คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : องก์สอง
ตลอดห้าสิบปีที่ผ่านมา หยางเพ่ยอิงก็ถามตนเองเช่นกันว่า ‘เพราะเหตุใด’ จึงคิดชุบชีวิตมารร้ายตนนี้ขึ้น
หากไต่ถามใต้หล้าถึงบุคคลในยุทธภพที่ชิงชังและไม่มีวันอยู่ร่วมโลกกับมารร้ายใดๆ นาม ‘หยางเพ่ยอิง’ ถือเป็นชื่อที่ผู้คนส่วนใหญ่พาดพิงถึงมากที่สุด เหตุก็เพราะในยามเยาว์วัยครอบครัวของชายหนุ่มถูก ‘มารร้ายอิ่นจือ’ สังหารสิ้น อีกทั้งมารดาและพี่สาวยังถูกย่ำยีก่อนสิ้นใจอีกด้วย ครั้งนั้น ด้วยมารร้ายอิ่นจือซึ่งฝึกวิชามารที่ต้องใช้พลังหยางจึงคิดจับตัวเด็กชายที่มีร่างกายพิเศษกว่าผุู้อื่นกลับไปเลี้ยงเพื่อรอสูบพลัง
โชคยังดีที่พรรคพิราบขาว หนึ่งในพรรคธรรมมะที่อยู่ใกล้เคียงได้เข้ามาช่วยเหลือไว้ทัน แต่กระนั้นมารร้ายอิ่นจือก็ยังหลบลี้ไปได้ หยางเพ่ยอิงที่ครอบครัวถูกสังหารอย่างโหดร้ายจึงตัดสินใจเข้าร่วมกับพรรคพิราบขาว โดยเด็กชายได้ตั้งมั่นที่จะขจัดมารร้ายให้หมดสิ้นจากแผ่นดิน และด้วยความทุ่มเททำให้เขาก้าวขึ้นเป็นศิษย์เอกอันดับหนึ่งของพรรคพิราบขาวด้วยวัยเพียงสิบห้าหนาว ทั้งยังถูกแต่งตัังเป็นรองหัวหน้าพรรคที่อายุน้อยที่สุด ชื่อเสียงของเขาเลื่องลือไกล ศิษย์พี่ศิษย์น้องในพรรคล้วนชื่นชมเคารพนับถือ ชาวบ้านทั่วไปแซ่ซ้องสรรเสริญ
แต่แม้จะอยู่ในจุดที่เรียกได้ว่าประสบความสำเร็จในสายตาผู้อื่น หยางเพ่ยอิงก็ยังคงไม่พอใจ ดวงตาอันเย็นชายังคงห่อหุ้มความแค้นในวัยเยาว์ไว้ไม่คลาย ในทุกค่ำคืนภาพฝันร้ายยังคงหลอกหลอนสร้างความทุกข์ทรมานให้กับเด็กหนุ่มอย่างไม่จบไม่สิ้น ซึ่งหยางเพ่ยอิงรู้ดีว่าทางเดียวที่จะลบภาพฝันร้ายเหล่านั้นทิ้งไปได้คือต้องสังหารมารร้ายอิ่นจือผู้ชั่วช้านั่นซะ
ทว่า เรื่องนั้นก็หากระทำได้ง่ายดาย หลังจากเหตุการณ์เมื่อเจ็ดปีก่อน ข่าวคราวของมารร้ายอิ่นจือก็หายไปจากยุทธภพโดยสิ้นเชิง แต่หยางเพ่ยอิงยังคงไม่ยอมแพ้ เขาเชื่อว่ามารร้ายอิ่นจือจะต้องแอบซ่อนอยู่ในพรรคมารสักพรรคหนึ่งจึงพยายามตามสืบหา โดยอาศัยจากบาดแผลฉกรรจ์ตรงไหล่ขวาที่หัวหน้าพรรคพิราบขาวได้ทิ้งไว้บนร่างของมันเป็นเบาะแส
เวลาได้ผ่านไปอีกสามปี หลังจากคว้าน้ำเหลวมาตลอดหลายปี ไม่นานมานี้เริ่มมีข่าวลือเรื่องเด็กชายหรือกระทั่งชายหนุ่มถูกลักพาตัวไป ข่าวลือประเภทนี้ล้วนไม่อยู่ในความสนใจของผู้คนนานนัก แต่สำหรับหยางเพ่ยอิง มันเปรียบดังแสงเทียนนำทางอันริบหรี่ที่เขาไม่มีวันปล่อยให้หลุดลอย
“เจ้าตัดสินใจดีแล้วรึ?”
