ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เฟิงจิ้น จักรพรรดิสองวิญญา

    ลำดับตอนที่ #9 : บทแปด เบื้องหลังงานประมูล

    • อัปเดตล่าสุด 10 ก.ย. 60


      
       จากนั้นเมื่อปรึกษาหารือกับเฟยจิ่งแล้วก็ได้ข้อสรุปออกมาว่า พวกเขาจะพาลู่หลินหนีไปคืนนี้โดยอาศัยช่วงเวลาที่งานประมูลเลิก ทั้งนี้วิญญาณทั้งสองได้ตกลงใจว่าจะแอบพาลู่หลินเข้าวังเงียบๆ โดยจะให้พักอาศัยอยู่ที่ตำหนักตวนหมิงของพวกเขาจนกว่าเด็กสาวจะหาทางติดต่อกับครอบครัวได้

       ระหว่างรองานเลิกจิ้นเฟยที่ว่างจัดก็จัดการล้วงแป้งทอดไส้หวานที่ซื้อมาจากตลาดออกมากินเล่น แผ่นหลังเอนอิงเสาสีแดงต้นใหญ่ด้านหลัง ส่วนสองตาก็ชมดูการประมูลสินค้าที่ไม่น่าสนใจเท่าไหร่ไปพลาง ซึ่งเมื่อกินไปได้สองสามชิ้นก็เริ่มเลี่ยนจึงสลับให้เฟยจิ่งที่ชื่นชอบขนมรสหวานมากกว่าออกมาช่วยกินแทน

       "นี่ ลุงเฟย ลุงว่าทำไมพวกเขาต้องว่าจัดการประมูลแอบๆแบบนี้ด้วยล่ะ?"จิ้นเฟยว่าขึ้นอย่างสงสัย ขณะที่เฟยจิ่งกัดแป้งทอดในมือพลางถามกลับเสียงเนิบนาบ

       "เหตุใดเจ้าจึงถาม?"

       "ก็มันแปลกนี่ ทั้งๆที่ของที่เอาออกมาประมูลก็มีแค่เสื้อผ้ากับเพชรพลอย แล้วทำไมต้องมาจัดกันที่หอนางโลมแบบนี้ด้วย? ถ้าแค่ของแบบนี้ไม่เห็นต้องทำให้มันดูลึกลับเลย จัดประมูลในที่แบบนี้...ทำอย่างกับพยายามหลบหนีจากสายตาทางการอย่างนั้นแหละ"จิ้นเฟยร่ายข้อสงสัยของตัวเองออกมาด้วยน้ำเสียงครุ่นคิด

       เฟยจิ่งนิ่งไปเมื่อได้ฟังข้อสงสัยของเจ้าเด็กฉลาดที่จับจุดผิดสังเกตได้ไว แต่ด้วยไม่นึกอยากตอบนักจึงกล่าวตัดบทด้วยถ้อยคำที่จิ้นเฟยต้องนึกฉงน

       "เดี๋ยวเจ้าก็รู้เอง"

       ไม่นานนักคำตอบที่จิ้นเฟยอยากรู้ก็ได้ปรากฏ

       หลังจากประมูลผ้าไหมลวดลายอ่อนช้อยงดงามราวอาภรณ์สวรรค์ซึ่งน่าจะเป็นสินค้าชุดสุดท้ายได้จบลง หญิงสาวที่ทำหน้าที่ดังพิธีกรก็ได้ผลัดเปลี่ยนตัวกับหญิงสาวชุดแดงซึ่งจิ้นเฟยจำได้ว่าเป็นคนเดียวกับที่นำทางพวกเขาเข้ามา ขณะที่จิ้นเฟยกำลังนึกสงสัยว่าอีกฝ่ายจะมากล่าวปิดงานหรืออย่างไรก็ต้องขมวดคิ้วเมื่อผู้คนในงานต่างไม่มีทีท่าจะกลับแต่กำลังแสดงท่าทีราวกับรอคอยการมาถึงของร่างบางอยู่

