ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เฟิงจิ้น จักรพรรดิสองวิญญา

    ลำดับตอนที่ #1 : ปฐมบทวิญญาณ

    • อัปเดตล่าสุด 20 ก.พ. 64


     

       ในความมืดหม่นไร้สิ้นแสงสว่าง ท่ามกลางความเงียบงันไร้ซึ่งสำเนียง กลุ่มเงามืดที่หมองมัวสองกลุ่มก้อนได้ส่งเสียงร้องขึ้นดุจทารกแรกตื่นจากห้วงนิทรา โดยสุ้มเสียงหนึ่งฟังคล้ายเสียงของสตรีวัยเบญจเพส

       "ฮึก ฮึก..." เสียงสะอื้นร่ำไห้อย่างน่าสงสารดังสะท้อนไปทั่ว กลุ่มเงาดำที่ไร้รูปร่างได้ก่อตัวเป็นเค้าร่างของสตรีสูงโปร่งผู้หนึ่งในกริยาก้มหน้ากอดเข่า ไหล่บางสั่นสะท้านขึ้นลงตามแรงสะอื้น ขณะที่ข้างๆกันปรากฏเงาร่างชายสูงวัยที่มีทีท่าหมดอาลัยตายอยาก เงาร่างของบุรุษคล้ายไม่นำพาต่อเสียงสะอื้น ยังคงประคองกอดยกไหเหล้าขึ้นดื่มไม่จบสิ้น โดยที่มือซ้ายกุมกระบี่คู่ใจไว้แนบกายไม่ห่างหาย

       เนิ่นนานที่ทุกสิ่งดำเนินหมุนเวียนซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกระทั่งเหตุการณ์ได้แปรเปลี่ยน เมื่อเงาร่างของชายกลางคนได้กระทำสิ่งที่ผิดแปลกไป ไหเหล้าที่เคยยกดื่มอยู่นานปีถูกเขวี้ยงทิ้งจนบังเกิดเสียงแตกกระจาย

       เพล้ง!

       "เพ้ย! เฮงซวย บัดซบ ชีวิตข้าช่างแสนบัดซบ!"เสียงสบถด่าจากผู้ที่ไม่เคยปริปากดังก้องพาเสียงสะอื้นไห้ให้หยุดชะงัก เกิดความเงียบชั่วอึดใจก่อนจะเป็นสุ้มเสียงของสตรีที่เปิดปากเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงกล้าๆกลัวๆ

       "กะ...เกิดอะไรขึ้นกับคุณเหรอ?"

       "เฮอะ โลกหล้าสวรรค์ช่างเฮงซวย! ตัวข้าผู้เป็นยอดยุทธ์เกรียงไกรไร้ผู้เทียบเทียม กลับต้องมาสูญสิ้นทุกอย่างไปเพราะไว้ใจคนผิด บัดซบสิ้นดี!"คำกล่าวที่คล้ายทั้งตอบคำถามและเอ่ยกับตัวเองสร้างความฉงนแก่คนฟัง

       "คุณ...โดนหักหลังมาเหรอ?"

       "ฮึ!"คนโดนถามไม่ตอบคำเพียงแค่นเสียงขึ้นจมูกหนึ่งทีก่อนเงียบไป ฝ่ายคนถามหลังนิ่งเงียบไปชั่วครู่ก็เริ่มเปิดปาก

       "ฉัน... ฉันเองก็เหมือนกัน..."พูดแค่นั้นเสียงร้องสะอื้นก็กลับมาอีกคราจนคนฟังทนรำคาญไม่ไหว พ่นลมหายใจหนึ่งทีแรงๆแล้วถามกลับด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ 

       "เกิดอันใดขึ้นกับเจ้า?"

       คำถามนั้นส่งผลให้ทำนบน้ำตาร่วงหล่น หากแต่หญิงสาวพยายามกล้ำกลืนก้อนสะอื้นแล้วเริ่มเล่า

       "ฉัน... ฉันเป็นเด็กกำพร้า... คุณพ่อคุณแม่เสียไปตั้งแต่ยังเล็ก ฉันเลยถูกพวกญาติๆรับไปเลี้ยงแทน แต่... ทั้งคุณลุงคุณป้า พี่มู่เหวิน เสี่ยวซี เสี่ยวเล่ย พวกเขา...ไม่รักฉันเลย ฮึก"ว่าจบเสียงสะอื้นก็ดังขึ้นอีกรอบ

       "ความรัก ฮึ สิ่งที่ล่อลวงผู้คนให้หลงใหลมัวเมาใยไม่ใช่ความโง่เขลาที่เกิดจากคำว่ารัก"เสียงทุ้มต่ำกล่าวอย่างเหยียดหยาม ซึ่งน้ำเสียงยามกล่าวแฝงแววเจ็บแค้น คนฟังจึงเอ่ยไถ่ถามอย่างสงสัย

       "ความรัก...เลวร้ายถึงขนาดนั้นเลยเหรอ?"

