คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : บทแปด เบื้องหลังงานประมูล
ระหว่างรองานเลิกจิ้นเฟยที่ว่างจัดก็จัดการล้วงแป้งทอดไส้หวานที่ซื้อมาจากตลาดออกมากินเล่น
แผ่นหลังเอนอิงเสาสีแดงต้นใหญ่ด้านหลัง ส่วนสองตาก็ชมดูการประมูลสินค้าที่ไม่น่าสนใจเท่าไหร่ไปพลาง
ซึ่งเมื่อกินไปได้สองสามชิ้นก็เริ่มเลี่ยนจึงสลับให้เฟยจิ่งที่ชื่นชอบขนมรสหวานมากกว่าออกมาช่วยกินแทน
"นี่ ลุงเฟย
ลุงว่าทำไมพวกเขาต้องว่าจัดการประมูลแอบๆแบบนี้ด้วยล่ะ?"จิ้นเฟยว่าขึ้นอย่างสงสัย
ขณะที่เฟยจิ่งกัดแป้งทอดในมือพลางถามกลับเสียงเนิบนาบ
"เหตุใดเจ้าจึงถาม?"
"ก็มันแปลกนี่
ทั้งๆที่ของที่เอาออกมาประมูลก็มีแค่เสื้อผ้ากับเพชรพลอย
แล้วทำไมต้องมาจัดกันที่หอนางโลมแบบนี้ด้วย? ถ้าแค่ของแบบนี้ไม่เห็นต้องทำให้มันดูลึกลับเลย
จัดประมูลในที่แบบนี้...ทำอย่างกับพยายามหลบหนีจากสายตาทางการอย่างนั้นแหละ"จิ้นเฟยร่ายข้อสงสัยของตัวเองออกมาด้วยน้ำเสียงครุ่นคิด
เฟยจิ่งนิ่งไปเมื่อได้ฟังข้อสงสัยของเจ้าเด็กฉลาดที่จับจุดผิดสังเกตได้ไว
แต่ด้วยไม่นึกอยากตอบนักจึงกล่าวตัดบทด้วยถ้อยคำที่จิ้นเฟยต้องนึกฉงน
"เดี๋ยวเจ้าก็รู้เอง"
ไม่นานนักคำตอบที่จิ้นเฟยอยากรู้ก็ได้ปรากฏ
หลังจากประมูลผ้าไหมลวดลายอ่อนช้อยงดงามราวอาภรณ์สวรรค์ซึ่งน่าจะเป็นสินค้าชุดสุดท้ายได้จบลง
หญิงสาวที่ทำหน้าที่ดังพิธีกรก็ได้ผลัดเปลี่ยนตัวกับหญิงสาวชุดแดงซึ่งจิ้นเฟยจำได้ว่าเป็นคนเดียวกับที่นำทางพวกเขาเข้ามา
ขณะที่จิ้นเฟยกำลังนึกสงสัยว่าอีกฝ่ายจะมากล่าวปิดงานหรืออย่างไรก็ต้องขมวดคิ้วเมื่อผู้คนในงานต่างไม่มีทีท่าจะกลับแต่กำลังแสดงท่าทีราวกับรอคอยการมาถึงของร่างบางอยู่
"แม่นางหงลวี่ออกมาแล้ว"เสียงใครบางคนอุทานขึ้น
และตอนนี้เองที่เสียงหวานใสได้กล่าวทักทาย
"ยินดีที่ได้พบกันอีกครั้ง ในวันนี้ผู้น้อยหงลวี่ต้องขออภัยแขกทุกท่านด้วยที่ทำให้ต้องรอคอย
เนื่องจากสินค้าในค่ำคืนนี้มีปัญหาเล็กน้อยจึงทำให้เกิดความล่าช้า..."กล่าวถึงตรงนี้ก็เกิดเสียงเซ็งแซ่
แต่ร่างอรชรในอาภรณ์สีแดงสดก็ยังคงว่าต่อโดยไม่ลดรอยยิ้มบนใบหน้า
"แต่มิต้องกังวล
ทางหอระบำเพลิงรับประกันว่าสินค้าในค่ำคืนนี้จะไม่มีส่วนใดบุบสลาย
ทุกๆท่านสามารถรับชมสินค้าได้เลยเจ้าค่ะ"สิ้นคำเสียงโห่ร้องยินดีก็ดังขึ้น
"สินค้าเหรอ?"จิ้นเฟยทวนคำกับตัวเองอย่างไม่เข้าใจ
ณ ตอนนั้นวิญญาณสาวยังคงไม่รู้ว่า...งานประมูลที่แท้จริงกำลังจะเริ่มขึ้นต่อจากนี้...