       "แม่นางหงลวี่ออกมาแล้ว"เสียงใครบางคนอุทานขึ้น และตอนนี้เองที่เสียงหวานใสได้กล่าวทักทาย

       "ยินดีที่ได้พบกันอีกครั้ง ในวันนี้ผู้น้อยหงลวี่ต้องขออภัยแขกทุกท่านด้วยที่ทำให้ต้องรอคอย เนื่องจากสินค้าในค่ำคืนนี้มีปัญหาเล็กน้อยจึงทำให้เกิดความล่าช้า..."กล่าวถึงตรงนี้ก็เกิดเสียงเซ็งแซ่ แต่ร่างอรชรในอาภรณ์สีแดงสดก็ยังคงว่าต่อโดยไม่ลดรอยยิ้มบนใบหน้า

       "แต่มิต้องกังวล ทางหอระบำเพลิงรับประกันว่าสินค้าในค่ำคืนนี้จะไม่มีส่วนใดบุบสลาย ทุกๆท่านสามารถรับชมสินค้าได้เลยเจ้าค่ะ"สิ้นคำเสียงโห่ร้องยินดีก็ดังขึ้น

       "สินค้าเหรอ?"จิ้นเฟยทวนคำกับตัวเองอย่างไม่เข้าใจ ณ ตอนนั้นวิญญาณสาวยังคงไม่รู้ว่า...งานประมูลที่แท้จริงกำลังจะเริ่มขึ้นต่อจากนี้...

       เพียงสินค้ารายแรกปรากฏก็ทำให้คนมองตาลุกวาว ผิวกายขาวเนียน เส้นผมสีดำเงางาม ริมฝีปากที่แต้มสีชาดปรากฏรอยยิ้มเบาบางซึ่งเพียงสบกับนัยน์ตาสีม่วงเข้มคู่สวยก็ดังต้องมนต์มายาทันใด นาทีนี้ผู้ที่ไม่หลงไปกับมนต์เสน่ห์อันเย้ายวนนั้นเห็นจะมีเพียงแต่ร่างโปร่งในชุดฟ้าครามที่ยืนอึ้งตะลึงด้วยความรู้สึกที่แตกต่างกับผู้คนโดยรอบ

       สินค้า? สินค้าที่ว่านี่...หมายถึงหญิงสาวที่กำลังเล่นกู่เจิ้งอยู่บนเวทีอย่างนั้นเหรอ?!

       "ลุงเฟย นี่มัน..."

       จิ้นเฟยพูดไม่ออก เสียงคล้ายค้างอยู่ในลำคอ ทางเฟยจิ่งเพียงปรายตามองไปยังหญิงสาวที่อยู่ในอาภรณ์สีดำอย่างเงียบๆ ลวดลายดอกไม้สีแดงสดบนเนื้อผ้าขับให้ร่างงามยิ่งโดดเด่น เสียงกู่เจิ้งที่บรรเลงเพลงหวานโศกซึ้งยิ่งเพิ่มความเสน่หา หากแต่สาวงามที่ว่านั้นท้ายที่สุดแล้วก็เป็นได้เพียงสินค้าชิ้นหนึ่งที่รอผู้คนจับจองเท่านั้น

       หลังถอนสายตาออกมาเขาก็เพียงว่าด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย

       "นี่คือความเป็นจริงที่เจ้าต้องรับรู้"

       "ที่นี่...เขาค้าขายมนุษย์ด้วยกันอย่างนี้เลยเหรอ? มันไม่ผิดกฎหมายเหรอ? บ้านเมืองสมัยนี้ไม่มีกฎหมายห้ามปรามเรื่องแบบนี้เลยเหรอ?"จิ้นเฟยที่หาเสียงตัวเองเจอพ่นคำถามชุดใหญ่อย่างไม่อยากเชื่อ

       "กฎหมายบ้านเมืองย่อมมีอยู่ แต่ผู้ที่ไม่รักษากฎก็มีเช่นกัน"

       น้ำคำเรียบเฉยที่ทีแรกจิ้นเฟยคิดว่าเป็นของเฟยจิ่ง ก่อนจะชะงักแล้วหันไปมองต้นเสียงซึ่งพบว่าเป็นชายสวมหน้ากากที่เจอที่เหลาอาหาร

       "!"

