คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : องก์หนึ่ง
ซู่ๆ...
เสียงสายน้ำบริสุทธิ์ไหลรินจากภูเขาหินลงสู่สระน้ำใสที่มีปลาน้อยใหญ่ว่ายเวียนฟังดูสดชื่นรื่นหู
ห่างจากตัวสระกว้างไปไม่ถึงร้อยก้าวมีทางเดินที่ทำจากหยกขาวอุ่นเนียนลื่นชวนสัมผัสอยู่
ท่ามกลางหมอกขาวหนาบางที่ลอยอ้อยอิ่ง ทางเดินที่ทอดยาวและถูกรายล้อมไปด้วยพรรณไม้งามกลิ่นกรุ่นนานาพันธุ์นั้น
ดูราวกับจะเป็นเส้นทางสู่สรวงสวรรค์ก็มิปาน โดยปลายทางของเส้นทางสีขาวดังกล่าวคือตัวเรือนโบราณสีแดงตัดดำสูงเสียดฟ้างามวิจิตร
ซึ่งว่ากันว่า...เป็นที่พำนักของผู้ชั่วร้ายที่สุดในใต้หล้า
‘ไห่เป่ยผิง’ หรือสมญานาม ‘มัจจุราชแดนเหนือ’
ชายที่ขึ้นชื่อว่าชั่วร้ายที่สุดในใต้หล้า ยามนี้กลับมีสภาพไม่ต่างจากคนตาย
ใบหน้าหล่อเหลาร้ายกาจที่ทำให้ผู้คนมากมายยอมสยบยามนี้ซีดขาวดุจศพ คิ้วตาอันทรงเสน่ห์และดึงดูดใจผู้คนหลับพริ้ม
กระทั่งริมฝีปากแดงสดราวกับผลอิงเถาก็เผือดสีปนช้ำม่วง แผ่นอกแกร่งที่ถูกบดบังด้วยเสื้อคลุมสีดำบนร่างแทบไม่มีร่องรอยกระเพื่อมไหว
ประหนึ่งทั้งชีพจรและลมหายใจของเจ้าของร่างได้ยุติลงแล้ว ซึ่งคงมีไม่กี่คนที่จะกล้าพูดอย่างเต็มปากว่าสภาพเช่นนี้ของชายหนุ่มเป็นเพียงการหลับใหลหาใช่สิ้นชีพ
“เขายังไม่ตื่นอีก?”คำถามด้วยน้ำเสียงทุ้มห้าวโทนหงุดหงิดดังมาจากร่างสูงเพรียวในชุดสีแดงสดสวมทับด้วยเกราะเหล็กสีดำสนิทอันเป็นเครื่องแต่งกายประจำตำแหน่ง โดยที่สายรัดเอวของผู้พูดซึ่งทำมาจากหนังงูนิลดำมะเมื่อมได้ห้อยหยกพกสีขาวไว้อันหนึ่ง
“พิษในกายของเขารุนแรงเกินไป ข้าทำได้แต่ขับออกทีละนิด”เสียงนุ่มแผ่วที่เอ่ยฟังเบาบางดังหยาดฝนโปรย ผู้กล่าวคือชายผมขาวชุดสีฟ้าโปร่งผู้มีใบหน้านิ่งสงบดุจนักพรต ซึ่งกำลังเก็บเข็มสีทองคำขนาดเกือบสองฝ่ามือทั้งเก้าเล่มลงใส่กล่อง ทว่าเข็มสีทองคำ หรือของวิเศษที่ถูกขนานนามว่า ‘เข็มเพรียกวิญญาณ’ ทั้งเก้าเล่มที่เพิ่งถอนออกมาจากร่างที่หลับใหลนั้น ยามนี้ ตัวเข็มเกือบทั้งเล่มที่เดิมมีสีทองสว่างได้แปรเปลี่ยนเป็นสีดำสนิทดุจถูกอาบย้อมด้วยน้ำหมึก