“ศิษย์ไม่อาจปล่อยวาง ขอท่านอาจารย์โปรดอภัยด้วย”
หยางเพ่ยอิงที่คุกเข่าอยู่เบื้องหน้าชายชราชุดขาวกล่าวคำเสียงนิ่ง ทว่านัยน์ตาสีดำเย็นชาดุจน้ำแข็งยังคงไร้วี่แววจำนน
หลังผ่านไปครึ่งก้านธูปก็มีเสียงถอนใจแผ่วเบาดังขึ้นในห้อง ก่อนป้ายหยกพิราบขาว-สัญลักษณ์หัวหน้าพรรคพิราบขาวจะพลันตกลงเบื้องหน้าชายหนุ่มอย่างนุ่มนวล หยางเพ่ยอิงมองดูแผ่นหยกเขียวสลักลายผืนป่าขนาดหนึ่งฝ่ามืออย่างตะลึงงัน ยิ่งได้เห็นชิ้นหยกขาวรูปนกพิราบสยายปีกโผบินฝังอยู่ตรงใจกลางกับตัวอักษรสีทองชัดเต็มตา นัยน์ตาของชายหนุ่มก็พลันเบิกกว้าง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นควับด้วยความตกใจ เวลานั้นเองที่เสียงของผู้เป็นอาจารย์ได้ดังขึ้นข้างหู
“เจ้าเป็นรองหัวหน้าพรรคมาถึงสามปี ยามนี้ถึงเวลาอันสมควรแล้ว”
“ท่านอาจารย์!”หยางเพ่ยอิงคิดทักท้วง แต่สีหน้าของหัวหน้าพรรคพิราบขาวผู้กำลังจะกลายเป็น ‘อดีต’ ในอีกไม่ช้าสื่อชัดถึงความเด็ดขาดในการตัดสินใจ หยางเพ่ยอิงจึงทำได้เพียงกำป้ายหยกในมือแน่น ก่อนโขกศีรษะลงเก้าครั้งให้กับชายชราตรงหน้า คนที่เป็นทั้งผู้มีพระคุณช่วยชีวิตและเปรียบเสมือนบิดาอีกคนของเขา
“ข้าจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง”
ข่าวเรื่องหัวหน้าคนใหม่ของพรรคแพร่สะพัดไปทั่วแผ่นดิน หลายคนคล้ายประหลาดใจและคล้ายจะไม่ เมื่อผลงานของชายหนุ่มเองก็เป็นที่ประจักษ์ชัด เพียงแต่อายุของหัวหน้าพรรคพิราบขาวคนใหม่ออกจะน้อยไปสักนิดเมื่อเทียบกับหัวหน้าพรรคธรรมะคนอื่นๆ แต่ถึงคนมากมายจะคิดอ่านเช่นไร หยางเพ่ยอิงก็ยังคงเป็นหัวหน้าพรรคพิราบขาวคนใหม่ที่บรรดาผู้คนในพรรคให้ความเคารพเช่นเดิม
หลังจัดการเรื่องรับตำแหน่งเรียบร้อย หยางเพ่ยอิงก็ได้ลงมือสืบเรื่องมารร้ายอิ่นจือต่อตามความตั้งใจเดิม และด้วยการขยายขอบเขตในการสืบ ไม่นานเขาก็พบว่าต้นตอของข่าวลือมาจากทางเขตเหนืออันเป็นที่ตั้งของพรรคต้าไห่ แม้จะยังไม่แน่ชัด แต่ชาวบ้านพากันโยนความผิดเรื่องที่ผู้คนถูกลักพาไปยังพรรคมารอันดับหนึ่งของแผ่นดินนี้ ซึ่งหยางเพ่ยอิงคิดว่าสมควรแล้วที่ผู้คนจะคิดเช่นนี้ เพราะข่าวลือเรื่องที่ประมุขมารคนปัจจุบันได้ลงมือสังหารบิดามารดาเพื่อชิงตำแหน่งเมื่อสี่ปีก่อนยังคงถูกพูดถึงอยู่ไม่คลาย
หยางเพ่ยอิงยังคงจำได้ว่าตอนที่ได้ยินข่าวในครานั้น ตัวเขายังหมายมั่นว่าจะปลิดชีวิตมารร้ายที่ชื่อไห่เป่ยผิงลงให้จงได้ เพียงแต่ด้วยพรรคต้าไห่ยิ่งใหญ่เกินไปเขาจึงยังไม่มีโอกาสลงมือ ทั้งในตอนนั้นยังบังเอิญมีวิญญาณอาฆาตอาละวาดจึงจำต้องวางมือจากทางนั้นชั่วคราว ไม่คิดไม่ฝันว่าสี่ปีผ่านพ้น ชื่อของพรรคมารที่เขาเกือบลืมไปแล้วจะมาเกี่ยวข้องกับศัตรูเก่าของเขาด้วย
แต่ก็ดี หากมารร้ายอิ่นจืออยู่ในพรรคต้าไห่จริง ก็นับเป็นโอกาสดีที่เขาจะได้กำจัดพวกมันไปพร้อมกัน
แม้ในใจคิดหวังลงมือ แต่หยางเพ่ยอิงยังคงไม่รีบร้อน เขาเกรงว่าจะแหวกหญ้าให้งูตื่นได้จึงทำได้เพียงแอบสืบอย่างลับๆ และเพื่อไม่ให้มีความเคลื่อนไหวผิดสังเกต ครั้งนี้ชายหนุ่มจึงได้ลงมือสืบเรื่องราวด้วยตัวเอง ซึ่งสถานที่แรกที่เขาเลือกตามสืบคือโรงเตี๊ยมแสวงรักที่ได้รับการยืนยันแล้วว่าเป็นหนึ่งในกิจการภายใต้นามของพรรคต้าไห่
เพื่อไม่ให้สะดุดตา หยางเพ่ยอิงจำต้องเปลี่ยนจากชุดสำนักสีขาวเดิมที่เคยใส่มาสวมเสื้อผ้ามีสีสัน แต่อย่างไรเขาก็รังเกียจสีดำนักจึงเลือกสวมใส่ชุดสีน้ำเงินเข้มแทน ซึ่งหากกล่าวว่าอาภรณ์สีขาวทำให้หยางเพ่ยอิงดูงดงามสูงส่ง อาภรณ์สีน้ำเงินก็ขับความกร้าวแกร่งและเผด็จการของชายหนุ่มให้เด่นชัดยิ่งขึ้น