       จิ้นเฟยสบดวงตาสีฟ้าคู่นั้นอย่างอึ้งค้าง ก่อนเป็นเฟยจิ่งที่ว่าด้วยเสียงที่ไม่ตระหนกตกใจราวกับรับรู้การมีอยู่ของอีกฝ่ายอยู่ก่อนแล้ว

       "เมื่อครู่เจ้าเผลอพูดออกมา"

       นั่นเป็นคำเฉลยสำหรับคำถามที่ว่าเหตุใดจู่ๆ ร่างสูงจึงตอบคำถามที่ตนคิดไว้ได้ จิ้นเฟยลอบคาดโทษตัวเองในใจ คราวหน้าคราวหลังต้องควบคุมปากตัวเองให้ดี

       ว่าแต่...เหตุใดจู่ๆชายคนนี้จึงเข้ามาพูดคุยกับพวกเขากัน?

       จิ้นเฟยจับหน้ากากที่สวมเพื่อเช็คว่ามันยังอยู่ดีไหม ก่อนจะสะดุ้งเมื่ออีกฝ่ายเอ่ยถามเบาๆ

       "ท่าทางเจ้าจะมางานนี้โดยไม่รู้อะไรเลยสินะ"

       คำถามนี้ดูเหมือนไม่ต้องการคำตอบ ริมฝีปากบางนั้นยกยิ้มน้อยๆ ซึ่งท่าทีที่คล้ายรู้ทันของอีกฝ่ายทำให้จิ้นเฟยหายใจไม่ทั่วท้อง แต่ก่อนจะพูดอะไรเสียงผู้คนที่แข่งกันเสนอราคาก็ดังขึ้นดึงดูดความสนใจให้กลับไปมองเวทีใหญ่ ราคาที่พุ่งทะยานขึ้นสูงทำเอาคนฟังที่อยู่นอกวงอย่างจิ้นเฟยยิ้มแหย

       "ปั่นราคาขนาดนี้ ท่าทางคนแคว้นอวิ๋นจะร่ำรวยมีกินมีใช้กันเหลือเฟือสินะ"คำพูดบ่นงึมงำของจิ้นเฟยทำให้ร่างสูงที่ยืนอยู่ชิดใกล้หัวเราะออกมา

       "ถ้าพูดให้ถูกคงต้องบอกว่าขุนนางกับพวกพ่อค้าต่างหากที่ร่ำรวย ชาวบ้านทั่วไปไม่มีปัญญาเอาเงินทองมากมายมาละลายเล่นกับสิ่งเหล่านี้หรอก"กล่าวคำพลางมองไปยังผู้คนที่ร่ำร้องเสนอราคา ซึ่งชั่วพริบตานัยน์ตาสีฟ้าคู่นั้นสะท้อนความเย็นชาและแข็งกร้าวออกมาก่อนกลับเป็นเรียบเฉยเหมือนเดิม

       จิ้นเฟยลอบสังเกตท่าทีนั้นหันกลับไปมองเวทีที่ได้เปลี่ยนตัวสินค้า ซึ่งคราวนี้สินค้าชิ้นที่สองที่โผล่มาทำให้ดวงตาต้องเบิกโพลงพร้อมอุทานอย่างไม่คาดคิด

       "ลู่หลิน?!"

       "ลู่หลิน?"ร่างสูงที่ได้ยินคำอุทานถามออกมาอย่างสนใจ"คนรู้จักเจ้าหรือ?"