“เห็นทีฉายาหมอเทวดา...คงเป็นได้แค่อดีต”ชายชุดสีเหลืองนวลที่นั่งไขว้ขาจิบชาอยู่ไม่ไกลเอ่ยทอดถอนด้วยเสียงอ่อนหวานพลางโบกพัดจีบสีแดงในมือไปมา สายลมที่เกิดจากแรงพัดเล่มนั้นนอกจากจะพัดเส้นผมสีน้ำตาลของผู้ถือให้พลิ้วไหว มันยังส่งกลิ่นหอมประหลาดออกมาเบาๆ ซึ่งกลิ่นนั้นคล้ายกลิ่นของดอกไม้ และทั้งคล้าย...กลิ่นซากศพ
“พิษที่แต่เดิมไร้หนทางรักษา กลับยื้อมาได้ถึงสามสิบปี นับว่าเป็นยอดฝีมือไร้ผู้เทียบเทียม”ชายชุดเขียวผู้มีรูปลักษณ์งามสง่าดังบัณฑิตซึ่งกำลังง่วนอยู่กับการป้อนอาหารให้กับ ‘นกโสมแห่งแม่น้ำเหลือง’ นกสีเหลืองลายดำในกรงเหล็กกล่าวคำเสียงอ่อนโยนพลางถอนใจ
“กล่าวอะไรกันให้มากความ สุดท้ายคนก็ยังไม่ฟื้นอยู่ดี”ชายชุดส้มเจ้าของเส้นผมสีทองเปล่งประกายดุจแสงตะวันเอ่ยแดกดัน ทว่าไม่ว่าจะเป็นดวงตาสีฟ้างดงามดังอัญมณีที่ถูกเจียระไนอย่างประณีต หรือน้ำเสียงใสกังวานเพราะพริ้งดุจเสียงของวิหคสวรรค์ก็ล้วนแต่ดีงามและล้ำค่าจนเป็นเหตุให้ไม่มีผู้ใดคิดถือสา กล่าวคำจบคนก็สะบัดมือโยนอาหารปลาออกไปด้านนอก ซึ่งมีเพียงผู้โยนเท่านั้นที่รู้ว่าอาหารเหล่านั้นได้ตกลงไปในสระเบื้องล่างหรือไม่
“ใช่ๆ หากจะมาเสียเวลาพูดเรื่องซ้ำซากเช่นนี้ ไยไม่แยกกันไปหาของที่ใช้ขับพิษแทนซะเล่า”ชายชุดม่วงที่เพิ่งมาใหม่เอ่ยสำทับพลางโยนถุงหนังใบใหญ่ที่แบกมาไกลลงพื้น หากแต่ถุงใบนั้น แทนที่เมื่อตกกระทบพื้นแล้วจะเกิดเสียงกระแทก มันกลับร่อนลงจอดอย่างแผ่วเบา จากนั้นก็คลี่ออกจากกันเผยให้เห็นสิ่งของภายใน ซึ่งบนแผ่นหนังสีอ่อนจางที่กางออกนั้นมีดอกไม้ที่รูปร่างคล้ายดอกบัวหิมะ แต่มีกลีบสีม่วงเข้มโปร่งใสดุจผลึกนับสิบดอกเบ่งบานอยู่ โดยดอกบัวเหล่านั้นยังคงไม่สะเด็ดน้ำราวกับเพิ่งถูกเด็ดขึ้นมาจากสระ
“โอ๊ะ ‘บัวม่วงเพลิงพิษ’ ไม่เลวนี่”ชายชุดส้มที่หันมามองกล่าวชมเมื่อเห็นดอกไม้เหล่านั้น
“ฮึ ดูซะก่อนว่าข้าคือใคร”ชายชุดม่วงที่โดนชมก็ยืดอกรับเต็มที่ ซึ่งยามเอ่ยคำ นัยน์ตาสีเหลืองอำพันของเจ้าตัวพลันเปล่งประกายด้วยความภาคภูมิ
“แน่นอนว่าไม่มีใครเก่งเกินจอมโจรเด็ดบุปผาเช่นเจ้า”ชายชุดเขียวว่าสำทับด้วยน้ำเสียงเป็นเหตุเป็นผลอย่างที่คนฟังถึงกับสำลัก
“แค่ก! ข้ามีฉายาว่าจอมโจรร้อยบุปผาต่างหาก อย่าเที่ยวมาเปลี่ยนตามใจชอบนะ!”
