏภาพของเด็กหญิงวัยแปดขวบหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูซ้อนทับอยู่ และภาพนั้นก็คอยตอกย้ำสัญญาที่เขาเคยรับปากคนคนหนึ่งไว้...

    “อาหนิว รับปากย่า อย่าได้ทำให้ดอกโบตั๋น*ต้องแปดเปื้อน”

    มาถึงห้องของเซียงเว่ย กู่หนิวพยายามปรับสีหน้าให้ดูเป็นปกติก่อนเคาะประตู พอเข้าไปแล้ว เขาก็เห็นว่านอกจากซียงเว่ยกับหลงคุนแล้ว ในห้องมีคนเพิ่มเข้ามาสามคน ซึ่งทันทีที่เขาก้าวขาเข้าไปในห้องหลงคุนก็พูดเข้าประเด็นทันที

    “ต้าหนิว ที่ฉันเรียกนายมานี่ เพราะจะคุยเรื่องงานผู้ดูแลป้อม จากนี้ไปฉันจะให้สามคนนี้มาทำหน้าที่แทนนาย ส่วนนาย นับจากนี้ไปก็ให้กลับมาทำหน้าที่หลัก นอกเหนือจากตอนไปเรือนกระจกแล้ว นายต้องมาประจำอยู่ที่ห้องนี้จนถึงเย็น”

    “ทำไมล่ะครับ?”กู่หนิวตั้งคำถามกับการเปลี่ยนแปลงที่กะทันหัน หลงคุนเพียงดันแว่นแล้วตอบ

    “ช่วงนี้มีข่าวเรื่องผู้ล่าบุกเข้าจู่โจมจากทางอากาศ ฉันเลยอยากให้นายมาคอยคุ้มครองเผื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน”นั่นนับเป็นข้ออ้างที่สมเหตุสมผล กู่หนิวจึงไม่ได้ติดใจ แม้ในความเป็นจริง คนที่ควรเป็นฝ่ายถูกปกป้องน่าจะเป็นคนตัวโตเสียด้วยซ้ำ

    “เข้าใจแล้วครับ”

    แม้จะรับคำไปอย่างนั้น สุดท้ายกู่หนิวก็ยังไม่ได้เริ่มงานจริง เพราะวันถัดมาเป็นวันหยุดของเขา

    กู่หนิวลงลิฟต์มายังชั้นล่างสุดอันเป็นห้องโถงรวม ชายหนุ่มวางแผนจะไปเยี่ยมเยียนลุงเป่ยก่อนออกไปหาซื้อของน่าสนใจที่ห้าง แต่ขาที่ก้าวเดินก็เป็นอันต้องชะงัก เมื่อได้เห็นว่าตรงโซฟาสีเข้มใกล้ทางออกนั้น มีเงาร่างในชุดกระโปร่งสีชมพูหวานนั่งรออยู่ ซึ่งแม้จะมองเพียงข้างหลังเขาก็รู้ดีว่าเป็นใคร และนั่นทำให้กู่หนิวนึกถึงเรื่องเมื่อวานขึ้น เขาหยุดยืนพลางมองแผ่นหลังเล็กที่ดูบอบบางนิ่ง แม้แต่ตอนนี้ เขาก็ยังไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรกับอีกฝ่ายดี

    แต่จะยืนอยู่ตรงนี้ต่อไปก็ไร้ประโยชน์ กู่หนิวสูดลมหายใจก่อนตรงเข้าไปหาร่างที่โซฟา...

    หมับ!

    ไหล่ที่ถูกคว้าอย่างกะทันหันทำให้กู่หนิวหันไปตั้งรับด้วยสีหน้าระแวดระวัง พอเห็นเป็นหลงคุนเขาก็คลายท่าทีลง กู่หนิวกำลังจะเอ่ยปากถามว่ามีอะไร แต่สายตาก็เห็นกระเป๋าเอกสารและเสื้อโค้ทที่อีกฝ่ายถืออยู่ซะก่อน ดูจากวัตถุข้างต้นแล้วทำให้เขาแน่ใจว่าอีกฝ่ายกำลังจะออกไปข้างนอก

    “ต้าหนิว คุณชายเซียงเรียกไปพบ”

    ไม่ทันจะได้เปิดปากพูด หลงคุนก็ว่าสวนขึ้นอย่างง่ายๆ ซึ่งนั่นทำให้คนฟังประหลาดใจ ก่อนจะกล่าวท้วงเบาๆ

    “แต่วันนี้เป็นวันหยุดของผ...”

    “คุณชายบอกว่าถ้านายโผล่หน้ามาภายในห้านาที นมสตรอว์เบอรี่ขวดใหญ่จะเป็นของนาย”ไม่รอให้ว่าจบ หลงคุนก็พูดแทรกขึ้นอย่างเฉยเมย โดยเนื้อความนั้นทำให้คนบางคนตาโตอย่างตื่นเต้น

    นมสตรอว์เบอรี่ขวดใหญ่!