       จิ้นเฟยไม่ได้ตอบคำ สองตามุ่งจับจ้องไปยังร่างเล็กในชุดขาวที่ปรากฏขึ้นบนเวที เส้นผมสีดำเหมือนน้ำหมึกถูกม้วนเก็บครึ่งหนึ่งก่อนเสียบปักด้วยปิ่นรูปผีเสื้อสีขาวอันเล็ก ทิ้งปอยผมน้อยๆลงคลอเคลียแก้ม ร่างของเด็กสาวค่อยๆยอบตัวนั่งลงตรงใจกลางเวที ก่อนนิ้วเรียวเล็กจะเริ่มดีดบรรเลงบทเพลง

       หลังพิจารณาจับจ้องใบหน้าซึ่งก้มต่ำสนใจเพียงเครื่องดนตรีที่อยู่บนเวทีได้พักใหญ่จิ้นเฟยก็แน่ใจ

       ...ไม่ผิดแน่ นั่นเป็นลู่หลินจริงๆ

       "ทำไงดีล่ะลุงเฟย? ลู่หลินกลายมาเป็นสินค้าไปซะแล้ว!"จิ้นเฟยรีบขอคำปรึกษาจากวิญญาณอาวุโสอย่างร้อนรน ขณะที่เฟยจิ่งเพียงถามกลับด้วยเสียงผ่อนคลาย

       "เจ้าจะเดือดร้อนไปไย?"

       "ไม่ให้เดือดร้อนได้ไงล่ะลุง ลู่หลินกำลังโดนขายนะ!"จิ้นเฟยร้องโวยวายในใจขณะมองไปยังร่างเล็กซึ่งกำลังดีดกู่เจิ้งด้วยท่วงทำนองเศร้าที่ชวนสลดหดหู่ เนื้อหาของบทเพลงเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับดอกไม้น้อยๆ ที่เพิ่งเบ่งบานได้ไม่นาน แต่แล้วกลับถูกผู้คนเด็ดชมเพียงชั่วครู่ก่อนจะถูกลืมเลือนไป

       "เจ้าไม่เห็นต้องกังวลสิ่งใด"น้ำเสียงเยือกเย็นดึงสติคนฟังให้เย็นตาม เฟยจิ่งเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงเกียจคร้าน

       "ในเมื่อเป้าหมายของเราคือการนำตัวเด็กนั่นหนีไปอยู่แล้ว เช่นนี้ยังดีเสียกว่า เพียงเจ้ารอเวลาบุกแย่งชิงเด็กนั่นจากผู้ซื้อหลังงานประมูลสิ้นสุด การทำเช่นนั้นย่อมง่ายดายกว่าลักลอบพานางฝ่าเส้นทางที่ไม่รู้จัก"

       คำกล่าวอธิบายถึงแผนการอันแยบยลทำให้จิ้นเฟยตาสว่าง ก่อนนึกคารวะเฟยจิ่งในใจ

       "ลุงเฟยสุดยอด!"

       เมื่อได้ข้อสรุปที่พอใจแล้วจิ้นเฟยก็ไม่อนาทรร้อนใจอีก เจ้าตัวยืนแทะแป้งทอดต่อไปพลางชื่นชมบทเพลง ซึ่งท่าทีนั้นได้สร้างความแปลกใจให้กับร่างสูงที่มองอยู่

       "ตกลงว่านางไม่ใช่คนรู้จักของเจ้าหรือ?"เสียงทุ้มที่ถามเซ้าซี้ชวนน่าสงสัยของคนข้างๆแว่วผ่านหู ซึ่งจิ้นเฟยเลือกที่จะไม่ตอบคำ ดวงตาเรียวจ้องมองไปยังเวทีใหญ่ที่เริ่มเข้าสู่ช่วงเสนอราคาซื้อขายแล้ว

       เสียงเรียกร้องราคาประมูลดังกระหึ่มน้อยกว่าช่วงแรก ร่างโปร่งของจิ้นเฟยยืนดูเงียบๆ มองผู้คนที่เสนอราคาต่ำกว่าครั้งแรกอย่างคิดวิเคราะห์ นี่คงเป็นเพราะลู่หลินพูดไม่ได้จึงทำให้ราคาตกลง หลายๆคนคงคิดว่าถ้าจะให้ทุ่มเงินจำนวนมากเพื่อแลกกับสินค้าที่ไม่ค่อยมีคุณภาพสู้เอาเงินเหล่านั้นไปซื้อสินค้าชิ้นอื่นดีกว่า