“พวกเจ้าเงียบหน่อย”ชายชุดขาวที่นิ่งเงียบมาตลอดเอ่ยคำเบาๆ แต่นั่นกลับทำให้ทุกสรรพเสียงในห้องเงียบลงทันตา นัยน์ตาคมวาดผ่านผู้คนก่อนหยุดที่ร่างของผู้ที่กำลังหลับใหล
“เขาจะฟื้นเมื่อไหร่?”
คำถามนี้ของชายชุดขาว ในยามนี้คงมีเพียงชายชุดฟ้าที่สามารถให้คำตอบได้
“หากขับพิษออกจนหมด...อีกยี่สิบปีคงจะฟื้น”
คำตอบที่ได้รับทำให้เหล่าคนฟังนิ่งงัน สายตาทุกผู้ในที่นั้นมองไปยังคนที่ยังคงอยู่ในห้วงนิทรา ชายที่ครั้งหนึ่งพวกเขาเคยเกลียดชังสุดหัวใจ
“ยี่สิบปี...”ชายชุดขาวทวนคำที่ได้ยินด้วยเสียงที่ราวกับจะย้ำกับตัวเอง ก่อนหมุนร่างจากไปในอึดใจต่อมา ทิ้งไว้เพียงถ้อยคำเล็กๆ หากแต่หนักอึ้ง “ข้าจะรอ”
พันหมื่นฤดูกาลผันเปลี่ยน เวลาล่วงเลยจนเมื่อแสงอรุณแห่งคิมหันต์มาเยือนอีกครา คนที่หลับใหลมาเนิ่นนานก็ได้ลืมตาขึ้นช้าๆ
ทว่าถึงจะลืมตาแล้ว แต่เจ้าของใบหน้าหล่อเหลาที่แฝงกลิ่นอายร้ายกาจก็ยังคงนอนนิ่งอยู่บนเตียงเตาสีแดงสด แววตาของอีกฝ่ายดูเลื่อนลอยดุจยังคงจมอยู่ในห้วงฝัน จนกระทั่งเวลาผ่านไปครู่ใหญ่ นัยน์ตาสีดำเข้มดุจน้ำหมึกคู่นั้นจึงสะท้อนประกายชีวิตออกมา
หลังได้สติ ชายหนุ่มจึงหยัดตัวขึ้นจากเตียงด้วยท่าทีสุดแสนจะเกียจคร้าน ซึ่งการขยับตัวอย่างไม่ระวังนี้เองทำให้เสื้อคลุมสีดำบนร่างหลุดลุ่ยเผยให้เห็นช่วงลำคอและแผ่นอกแกร่งวับวาม แต่แม้จะรู้ตัวแล้วผู้สวมใส่ก็หาได้คิดจัดแจงเสื้อผ้าให้เข้าที่ ฝ่าเท้าขาวเปลือยเปล่าเพียงหย่อนลงบนพื้นหยกสีนิลเบื้องล่างอย่างคุ้นเคย ก่อนจะชะงักไปเมื่อพบความผิดแปลก
ฝ่าเท้าที่ควรสัมผัสถูกพื้นกลับผลุบหายลงไปอย่างน่าพิศวง ชายหนุ่มพลันชักเท้าขึ้นอย่างประหลาดใจ ก่อนจะก้มหน้าสำรวจตัวเองอย่างถี่ถ้วน ตอนนี้เองที่เขาพลันพบว่าร่างกายของตนโปร่งแสง ดูรางเลือนเฉกเช่นหมอกควัน แต่เมื่อลองทบทวนความทรงจำอย่างรอบคอบก็เข้าใจได้
ดูเหมือนว่าตัวเขาในตอนนี้จะกลายเป็น ‘วิญญาณ’ ไปแล้ว
ไห่เป่ยผิงใช้เวลาเพียงไม่กี่อึดใจในการทำความเข้าใจความจริงนี้ ชายหนุ่มเปล่งเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ อย่างที่ไม่มีผู้ใดใคร่เข้าใจถึงเหตุผลที่เจ้าตัวหัวเราะ ร่างแกร่งก้าวลงจากเตียงอีกครั้ง โดยครั้งนี้ร่างสูงควบคุมให้ฝ่าเท้าลอยเหนือพื้นเล็กน้อย ชายเสื้อคลุมยาวถูกลากระพื้นไปตามจังหวะก้าวเดิน จนกระทั่งไปหยุดยืนตรงระเบียงฝั่งหนึ่ง