หยางเพ่ยอิงก้าวเข้าไปในโรงเตี๊ยมอย่างอาจหาญ เขาเลือกมุมสูงเพื่อจับตามองผู้คน ระหว่างรอคอยก็พลันได้ยินเถ้าแก่ประกาศเกี่ยวกับการละเล่นที่ดูจะหมุนเวียนจัดอยู่บ่อยครั้ง พอเขาลองถามเสี่ยวเอ้อร์ดูก็ทราบว่าทุกๆเดือนที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้จะจัดกิจกรรมสร้างความสำราญให้กับแขก โดยบ้างเป็นการแข่งขันแต่งโคลง การแข่งถกปัญหา หรือเกมกระดานหมากล้อม ซึ่งหากใครเข้าร่วมและได้รับชัยชนะจะได้รับรางวัลตามที่โรงเตี๊ยมกำหนดไว้
หยางเพ่ยอิงนึกเหยียดหยัน เขาคิดว่าพรรคมารจะเป็นพวกป่าเถื่อนคิดถึงแต่เรื่องการฆ่าฟันเสียอีก
แม้หยางเพ่ยอิงจะไม่ใคร่สนใจกับเรื่องราวดังกล่าว แต่เสียงของเถ้าแก่โรงเตี๊ยมก็ยังคงลอยเข้ามาในหู
“ครั้งนี้ทางโรงเตี๊ยมของเราได้จัดเตรียมแผ่นป้ายไว้จำนวนหนึ่ง ขอเชิญแขกท่านที่สนใจเขียนหัวข้อที่ต้องการถกประเด็นใส่แผ่นป้ายที่เตรียมไว้ ทางเราจะนำแผ่นป้ายที่ท่านเขียนมาแขวนไว้ที่คานไม้เหล่านี้ หากท่านใดสนใจถกประเด็นใดๆ ก็สามารถขอแลกเปลี่ยนความคิดกับเจ้าของแผ่นป้ายได้”
หยางเพ่ยอิงมองดูผู้คนด้านล่างที่บ้างสนใจบ้างไม่สนใจ แต่ไม่นานนักบริเวณคานไม้ที่ถูกจัดเตรียมไว้ก็มีป้ายไม้ร้อยเชือกถักสีแดงจำนวนหนึ่งห้อยแขวนเรียงไว้อย่างน่าดู ด้วยยามนี้ยังคงไม่มีเรื่องราวให้ทำ หยางเพ่ยอิงจึงกวาดสายตาอ่านข้อความบนแผ่นป้ายเหล่านั้นฆ่าเวลา ก่อนเขาจะสะดุดเข้ากับข้อความหนึ่ง
[ใต้หล้านี้ ธรรมะไร้คุณค่า อธรรมไร้ความหมาย]
ลายมือที่เขียนแลดูเกียจคร้านไร้พลังจนไม่น่าสนใจ ทั้งตัวข้อความเองก็ดูไร้แก่นสารและล่องลอยจนผู้คนมองเลยผ่าน แต่เมื่อตีความดูดีๆกลับพบว่ามันแฝงความหมายลึกล้ำเอาไว้ หยางเพ่ยอิงพลันนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนเขาเรียกเสี่ยวเอ้อร์มาบอกความต้องการ ชายหนุ่มไม่ได้คิดจะสนทนากับเจ้าของแผ่นป้าย เพียงแต่นึกไม่เห็นด้วยกับคำดังกล่าวจึงได้เขียนลงแผ่นป้ายไม้ที่ตนมีแล้วให้เสี่ยวเอ้อร์นำไปแขวน
[ธรรมะคงอยู่เพื่อพิชิตอธรรม อธรรมคงอยู่เพื่อรอวันพิพากษา]
ถ้อยคำเขียนที่นับว่าหาญกล้ามาก เมื่อผู้เขียนกำลังอยู่ในสถานที่ที่นับว่าเป็นรังแห่งหนึ่งของพรรคมาร แผ่นป้ายของเขาถูกแขวนเคียงแผ่นป้ายอันนั้นจนดูคล้ายคำโต้ตอบ
[ธรรมะเสแสร้งมีคุณธรรม]
ไม่นานแผ่นป้ายลายมือเดียวกับแผ่นป้ายที่เขาเห็นถูกนำมาแขวนแทนที่แผ่นป้ายเดิม หยางเพ่ยอิงปรายตามองแล้วตวัดพู่กันเขียนตอบ
[ธรรมะแท้จริงสูงส่งและทรงธรรม]
รออยู่ครู่หนึ่งก็มีแผ่นป้ายตอบกลับ แต่ข้อความที่เขียนครั้งนี้กลับทำให้คนมองต้องนิ่งงัน
[ธรรมะ อธรรม ผู้ใดตัดสิน]
หยางเพ่ยอิงชะงักไปชั่วขณะ ก่อนจะขอแผ่นไม้จากเสี่ยวเอ้อร์อีกครั้ง และครั้งนี้เมื่อนำป้ายไปแขวนจึงปรากฏถ้อยคำที่ถูกเขียนด้วยฝีพู่กันที่ทั้งหนักแน่นและเฉียบคมกว่าครั้งใด
[ธรรมะ อธรรม เป็นข้าตัดสิน]
ไม่มีข้อความสำทับต่อ คล้ายว่าอีกคนจะถูกถ้อยคำอวดดีของเขาทำให้ตกใจไปแล้ว หยางเพ่ยอิงมองดูแผ่นป้ายสุดท้ายของตนอีกคราด้วยแววตาราบเรียบ หากแต่มั่นคง
ใช่ว่าเขาไม่รู้ว่าคำกล่าวอวดอ้างของตนฟังโอหังเพียงใด แต่ถึงอย่างนั้นความตั้งใจที่มีก็ยังคงไม่สั่นคลอน เฉกเช่นถ้อยคำที่เขาเขียนวาดลงไปบนแผ่นป้าย...
ความดี ความชั่ว ทั้งหมดนั่น เขาจะเป็นคนตัดสินเอง!