       แต่ก็ดูเหมือนจะมีบางคนไม่คิดอย่างนั้น

       จิ้นเฟยมองไปยังชายวัยกลางคนที่นั่งติดชิดอยู่หน้าเวที ซึ่งชั้นไขมันบนหน้าท้องของเจ้าตัวโดดเด่นยิ่งกว่าสร้อยไข่มุกเม็ดโตที่ห้อยคอเสียอีก ร่างนั้นแต่งกายด้วยเสื้อผ้าหรูหรา โดยมีกำไลหยกหลายสิบอันรัดแขนบวมๆสองข้างเอาไว้ บนนิ้วอวบทั้งสิบสวมประดับด้วยแหวนเพชรนิลจินดาตระการตาราวกับล่อตาโจร เพียงมองแวบเดียวจิ้นเฟยก็จำได้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนเดียวกับที่ประมูลผู้หญิงคนแรกไปด้วยราคามหาศาล มาคราวนี้ยังทุ่มเงินประมูลลู่หลินอีก เห็นได้ชัดว่าเจ้าตัวมีฐานะร่ำรวยเพียงใด

       "ฮ่าๆ นางต้องเป็นของข้า หญิงงามทุกผู้ในแคว้นอวิ๋นล้วนต้องเป็นของข้า ของข้า! ฮ่าๆๆ"เสียงหัวเราะที่บ้าคลั่งซึ่งดังมาถึงหูทำให้จิ้นเฟยรู้สึกขยะแขยง ยิ่งเมื่อได้เห็นใบหน้าอวบอูมที่หาความน่ามองไม่เจอเผยรอยยิ้มหื่มกามขณะมองไปยังร่างเล็กในชุดขาวที่ยืนนิ่งอยู่บนเวทีก็ยิ่งทำให้จิ้นเฟยรู้สึกเดือดจัดในใจ

       "นี่ลุงเฟย ถ้าไอ้หมูตอนนั่นเป็นคนซื้อลู่หลินไป ก่อนจะกลับลุงช่วยจัดการอัดสั่งสอนมันให้หนักๆสักทีนะ"

       จิ้นเฟยที่ไม่ปลื้มกับการเอาคนด้วยกันมาเป็นสินค้าตั้งแต่แรกว่าอย่างเข่นเขี้ยวในใจ สายตาสาปส่งของวิญญาณสาวยิ่งแรงกล้าเมื่อเห็นแววตาที่ไอ้อ้วนน่ารังเกียจนั่นใช้มองเด็กสาว

       "ได้ ข้าจะจัดการให้"คำตอบรับสั้นๆที่ทำเอาจิ้นเฟยยิ้มหน้าบาน

       "ลุงเฟยใจดีที่สุดเลย!"

       ทว่า ทั้งที่คาดไว้อย่างนั้น แต่สุดท้ายแล้วคนที่ได้ตัวลู่หลินไปกลับเป็นชายผมดำที่ยืนกอดอกอยู่ข้างๆ พวกเขา ร่างสูงที่จู่ๆ ก็เสนอราคาเป็นทองจำนวนสิบหีบตัดราคาทองคำหกหีบของไอ้อ้วนนั่นโดยสิ้นเชิง จิ้นเฟยนิ่งฟังคำประกาศสิ้นสุดการเสนอราคาของสินค้าชิ้นที่สองด้วยอารมณ์มึนงง

       "สินค้าชิ้นที่สองนี้ได้แก่ท่านไป่หมิงเจ้าค่ะ"

       หลังได้ยินชื่อที่ถูกประกาศเฟยจิ่งพลันว่าขึ้นเสียงขรึม

       "นามปลอม"

       คำกล่าวเรียบๆที่จิ้นเฟยย่นคิ้วประมวลผล

       "นามปลอม? หมายถึงชื่อปลอมน่ะเหรอ?"

