ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    คนสมควรตาย รีบกลับเข้าร่างเดี๋ยวนี้! BL

    ลำดับตอนที่ #8 : องก์สอง

    • อัปเดตล่าสุด 19 ธ.ค. 64



       'เพราะเหตุใด' สำหรับคำถามนี้ แม้แต่จอมโจรผู้เก่งกาจอย่างหลูชิ่งเหมยจำต้องกุมขมับตัวเองเพื่อเค้นหาคำตอบ

       อดีตของเขาไม่ค่อยมีอะไรให้พูดถึงนัก เพราะแต่เริ่มเดิมทีเขาก็เป็นแค่เด็กกำพร้าที่เกิดขึ้นมาในช่วงสงครามระหว่างเผ่ากำลังปะทุ บิดามารดาของเขาล้วนจากไปตั้งแต่ยังจำความไม่ได้ สิ่งที่ทั้งสองทิ้งไว้ให้กับเขามีเพียงนาม 'ชิ่งเหมย' ที่หมายถึงงานฉลองและต้นเหมย ส่วนหลูคือนามของชนเผ่า เมื่อนำมารวมกันแล้วตัวเขาจึงเป็นหลูชิ่งเหมยแห่งชนเผ่าหลู

       ในปีที่เขาอายุได้แปดหนาว สงครามระหว่างเผ่าเกาจีกับเผ่าหลูได้ดำเนินมาถึงจุดแตกหัก เผ่าหลูของเขาเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ และเพื่อไม่ให้ถูกฆ่าหรือกลายเป็นทาสสงคราม ผู้เหลือรอดในชนเผ่าจึงต่างรีบกระจายกันหลบหนี หลูชิ่งเหมยเองก็ได้ตามติดคนรู้จักในเผ่าไปยังแคว้นซีหยางซึ่งอยู่ใกล้ที่สุด เพียงแต่ดูเหมือนว่าแคว้นนี้ค่อนข้างเคร่งขรึมและไม่ค่อยต้อนรับคนนอกเท่าไหร่นัก

       แม้จะไม่มีการกลั่นแกล้งหรือทารุณอย่างที่นึกกลัวก็ตาม แต่สีหน้าแววตาที่พวกชาวบ้านในหมู่บ้านมองมาที่เขาและคนในเผ่าล้วนแสดงออกถึงความรู้สึกแง่ลบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นรังเกียจ เหยียดหยาม ขับไล่ หรือกีดกัน ความรู้สึกยามถูกจับจ้องด้วยสายตาเหล่านั้นช่างชวนให้อึดอัดใจ แต่เพราะไม่มีทางเลือกอื่น พวกเขาทั้งหมดจึงจำต้องอดทนและก้มศีรษะให้

       วันเวลาเช่นนั้นดำเนินต่อไปจนกระทั่งตัวเขาอายุได้สิบปี โรคระบาดที่สามารถคร่าชีวิตผู้คนนับร้อยก็ได้มาเยือนหมู่บ้านที่อาศัยอยู่ หลูชิ่งเหมยจึงต้องหนีตายอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ตัวเขาถูกทอดทิ้งเพราะถูกมองเป็นภาระ ยามนั้นเขาแตกตื่นและพยายามขอร้องให้คนเหล่านั้นพาไปด้วย แต่ก็ถูกผลักไสจนล้มกลิ้งออกมาจากเกวียน

       สุดท้ายเขาจึงได้แต่หนีขึ้นไปยังภูเขาที่อยู่ใกล้เคียงตามลำพัง ซึ่งที่นั่นเองที่เขาได้พานพบกับกลุ่มโจร 'เทียนเป่า' กลุ่มโจรประหลาดที่ปล้นชิงแต่เพียงสมบัติวิเศษ

       เป็นเพราะไม่มีที่ไปแล้ว อีกทั้งค่ายโจรแห่งนี้ก็ดูจะไม่ใช่สถานที่ที่เลวร้ายนัก ดังนั้นเมื่อถูกชักชวน หลูชิ่งเหมยจึงตอบรับและตัดสินใจเข้าร่วมกับกลุ่มโจรเทียนเป่าอย่างไม่ลังเล ทว่าการจะเป็นสมาชิกของกลุ่มได้นั้นตัวเขาจำต้องผ่านการฝึกฝนหลายอย่างเสียก่อน ซึ่งแม้ขั้นตอนเหล่านั้นจะยากลำบากพอสมควร แต่ผู้คนที่นี่ก็ไม่มีใครหัวเราะเยาะเมื่อเห็นสภาพอเนถอนาถของเขา ไม่มีสายตาดูถูกเหยียดหยามหรือขับไล่อย่างที่เคยได้รับในหมู่บ้าน

       วันเวลาที่ผันเปลี่ยนได้หล่อหลอมให้หลูชิ่งเหมยกลายเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มโจรนี้อย่างเต็มตัว ซึ่งเขาพบว่าตนเองมีพรสวรรค์ในด้านนี้อย่างไม่น่าเชื่อ เพียงไม่กี่ปีหลังจากเข้าร่วมกลุ่ม ตัวเขาก็เริ่มมีชื่อเสียงโด่งดัง และด้วยผลงานมากมายที่สั่งสมมา ตัวเขาในวัยสิบแปดปีจึงได้รับฉายานามในยุทธภพว่า 'จอมโจรร้อยบุปผา'จอมโจรผู้เก่งกาจซึ่งสามารถคว้าเอายอดสมบัติในใต้หล้ามาครองได้ง่ายดายประหนึ่งเด็ดดอกไม้ในสวนมาร้อยเป็นกำไล

       หลูชิ่งเหมยย่อมชมชอบฉายาที่รับ หากแต่ฉายานั้นกลับมีเพียงคนนอกที่เรียกขาน ในค่ายโจรเทียนเป่านี้ พวกคนเก่าคนแก่ส่วนใหญ่ยังคงเรียกขานเขาว่าเจ้าหนูหรือไม่ก็ ‘เสี่ยวเหมย’ อยู่เลย ดังนั้นเพื่อเป็นการพิสูจน์ฝีมือตนเองกับสมาชิกคนอื่นๆ ตัวเขาในวัยยี่สิบซึ่งกำลังคึกคะนองเต็มที่จึงได้ตัดสินใจบุกรังปีศาจที่ไม่มีผู้ใดในค่ายแห่งนี้อาจหาญแตะต้อง

       ‘พรรคมารอันดับหนึ่ง’ หรือพรรคต้าไห่ เป็นเป้าหมายต่อไปของเขา!