เพียงสินค้ารายแรกปรากฏก็ทำให้คนมองตาลุกวาว ผิวกายขาวเนียน
เส้นผมสีดำเงางาม
ริมฝีปากที่แต้มสีชาดปรากฏรอยยิ้มเบาบางซึ่งเพียงสบกับนัยน์ตาสีม่วงเข้มคู่สวยก็ดังต้องมนต์มายาทันใด
นาทีนี้ผู้ที่ไม่หลงไปกับมนต์เสน่ห์อันเย้ายวนนั้นเห็นจะมีเพียงแต่ร่างโปร่งในชุดฟ้าครามที่ยืนอึ้งตะลึงด้วยความรู้สึกที่แตกต่างกับผู้คนโดยรอบ
สินค้า? สินค้าที่ว่านี่...หมายถึงหญิงสาวที่กำลังเล่นกู่เจิ้งอยู่บนเวทีอย่างนั้นเหรอ?!
"ลุงเฟย
นี่มัน..."
จิ้นเฟยพูดไม่ออก
เสียงคล้ายค้างอยู่ในลำคอ ทางเฟยจิ่งเพียงปรายตามองไปยังหญิงสาวที่อยู่ในอาภรณ์สีดำอย่างเงียบๆ
ลวดลายดอกไม้สีแดงสดบนเนื้อผ้าขับให้ร่างงามยิ่งโดดเด่น
เสียงกู่เจิ้งที่บรรเลงเพลงหวานโศกซึ้งยิ่งเพิ่มความเสน่หา
หากแต่สาวงามที่ว่านั้นท้ายที่สุดแล้วก็เป็นได้เพียงสินค้าชิ้นหนึ่งที่รอผู้คนจับจองเท่านั้น
หลังถอนสายตาออกมาเขาก็เพียงว่าด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
"นี่คือความเป็นจริงที่เจ้าต้องรับรู้"
"ที่นี่...เขาค้าขายมนุษย์ด้วยกันอย่างนี้เลยเหรอ? มันไม่ผิดกฎหมายเหรอ?
บ้านเมืองสมัยนี้ไม่มีกฎหมายห้ามปรามเรื่องแบบนี้เลยเหรอ?"จิ้นเฟยที่หาเสียงตัวเองเจอพ่นคำถามชุดใหญ่อย่างไม่อยากเชื่อ
"กฎหมายบ้านเมืองย่อมมีอยู่ แต่ผู้ที่ไม่รักษากฎก็มีเช่นกัน"
น้ำคำเรียบเฉยที่ทีแรกจิ้นเฟยคิดว่าเป็นของเฟยจิ่ง
ก่อนจะชะงักแล้วหันไปมองต้นเสียงซึ่งพบว่าเป็นชายสวมหน้ากากที่เจอที่เหลาอาหาร
"!"
จิ้นเฟยสบดวงตาสีฟ้าคู่นั้นอย่างอึ้งค้าง
ก่อนเป็นเฟยจิ่งที่ว่าด้วยเสียงที่ไม่ตระหนกตกใจราวกับรับรู้การมีอยู่ของอีกฝ่ายอยู่ก่อนแล้ว
"เมื่อครู่เจ้าเผลอพูดออกมา"
นั่นเป็นคำเฉลยสำหรับคำถามที่ว่าเหตุใดจู่ๆ ร่างสูงจึงตอบคำถามที่ตนคิดไว้ได้
จิ้นเฟยลอบคาดโทษตัวเองในใจ คราวหน้าคราวหลังต้องควบคุมปากตัวเองให้ดี
ว่าแต่...เหตุใดจู่ๆชายคนนี้จึงเข้ามาพูดคุยกับพวกเขากัน?