นั่งรอต่ออีกครู่ใหญ่ ในที่สุดกิจกรรมของทางโรงเตี๊ยมก็ได้จบลง และแทนที่ด้วยเสียงพูดคุยของคนที่เข้ามาร่ำสุราทานอาหาร ในบรรดานั้นเรื่องที่ผู้คนพูดคุยกัน หัวข้อที่เขาให้ความสนใจได้ถูกพูดถึงบ่อยครั้ง ดังเช่น...ที่กลุ่มชายฉกรรจ์สามคนที่นั่งดื่มกินอยู่โต๊ะนอกฝั่งซ้ายมือนั่นกำลังกล่าว
"พี่ใหญ่ ท่านเร่งตามพวกเรามาทำไมหรือ? ไหนสิบวันก่อนท่านบอกว่าจะไปหาพี่สะใภ้ที่หมู่บ้านข่ายอย่างไรเล่า?"หลังนั่งกินดื่มได้ครู่หนึ่งชายร่างผอมสูงก็เอ่ยถามขึ้นอย่างเก็บความสงสัยไว้ไม่อยู่ ขณะที่ชายร่างเล็กที่นั่งฟังอยู่ด้านข้างก็รินเหล้าใส่ชามตนเพิ่มด้วยท่าทางนิ่งสงบ
"ไม่ปิดบังพวกเจ้า เมื่อห้าวันก่อนตอนข้าเดินทางไปถึงหมู่บ้านข่ายก็เจอเข้ากับคนกลุ่มหนึ่งกำลังทำตัวอุกอาจบังคับจับตัวบุรุษในหมู่บ้านขึ้นเกวียน ในบรรดานั้นยังมีน้องเขยข้าที่ปีนี้อายุเพียงสิบสามหนาวอยู่ด้วย... หลังข้าแย่งชิงคนกลับมาได้จึงได้รู้ว่าคนเหล่านั้นมาจากพรรคต้าไห่ และเป็นคำสั่งของประมุขพรรคที่ให้จับตัวบุรุษตั้งแต่สิบสองหนาวจนถึงยี่สิบห้าหนาวกลับไป ข้าเห็นท่าไม่ดีจึงได้ให้คนรู้จักพาพวกคนในหมู่บ้านลงใต้ไปล่วงหน้า ก่อนเร่งขึ้นมาบอกข่าวพวกเจ้า"ชายผู้มีท่าทางน่าเกรงขามกล่าวเสียงต่ำพลางวางชามเหล้าลงบนโต๊ะ สีหน้าแววตาแฝงแววเคร่งเครียด
"จับตัว? เข้าใจผิดหรือไม่? บุรุษหาใช่สตรี ประมุขพรรคต้าไห่จะเอาตัวคนเหล่านั้นไปเพื่ออะไร?"ชายร่างผอมถามเสียงซื่อ
"เจ้าโง่! ไม่รู้หรือไงว่าบนแผ่นดินยังมีพวกวิปริตชั่วช้าที่ชอบเสพสุขกับเพศเดียวกันอยู่ และประมุขมารนั่นก็เป็นคนจำพวกนั้น!"ชายผู้ถูกเรียกขานว่าพี่ใหญ่โบกศีรษะคนซื่อบื้อพลางตอบกลับด้วยเสียงกราดเกรี้ยว
"พี่ใหญ่ อันที่จริงไม่กี่วันก่อนข้าเองก็ได้ยินข่าวเรื่องนี้มาเช่นกัน แต่จากข่าวลือที่ข้าได้ยินมากล่าวประมุขพรรคต้าไห่นั่นฝึกวิชามารที่ต้องใช้พลังหยางของบุรุษ..."ชายร่างเล็กที่มีจมูกงุ้มแหลมเอ่ยบ้าง
"เช่นนั้นคงใช่แล้ว! ข้าเองก็เกือบลืมไป ราวสิบปีก่อนเคยมีมารร้ายฝึกวิชามารที่ต้องใช้พลังหยางของบุรุษออกอาละวาดเช่นกัน"ชายร่างใหญ่ตบตักตัวเองอย่างนึกขึ้นได้ ชายร่างผอมได้ฟังก็โพล่งขึ้นด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก
"หรือว่าประมุขพรรคต้าไห่คือมารร้ายตนนั้น?!"
"เจ้าโง่นี่! ประมุขพรรคต้าคนปัจุบันเพิ่งอายุได้สิบเก้า เมื่อสิบปีก่อนเขาอายุเท่าไหร่กัน หัดคิดเสียบ้าง!"ชายร่างใหญ่ทำท่าจะเงื้อมือขึ้นสูงจนคนเพิ่งถูกโบกศีรษะจนหน้าคว่ำเมื่อครู่ย่นคออย่างขลาดกลัวก่อนรีบเอ่ยคำ
"แหะๆ พี่ใหญ่พูดถูก ข้าลืมไป แต่เช่นนั้น...หรือเรื่องครั้งนั้นจะเป็นอดีตประมุขพรรคต้าไห่กัน?"
"ใครจะรู้ได้? อดีตประมุขพรรคตายไปนานแล้ว หากเจ้าอยากรู้ไยไม่ลองจุดธูปถามดูเล่า?"ชายผู้เป็นพี่ใหญ่เอ่ยอย่างเข่นเขี้ยว เมื่อน้องชายร่วมสาบานผู้โง่งมของตนยังคงซื่อบื้ออย่างน่าตายเช่นเคย
"พี่ใหญ่อย่าสนใจเจ้าโง่นี่เลย ว่าแต่ท่านมีแผนการอย่างไรต่อ?"ครั้นเห็นพี่ใหญ่เริ่มโมโหอีกรอบ ชายร่างเล็กจึงวกเข้าประเด็นหลักเพื่อปรึกษา
"ข้าจะลงใต้ไปหาพี่สะใภ้เจ้า รอให้คนพวกนั้นเลิกลักพาคนค่อยกลับมา"
"เช่นนั้นพวกข้าจะไปกับท่านด้วย"
"เอ๋? อะ ใช่ๆ ข้าไปด้วยๆ!"