แสงอรุณของวันดูเจิดจ้า สะท้อนภาพทิวทัศน์อันงดงามราวสรวงสวรรค์ นัยน์ตาเกียจคร้านทอดสายตามองทั่วบริเวณ ก่อนจะทิ้งตัวดิ่งลงสู่เบื้องล่าง
อาจเพราะกลายเป็นวิญญาณแล้วทำให้น้ำหนักของร่างกายหายไป กว่าจะลงสู่พื้นดินได้จึงใช้เวลานานถึงสามสิบลมหายใจ แทนจากเดิมที่ใช้เวลาเพียงครึ่งลมหายใจเท่านั้น
ไห่เป่ยผิงทอดมองสภาพรอบกายที่ไม่ต่างจากเดิม ยังคงมีภูเขาหินและสระน้ำนั้น ยังคงมีพรรณไม้อันหอมหวนและทางเดินหยกขาว ทุกสิ่งล้วนไม่แตกต่างจากวันวาน ทว่า กลับเงียบเหงาปราศจากเงาร่างผู้คน
แม้จะเหลือเพียงวิญญาณแล้ว แต่ความสามารถเชิงยุทธ์ที่ติดตัวมานานนั้นคล้ายยังคงอยู่ ไห่เป่ยผิงยังจับสัมผัสได้ว่าบริเวณสามพันลี้ทั่วสี่ทิศไร้ซึ่งเงาสิ่งมีชีวิตใดๆ กระทั่งกลุ่มนักรบเงาที่ตัวเขาเคยวางทิ้งไว้เพื่อคุ้มกัน ‘เรือนหอ’ แห่งนี้ก็ไม่เหลืออยู่แม้แต่คนเดียว
ไห่เป่ยผิงเลิกคิ้วน้อยๆ แต่แทนที่จะแปลกใจเรื่องไม่มีคน เขากลับนึกแปลกใจที่ที่นี่ยังคงมีสภาพเช่นเดิม ไม่ได้ถูกคนใจร้อนบางคนเผาทำลายทิ้งตามที่เคยลั่นวาจาไว้มากกว่า หรือเพราะเห็นว่าเขาตายไปแล้วจึงไม่ใส่ใจจะลงมือกันนะ?
ชายหนุ่มหัวเราะอีกครั้งพลางพุ่งหายไปยังทิศที่มีเสียงผู้คน
ณ ตลาดใหญ่ที่แสนคึกคัก ไห่เป่ยผิงเลือกพาร่างวิญญาณของตนลอยข้ามศีรษะผู้คนตรงดิ่งไปยังโรงเตี๊ยมแสวงรัก หนึ่งในบรรดากิจการนับหมื่นที่ตัวเขามี สถานที่แห่งนี้คือแหล่งรวมซึ่งสุราอาหารรสเลิศและข่าวสารล้ำค่า เหตุผลที่เขามาที่นี่ย่อมไม่ได้มาเพื่อหวังดื่มกินสิ่งใด แต่เพื่อรอฟังข่าวสารที่ต้องการ และก็ไม่ผิดหวัง เมื่อหลังจากดีดตัวขึ้นไปนั่งยังโต๊ะประจำได้ไม่ทันสุราจะหายอุ่น ข่าวที่ต้องการก็ลอยมาเข้าหู
“เจ้าว่าช่วงนี้แม่ทัพสีแดงแห่งแคว้นฉู่ผู้นั้นจะอาละวาดหนักมือไปหน่อยรึไม่? ข้าได้ยินว่าพรรคตะวันฉายกับพรรคใบไม้ครามเพิ่งถูกกองทัพของเขากำจัดไปเมื่อเจ็ดวันก่อน”
“นั่นมันเรื่องเก่าแล้ว! เจ้ายังไม่ได้ยินเรื่องเมื่อสองวันก่อนล่ะสิ ตระกูลใหญ่อย่างตระกูลโจวที่เคยรุ่งโรจน์ยามนี้ได้จบสิ้นแล้ว ทั้งหมดล้วนถูกกวาดล้าง กลายเป็นศพรวมทั้งสิ้นสองร้อยเก้าสิบเอ็ดชีวิต!”