       จิ้นเฟยนึกทวนก่อนพบว่า 'ไป่หมิง' มีความหมายว่า 'ร้อยนาม' ...ดูท่าจะเป็นชื่อปลอมจริงๆนั่นแหละ

       แต่ก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมจู่ๆอีกฝ่ายถึงได้มาแย่งซื้อลู่หลินไปแถมทุ่มราคาซะขนาดนั้น ทั้งที่ตอนไอ้หมูตอนนั่นเสนอราคาสู้เพื่อสินค้าชิ้นแรกกลับไม่มีท่าทีสนใจ

       หรือว่า...ไม่จริงน่า?

       "เป็นโลลิค่อนงั้นเหรอ?"จิ้นเฟยโพล่งความในใจอย่างไร้เสียงทำให้มีพียงเฟยจิ่งที่ได้ยิน

       "...อะไรคือโลลิค่อน? "เนื่องจากฟังศัพท์แปลกๆของอีกฝ่ายจนคุ้นชินทำให้เป็นเรื่องปกติที่จะสอบถาม แม้หลายๆครั้งคำตอบที่ได้รับจะทำให้เขาต้องอึ้งไปเลยก็ตาม

       "มันหมายถึงพวกชอบกินเด็กน่ะ ลุงเฟยก็เห็นใช่ไหมว่าผู้หญิงที่ถูกขายเป็นคนแรกน่ะสวยสุดๆ กิริยาเพียบพร้อมสมเป็นสาวงาม แต่ไอ้หมอนี่กลับไม่สนใจ กลับมาเล็งลู่หลินที่ดูเผินๆไม่ต่างกับเด็กอายุสิบขวบสักนิด มองยังไงไอ้หมอนี่ก็โลลิค่อนแน่ๆ"จิ้นเฟยตอบคำถามพลางแจกแจงเสริม ขณะที่ทางฝ่ายเฟยจิ่งนิ่งเงียบไปตั้งแต่ได้ยินคำว่า 'พวกชอบกินเด็ก' แล้ว

       ทั้งนี้การประมูลก็ยังคงดำเนินต่อไป ร่างสูงที่ดูจะลึกลับแปลกๆ ใบหน้าคมมีหน้ากากสีทองเนื้ออ่อนปกปิดครึ่งบนไว้ยังคงยืนพิงเสาอยู่ด้านข้างอย่างเงียบงัน นัยน์ตาสีฟ้าเพียงเหลือบมองคนข้างกายเป็นพักๆ เมื่อจับความรู้สึกคุกคามเล็กๆที่ส่งมาอย่างไม่ปิดบังได้ ไม่นานทางจิ้นเฟยที่ปล่อยรังสีทะมึนจ้องเขม่นร่างสูงที่ตนตราหน้าว่าเป็นพวกนิยมสาวร่างเล็กอย่างอาฆาตก็ต้องสะดุ้งเมื่อเสียงทุ้มต่ำกล่าวขึ้นอย่างเรียบเฉย

       "เจ้าจ้องข้ามาตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว มีอะไรไม่พอใจงั้นหรือ?"คำถามที่จิ้นเฟยอยากตอบว่ามีเต็มๆ แต่ก็ทำปากแข็งกัดฟันตอบอย่างหยิ่งๆ

       "ไม่มี!"

       คำตอบรับห้วนสั้นที่ทางคนฟังไม่ยอมแพ้ กล่าวต่อเสียงเอื่อย

       "คงเป็นเพราะเด็กสาวที่ข้าจ่ายเงินซื้อไปเมื่อครู่?"

       ความเงียบงันเป็นคำตอบ ร่างสูงจึงพูดต่อพร้อมรอยยิ้มที่ดูล่อลวง

       "เช่นนั้น...ข้ายกนางให้เจ้าดีหรือไม่?"


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×