...
หยางเพ่ยอิงฟังคำพูดทำนองเดียวกันซ้ำไปซ้ำมา ในบรรดานั้นเรื่องราวที่มารร้ายอิ่นจือได้กระทำถูกพูดถึงเป็นครั้งคราว และมันยิ่งสะกิดไฟแค้นที่ถูกกดไว้ให้ลุกโหม แต่หยางเพ่ยอิงได้รับการขัดเกลาจิตใจมาแต่ยังเยาว์จึงสามารถสะกดข่มอารมณ์ในใจลงและครุ่นคิดถึงข้อมูลที่ได้รับ
ถ้อยคำทั้งหมดที่ได้ฟังชี้ชัดว่ากลุ่มบุรุษที่หายตัวไปในช่วงครึ่งปีมานี้เกี่ยวข้องกับพรรคต้าไห่ และ...ประมุขพรรคต้าไห่
มารร้ายอิ่นจือได้ปรากฏตัวขึ้นครั้งแรกเมื่อหลายสิบปีก่อน ดังนั้นจึงย่อมไม่ใช่คนเดียวกับประมุขพรรคต้าไห่คนปัจจุบัน แต่การรวบรวมบุรุษเช่นนี้ก็ดูน่าสงสัย ต่อให้ไม่เกี่ยวข้องกัน แต่อีกฝ่ายก็น่าจะกำลังฝึกวิชาต่ำช้านั่นอยู่จริง
วิชานอกรีตน่ารังเกียจ!
หยางเพ่ยอิงคิดทบทวนแล้วก็ตัดสินใจใช้ตนเองเป็นเหยื่อล่อ ยามนี้เขาอายุเพียงสิบแปดนับว่าอยู่ในเกณฑ์ที่คนเหล่านั้นต้องการ หากถูกจับตัวไปย่อมสามารถแฝงตัวสืบข่าวได้โดยไม่มีพิรุธ ทว่า เรื่องครานี้อันตรายนัก เขาจึงต้องเตรียมตัวให้พร้อม เมื่อถึงยามคับขันจะต้องหลบหนีออกมาได้โดยปลอดภัย
เมื่อคิดถึงตรงนี้หยางเพ่ยอิงก็ลูบอกซ้ายของตนเบาๆ ซึ่งที่ด้านในอกเสื้อมีป้ายหยกแผ่นนั้นอยู่
ชายหนุ่มเข้าใจดีที่ท่านอาจารย์มอบตำแหน่งหัวหน้าพรรคพิราบขาวให้กับเขา ไม่ใช่เพียงต้องการสนับสนุนเขาเท่านั้น แท้จริงแล้วยังเป็นการสร้างห่วงมาเหนี่ยวรั้ง เพื่อไม่ให้ตัวเขาละทิ้งชีวิตของตนเองโดยง่าย แต่เรื่องนั้นหาได้จำเป็นไม่
เพราะตราบใดที่ยังไม่ได้สังหารมารร้ายอิ่นจือเพื่อแก้แค้นให้กับครอบครัว...เขาจะไม่ยอมตายอย่างเด็ดขาด!
หลังจากนั้นไม่กี่วัน หยางเพ่ยอิงที่ปลอมตัวเป็นบัณฑิตก็ถูกคนจากพรรคต้าไห่จับตัวไปเช่นเดียวกับบุรุษคนอื่นๆ เรื่องราวทุกอย่างเป็นไปอย่างง่ายดาย ครั้นเข้ามาด้านในแล้วเขาถึงได้เห็นกับตาว่าพรรคต้าไห่มีสภาพเป็นเช่นไร ในด้านสีสัน สีดำและแดงนับว่ามีมากที่สุด สองข้างทางซ้ายขวาคือเสาแดงนับร้อยต้น พื้นหยกสีนิลให้ความรู้สึกดังดำดิ่งไปในความมืดมิด ทั่วบริเวณเงียบสงัดและมืดมน ทั้งยังแฝงกลิ่นอายน่าครั่นคร้ามเสมือนได้เหยียบย่างเข้าสู่แดนอสูร ภายใต้ความสงบกลับซุกซ่อนความชั่วร้ายและกลิ่นอายความตายเอาไว้
หยางเพ่ยอิงที่เดินตามกลุ่มคนเข้าไปขมวดคิ้วอย่างอดไม่อยู่ เพราะตั้งแต่ก้าวแรกที่เหยียบย่างเข้ามายังสถานที่แห่งนี้เขาก็สัมผัสได้ถึงพลังหยินอันรุนแรงที่ปกคลุมทั่วบริเวณเอาไว้ พลังหยินเหล่านี้หากคนธรรมดาได้สัมผัสเป็นเวลานานจะทำให้ร่างกายอ่อนแอจนล้มป่วยและอายุขัยสั้นลงอย่างรวดเร็ว ส่วนผลกระทบระยะสั้น... มองดูสภาพของกลุ่มคนที่ถูกจับตัวมาพร้อมกับเขาซึ่งยามนี้ใบหน้าซีดขาวดูอ่อนแรงราวกับจะล้มลงได้ทุกเมื่อ กลุ่มคนเหล่านี้ก่อนที่จะเข้ามาด้านในยังมีท่าทีแข็งขืนคิดหลบหนีอยู่บ้าง แต่เวลานี้กลับสงบเสงี่ยมลง เห็นได้ว่าถูกพลังหยินภายในนี้กร่อนพลังชีวิตไปไม่น้อยแล้ว
ช่างเป็นสถานที่ชั่วร้ายจริงๆ!