“จริงหรือ? แต่ตระกูลโจวเป็นถึงตระกูลขุนนางขั้นสามไม่ใช่รึ เหตุใดจึงเกิดเรื่องเช่นนี้ได้?”
“ข้าได้ยินคนลือกันว่าคุณหนูใหญ่สกุลโจวมีใจให้แม่ทัพรูปงามจึงได้ลงมือยั่วยวน... ส่วนเรื่องนี้จะจริงเท็จเพียงใดข้าก็ไม่แน่ใจนัก”
ฟังมาถึงตรงนี้ไห่เป่ยผิงพลันได้ยินบทสนทนาน่าสนใจดังมาจากอีกมุม
“นี่ เจ้าได้ยินข่าวจอมโจรร้อยบุปผาแล้วหรือยัง?”
“ฮ่า! จะไม่รู้ได้ยังไงกัน ครึ่งเดือนก่อนมิใช่เพิ่งบุกไปวังสยบมารแล้วขโมยของวิเศษมารึ?”
“จุ๊ๆ เจ้าช่างไม่รู้อะไรเสียเลย ถ้าขโมยเพียงของจริง มีรึข่าวจะหลุดออกมาง่ายดายเช่นนี้ ...ข้าได้ยินจากญาติที่ทำงานที่นั่น ว่าในคืนที่วังถูกบุก มีคนได้ยินเสียงคุณหนูฉินผู้งดงามดุจบัวขาวส่งเสียงร้องอยู่นาน!”
“อะฮ้า! เจ้าหมายความว่า...”
“เฮ้อ ข้าเกรงว่านอกจากของวิเศษแล้ว โจรร้อยบุปผานั่นจะเผลอตัวเด็ดบัวขาวต้องห้ามของวังสยบมารไปด้วยน่ะสิ...”
เสียงถอนใจของผู้กล่าวส่งผลให้รอยยิ้มบนใบหน้าไห่เป่ยผิงพลันกดลึก ดวงตาของชายหนุ่มส่องแววอันตรายวาบก่อนเปลี่ยนเป็นนิ่งสงบ บทสนทนาในโรงเตี๊ยมถูกเปลี่ยนไปเรื่องอื่น หลังนั่งรอจนครึ่งวันเขาจึงได้ยินข่าวที่น่าสนใจเพิ่มเติม
“เจ้าว่าตอนนี้มัจจุราชแดนเหนือทำสิ่งใดอยู่?”
เมื่อถูกกล่าวถึง ไห่เป่ยผิงจึงหันไปมองยังโต๊ะริมในสุดที่มีร่างอ้วนผอมนั่งก๊งเหล้ากันสองคน เครื่องแต่งกายของทั้งคู่เป็นชุดฝึกยุทธ์สีเหลืองอ่อน คล้ายชุดศิษย์พรรคธรรมมะสักพรรค
“ชู่! เจ้าอยากตายหรือไรจึงได้โพล่งชื่อนั้นออกมา?!”
“เจ้าจะกลัวไปไย? คนผู้นั้นหายหน้าไปจากยุทธภพร่วมห้าสิบปีแล้ว ถึงกับมีบางคนบอกว่าเขาตายไปแล้วด้วยซ้ำ”ชายร่างอ้วนรินเหล้าใส่ชามด้วยสีหน้าไม่ยี่หระ ฝ่ายชายร่างผอมที่วุ่นวายกับการคีบลิ้นเป็ดส่งเสียงจิ๊จ๊ะ
“จิ๊ เจ้าก็อย่าได้แน่ใจไป คราหัวหน้าพรรคพิราบขาวมิใช่เป็นเช่นนี้รึ หายหน้าหายตาไปนับสิบปี ยามนั้นผู้คนต่างคิดว่าคนตายไปแล้ว ไหนเลยจะรู้ว่าเพียงปิดประตูฝึกวิชา ครั้งนี้ข่าวยังไม่ชัดเจนเท่าใด เจ้าริอ่านพูดจาพล่อยๆเช่นนี้ ระวังเถิดส่วนบนของคอจะหายไปไม่รู้ตัว!”