       เมื่อคำประกาศนี้ถูกแพร่ออกไป ไม่มีใครคิดดูถูกหรือหัวเราะเยาะ กลับกัน ทุกคนในค่ายต่างพากันเกลี้ยกล่อมไม่ให้เขาเอาชีวิตไปทิ้ง แต่ยิ่งได้ฟังเช่นนั้นชายหนุ่มก็ยิ่งดึงดัน ซึ่งสาเหตุสำคัญที่เขายืนกรานเลือกพรรคต้าไห่ก็เป็นเพราะเรื่องเล่าที่ได้ฟังมาตั้งแต่เข้าร่วมกลุ่มใหม่ๆ

       ในอดีตเมื่อหลายสิบปีก่อน สมาชิกกลุ่มโจรเทียนเป่าได้คิดลองดีบุกเข้าไปยังพรรคต้าไห่ ทว่าผลลัพธ์ที่ได้ นอกจากสมาชิกที่บุกเข้าไปจะถูกฆ่าตายสิ้น กลุ่มโจรเทียนเป่าที่ยามนั้นจำนวนสมาชิกมีมากถึงสิบหมื่นยังเกือบถูกลบหายไปจากแผ่นดิน ซึ่งนับแต่นั้นพรรคต้าไห่จึงถูกขึ้นบัญชีรายนามต้องห้าม เป็นสถานที่แห่งเดียวบนแผ่นดินที่กลุ่มโจรเทียนเป่าไม่อาจหาญแตะต้องอีกเป็นครั้งที่สอง

        หลูชิ่งเหมยทบทวนดูดีแล้วว่าหากเขาสามารถขโมยสมบัติจากพรรคต้าไห่มาได้ คนอื่นๆในกลุ่มเทียนเป่าจะต้องยอมรับในความสามารถของเขาอย่างไร้ข้อกังขาแน่ ซึ่งหลังตัดสินใจได้เช่นนั้น เขาก็ไปแจ้งข่าวแก่หัวหน้าใหญ่เทาเที่ยและก็ถูกคัดค้านอย่างที่คิด ทว่าเรื่องนี้เขาได้ตัดสินใจแล้ว และเพื่อไม่เป็นการสร้างความเดือดร้อนให้กับคนอื่นๆในภายหลัง ชายหนุ่มจึงได้ทำการถอนตัวออกจากกลุ่มเป็นการชั่วคราว

       เมื่อเห็นความแน่วแน่ของเขาหัวหน้าใหญ่เทาเที่ยจึงถอนใจ และมอบสมบัติสามอย่างให้เป็นของขวัญอำลา ซึ่งสมบัติทั้งสามชิ้นได้แก่… ยารั้งฟ้า-ยาที่สามารถยื้อลมหายใจและต่อชีวิตคนจำนวน 3 เม็ด แส้สีคราม-แส้ที่ทำจากกระดูกของงูหิมะ สัตว์อสูรระดับสูงที่ถูกเรียกขานกันอีกนามว่ามังกรเหมันต์ ซึ่งหากฟาดแส้นี้ใส่ผู้ใด คนผู้นั้นจะต้องพิษเหมันต์จนไม่สามารถขยับร่างกายได้เป็นเวลากว่าครึ่งชั่วยาม และสุดท้าย...ถุงสมบัติ-ถุงหนังที่ภายนอกดูธรรมดาอย่างยิ่ง แต่เมื่อใส่สมบัติวิเศษเข้าไป กลิ่นอายของสมบัติจะถูกเก็บงำ และหากเป็นสมุนไพรหรือเนื้อสัตว์อสูร เมื่อใส่เข้าไปในถุงนี้ ความสดของมันจะถูกหยุดเอาไว้อยู่เช่นนั้น โดยไม่เกี่ยงว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าใด ซึ่งของชิ้นสุดท้ายนี้ล้ำค่ายิ่ง เพราะถุงสมบัติถูกสร้างขึ้นด้วยวัตถุดิบและกระบวนการที่พิเศษโดนฝีมือกลุ่มคนลึกลับ แม้จะมีคนมากมายพยายามสร้างเลียนแบบแต่ก็จบลงที่ความล้มเหลว ปัจจุบันมีเพียงไม่กี่คนที่มีถุงสมบัติไว้ในครอบครอง กระทั่งกลุ่มโจรเทียนเป่าที่ขึ้นชื่อเรื่องสมบัติวิเศษเองก็ยังมีอยู่ไม่ถึงห้าใบ

       "ข้าหวังว่าเจ้าจะปลอดภัยกลับมา"ฝ่ามือหนาที่ตบเข้าที่บ่าทำให้หลูชิ่งเหมยซาบซึ้งใจจนแทบหลั่งน้ำตา หัวหน้าใหญ่เทาเที่ยผู้นี้เป็นคนนำเขามายังค่ายและคอยดูแลเขามาตลอด ในสายตาของเขาอีกฝ่ายจึงเป็นดังบิดา สมาชิกคนอื่นๆ เองก็ไม่ต่างจากคนในครอบครัว ดังนั้นแล้ว...เขาจะกลับมา

       "ข้าจะกลับมา"หลูชิ่งเหมยประกาศคำด้วยแววตาแน่วแน่


       วันถัดมาชายหนุ่มมุ่งหน้าตรงสู่อาณาเขตพรรคต้าไห่ เขาเดินทางไปถึงในบ่ายของอีกวัน ระหว่างทางนั้น เขาได้แวะพักที่โรงน้ำชาอยู่สองสามแห่งจึงได้ยินข่าวลือมากมายเกี่ยวกับพรรคต้าไห่ โดยเฉพาะข่าวของประมุขพรรคอย่างมารร้ายไห่เป่ยผิง ไม่ว่าจะเป็นการฆ่าคนตั้งแต่สิบหนาว สังหารบิดามารดาเพื่อชิงตำแหน่ง หรือล่าสุดก็คือข่าวการกวาดล้างสมาชิกในพรรคที่ต่อต้าน ยิ่งหลูชิ่งเหมยได้ฟังยิ่งรู้สึกว่าฉายานาม 'มัจจุราชแดนเหนือ' ช่างเหมาะสมกับมารร้ายเช่นนั้นจริงๆ

       แต่ข่าวลือเหล่านั้นกลับไม่น่าสนใจเท่ากับสิ่งที่เขาได้ยินเมื่อมาเยือนยังโรงเตี๊ยมแสวงรัก

       "เจ้าพูดจริงหรือ? พรรคต้าไห่กำลังจะเปิดรับลูกศิษย์พรรคจำนวนมากจริงหรือ?"ชายฉกรรจ์ชุดเทาผู้หนึ่งเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น สีหน้าท่าทางราวกับได้รับฟังข่าวอันน่ายินดี