จิ้นเฟยจับหน้ากากที่สวมเพื่อเช็คว่ามันยังอยู่ดีไหม
ก่อนจะสะดุ้งเมื่ออีกฝ่ายเอ่ยถามเบาๆ
"ท่าทางเจ้าจะมางานนี้โดยไม่รู้อะไรเลยสินะ"
คำถามนี้ดูเหมือนไม่ต้องการคำตอบ ริมฝีปากบางนั้นยกยิ้มน้อยๆ
ซึ่งท่าทีที่คล้ายรู้ทันของอีกฝ่ายทำให้จิ้นเฟยหายใจไม่ทั่วท้อง
แต่ก่อนจะพูดอะไรเสียงผู้คนที่แข่งกันเสนอราคาก็ดังขึ้นดึงดูดความสนใจให้กลับไปมองเวทีใหญ่
ราคาที่พุ่งทะยานขึ้นสูงทำเอาคนฟังที่อยู่นอกวงอย่างจิ้นเฟยยิ้มแหย
"ปั่นราคาขนาดนี้
ท่าทางคนแคว้นอวิ๋นจะร่ำรวยมีกินมีใช้กันเหลือเฟือสินะ"คำพูดบ่นงึมงำของจิ้นเฟยทำให้ร่างสูงที่ยืนอยู่ชิดใกล้หัวเราะออกมา
"ถ้าพูดให้ถูกคงต้องบอกว่าขุนนางกับพวกพ่อค้าต่างหากที่ร่ำรวย
ชาวบ้านทั่วไปไม่มีปัญญาเอาเงินทองมากมายมาละลายเล่นกับสิ่งเหล่านี้หรอก"กล่าวคำพลางมองไปยังผู้คนที่ร่ำร้องเสนอราคา
ซึ่งชั่วพริบตานัยน์ตาสีฟ้าคู่นั้นสะท้อนความเย็นชาและแข็งกร้าวออกมาก่อนกลับเป็นเรียบเฉยเหมือนเดิม
จิ้นเฟยลอบสังเกตท่าทีนั้นหันกลับไปมองเวทีที่ได้เปลี่ยนตัวสินค้า
ซึ่งคราวนี้สินค้าชิ้นที่สองที่โผล่มาทำให้ดวงตาต้องเบิกโพลงพร้อมอุทานอย่างไม่คาดคิด
"ลู่หลิน?!"
"ลู่หลิน?"ร่างสูงที่ได้ยินคำอุทานถามออกมาอย่างสนใจ"คนรู้จักเจ้าหรือ?"
จิ้นเฟยไม่ได้ตอบคำ
สองตามุ่งจับจ้องไปยังร่างเล็กในชุดขาวที่ปรากฏขึ้นบนเวที
เส้นผมสีดำเหมือนน้ำหมึกถูกม้วนเก็บครึ่งหนึ่งก่อนเสียบปักด้วยปิ่นรูปผีเสื้อสีขาวอันเล็ก
ทิ้งปอยผมน้อยๆลงคลอเคลียแก้ม ร่างของเด็กสาวค่อยๆยอบตัวนั่งลงตรงใจกลางเวที
ก่อนนิ้วเรียวเล็กจะเริ่มดีดบรรเลงบทเพลง
หลังพิจารณาจับจ้องใบหน้าซึ่งก้มต่ำสนใจเพียงเครื่องดนตรีที่อยู่บนเวทีได้พักใหญ่จิ้นเฟยก็แน่ใจ
...ไม่ผิดแน่
นั่นเป็นลู่หลินจริงๆ
"ทำไงดีล่ะลุงเฟย? ลู่หลินกลายมาเป็นสินค้าไปซะแล้ว!"จิ้นเฟยรีบขอคำปรึกษาจากวิญญาณอาวุโสอย่างร้อนรน
ขณะที่เฟยจิ่งเพียงถามกลับด้วยเสียงผ่อนคลาย
"เจ้าจะเดือดร้อนไปไย?"
"ไม่ให้เดือดร้อนได้ไงล่ะลุง
ลู่หลินกำลังโดนขายนะ!"จิ้นเฟยร้องโวยวายในใจขณะมองไปยังร่างเล็กซึ่งกำลังดีดกู่เจิ้งด้วยท่วงทำนองเศร้าที่ชวนสลดหดหู่
เนื้อหาของบทเพลงเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับดอกไม้น้อยๆ ที่เพิ่งเบ่งบานได้ไม่นาน แต่แล้วกลับถูกผู้คนเด็ดชมเพียงชั่วครู่ก่อนจะถูกลืมเลือนไป
"เจ้าไม่เห็นต้องกังวลสิ่งใด"น้ำเสียงเยือกเย็นดึงสติคนฟังให้เย็นตาม
เฟยจิ่งเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงเกียจคร้าน
"ในเมื่อเป้าหมายของเราคือการนำตัวเด็กนั่นหนีไปอยู่แล้ว
เช่นนี้ยังดีเสียกว่า
เพียงเจ้ารอเวลาบุกแย่งชิงเด็กนั่นจากผู้ซื้อหลังงานประมูลสิ้นสุด การทำเช่นนั้นย่อมง่ายดายกว่าลักลอบพานางฝ่าเส้นทางที่ไม่รู้จัก"
คำกล่าวอธิบายถึงแผนการอันแยบยลทำให้จิ้นเฟยตาสว่าง ก่อนนึกคารวะเฟยจิ่งในใจ
"ลุงเฟยสุดยอด!"