“เจ้าก็พูดเสียจนข้ากลัว”คนพูดแสร้งทำเป็นกอดตัวเองก่อนยกชามเหล้าขึ้นซดรวดเดียวจนหมด พอวางชามลงสีหน้าคนพูดก็เปลี่ยนเป็นแดงก่ำอย่างคนกรึ่มๆ “ว่าแต่ เรื่องที่ตระกูลเหลียงออกประกาศตามหาหมอเทวดาเป็นอย่างไรบ้าง?”
“จะอย่างไรได้เล่า? ยังคงไร้ข่าวคราวเหมือนเคย ข้าคิดว่าพวกเขาควรถอดใจเสีย”ชายร่างผอมกล่าวเสียงเนือย
“เหตุใดเล่า? ยามนี้คุณชายน้อยตระกูลเหลียงต้องพิษสามภพของพรรคมารบุปผา หากไม่ได้หมอเทวดาช่วยรักษาในเร็ววันย่อมต้องสิ้นชีพแน่!”ชายร่างอ้วนขมวดคิ้วว่าเสียงดัง ฝ่ายคนตอบคำได้แต่ชี้แจงเสียงจนใจ
“เจ้าไม่รู้อะไรเสียแล้ว ในใต้หล้านี้จะมีหมอเทวดาได้มากมายเพียงไหนกัน? หมอยิ่งมากฝีมือยิ่งเป็นที่ต้องการ โดยเฉพาะพวกพรรคมาร... เฮ้อ อันที่จริงเมื่อหลายสิบปีก่อนนี้เคยมีหมอเทวดาท่านหนึ่งอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านเชิงเขาใกล้ชายแดนแคว้นฉู่ แต่หมอเทวดาท่านนั้นเพิ่งมีชื่อเสียงได้ไม่นานก็ถูกพรรคมารลักพาตัวไป จนถึงบัดนี้ยังไม่มีข่าวคราว ซึ่งคงไม่พ้นถูกสังหารไปแล้ว”
“พรรคมารใดกันที่ใจกล้าเช่นนั้น?”
“ย่อมเป็นพรรคต้าไห่”
“เจ้าหมายความว่ามัจจุราช...แฮ่ม เป็นคนลักพาหมอเทวดาไปหรือ?”ชายร่างอ้วนถามอย่างตะลึง
“ไม่ผิด มีชาวบ้านหลายคนเห็นเหตุการณ์ครั้งนั้น และพากันคาดเดาว่าต้องมีคนสำคัญในพรรคต้าไห่บาดเจ็บหนักเป็นแน่จึงได้ลักพาคนไปรักษา แต่ผ่านมาจนป่านนี้ หากรักษาได้ก็ควรรักษาหายแล้ว แต่นี่ยังไร้ข่าวคราว เกรงว่าหมอเทวดาท่านนั้นจะเป็นผู้มีคุณธรรมสูงส่ง ไม่ยอมลดเกียรติมารักษาคนชั่วจึงถูกสังหารทิ้ง”ชายร่างผอมว่าเสียงทอดถอนพาให้คนฟังนึกเคียดแค้น
“เจ้าพรรคมารพวกนั้นโหดเหี้ยมเกินไปแล้ว!”
หัวหน้าพรรคมารผู้โหดเหี้ยมที่ยามนี้กลายเป็นเพียงวิญญาณรับฟังคำด่าทอด้วยสีหน้าประดับยิ้มที่ยากจะคาดเดาความหมาย รอจนคล้อยค่ำก็ไม่มีข่าวน่าสนใจแล้ว ชายหนุ่มจึงออกจากโรงเตี๊ยมมาเดินเล่น
เนื่องจากเริ่มมืดค่ำผู้คนจึงบางตา รอจนดวงจันทราส่องกลางศีรษะทั่วท้องถนนก็พลันโล่งโจ้ง หลงเหลือแต่ความเงียบงันเป็นเพื่อนร่วมทาง ระหว่างเดินไปเรื่อยๆ ไห่เป่ยผิงก็ได้ขบคิดหลายอย่าง แต่ก็คล้ายไม่ได้คิดสิ่งใดเช่นกัน เมื่อยามนี้เขาไม่สามารถเรียกฟ้าฝนได้เช่นแต่ก่อน เป็นเพียงดวงวิญญาณร่อนเร่ดวงหนึ่งที่นับวันรอเฮยไป๋อู๋ฉางมารับตัวไปปรโลก
ไห่เป่ยผิงเงยมองดวงจันทร์กลมโตสีเงินบนฟากฟ้าที่ยังคงงดงามเช่นเคยแล้วเผยยิ้มขัน เขาไม่คิดว่าหลังจากงานเลี้ยงอำลาวันนั้นแล้ว ตนจะยังมีโอกาสได้ชมแสงจันทร์อีกครั้ง แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ ตัวเขาก็ขอใช้เวลาที่เหลืออยู่แวะไปเยี่ยมเยียนเหล่า ‘คนคุ้นเคย’ เสียหน่อยแล้วกัน...