       "ข้าจะหลอกเจ้าไปเพื่ออะไรเล่า?"ชายชุดเขียวแก่ที่สนทนาด้วยเอ่ยคำ  "ข้าได้รับคำยืนยันจากคนรู้จักที่เป็นศิษย์ในพรรคต้าไห่มากับหู เจ้าเองก็ใช่ว่าไม่รู้เรื่องที่ประมุขพรรคต้าไห่ลงมือกระทำเมื่อครึ่งปีก่อนเสียหน่อย คนในพรรคล้มตายไปมากมายถึงเพียงนั้น ย่อมถูกต้องตามหลักการของฟ้าดินที่ทางพรรคจะเปิดรับสมัครคนเพิ่ม"

       "หากเป็นเรื่องจริงข้าก็ต้องขอบคุณสวรรค์แล้ว ในที่สุดข้าก็จะมีโอกาสเป็นสมาชิกของพรรคมารอันดับหนึ่งกับเขาเสียที!"ชายชุดเทากำหมัดแน่นด้วยท่าทางฮึกเหิม

       "ขอบคุณสวรรค์อันใดของเจ้า เจ้าหมูโง่ เจ้าต้องขอบคุณความโหดเหี้ยมของท่านประมุขไห่ต่างหากที่ทำให้เจ้ามีโอกาสเช่นนี้ แต่เจ้าก็อย่าเพิ่งรีบดีใจไป เจ้าไม่ใช่ไม่รู้กฎในการรับสมาชิกของพรรคต้าไห่เสียหน่อย"ชายชุดเขียวแก่เอ่ยดัก

       "ข้าย่อมรู้! พรรคต้าไห่มักจัดการประลองเพื่อคัดเลือกคน แต่ข้า จูต้าเหมา สามารถบดขยี้อสูรระดับนภาด้วยฝ่ามือเดียว ไยต้องกลัวความพ่ายแพ้!"

       "หึ ข้าก็หวังว่าเจ้าจะได้รับชัย"

       "ว่าแต่เจ้าเถอะ ไป่เหลียว เหตุใดจึงไม่เข้าคัดเลือกด้วย? เมื่อปีนั้นทางพรรคเปิดรับคน เจ้าก็ไม่ได้เข้าร่วมเช่นกันมิใช่หรือ?"ชายชุดเทาซักถามอย่างแปลกใจ ขณะที่ชายชุดเขียวแก่เอ่ยด้วยรอยยิ้มเจ้าชู้ดังคุณชายเจ้าสำราญ

       "ข้าย่อมไม่เข้าร่วมด้วย หากเป็นคนของพรรคมาร ไยไม่ใช่ตัดโอกาสตัวเองในการคบหาดูใจกับคนจากวิหารเทพธิดาเล่า?"

       "เจ้ามันก็เป็นเสียเช่นนี้!"ชายชุดเทาทำเสียงฮึดฮัดพลางยกน่องไก่ขึ้นกัดเต็มคำ

       ทางหลูชิ่งเหมย เมื่อไม่ได้ยินสิ่งที่เป็นประโยชน์อีกก็ขึ้นไปยังห้องพักของตน หลังเปลี่ยนชุดเขาก็นอนขบคิดถึงแผนการ ซึ่งสิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่ได้จุดประกายความคิด

       หากคนนอกคิดรุกรานย่อมยากลำบาก แต่หากเป็นคนใน...

       ด้วยเหตุนี้จอมโจรร้อยบุปผาจึงได้ทำการแฝงตัวมาสมัครเข้าเป็นลูกศิษย์พรรคต้าไห่ร่วมกับคนอื่นๆ

        มองไปยังภาพผู้คนที่หลั่งไหลเข้ามาร่วมการคัดเลือก หลูชิ่งเหมยที่ยืนดูอยู่ด้านข้างก็จิปากเบาๆ แม้พรรคต้าไห่จะขึ้นชื่อว่าเป็นพรรคมารอันดับหนึ่ง แต่เมื่อเปิดรับคนกลับเรียกรวมผู้คนได้มากยิ่งกว่าพวกพรรคธรรมมะซะอีก แต่นี่ก็ไม่ได้แปลกอะไร เพราะพรรคธรรมมะมักเลือกรับศิษย์อายุน้อยเพื่อนำต้นกล้ามาฝึกฝน ขณะที่พรรคมารสนใจเพียงความแข็งแกร่ง ไม่เกี่ยวว่าจะมีภูมิหลังต่ำต้อยหรือสูงส่ง เยาว์วัยหรือแก่เฒ่า ขอเพียงแข็งแกร่งพอ คนเหล่านั้นก็พร้อมยอมสยบ 

       เมื่อคิดถึงความแข็งแกร่ง หลูชิ่งเหมยก็ย้อนนึกถึงประวัติของไห่เป่ยผิง ประมุขพรรคต้าไห่คนปัจจุบันที่เข้ารับตำแหน่งตั้งแต่อายุสิบห้า...

       ประเดี๋ยวก่อน

       ถ้าจำไม่ผิด พรรคต้าไห่ก่อตั้งขึ้นเมื่อราวสามร้อยปีก่อน แต่ประมุขพรรคคนปัจจุบันกลับเป็นรุ่นที่สิบเก้าแล้ว มิหนำซ้ำด้วยธรรมเนียมการสืบทอดของพรรคต้าไห่ ประมุขคนถัดไปจะขึ้นดำรงตำแหน่งได้ก็ต่อเมื่อประมุขพรรคคนปัจจุบันได้เสียชีวิตไปแล้ว

       นี่...ไม่เท่ากับว่าประมุขพรรคมารแต่ละรุ่นดำรงตำแหน่งเพียงแค่สิบห้าถึงสิบหกปีงั้นเหรอ?

       อีกทั้งพรรคต้าไห่ยังสืบทอดตำแหน่งผ่านทางสายเลือด หากดูจากประมุขพรรคต้าไห่คนปัจจุบันที่เข้าดำรงตำแหน่งตั้งแต่อายุสิบห้า เช่นนั้นไม่เท่ากับว่าประมุขมารแต่ละคนมีชีวิตไม่ถึงสี่สิบกันงั้นหรอกหรือ?