    ที่ผ่านมานมสตรอว์เบอรี่ผลิตออกมาเป็นขวดเล็กๆ ที่รินใส่แก้วน้ำธรรมดาได้หนึ่งแก้ว แต่ช่วงหลังๆ เริ่มมีการผลิตขวดใหญ่ออกมาจัดจำหน่าย โดยขวดใหญ่ที่ว่าสามารถรินได้ถึงสี่แก้วเต็ม! ส่วนราคาก็เท่ากับคริสตัลสีแดงสิบอัน แน่นอนว่ากู่หนิวอยากซื้อ แต่เพราะงบไม่ค่อยมีเขาจึงได้แต่ซื้อขวดเล็กมาโดยตลอด

    แต่ว่านะ เทียบกับขวดเล็กแล้ว ขวดใหญ่ดื่มได้สะใจกว่าเยอะ!

    “ไปทันทีครับผม!”กู่หนิวตอบรับด้วยเสียงกระชุ่มกระชวย หลงคุนเองพยักหน้าแล้วเดินตรงไปยังทางออก ตอนนี้เองที่กู่หนิวเพิ่งนึกได้ว่าเฉ่าเหมยนั่งรออยู่ ขาที่กำลังจะก้าวกลับไปยังลิฟต์ก็พลันลังเล และก่อนที่จะตัดสินใจอะไร เขาก็พลันเห็นใครบางคนเดินผ่านมา

    เป็นหลงไช่ อีกฝ่ายอยู่ในเสื้อกันหนาวมีฮู้ดสีฟ้าตัดขาว โดยกำลังเดินก้มหน้าก้มตาเล่นเกมกดอย่างไม่มองทาง กู่หนิวเห็นอย่างนั้นก็เข้าไปพูดคุยและฝากฝังเรื่องบางอย่าง

    ไม่นานเขาก็ขึ้นมาถึงห้องของเซียงเว่ย เสียก็แต่มันเลยเวลาห้านาทีทองไปถึงสิบนาทีเต็ม แต่ถึงนมสตรอว์เบอรี่ขวดใหญ่จะหลุดลอยไป กู่หนิวกลับพบว่าตนเองไม่ได้เสียดายขนาดนั้น ตอนนี้เขามีข้อสงสัยเดียวคือเซียงเว่ยเรียกเขามาทำไม หรือว่าจะมีธุระสำคัญ?

    อ๊ะ

    ครั้งนี้เมื่อเปิดประตูเข้าห้องไป แทนที่กลิ่นลิลลี่ที่คุ้นเคย อากาศในห้องกลับเต็มไปด้วยกลิ่นน้ำมัน กลิ่นควัน และ...กลิ่นเหม็นไหม้

    กู่หนิวรีบสาวเท้าไปยังต้นตอ ซึ่งเป็นฝั่งห้องครัวเล็กที่สามารถประกอบอาหารง่ายๆได้ เมื่อเขาเข้าใกล้ที่เกิดเหตุก็พลันเจอเซียงเว่ยในชุดสเว็ตเตอร์สีขาวเงินตัวเดิมกำลังทำอะไรบางอย่างอยู่หน้าเตาไฟฟ้า และไม่ทันให้เขาได้สงสัยก็เห็นอีกฝ่ายเปิดขวดไวน์แล้วสาดโครมใส่กระทะจนเกิดเปลวไฟพุ่งพรวดขึ้นมาอย่างน่าหวาดเสียว

    กู่หนิวดิ่งเข้าไปคว้าเซียงเว่ยให้ออกห่างจากพื้นที่อันตราย พอวางคนเสร็จเขาก็ตรงเข้าไปถอดปลั๊กเตาไฟฟ้า และเมื่อหมอกควันจางลง กู่หนิวก็ได้เห็นวัตถุปริศนาสีดำที่คล้ายจะเป็นเนื้อสัตว์ที่ถูกหมักในก้อนถ่านหมอบนิ่งอยู่ในกระทะ ส่วนหม้อที่เปิดอุ่นอยู่เตาข้างๆ ก็มีลาวาเดือดสีแดงขุ่นคลั่กเต้นระบำอยู่ ซึ่งฟองลาวาเหล่านั้นเมื่อแตกออกก็กระเซ็นไปติดขอบหม้อจนดูคล้ายคราบเลือดแห้งกรัง...

    กู่หนิวไม่รู้จะบรรยายสิ่งที่ดูไม่น่าใช่อาหารคนข้างต้นว่ายังไงดี และเมื่อเขาหันไปทางเซียงเว่ยก็เห็นว่าสายตาที่มองไปยังหม้อและกระทะดูจะไม่พอใจเท่าไหร่ งานนี้กู่หนิวก็ไม่แน่ใจว่าควรทำอะไรต่อ แต่พอเขาเห็นวัตถุดิบสดใหม่ที่สามารถใช้ประกอบการทำอาหารได้อยู่ไม่ไกล ปากก็หลุดพูดออกไป

    “เดี๋ยวผมทำอะไรให้ทานนะครับ”

    กู่หนิวคิดว่าคงเป็นเพราะเช้านี้หลงคุนมีธุระด่วนจึงไม่ทันได้ทำอาหารให้เซียงเว่ย และคงเพราะเจ้านายหนุ่มไม่อยากทานอาหารกระป๋องเลยเลือกจะลงมือทำเอง แต่ระหว่างขั้นตอนการทำคงมีอะไรผิดพลาด...