หยางเพ่ยอิงได้ลอบโคจรพลังบางส่วนมาคลุมกายเพื่อป้องกันไม่ให้ตนถูกพลังหยินทำร้าย แต่กับเหยื่อรายอื่นๆเขาไม่สามารถยื่นมือช่วยเหลือในตอนนี้ เพราะอาจถูกสงสัยได้ โชคดีที่กลุ่มคนที่ถูกพาตัวมาล้วนยังเยาว์วัยจึงไม่มีใครเสียชีวิตระหว่างทาง กระนั้นหยางเพ่ยอิงก็ตั้งมั่นว่าหากมีโอกาสเมื่อใดเขาจะกำจัดสถานที่ชั่วช้าเช่นนี้ออกไปจากแผ่นดินให้จงได้
เดินกันมาได้ครู่ใหญ่ก็ถึงทางแยก ขณะที่พวกเขากำลังจะถูกนำตัวไปยังทางเดินฝั่งซ้ายมือ ก็พลันมีร่างสตรีชุดดำนางหนึ่งเดินมาจากทางแยกขวา ใบหน้าของสตรีนางนั้นนับว่างดงามโดดเด่น หากแต่สีหน้าแววตากลับเย็นชาดุจจะแช่แข็งผู้คน
"ท่านซืออิง"กลุ่มคนจากพรรคต้าไห่เมื่อเห็นสตรีนางนี้ล้วนเร่งประสานมือคาราวะอย่างนอบน้อมเป็นที่สุด ทั้งในแววตายังฉายความรู้สึกเกรงกลัวที่ไม่อาจหลบซ่อน ทว่า โดยไม่สนใจผู้ใด สตรีนางนั้นได้กวาดสายตาเย็นชาคู่นั้นผ่านกลุ่มคน ก่อนหยุดลงที่ร่างของ...เขา
หยางเพ่ยอิงลอบตระหนก เขาเร่งถอนพลังป้องกันออกอย่างเงียบเชียบ
"นายท่านให้ข้ามาพาคนไป"
เสียงเย็นยะเยือกของหญิงสาวไม่ทันจางหาย เงาร่างหนึ่งก็พลันพุ่งออกมาจากฝูงชนด้วยสภาพประหลาด เพราะคนผู้นั้นแลดูคล้ายถูกลากตัวออกมามากกว่าตั้งใจเดินออกมาด้วยตนเอง
หยางเพ่ยอิงซึ่งถูกพลังสายหนึ่งลากออกมาหยุดอยู่เบื้องหน้าสตรีนามซืออิงลอบหลั่งเหงื่อเย็นในใจ เขาเชื่อว่าตนเองไม่ได้เผยพิรุธใด กระทั่งพลังคุ้มกันที่ใช้จนถึงเมื่อครู่ก็ไม่ได้ใช้พลังปราณใดๆ แต่หยิบยืมพลังจากฟ้าดินจึงไม่ควรถูกตรวจพบ ทว่า เรื่องนั้นก็ยังไม่สำคัญเท่ากับความจริงที่ว่าเขาไม่อาจต่อต้านพลังดังกล่าวได้แม้แต่น้อย
หากเมื่อครู่อีกฝ่ายคิดเอาชีวิตเขา...คงง่ายดายยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือแล้ว
"ท่านซืออิง... นี่..."เสียงชายผู้หนึ่งในกลุ่มคนที่จับตัวชาวบ้านมาเอ่ยทักท้วงด้วยใบหน้าลำบากใจ หญิงสาวนามซืออิงเพียงปรายตามองแล้วเอ่ยเสียงเย็นแฝงเร้นด้วยไอสังหาร
"เจ้ามีปัญหากับคำสั่งของนายท่านงั้นรึ?"
นัยน์ตาเย็นชาของหญิงสาวส่อแววอันตรายจนผู้ถูกถามรีบเร่งส่ายหัวตอบปฏิเสธอย่างกลัวตาย
"ไม่ๆ ไม่ขอรับ เชิญท่านซืออิงพาคนไปได้เลยขอรับ!"