       หลูชิ่งเหมยขบคิดถึงปัญหาดังกล่าว ก่อนจะละความสนใจไปเมื่อการคัดเลือกได้เริ่มขึ้น

       กฎเกณฑ์ในการคัดเลือกทั้งง่ายดายและหละหลวมอย่างไม่น่าเชื่อ

       ไม่มีการจับคู่ผ่านสลากแต่อย่างใด ผู้ที่มั่นใจให้ขึ้นไปบนลานประลอง หลังการต่อสู้ตัวต่อตัว ผู้แพ้พ่ายล้มลง ผู้ชนะยืนหยัดต่อ หากสามารถยืนหยัดจนครบสิบรอบก็จะผ่านการคัดเลือก

       "การคัดเลือกของพรรคต้าไห่ มันง่ายๆแบบนี้เลยเหรอเนี่ย?"หลูชิ่งเหมยพึมพำกับตัวเองด้วยความงุนงง ตอนนั้นเองที่คนข้างๆได้เอ่ยคำขึ้น

       "แล้วควรจะให้ยากเย็นเพียงใดเล่า? เจ้าหนุ่ม"

       หลูชิ่งเหมยหันมองคนพูดที่เป็นชายชราผมขาวไว้เครายาวดังนักพรต แต่อาภรณ์สีน้ำเงินหม่นที่สวมใส่กลับดูธรรมดาค่อนไปทางเก่า เขาชำเลืองมองอีกฝ่ายคร่าวๆ ก่อนเอ่ยถาม

       "ท่านปู่ไม่คิดว่ามันควรมีการทดสอบอื่นๆควบคู่ไปด้วยหรือ?"

       "การทดสอบอื่นที่ว่าคือทดสอบด้านใดเล่า?"ชายชราย้อนถามกลับอย่างที่หลูชิ่งเหมยต้องเงียบไป เพราะพรรคมารไม่ใช่พรรคธรรมะ จึงไม่จำเป็นต้องทดสอบศีลธรรม ความสามัคคี ความเสียสละ หรือความศรัทธา สิ่งที่พรรคมารต้องการมีเพียง...พลัง

       ขณะที่หลูชิ่งเหมยนิ่งเงียบ บนลานประลองก็มีชายร่างยักษ์สองคนขึ้นไปประลองกัน ก่อนจบลงด้วยความตายของฝ่ายหนึ่ง เลือดสีแดงและกลิ่นคาวโลหิตอาบย้อมลานหินแกร่ง คนแล้วคนเล่าผลัดเวียนขึ้นสู่สังเวียนเลือด ภาพผู้ที่ชนะในตอนแรกที่พลิกกลับเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ และทอดกายลงให้ผู้อื่นย่ำเหยียบ ทั้งที่เป็นการคัดเลือกที่ดูง่ายดาย แต่เมื่อเวลาผ่านไปหนึ่งชั่วยามกลับเพิ่งมีผู้ผ่านการคัดเลือกเพียงสี่คน โดยหนึ่งในนั้นคือชายฉกรรจ์แซ่จูที่หลูชิ่งเหมยได้พบเห็นในโรงเตี๊ยมแสวงรักเมื่อสองสามวันก่อน

       หลูชิ่งเหมยมองดูร่างไร้ชีวิตที่ทับถมเป็นเนินเล็กๆอยู่ข้างลานประลองแล้วรำพึงถามขึ้นอย่างฉงนปนทอดถอนใจ

       "เหตุใดผู้คนจึงอยากเข้าไปในพรรคต้าไห่กันนัก? พรรคต้าไห่นี่มีสิ่งใดพิเศษนักหรือ?"

       "หึๆ เจ้าหนุ่มเอ๋ย เจ้าคิดว่าคนที่ฝักใฝ่ในทางสายมารต้องการสิ่งใดเล่า?"ชายชราเคราขาวเอ่ยถามกลับ ซึ่งสำหรับคำถามนี้หลูชิ่งเหมยสามารถเอ่ยตอบอย่างไม่ต้องเสียเวลาครุ่นคิด

       "ย่อมเป็นพลัง"

       "ถูกต้อง"อีกฝ่ายพยักหน้ารับแล้วถามต่อ "เช่นนั้นเจ้าคิดว่าเมื่อเข้าไปในพรรคต้าไห่ เจ้าจะได้รับสิ่งใดบ้าง? อาวุธและชุดเกราะที่แข็งแกร่ง? วิชายุทธอันเลิศล้ำ? ยาวิเศษที่สามารถยกระดับความแข็งของร่างกายและพลังให้มากขึ้นเป็นเท่าตัว? สิ่งที่ข้าเอ่ยมาเหล่านี้ เจ้าคิดว่าพรรคต้าไห่ขาดแคลนพวกมันหรือไม่เล่า?"

       "เป็นเช่นนี้เอง"หลูชิ่งเหมยพยักรับอย่างเข้าใจ ก่อนเขาจะนึกฉงนอีกครา หากเข้าไปเป็นสมาชิกพรรคแล้วสามารถได้รับสิ่งของเหล่านั้นโดยง่าย เช่นนั้นแล้วสิ่งที่เรียกว่าสมบัติของพรรคต้าไห่คือสิ่งใดกัน?

       แต่หลูชิ่งเหมยก็ไม่ได้ขบคิดนานนัก เพราะเขายังต้องเข้าร่วมการคัดเลือกเหมือนกัน ทว่าก่อนที่เขาจะได้ลงมือ บนลานประลองก็เกิดเหตุบางอย่างขึ้น

       ชายสวมชุดคลุมดำและหน้ากากสีทองคำปรากฏกายขึ้นหลังร่างชายสูงสวมชุดเกราะสีเทาเงินล้มลง คู่ต่อสู้ของชายสวมชุดเกราะคือร่างผอมของชายชุดจอมยุทธ์สีน้ำตาลแดง ที่บอกว่าเกิดเหตุ เป็นเพราะชายชุดคลุมดำผู้นั้นไม่ใช่ผู้เข้าร่วมการประลอง หากแต่เป็น...ผู้คุมกฎ

       "เกิดอะไรขึ้นน่ะ?"หลูชิ่งเหมยมองดูเหตุการณ์ด้วยความสนใจ เหตุใดผู้คุมกฎจึงขึ้นไปบนลานประลอง ตอนนี้เองที่ชายชราได้เอ่ยคำขึ้น

       "น่าเสียดาย เจ้าหนุ่มชุดน้ำตาลนั่นตกรอบแล้ว"

       “หือ? หมายความว่ายังไงกัน?”ขณะที่หลูชิ่งเหมยส่งเสียงถามอยู่ก็เห็นว่าจอมยุทธ์ชุดน้ำตาลถูกพาตัวลงไป อีกฝ่ายมีสีหน้าโกรธเคืองและสับสนราวกับไม่เข้าใจเรื่องราว ตอนนี้เองที่ชายชราได้เผยคำตอบ

       “พรรคต้าไห่ไม่รับผู้ใช้พิษ"

       “ไม่รับผู้ใช้พิษ?”หลูชิ่งเหมยย้อนถามเสียงสูงอย่างประหลาดใจ เพราะมีพรรคมารใดบ้างที่ไม่ใช้พิษ? คำว่า ‘พิษ’ นั้นแทบจะถูกผูกติดกับคำว่าอธรรมจนแยกกันไม่ออกแล้ว แต่ตอนนี้กลับต้องมาได้ยินเรื่องน่าเหลือเชื่ออย่างการที่พรรคมารอันดับหนึ่งที่ขึ้นชื่อเรื่องความชั่วร้ายไม่ต้อนรับผู้ใช้พิษเสียอย่างนั้น

       นี่หลอกกันเล่นหรือไง?