    กู่หนิวนึกภาพตอนเซียงเว่ยสาดไวน์กระทะจนเกือบเกิดหายนะแล้วยิ้มเจื่อน

    เซียงเว่ยมองไก่ทอดสีเข้มในจานด้วยสายตาราบเรียบ ซึ่งกู่หนิวก็พูดขอโทษออกมา

    “ผมไม่ค่อยทำอาหารเองเท่าไหร่ มีแต่พวกอาหารทอดปิ้งย่างที่พอจะมั่นใจอยู่บ้าง ลองชิมดูก่อนเถอะครับ”

    เซียงเว่ยนิ่งไป แต่สุดท้ายก็ใช้ตะเกียบคีบเนื้อไก่ที่ถูกเลาะกระดูกออกหมดแล้วขึ้นมากัดคำเล็กๆ

    กู่หนิวเห็นเซียงเว่ยยอมกินแล้วก็โล่งใจ เพราะอาหารที่เขาทำนั้นถือว่าบ้านๆ ดูเป็นอาหารข้างทางที่คนฐานะอย่างเด็กหนุ่มไม่น่าจะมีโอกาสได้ลิ้มลอง อย่างเซียงเว่ยดูจะเหมาะกับอาหารในภัตตาคารหรูๆมากกว่า

    “อร่อย”

    จู่ๆ เซียงเว่ยก็โพล่งขึ้น กู่หนิวนิ่งอึ้งไป ก่อนจะเข้าใจว่าอีกฝ่ายกำลังชมอาหารฝีมือเขาอยู่ ชายหนุ่มขยับยิ้มเล็กน้อย

    “ถ้างั้นก็ทานเยอะๆนะครับ”

    พอทานอาหารกันเสร็จ กู่หนิวก็สอบถามถึงสาเหตุที่เซียงเว่ยตามเขาขึ้นมา

    “ดูแล นี่”เซียงเว่ยพูดพลางส่งกระถางดอกไม้สีขาวแบบมีหูหิ้วอันเล็กให้กู่หนิว

    “ครับ?”กูหนิวรับมาถืออย่างงงๆ ก่อนจะได้ยินเสียงเจ้านายหนุ่มว่า

    “หงไป่เหอ”

    “ลิลลี่แดงงั้นเหรอครับ?”

    กู่หนิวถามอย่างประหลาดใจขณะก้มมองดินดำในกระถาง เพราะเขากำลังคิดว่าจะลองไปหาซื้อเมล็ดพันธุ์นี้อยู่พอดี

    “อืม”

    “แล้วไม่เอาไปปลูกในเรือนกระจกเหรอครับ?”กู่หนิวสอบถามพลางหมุนกระถางใบเล็กในมือ เพราะดูแล้วเซียงเว่ยคล้ายตั้งใจปลูกใส่กระถางเล็กนี่

    “ไม่”เซียงเว่ยตอบกลับมาทันที กู่หนิวพยักหน้าอย่างไม่ได้สงสัยอะไร แต่แล้วเขากลับได้ยินเสียงเซียงเว่ยพูดเสริมขึ้น “อันนี้ พิเศษ”

    ยามพูดคำนี้ เซียงเว่ยสบตากับคู่สนทนานิ่ง

    กู่หนิวกะพริบตา ไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองรึเปล่า แต่แววตาของเด็กหนุ่มในตอนที่พูดคำว่า พิเศษ นั้น แลดูคลุมเครืออย่างประหลาด...

    สรุปแล้วกู่หนิวเลยใช้เวลาของวันหยุดครั้งนี้ไปกับการดูแลดอกลิลลี่สีแดงในห้องทำงานของเซียงเว่ย และที่น่าแปลกก็คือ หลงคุนที่ออกไปข้างนอกตอนเช้า กลับเพิ่งจะกลับมาถึงป้อมในตอนเย็น

    “ช่วงนี้ฉันอาจต้องไปข้างนอกบ่อยๆ เพราะงั้นฝากนายดูแลเรื่องอาหารเช้ากับเที่ยงของคุณชายหน่อยแล้วกัน เรื่องวัตถุดิบฉันจะเตรียมไว้ให้เอง”

    คนพูดเอ่ยฝากฝังพลางดันแว่นนิ่งๆ ซึ่งงานนี้กู่หนิวได้แต่กะพริบตาปริบๆ กับหน้าที่ที่เพิ่มเข้ามา แน่นอนว่าชายหนุ่มไม่ได้ไม่พอใจ เพราะภาระใหม่ที่ได้รับมามันเล็กน้อยมาก เขาเพียงแต่คิดว่าพักหลังมานี้ หลงคุนดูจะเริ่มไว้ใจเขามากขึ้น

    แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องไม่ดีนี่นะ?

    --------------------

    *ดอกโบตั๋น – ถือเป็นดอกไม่สูงค่าของจีน มักใช้เปรียบเทียบกับหญิงสูงศักดิ์

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×