หญิงสาวแค่นเสียงดูถูกหนึ่งก่อนตวัดสายตามามองเขา อึดใจต่อมาร่างของหยางเพ่ยอิงก็พลันลอยขึ้นเหนือพื้น และเมื่อหญิงสาวหมุนตัวเดินย้อนกลับไปยังทางเดินฝั่งขวา ร่างของเขาก็ลอยละล่องตามหลังไปคล้ายสิ่งของชิ้นหนึ่ง
เวลาครึ่งถ้วยชาผ่านไปอย่างไร้ความหมาย หยางเพ่ยอิงที่ตลอดทางครุ่นคิดหาหนทางหลบหนีได้ลอยตามหญิงสาวเข้าไปในห้องห้องหนึ่ง ในห้องนั้นมีชายชุดดำผู้หนึ่งนอนตะแคงอยู่บนตั่งนั่งสีแดงหรูหราด้วยท่าทางเกียจคร้าน
หยางเพ่ยอิงเพ่งมองดูบุรุษผู้นั้น ใบหน้าอ่อนเยาว์ของชายหนุ่มหล่อเหลาโดดเด่นอย่างหาได้ยาก หากแต่คิ้วตาและมุมปากที่ยกยิ้มล้วนแผ่กลิ่นอายชั่วร้ายออกมา ซึ่งหากเขาคาดไม่ผิด คนผู้นี้คงเป็นนายท่านที่หญิงสาวเอ่ยเรียก หรือก็คือมัจจุราชแดนเหนือ ประมุขมารโฉดชั่วที่สังหารบิดามารดาของตนเพื่ออำนาจ
ไห่เป่ยผิง...นามของมารร้ายลำดับที่สองที่เขาตั้งเป้าหมายว่าจะกำจัดทิ้งในเร็ววัน
"นายท่าน ข้าพาคนมาแล้วเจ้าค่ะ"หญิงสาวนามซืออิงกล่าวกับชายชุดดำด้วยน้ำเสียงเย็นชาเช่นเดิม หากแต่ท่าทียามเอ่ยคำกลับสัมผัสได้ถึงความนอบน้อมเฉกเช่นข้ารับใช้เอ่ยคำกับเจ้านาย
"ดี"ชายชุดดำยันตัวขึ้นจากตั่งอย่างเชื่องช้า เส้นผมสีดำทิ้งตัวดังม่านน้ำตกสะท้อนกับแสงโคมแก้วในห้องจนแลดูเงางามนุ่มลื่นดุจแพรไหม สาบเสื้อบนตัวหลุดลุ่ยจนดูไม่เหมาะสม แต่ชายหนุ่มกลับไร้ท่าทีสนใจ หลังนั่งตัวตรงแล้วก็ทำเพียงเอ่ยคำสั้นๆ "ออกไปได้"
หญิงสาวหมุนตัวเดินออกไปตามคำสั่งอย่างไร้ความลังเล ทิ้งหยางเพ่ยอิงที่มีสภาพดังโดนมัดมือเท้าไว้กับชายหนุ่มตามลำพัง
"เชิญนั่ง"ชายชุดดำเอ่ยเสียงเบา แต่เพียงเท่านั้นพลังที่ควบคุมร่างของเขาอยู่ก็หายไป หยางเพ่ยอิงที่ไร้พลังปริศนาพยุงกายพลันร่วงหล่นลงมา แต่เขาเพียงเตะเท้ากับพื้นเบาๆก็สามารถทรงตัวเอาไว้ได้ ชายหนุ่มหันไปมองผู้เอ่ยคำเชื้อเชิญอย่างหวาดระแวง ทว่าอีกฝ่ายเพียงแย้มยิ้มพลางเอ่ยเสียงไม่จริงจัง
"หัวหน้าพรรคพิราบขาวคนใหม่ช่างขี้ระแวงเสียจริง แต่เจ้าควรนั่งลงก่อน หากข้าอารมณ์ดี วันนี้อาจไม่มีคนต้องตาย"
คำเรียกขานทำให้หยางเพ่ยอิงทราบว่าตัวตนถูกเปิดโปงแล้ว ครั้นคิดได้เขาจึงเดินไปนั่งยังเก้าอี้กลมที่ตั้งอยู่ข้างตั่ง พลางเอ่ย "มัจจุราชแดนเหนือ?"
ชายหนุ่มเพียงหัวเราะตอบรับ หยางเพ่ยอิงไม่เข้าใจเหตุผลที่อีกฝ่ายหัวเราะ แต่ในใจของเขายืนยันการคาดเดาของตัวเอง แววตาที่มองไปยังอีกคนจึงเต็มไปด้วยความหนาวเย็น
"เจ้าต้องการอะไร?"
คนโดนถามเลิกคิ้ว และอึดใจต่อมาป้ายไม้ที่คุ้นตาก็ปรากฏขึ้นในมืออีกฝ่าย
"ธรรมะ อธรรม เป็นข้าตัดสิน"
ลายมือคุ้นเคยกับข้อความที่ได้เห็นทำให้หยางเพ่ยอิงฉุกคิดขึ้นได้ว่าผู้ที่เขาตอบโต้ด้วยในครั้งนั้น...คล้ายจะเป็นคนผู้นี้
ช่างบังเอิญอย่างไม่น่าเชื่อ
"ข้าแค่อยากรู้ว่าผู้เขียนถ้อยคำเหล่านี้มีความสามารถเพียงใด"ชายชุดดำเอ่ยอย่างเกียจคร้าน มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม ทว่า ยากนักจะคาดเดาความคิดที่ซุกซ่อนอยู่เบื้องหลังรอยยิ้มชั่วร้ายนั้น
"เมื่อกล้ากล่าวอวดอ้างว่าตนเองสามารถตัดสินระหว่างความดีเลว ธรรมะและอธรรมได้ เช่นนั้นข้ามีคำถามสามข้อมาทดสอบ หากผ่านไปได้ เช่นนั้นเจ้าก็รอด แต่หากไม่ผ่าน..."คนพูดละถ้อยคำตอนท้ายไปอย่างมีนัย แต่หยางเพ่ยผิงสามารถคาดเดาความหมายได้ไม่ยาก ดังนั้นสีหน้าของเขาจึงจริงจังขึ้น
ถึงไม่อาจแน่ใจว่าอีกฝ่ายจะรักษาคำพูด แต่เขายังคงต้องถ่วงเวลาออกไปเพื่อหาทางรอด เขาจะตายไม่ได้ ต้องไม่ใช่วันนี้!
"ครอบครัวหนึ่งมีลูกสองคน หนึ่งเป็นหญิง อีกหนึ่งเป็นชาย ด้วยฐานะทางบ้านพวกเขาจึงเลือกเลี้ยงได้เพียงคนเดียว ส่วนอีกคนจะต้องถูกส่งออกไป เป็นเจ้าจะทำอย่างไร?"