       “ไม่แปลกที่เจ้าจะไม่เชื่อ แต่นี่เป็นความจริง และเป็นเรื่องที่คนแถวนี้รู้กันมานานแล้ว”ยามที่ชายชราเอ่ยคำอยู่ก็มีคนขึ้นไปจัดการศพชายชุดเกราะ ซึ่งเมื่อชายผู้นั้นถูกยกลงมา หลูชิ่งเหมยจึงได้เห็นว่าเนื้อตัวอีกฝ่ายมีสีม่วงคล้ำอันเป็นอาการของผู้ต้องพิษร้าย หูของเขาได้ยินเสียงชรากล่าวต่อ "ไม่มีใครรู้เหตุผล รู้แค่ว่าหากมีผู้ใช้พิษบนลานประลอง คนผู้นั้นจะถูกผู้คุมกฎตัดสิทธิ์ทันที อ้อ หากเจ้าคิดเข้าร่วมก็รีบหน่อยล่ะ"ถ้อยคำตอนท้ายเรียกความสงสัยให้กับคนฟังยิ่ง

       “ทำไมหรือ?”

       “เจ้าคงรู้แล้วว่ากฏในการเข้าร่วมพรรคต้าไห่คือจัดการคนสิบคนบนลานประลองนั่น”หลูชิ่งเหมยพยักรับ “เช่นนั้นเจ้าควรทราบว่าเมื่อครบกำหนดเวลาแล้ว แต่เจ้ายังล้มคนได้ไม่ครบจำนวน เจ้าจะไม่ได้เข้าร่วมกับพรรคต้าไห่จนกว่าจะสามารถจัดการคนได้ครบ”

       ทีแรกหลูชิ่งเหมยยังไม่เข้าใจ แต่เมื่อคิดอย่างถ้วนถี่เขาก็เบิกตากว้าง

       “อย่าบอกนะว่าหากข้าจัดการคนไปได้แปดถึงเก้าคน แต่ขาดคนที่สิบ ข้าจะต้องรอให้มีการเปิดรับสมัครครั้งหน้าและจัดการคนที่สิบก่อนถึงจะเข้าร่วมได้?”

       “ถูกต้อง”

       หลูชิ่งเหมยอ้าปากเหวอ เวลานี้เขาเริ่มกระวนกระวายขึ้นมาบ้างแล้ว เมื่อผู้คุมกฎเรียกให้คนขึ้นไปบนลานประลองชายหนุ่มจึงรี่ขึ้นไปทันใด หลังเขาจัดการคนสิบคนไปได้อย่างทุลักทุเล ในที่สุดก็ได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกพรรค แต่เนื่องจากการคัดเลือกยังไม่จบเขาจึงต้องยืนรอก่อน ซึ่งระหว่างนั้นหลูชิ่งเหมยตัดสินใจเข้าไปคุยกับชายชราอีกครั้ง

       “ท่านรู้ได้อย่างไรว่าหากไม่ครบสิบคนจะไม่สามารถเข้าร่วมได้?”หลูชิ่งเหมยยิงคำถามใส่ด้วยท่าทีสอบสวน

       “เพราะครั้งก่อนที่มีการเปิดรับสมาชิกพรรค มีเจ้าหนุ่มนิสัยเจ้าเล่ห์คนหนึ่งตั้งใจขึ้นลานประลองไปเป็นคนสุดท้าย แต่เพราะยังล้มคนได้ไม่ครบ เจ้าหนุ่มนั่นจึงต้องรอการเปิดรับครั้งใหม่และล้มคนอีกเก้าคนจึงจะสามารถเข้าร่วมพรรคได้”

       การเปิดรับสมัครครั้งก่อน… มันเมื่อสิบปีที่แล้วไม่ใช่หรือ?

       “แล้วคนผู้นั้นได้มาเข้าร่วมในครั้งนี้หรือไม่?”หลูชิ่งเหมยถามด้วยความสนใจ

       “ไม่รู้เช่นกัน แต่เท่าที่เห็นข้ายังไม่เจอศพใดที่ดูเหมือนเขา”ชายชรากล่าวพลางลูบเครายาวของตนเบาๆ และก่อนที่หลูชิ่งเอ่ยจะได้เอ่ยอะไรอีก เขาก็ถูกถามกลับจนต้องหน้าเปลี่ยนสี “ว่าแต่เจ้าเถอะ มาเข้าร่วมพรรคต้าไห่ด้วยเจตนาใดกัน?”

       “…เหตุใดท่านจึงถามเช่นนี้”หลูชิ่งเหมยถามกลับอย่างระแวง แต่อีกฝ่ายกลับหัวเราะร่วน

       “ข้าก็เพียงแต่นึกสงสัย เพราะเจ้าดูไม่เหมาะกับที่แห่งนี้”ชายชรายังคงลูบเคราพลางว่าต่อด้วยสีหน้ายิ้มๆ “ผู้คนที่มาเข้าร่วมพรรคต้าไห่นี้ล้วนแต่ต้องการพลัง คนเหล่านั้นมักมีกลิ่นอายมืดมนและรังสีเข่นฆ่าแฝงเร้นในกระดูก แต่เจ้ากลับแตกต่าง เมื่อครู่ตอนประลอง เจ้าก็ไม่ได้สังหารผู้ใด เพียงใช้แส้อันนั้นหยุดการเคลื่อนไหวผู้คน ก่อนจะผลักคนเหล่านั้นให้ร่วงหล่นจากลานประลอง การที่เจ้ายอมหลั่งเลือดตนแต่มิยินยอมลงมือเข่นฆ่าก็แสดงให้เห็นแล้วว่าเจ้าแตกต่างจากผู้คนทั้งหมด ข้าจึงได้สนใจว่าเจ้ามาร่วมพรรคต้าไห่ด้วยเหตุผลใด... ว่าอย่างไร เจ้ายินดีไขข้อสงสัยของชายชราเช่นข้าหรือไม่?”