เมื่อได้ข้อสรุปที่พอใจแล้วจิ้นเฟยก็ไม่อนาทรร้อนใจอีก เจ้าตัวยืนแทะแป้งทอดต่อไปพลางชื่นชมบทเพลง
ซึ่งท่าทีนั้นได้สร้างความแปลกใจให้กับร่างสูงที่มองอยู่
"ตกลงว่านางไม่ใช่คนรู้จักของเจ้าหรือ?"เสียงทุ้มที่ถามเซ้าซี้ชวนน่าสงสัยของคนข้างๆแว่วผ่านหู
ซึ่งจิ้นเฟยเลือกที่จะไม่ตอบคำ
ดวงตาเรียวจ้องมองไปยังเวทีใหญ่ที่เริ่มเข้าสู่ช่วงเสนอราคาซื้อขายแล้ว
เสียงเรียกร้องราคาประมูลดังกระหึ่มน้อยกว่าช่วงแรก
ร่างโปร่งของจิ้นเฟยยืนดูเงียบๆ มองผู้คนที่เสนอราคาต่ำกว่าครั้งแรกอย่างคิดวิเคราะห์
นี่คงเป็นเพราะลู่หลินพูดไม่ได้จึงทำให้ราคาตกลง
หลายๆคนคงคิดว่าถ้าจะให้ทุ่มเงินจำนวนมากเพื่อแลกกับสินค้าที่ไม่ค่อยมีคุณภาพสู้เอาเงินเหล่านั้นไปซื้อสินค้าชิ้นอื่นดีกว่า
แต่ก็ดูเหมือนจะมีบางคนไม่คิดอย่างนั้น
จิ้นเฟยมองไปยังชายวัยกลางคนที่นั่งติดชิดอยู่หน้าเวที
ซึ่งชั้นไขมันบนหน้าท้องของเจ้าตัวโดดเด่นยิ่งกว่าสร้อยไข่มุกเม็ดโตที่ห้อยคอเสียอีก
ร่างนั้นแต่งกายด้วยเสื้อผ้าหรูหรา โดยมีกำไลหยกหลายสิบอันรัดแขนบวมๆสองข้างเอาไว้
บนนิ้วอวบทั้งสิบสวมประดับด้วยแหวนเพชรนิลจินดาตระการตาราวกับล่อตาโจร เพียงมองแวบเดียวจิ้นเฟยก็จำได้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนเดียวกับที่ประมูลผู้หญิงคนแรกไปด้วยราคามหาศาล
มาคราวนี้ยังทุ่มเงินประมูลลู่หลินอีก เห็นได้ชัดว่าเจ้าตัวมีฐานะร่ำรวยเพียงใด
"ฮ่าๆ นางต้องเป็นของข้า
หญิงงามทุกผู้ในแคว้นอวิ๋นล้วนต้องเป็นของข้า ของข้า! ฮ่าๆๆ"เสียงหัวเราะที่บ้าคลั่งซึ่งดังมาถึงหูทำให้จิ้นเฟยรู้สึกขยะแขยง
ยิ่งเมื่อได้เห็นใบหน้าอวบอูมที่หาความน่ามองไม่เจอเผยรอยยิ้มหื่มกามขณะมองไปยังร่างเล็กในชุดขาวที่ยืนนิ่งอยู่บนเวทีก็ยิ่งทำให้จิ้นเฟยรู้สึกเดือดจัดในใจ
"นี่ลุงเฟย
ถ้าไอ้หมูตอนนั่นเป็นคนซื้อลู่หลินไป ก่อนจะกลับลุงช่วยจัดการอัดสั่งสอนมันให้หนักๆสักทีนะ"
จิ้นเฟยที่ไม่ปลื้มกับการเอาคนด้วยกันมาเป็นสินค้าตั้งแต่แรกว่าอย่างเข่นเขี้ยวในใจ
สายตาสาปส่งของวิญญาณสาวยิ่งแรงกล้าเมื่อเห็นแววตาที่ไอ้อ้วนน่ารังเกียจนั่นใช้มองเด็กสาว
"ได้
ข้าจะจัดการให้"คำตอบรับสั้นๆที่ทำเอาจิ้นเฟยยิ้มหน้าบาน
"ลุงเฟยใจดีที่สุดเลย!"