       "รักทำให้ผู้คนโง่งม หลงระเริง และเต้นไปมาดังหุ่นกระบอกไผ่ที่ถูกเชิด"คำกล่าวเสียงแค่นชวนให้ผู้ฟังนึกปวดใจแทน ก่อนเอ่ยถามซ้ำอย่างขอคำยืนยัน

       "ถ้าอย่างนั้น...ไม่มีรักย่อมดีกว่า?"

       "ย่อมดีกว่า"

       บทสนทนาคล้ายสิ้นสุดตรงนี้ หลังเสียงตอบคำถามสุดท้ายจางหาย ความเงียบงันพลันเข้าปกคลุม เนิ่นนานนักกว่าจะมีสักฝ่ายเอ่ยคำขึ้น

       "ถ้าอย่างนั้น...ก็อย่าได้มีเลยความรัก อย่าได้มีเลยซึ่งสายสัมพันธ์"เสียงสตรีหวานเอ่ยอย่างเลื่อนลอย ในห้วงความคิดคือภาพเงาร่างของอดีตครอบครัวที่ค่อยๆถูกความมืดกลืนกิน

       "อย่าได้มีซึ่งหัวใจ อย่าได้ใฝ่หาหรือไขว่คว้า"เสียงทุ้มกล่าวต่อคำ สุ้มเสียงคล้ายตักเตือนและตอกย้ำให้ผู้ฟังได้จดจำ พร้อมหวนระลึกถึงใบหน้าของสตรีที่เคยมอบดวงใจให้

       'นั่นสินะ ในเมื่อพวกเขาไม่ต้องการฉัน ไม่เคยต้องการฉัน สิ่งที่ผูกมัดพวกเราไว้มีแค่หน้าที่ จริยธรรม และค่านิยมที่ถูกปลูกฝัง ที่ดูแลฉันมาตลอดไม่เคยมีแม้แต่เศษเสี้ยวความรักและความอบอุ่นแบ่งมาให้ ถ้าอย่างนั้น...!'

       'สิ่งที่ทำให้ข้านึกเสียใจหาใช่การสูญเสียชีวิตอันรุ่งโรจน์ แต่เป็นเรื่องที่หลงไว้ใจพวกจิ้งจอกมากเล่ห์ที่ทำทุกสิ่งเพื่อปีนป่ายสู่จุดสูงสุดจนทำให้ชีวิตต้องดับสูญ ที่ผ่านมาชีวิตคนเช่นข้าก็ต้องล้มลุกคลุกคลานมาตลอด เช่นนั้นกับการถูกผลักลงก้นเหวครั้งนี้ก็เป็นเพียงแค่ด่านทดสอบหนึ่ง สิ่งที่ต้องทำมีเพียงก้าวผ่านมันไปให้ได้...!'

       ปึก!

       กระบี่เหล็กกล้าถูกชักปักตรึงบนผืนดินตั้งตระหง่านไม่ไหวติงขนานกับฟ้า ซึ่งปลายกระบี่คมได้ปักลงตรงกึ่งกลางระหว่างเงาร่างทั้งสองอย่างพอดิบพอดี ก่อนสองเสียงจะเอื้อนเอ่ยขึ้นอย่างพร้อมเพียงโดยไม่ได้นัดหมายกัน

       "หากมีชาติหน้าข้าจะไม่ไว้ใจผู้ใด จะไม่หลงเชื่อคำผู้ใด จะไม่หลงรักใครหน้าไหนอีก!"

       เสียงทุ้มตวาดกร้าวกู่ก้องดุจร้องสาบานกับฟ้าดิน ดังซ้อนกับเสียงสตรีที่ประกาศมั่นด้วยน้ำเสียงเด็ดเดี่ยว

       "หากชาติหน้ามีจริงฉันจะไม่ทำอะไรเพื่อใครนอกจากตัวเองอีก จะไม่ยอมรักใครมากกว่าตัวเอง!"

       สิ้นคำกล่าวของทั้งสองก็พลันมีสายฟ้าสีทองผ่าโครมลงมายังกระบี่เหล็กจนเกิดเสียงกึกก้อง เงาร่างที่มืดมัวสองร่างถูกดึงดูดเข้าหาแสงเจิดจ้าอย่างไม่ทันตั้งตัว และได้ถูกหลอมรวมเข้ากับแสงสีทองสายนั้น ซึ่งเพียงชั่วน้ำเดือด แสงนั้นก็ได้แปรเปลี่ยนรูปลักษณ์กลายร่างเป็นมังกรยักษ์สีทองกู่ร้องคำรามพุ่งดิ่งหายขึ้นไปบนฟากฟ้าอันมืดมิด

       หลงเหลือไว้เพียงกระบี่เหล็กกล้าที่ค่อยๆสลายกลายเป็นเถ้าธุลี

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×