       “ข้า…ข้ามาเพราะต้องการสมบัติวิเศษ”หลูชิ่งเหมยลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายเขาก็ยอมตอบออกไป

       “สมบัติวิเศษ? อ้อ หากเจ้าต้องการของเหล่านั้นก็มาถูกที่แล้ว พรรคต้าไห่นี้ใจกว้างนัก ตราบใดที่เจ้าไม่ได้ทำผิดกฎเกณฑ์หรือกระทำเรื่องต้องห้าม สมบัติวิเศษก็หาใช่สิ่งเกินเอื้อม”ชายชราเอ่ยอย่างไม่มีท่าทีใดๆเป็นพิเศษทำให้หลูชิ่งเหมยนึกขึ้นได้ว่าพรรคต้าไห่เต็มไปด้วยสมบัติ ดังนั้นเขาจึงเอ่ยเน้นย้ำ

       “ข้าเข้าร่วมพรรค เพราะต้องการสมบัติวิเศษ-ชิ้น-สำ-คัญ-ของพรรคต้าไห่”

       “สมบัติชิ้นสำคัญ? หากเจ้าอยากได้ของดังกล่าวจริง คงจะยากหน่อย”ชายชราเอ่ยด้วยสีหน้าประหลาด หลูชิ่งเหมยได้ฟังเช่นนั้นประกาศกร้าว

       “ไม่ว่ายากเย็นเพียงใด ตราบใดที่มันคือยอดสมบัติ ข้า หลูชิ่งเหมย จะต้องครอบครองมันให้จงได้!”

       “เช่นนั้นขอให้เจ้าโชคดี”ชายชราเอ่ยอวยพรด้วยสีหน้าติดขบขัน หากแต่หลูชิ่งเหมยไม่ได้ใส่ใจ ชายหนุ่มรู้ดีว่าการตั้งมั่นที่จะขโมยยอดสมบัติจากพรรคมารอันดับหนึ่งนั้นฟังดูโง่เขลาและน่าขบขันเพียงใด แต่ว่าเขาจะต้องทำให้ได้!

       และด้วยปณิธานนี้ เมื่อได้เข้าร่วมพรรคอย่างเป็นทางการหลูชิ่งเหมยจึงพยายามตามหาข่าวของยอดสมบัติที่ต้องการอย่างไม่ลดละ จนเวลาผ่านไปถึงหนึ่งปีครึ่ง ในที่สุดชายหนุ่มก็ได้รับรู้ถึงสถานที่ลึกลับของพรรคที่ถูกแอบซ่อนเอาไว้ สถานที่ดังกล่าวถูกแอบสร้างขึ้นอย่างลับๆโดยประมุขพรรคมารคนปัจจุบัน ซึ่งสถานที่แห่งนั้นได้มีการวางกำลังคนไว้ตลอดสิบสองชั่วยาม จนกล่าวได้ว่านกหนูหรือแม้แต่มดก็ไม่สามารถเล็ดรอดเข้าไปได้

       หลูชิ่งเหมยได้ทราบข่าวนี้เขาก็มั่นใจทันทีว่าสมบัติวิเศษที่เขากำลังตามหาจะต้องอยู่ที่นั่นแน่ และด้วยเหตุนี้เขาจึงต้องใช้เล่ห์กลมากมายเพื่อลอบเข้าไปยังที่แห่งนั้น ซึ่งในค่ำคืนที่ดวงจันทร์ถูกอำพราง กระทั่งแสงดาวยังลาลับ ตัวเขาที่เตรียมตัวมาพร้อมสรรพก็ได้ตัดสินใจลงมือ ชายหนุ่มข้ามผ่านเวรยามที่คอยคุ้มกันไปได้อย่างราบรื่นเกินคาด แต่นี่ก็ต้องขอบคุณวิชาตัวเบาที่สืบทอดกันมาในชนเผ่าของเขาที่ทำให้ยามก้าวเดินไร้สำเนียงใดๆ

       หลูชิ่งเหมยบุกลึกเข้าไป ก่อนเขาจะชะงักค้าง ในค่ำคืนที่ไร้ซึ่งแสงดาว แต่สถานที่ซึ่งถูกค่ายกลบังตาชั้นสูงปกคลุมแห่งนี้กลับส่องแสงเรืองรองงามจับตา สายน้ำตกที่ไหลรินทอแสงสีทองแวววาวดังสุราของทวยเทพที่ถูกเทริน ละอองน้ำยามตกกระทบลงมายังโขดหินเบื้องล่างเปล่งประกายสีรุ้งเพริศพริ้งดุจแสงสะท้อนของอัญมณีจากสวรรค์จนเกิดเป็นภาพที่งดงามเหนือคำบรรยาย ไม่เพียงเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นสวนพฤกษาที่รายล้อมหรือทางเดินหยกขาวก็ล้วนแต่เผยความงามน่าหลงใหลออกมาจนผู้ได้ยลต้องตะลึงงัน หลูชิ่งเหมยทอดมองออกไปยังตึกสูงสีดำแดง ณ ปลายเส้นทาง ปลายยอดหอสูงถูกเมฆดำกลืนกินจนไม่อาจมองเห็นได้ชัด กระนั้นตลอดทั้งตัวเรือนก็ยังคงงามวิจิตรและแลดูศักดิ์สิทธิ์จนคล้ายสถานที่ต้องห้ามที่คนธรรมดามิบังอาจย่างกราย

       ความงดงามที่ดังสวรรค์สรรค์สร้างเช่นนี้ทำให้หลูชิ่งเหมยเผลอมองเหม่ออยู่พักใหญ่กว่าจะเรียกสติของตัวเองให้กลับเข้าร่างได้ ชายหนุ่มต้องยอมรับเลยว่าตั้งแต่ได้เกิดมาเขาไม่เคยพบเห็นสถานที่ไหนที่จะงดงามเปี่ยมเสน่ห์เท่าที่นี่ แม้จะยังไม่รู้ว่าสภาพด้านในเป็นอย่างไร แต่เพียงได้เห็นสถานที่แห่งนี้เขาก็รู้สึกว่าคุ้มค่ากับการเสี่ยงตายในคืนนี้แล้ว ทั้งนี้ภาพที่เห็นยังทำให้หลูชิ่งเหมยอดใจรอที่จะเข้าไปสำรวจด้านในแทบไม่ไหว และเมื่อเข้าไปยังชั้นแรกเขาก็เกือบหยุดหายใจเมื่อได้เห็นสรรพวุธและชุดเกราะล้ำค่าถูกวางเรียงรายดังของทั่วไป เมื่อขึ้นไปชั้นที่สองก็ต้องอ้าปากค้างกับบรรดาสมุนไพรหายากมากมายที่ถูกกองสุมวางไว้จนดูคล้ายกองหัวผักกาดในตลาดสด พอได้เยือนชั้นที่สามก็ต้องฉงนกับป้ายไม้สีดำที่สลักคำว่า 'หอพิษ' เอาไว้ 

       ไหนว่าไม่รับผู้ใช้พิษไง?