คนผู้แรกที่ไห่เป่ยผิงตัดสินใจแวะเวียนไปหาคือสหายที่เปรียบเสมือนศัตรู จ้าวยุทธภพคนปัจจุบัน ‘ซ่งไคว่เล่อ’
ร่างบางในชุดกระโปรงสีชมพูลายดอกเหมยกำลังเอนกายอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่อย่างสบายอารมณ์ ทวงท่าอิสระไร้กฎเกณฑ์นี้ทำให้อยากจะเชื่อว่า ‘นาง’เป็นสตรีผู้หนึ่ง ถูกแล้ว ซ่งไคว่เล่อคือสตรี อีกทั้งยังเป็นสตรีผู้คลั่งการต่อสู้ ทุกคราที่เผชิญหน้ากัน หากไม่ได้ประมือด้วยสักสิบกระบวนท่า อีกฝ่ายจะไม่ยอมปล่อยให้เขาเดินผ่านไปง่ายๆ แต่คงยกเว้นครั้งนี้...
โครม!
“ใครกัน?”คำทักทายที่มาพร้อมเสียงแส้สะบัด ไห่เป่ยผิงมองต้นไม้ใหญ่ข้างกายที่ถูกโค่นหักครึ่งด้วยสีหน้าเรียบเฉย แม้ว่าความจริงหากเขาไม่เบี่ยงตัวหลบคงโดนแส้นั้นฟาดเข้าแล้ว
ไม่ถูกสิ สำหรับตอนนี้ ถึงไม่หลบ แส้เส้นนั้นก็ไม่มีทางโดนตัวเขาได้
“ไม่มีคน?”ซ่งไคว่เล่อมองต้นไม้ต้นนั้นอย่างแปลกใจ แต่เมื่อไม่มีร่องรอยของคนนางจึงเก็บแส้กลับเข้าที่แล้วเอนกายนอนลงดังเดิม เพียงแต่คิ้วเรียวดุจใบหลิวบนยังมุ่นเข้าหากันไม่จาง ฝั่งไห่เป่ยผิงแอบประทับใจเล็กๆ ที่อีกฝ่ายสัมผัสได้ถึงตัวตนของเขาแม้จะรางเลือนก็ตาม
นี่เพราะสัญชาตญาณของนางดี หรือว่า...
ชายหนุ่มส่ายหัวเมื่อรู้ตัวว่าคิดมากเกินไปแล้ว เขามองดูหญิงสาวที่ยังคงมีรูปลักษณ์เยาว์วัย แม้ความเป็นจริงอายุของอีกฝ่ายจะไม่สัมพันธ์กับคำว่า ‘เยาว์วัย’ เลยก็ตาม จนกระทั่งนัยน์ตาใสกระจ่างพริ้มลงอีกครั้งไห่เป่ยผิงจึงจากมา ซึ่งเขาสัมผัสได้ตั้งแต่แรกว่าห่างออกไปเกือบพันลี้มีชายหนุ่มคนหนึ่งแอบเฝ้ามองหญิงสาวอยู่เงียบๆ อย่างเช่นที่เคยเป็นมาตลอด
“ กิ่งเหมยแดงสูงส่ง
หินผาเพียรเฝ้าฝัน
หากกายย่ำต่ำยอบ
ใจถวิลอาวรณ์ ”
คำกล่าวทิ้งท้ายที่คล้ายบทกลอนแต่ก็ขาดสัมผัสไพเราะและความสละสลวยจนน่าขัน เพียงแต่ผู้พูดไม่ใส่ใจ ขณะเดียวกัน คำพูดนั้นก็ไร้ผู้สดับฟัง
ความคิดเห็น