คำถามแรกฟังดูเรียบง่าย แต่หยางเพ่ยอิงขบคิดอย่างถ้วนถี่ก่อนสอบถามกลับ
"เด็กจะถูกส่งไปที่ใด? ครอบครัวดังกล่าวทำอาชีพใด? สุขภาพของเด็กทั้งสองคนเป็นอย่างไร?"หยางเพ่ยอิงเอ่ยคำถามมากมายจนฝ่ายโดนถามกลับเผยสีหน้าฉงน
"ถามสิ่งเหล่านี้ไปเพื่ออะไร?"
สีหน้าของหยางเพ่ยอิงไม่แปรเปลี่ยน เขากล่าวชี้แจงด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
"หากเจ้าคิดจะถามคำถาม ก็สมควรอธิบายต้นสายปลายเหตุของเรื่องราวให้ชัดเจน หากครอบครัวนั้นยากจนมากจนฝืนเลี้ยงเด็กได้เพียงคนเดียว เช่นนั้นก็อาจจำเป็นต้องส่งเด็กอีกคนออกไปจริง แต่ก็ต้องดูด้วยว่าสถานที่ที่เด็กถูกส่งออกไปนั้นคือที่ใด หากเป็นตลอดค้าขายทาสหรือหอโคมก็มิควรส่งสตรีออกไป แต่หากเป็นครอบครัวอื่นที่ขาดแคลนบุตรและต้องการรับเลี้ยงเด็ก ก็สามารถเลือกพิจารณาส่งเด็กที่สุขภาพร่างกายอ่อนแอกว่าออกไป"
"ฮืม... แล้วเหตุใดจึงส่งเด็กที่สุขภาพอ่อนแอออกไป?"
"เพราะเจ้ากล่าวเพียงว่าเด็กผู้หนึ่งจะถูกส่งออกไป เช่นนั้นคนที่คิดรับเลี้ยงบุตรบุญธรรมนี้ก็คงไม่ได้กำหนดว่าต้องการบุรุษมาสืบทอด และย่อมเป็นบุคคลที่มีฐานะพอสมควร การส่งเด็กที่ร่างกายอ่อนแอออกไปจึงจะทำให้เด็กได้มีโอกาสได้รับการดูแลที่ดีกว่า"
หลังได้รับฟังคำตอบ ไห่เป่ยผิงก็เงียบงันไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเผยยิ้มเกียจคร้านแล้วเอ่ยคำถามที่สอง
"คำถามที่สอง เจ้าเป็นคนที่กำลังจะอดตาย และได้บังเอิญเจอเข้ากับเศรษฐีที่ใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย เจ้าจะเลือกทำอย่างไร?"
คำถามนี้ฟังดูชี้นำยิ่งกว่าคำถามแรก คล้ายต้องการให้เขาตอบว่าลงมือปล้นชิงหรือกระทั่งสังหารเศรษฐีดังกล่าว
"เอ่ยขอร้องให้เขามอบเงินหรืออาหารให้สักเล็กน้อย"หยางเพ่ยอิงตอบด้วยสีหน้าที่ไม่เปลี่ยน กลับเป็นฝ่ายคนฟังที่เลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ
"เจ้าไม่มีศักดิ์ศรีรึ"อีกฝ่ายกล่าวปรามาส แต่หยางเพ่ยอิงไม่สะทกสะท้านต่อคำพูดดูถูก เขาเพียงตอบกลับด้วยเสียงติดเย็นชา
"การสังหารคนบริสุทธิ์เพื่อชิงทรัพย์นับเป็นเรื่องมีเกียรตินักหรือ? ข้าไม่เห็นว่าการขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นในยามที่ตนกำลังลำบากและอับจนหนทางเป็นเรื่องน่าอับอายแต่อย่างใด ทั้งข้าไม่ได้คิดจะเป็นฝ่ายรับมาแต่เพียงฝ่ายเดียว เมื่อข้ามีโอกาสย่อมคิดหาทางตอบแทนพระคุณของผู้ที่เคยช่วยเหลือ"
หลังตอบคำถามนี้ ฝ่ายตรงข้ามก็แสดงสีหน้าขบขัน นัยน์ตาสีดำลึกล้ำคล้ายทอประกายวาบ ซึ่งไม่รู้เพราะเหตุใดเมื่อเห็นสีหน้าเช่นนั้นเขาพลันรู้สึกถึงสังหรณ์ร้าย และก่อนจะได้ทันขบคิด หยางเพ่ยอิงก็เห็นอีกฝ่ายปรบมือสองทีเป็นสัญญาณ
สิ้นเสียงปรบมือ เงาร่างของสตรีนามซืออิงก็ได้เดินเข้ามาอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้เบื้องหลังของนางมีคนกลุ่มหนึ่งถูกพาตัวเข้ามาในสภาพเดียวกับตัวเขาก่อนหน้านี้
ใบหน้านิ่งขรึมไม่ไหวติงของหยางเพ่ยอิงในที่สุดก็เผยร่องรอยตกใจ และในเวลาเดียวกัน เสียงทุ้มเปี่ยมเสน่ห์ของปีศาจร้ายก็ได้เอ่ยกระซิบคำถามสุดท้าย
"ตัวเลือกระหว่างคนกลุ่มนี้กับชีวิตของเจ้า...อะไรสำคัญกว่ากัน?"
หยางเพ่ยอิงหลังได้ยินคำถามชัดก็ลบความรู้สึกบนใบหน้าทิ้ง เขามองดูกลุ่มคนชุดขาวที่ล้วนแต่เป็นศิษย์ร่วมพรรคด้วยแววตายากคาดเดา ในใจคิดตรึกตรองตาม
ชีวิตตน กับ ชีวิตผู้อื่น
สิ่งใดสำคัญกว่ากัน?
ความคิดเห็น