       หลูชิ่งเหมยตั้งข้อสงสัยในใจ แต่นอกจากตำราเกี่ยวกับพิษที่เรียงรายอยู่ในชั้นหนังสือสีดำกับหม้อยาที่มีกลิ่นอายแห่งความตายอบอวลแล้วก็ไม่พบสิ่งของอื่นใด เขาจึงมุ่งตรงไปชั้นถัดไปก่อนพบกับสระน้ำกว้างที่ดูธรรมดาไร้ความน่าสนใจ เพียงแต่ด้วยลางสังหรณ์และประสบการณ์เขาจึงไม่ได้ผละจากไปในทันที และหลังได้ลองจุ่มมือลงไปในสระ สีหน้าของชายหนุ่มก็พลันเปลี่ยนเป็นมืดครึ้ม ทั้งนี้เพราะน้ำในสระซึ่งกว้างขวางมากพอให้คนนับพันแหวกว่ายนี้คือ...หยาดน้ำตาสวรรค์-หนึ่งในส่วนประกอบหลักของยารั้งฟ้า

      ว่ากันว่าการสร้างยารั้งฟ้าแต่ละเม็ดขึ้นต้องใช้หยาดน้ำตาสวรรค์จำนวนสามหยด ซึ่งเพียงแค่สามหยดนั้นก็สามารถสร้างยาที่ยื้อลมหายใจคนจากความตายได้แล้ว และหากได้กินอย่างต่อเนื่องก็จะช่วยยืดอายุขัย เดิมเคยมีคำร่ำลือว่าหยาดน้ำตาสวรรค์เพียงหยดเดียวสามารถรักษาโรคภัย คืนความเยาว์วัย และชุบชีวิตคนตายได้ แน่นอนว่าในความเป็นจริงหยาดน้ำตาสวรรค์เพียงหยดเดียวไม่อาจทำเรื่องดังกล่าวให้เป็นจริงได้ แต่หากมีมากเป็นสระเช่นนี้ก็พูดยากแล้ว...

       หลูชิ่งเหมยรู้สึกปวดท้อง ปวดหัวใจ ปวดตับไตไส้พุง เขาเสียใจจริงๆที่ไม่ได้มาเยือนที่นี่ให้เร็วกว่านี้ ที่พรรรคต้าไห่นี่มันแหล่งรวมสมบัติวิเศษชั้นเลิศชัดๆ! แค่ขึ้นมาชั้นที่สี่เขาก็แทบรู้สึกว่าได้ใช้ชีวิตที่ผ่านมาอย่างไร้ค่า

       ไปขุดทำไมกันสมบัติจากสุสานจักรพรรดิ? ไปปล้นทำไมกันกับสมบัติในท้องพระคลัง? ไปเยือนทำไมกันพวกสำนักพรรคทั้งหลาย? สิ่งของมากมายที่เขาเคยได้พบเห็นและจับต้องล้วนเทียบไม่ได้แม้แต่เศษเสี้ยวของสมบัติที่ได้เจอในวันนี้!

       หลูชิ่งเหมยสูดลมหายใจเข้าลึกอย่างพยายามข่มอารมณ์ที่พลุ่งพล่านพลางมุ่งตรงยังชั้นถัดไป ซึ่ง ณ ชั้นที่ห้านี้ เขาได้พบเข้ากับหนึ่งป้ายหิน และหนึ่งประตู

       ป้ายหินสีเทาหม่นที่ตัวหินผิดแปลกไปจากหินปกติ ทั้งนี้เนื่องจากเมื่อต้องแสงไฟแล้วตัวป้ายนั้นจะสะท้อนแสงสีเงินออกมารางๆ แต่ความประหลาดของมันก็ไม่ได้น่าสนใจเท่ากับตัวอักษรที่สลักเอาไว้

       'ด่านสมบัติ'

       "ด่าน? ...การทดสอบ?"หลูชิ่งเหมยมุ่นหัวคิ้วพลางพึมพำกับตัวเอง ทว่าเขาก็ไม่มีเวลาขบคิดมากนัก เพราะการที่จะมีคนรู้ตัวว่าเขาลักลอบเข้ามาที่นี่เมื่อไหร่ก็ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น สุดท้ายชายหนุ่มจึงตัดสินใจเดินเข้าไปด้านในบานประตูสีทองคำ ซึ่งยามที่ผลักบานประตูให้เปิดออก เขาไม่ทันนึกว่าตัวเองจะต้องถูกขังอยู่ในนั้นเป็นเวลาถึงเจ็ดวันเต็มๆ และช่วงเวลาในระหว่างเจ็ดวันนั้นก็เต็มไปด้วยความระทึกขวัญและความขมขื่นที่ยากจะลืมเลือน

       ยามที่ผลักบานประตูสีดำที่มีป้ายหินแบบเดียวกับทางเข้าซึ่งสลักคำว่า 'รางวัล' เข้าไป น้ำตาแห่งความขื่นขมแทบรินไหลออกมา แต่ถึงมันจะไหลออกมาจริงๆก็คงแห้งเหือดไปทันตาเมื่อได้เห็นภาพตรงหน้านี้

       ชั้นวางของสีดำจำนวนนับไม่ถ้วนเรียงต่อกันเป็นแถวยาวจนคล้ายไร้จุดสิ้นสุด หลูชิ่งเหมยเดินสำรวจไปเรื่อยๆพร้อมพยายามสะกดลมหายใจตัวเองให้เป็นปกติ แต่นั่นก็ทำได้ยากขึ้นทุกที เพราะไม่ว่าจะมองไปทางไหนเขาก็เห็นแต่ชั้นวางของซึ่งมีหีบสีแดงเลี่ยมขอบทองหลากหลายขนาดตั้งเรียงรายอยู่บนชั้นเต็มไปหมด และสาเหตุที่เขาตื่นเต้นจนคุมอาการแทบไม่อยู่นี้ก็เพราะเมื่อครู่ตัวเขาได้ลองสุ่มเปิดหีบบางใบดู ก่อนเจอเข้ากับขวดยาสีขาวเรียบง่าย ทว่าของที่บรรจุด้านในขวดดังกล่าวกลับเป็นยารั้งฟ้าจำนวนร่วมห้าสิบเม็ด ที่สำคัญคือ...ในหีบใบนั้นมีขวดยาแบบเดียวกันร่วมยี่สิบขวด!

       หลูชิ่งเหมยนึกถึงยาสามเม็ดที่ได้มาจากหัวหน้าใหญ่ซึ่งตอนนี้หลงเหลืออยู่แค่เม็ดเดียวแล้วก็เกือบระงับใจไม่ให้หยิบฉวยทั้งหีบใส่ถุงสมบัติไม่ไหว แต่สุดท้ายเขาก็หยุดตัวเองเอาไว้ได้ เพราะเขามองเห็นอักขระค่ายกลที่สลักไว้จึงรู้ดีว่าตัวเองสามารถเลือกหยิบหีบสมบัติภายในห้องนี้ไปได้แค่ใบเดียวเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงต้องเลือกเฟ้นอย่างถ้วนถี่ และคว้าเอายอดสมบัติวิเศษของพรรคมารนี่มาให้ได้!

       เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่หลูชิ่งเหมยก็ยังสำรวจหีบทั้งหลายได้ไม่ครบ พูดกันตามตรงเลยคือเขายังสำรวจได้ไม่ถึงครึ่ง แต่ของในหีบแต่ละใบที่ได้เห็นก็ทำเอาเขาแทบเป็นลม

       "ควรเอาชิ้นไหนดีล่ะเนี่ย?"หลูชิ่งเหมยบ่นไปก็นึกขันตัวเองไป เมื่อเขาไม่เคยได้มีโอกาสมากลุ้มใจที่มีสมบัติให้เลือกหยิบเยอะเกินไปแบบนี้มาก่อน

       "ให้ช่วยเลือกไหม?"

       "ก็ดีนะ"หลูชิ่งเหมยที่กำลังกลัดกลุ้มตอบคำไปอย่างไม่ทันคิด ก่อนทั้งร่างจะพลันแข็งทื่อ เหงื่อเย็นผุดพรายตามใบหน้า และพริบตาเดียวแผ่นหลังของชายหนุ่มก็เปียกชุ่ม

       "เช่นนั้นเจ้าปรารถนาสิ่งใดเล่า?"เจ้าของเสียงทุ้มต่ำยังคงถามอย่างเฉยชา ฝั่งหลูชิ่งเหมยกลอกตาไปมาพลางคิดหาวิธีเอาตัวรอด ก่อนสำนึกได้ว่าการที่อีกฝ่ายสามารถเข้ามาใกล้ในระยะร้อยก้าวได้โดยที่ทางนี้ไม่ทันรู้สึกตัวนั้นมันหมายความว่ายังไง สุดท้ายจอมโจรผู้เก่งกาจจึงยอมแพ้ที่จะคิดหนี ชายหนุ่มตัดสินใจทุบหม้อแล้วหันไปเอ่ยปากกับคนด้านหลังด้วยท่าทีใจเย็นกว่าที่ตัวเองคิดไว้

       "สิ่งที่ข้าอยากได้ย่อมเป็นยอดสมบัติวิเศษของพรรคต้าไห่..."หางเสียงเบาลงอย่างไม่ทันตั้งตัว เมื่อใบหน้าของชายที่เขาพยายามหลีกเลี่ยงตั้งแต่เข้ามาในพรรคปรากฏอยู่ตรงหน้า บุรุษรูปงามที่มีกลิ่นอายชั่วร้ายห่อหุ้ม ชุดคลุมสีดำสนิทที่ห่มกายช่างทำให้อีกฝ่ายละม้ายคล้ายพญามัจจุชาชผู้ขึ้นมาเยือนยังโลกมนุษย์ยิ่งนัก

       ไม่ผิด อีกฝ่ายคือชายผู้ชั่วร้ายที่สุดในใต้หล้า...ไห่เป่ยผิง!

       "ยอดสมบัติของพรรค?"ชายผู้ชั่วร้ายที่สุดในใต้หล้าเอ่ยทวนคำอย่างเชื่องช้า ก่อนหัวเราะออกมา

       หลูชิ่งเหมยนึกสับสน ก่อนจะได้ยินชายหนุ่มกล่าวเสียงเรียบเรื่อย

       "เจ้ารู้หรือไม่ว่าสิ่งที่เจ้าร้องขอคือสิ่งใด? หึ ยอดสมบัติของพรรคจะเป็นสิ่งใดไปได้ นอกเสียจาก...ประมุขพรรค"

       คำเฉลยที่ได้รับทำเอาหลูชิ่งเหมยมีสีหน้าอึ้งงันไปครู่ใหญ่กว่าจะกลับมาเป็นปกติ แต่พูดไปแล้วมันก็ไม่ผิด เพราะมีประมุขพรรคจึงมีพรรคต้าไห่ ดังนั้นแล้วยอดสมบัติของพรรคก็ย่อมเป็นประมุขพรรค...

       เดี๋ยวก่อน

       หากเป็นเช่นนั้น แล้วยอดสมบัติวิเศษของประมุขพรรคล่ะ...คือสิ่งใด?

       "แล้วหากข้าปรารถนายอดสมบัติของท่านประมุขเล่า?"คำถามนี้ทำให้ร่างแกร่งในชุดคลุมดำชะงักไปชั่วอึดใจ ก่อนจะย้อนถามกลับด้วยน้ำเสียงคลุมเครือ

       “เจ้าอยากได้จริงหรือ?”

       หลูชิ่งเหมยกลืนน้ำลายอย่างกลัวตาย แต่ก็ยังตอบรับอย่างซื่อสัตย์ “อยาก”

       ครั้งนี้ร่างสูงเงียบไปพักใหญ่ ขณะที่หลูชิ่งเหมยกระวนกระวายใจ อีกคนก็เอ่ยปาก

       “...ได้ ถ้าอยากได้นัก...เช่นนั้นจงแต่งให้ข้า"

       วาจาที่เอ่ยทั้งแปลกประหลาดและเหนือความคาดหมาย แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดยามเอ่ยคำเหล่านั้น ใบหน้าที่เดิมมีกลิ่นอายชั่วร้ายอยู่แล้วของชายหนุ่มกลับยิ่งคล้ายถูกฉาบคลุมด้วยความลึกลับอันน่าพิศวง

       "เป็นภรรยาของข้า แล้วสังหารข้าเสีย”

       “หากทำได้ สมบัติทุกอย่างในครอบครองของข้า...จะเป็นของเจ้า”

       หลูชิ่งเหมยไม่รู้ว่าอีกฝ่ายผิดปกติหรือไม่ ถึงได้เสนอข้อแลกเปลี่ยนที่ฟังอย่างไรก็พิลึกพิลั่นเช่นนี้ออกมา แต่นัยน์ตาเย็นชาสีดำลึกล้ำคู่นั้นกลับปราศจากวี่แววล้อเล่น

       แต่งงานกับประมุขพรรคมารงั้นหรือ?

       หลูชิ่งเหมยมองดูสมบัติที่ละลานตาสลับกับชายหนุ่มผู้มีใบหน้าหล่อเหลาหากทว่ามองอย่างไรก็ไม่ใช่คนดีอย่างเปรียบเทียบข้อดีข้อเสีย แต่ท้ายที่สุดแล้วเขาก็ผงกศีรษะรับเบาๆ

       “ตกลง”


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×