ทว่า ทั้งที่คาดไว้อย่างนั้น
แต่สุดท้ายแล้วคนที่ได้ตัวลู่หลินไปกลับเป็นชายผมดำที่ยืนกอดอกอยู่ข้างๆ พวกเขา
ร่างสูงที่จู่ๆ ก็เสนอราคาเป็นทองจำนวนสิบหีบตัดราคาทองคำหกหีบของไอ้อ้วนนั่นโดยสิ้นเชิง
จิ้นเฟยนิ่งฟังคำประกาศสิ้นสุดการเสนอราคาของสินค้าชิ้นที่สองด้วยอารมณ์มึนงง
"สินค้าชิ้นที่สองนี้ได้แก่ท่านไป่หมิงเจ้าค่ะ"
หลังได้ยินชื่อที่ถูกประกาศเฟยจิ่งพลันว่าขึ้นเสียงขรึม
"นามปลอม"
คำกล่าวเรียบๆที่จิ้นเฟยย่นคิ้วประมวลผล
"นามปลอม? หมายถึงชื่อปลอมน่ะเหรอ?"
จิ้นเฟยนึกทวนก่อนพบว่า 'ไป่หมิง' มีความหมายว่า 'ร้อยนาม' ...ดูท่าจะเป็นชื่อปลอมจริงๆนั่นแหละ
แต่ก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมจู่ๆอีกฝ่ายถึงได้มาแย่งซื้อลู่หลินไปแถมทุ่มราคาซะขนาดนั้น
ทั้งที่ตอนไอ้หมูตอนนั่นเสนอราคาสู้เพื่อสินค้าชิ้นแรกกลับไม่มีท่าทีสนใจ
หรือว่า...ไม่จริงน่า?
"เป็นโลลิค่อนงั้นเหรอ?"จิ้นเฟยโพล่งความในใจอย่างไร้เสียงทำให้มีพียงเฟยจิ่งที่ได้ยิน
"...อะไรคือโลลิค่อน?
"เนื่องจากฟังศัพท์แปลกๆของอีกฝ่ายจนคุ้นชินทำให้เป็นเรื่องปกติที่จะสอบถาม
แม้หลายๆครั้งคำตอบที่ได้รับจะทำให้เขาต้องอึ้งไปเลยก็ตาม
"มันหมายถึงพวกชอบกินเด็กน่ะ
ลุงเฟยก็เห็นใช่ไหมว่าผู้หญิงที่ถูกขายเป็นคนแรกน่ะสวยสุดๆ
กิริยาเพียบพร้อมสมเป็นสาวงาม แต่ไอ้หมอนี่กลับไม่สนใจ
กลับมาเล็งลู่หลินที่ดูเผินๆไม่ต่างกับเด็กอายุสิบขวบสักนิด
มองยังไงไอ้หมอนี่ก็โลลิค่อนแน่ๆ"จิ้นเฟยตอบคำถามพลางแจกแจงเสริม ขณะที่ทางฝ่ายเฟยจิ่งนิ่งเงียบไปตั้งแต่ได้ยินคำว่า
'พวกชอบกินเด็ก' แล้ว
ทั้งนี้การประมูลก็ยังคงดำเนินต่อไป ร่างสูงที่ดูจะลึกลับแปลกๆ ใบหน้าคมมีหน้ากากสีทองเนื้ออ่อนปกปิดครึ่งบนไว้ยังคงยืนพิงเสาอยู่ด้านข้างอย่างเงียบงัน นัยน์ตาสีฟ้าเพียงเหลือบมองคนข้างกายเป็นพักๆ เมื่อจับความรู้สึกคุกคามเล็กๆที่ส่งมาอย่างไม่ปิดบังได้ ไม่นานทางจิ้นเฟยที่ปล่อยรังสีทะมึนจ้องเขม่นร่างสูงที่ตนตราหน้าว่าเป็นพวกนิยมสาวร่างเล็กอย่างอาฆาตก็ต้องสะดุ้งเมื่อเสียงทุ้มต่ำกล่าวขึ้นอย่างเรียบเฉย
"เจ้าจ้องข้ามาตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว
มีอะไรไม่พอใจงั้นหรือ?"คำถามที่จิ้นเฟยอยากตอบว่ามีเต็มๆ
แต่ก็ทำปากแข็งกัดฟันตอบอย่างหยิ่งๆ
"ไม่มี!"
คำตอบรับห้วนสั้นที่ทางคนฟังไม่ยอมแพ้ กล่าวต่อเสียงเอื่อย
"คงเป็นเพราะเด็กสาวที่ข้าจ่ายเงินซื้อไปเมื่อครู่?"
ความเงียบงันเป็นคำตอบ
ร่างสูงจึงพูดต่อพร้อมรอยยิ้มที่ดูล่อลวง
"เช่นนั้น...ข้ายกนางให้เจ้าดีหรือไม่?"
ความคิดเห็น