ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เฟิงจิ้น จักรพรรดิสองวิญญา

    ลำดับตอนที่ #8 : บทเจ็ด บทเรียน

    • อัปเดตล่าสุด 25 ส.ค. 60



       ความจริงจิ้นเฟยอยากชวนร่างเล็กคุยต่อ แต่อาการใบ้ทำให้ยากต่อการสื่อสาร ดูเหมือนลู่หลินจะไม่รู้จักภาษามือด้วยทำให้การพูดคุยนี้กลายเป็นการถามฝ่ายเดียวของจิ้นเฟย โดยมีคำตอบอยู่สองแบบคือพยักหน้ากับส่ายหน้า

       "ลู่หลินเจ้าอายุเท่าไหร่แล้วเหรอ? สิบสอง? ไม่ใช่? งั้นสิบสาม? ไม่ใช่? มากกว่านี้? สิบสี่? ยังไม่ใช่? งั้นสิบห้า? สิบห้าเหรอ?"

       เด็กสาวพยักหน้ายืนยัน จิ้นเฟยมองร่างเล็กที่ดูไม่โตสักเท่าไหร่อย่างอึ้งๆ นี่สิบห้าแล้วเหรอ? ส่วนสูงที่น้อยกว่าร่างเฟิงจิ้นที่ตอนนี้สิบสี่อยู่เกือบคืบ แต่อายุกลับมากกว่า? หรือจะเป็นเทรนด์ของผู้หญิงสมัยนี้กันนะ? ตัวเล็ก น่ารัก น่ากอด จิ้นเฟยเลือกมองข้ามปัญหาเล็กน้อยแล้วถามคำถามถัดไปต่อ

       "ลู่หลินมีพี่น้องไหม? มีเหรอ? ผู้หญิงหรือผู้ชาย? เอางี้ ผู้ชายให้ยกมือขวา ส่วนผู้หญิงให้ยกมือซ้าย ผู้ชายเหรอ? พี่ชายหรือน้องชาย? พี่ชายซ้าย น้องชายขวา น้องชายเหรอ? น่ารักไหม?"จิ้นเฟยถามอย่างคาดหวัง พอเห็นลู่หลินพยักหน้าแรงๆก็ยิ้มอย่างเอ็นดู นิ่งคิดเล็กน้อยก่อนถามคำถามที่คาใจที่สุดออกไป

       "ว่าแต่ ลู่หลินมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงเหรอ?"

       คำถามนี้ทำให้ร่างเล็กชะงัก ดวงตาที่เรียบเฉยมาตลอดสั่นไหวจนจิ้นเฟยพอจะคาดเดาได้ว่าไม่ได้มาเองด้วยความเต็มใจแน่ๆ พร้อมกันนั้นเองตัวจิ้นเฟยก็บังเกิดความรู้สึกอยากปกป้องร่างเล็กขึ้นมา จึงถามต่อด้วยน้ำเสียงตัดสินใจ

       "อยากให้ข้าช่วยไหม?"

       "เจ้าเด็กโง่ เจ้าพูดอะไร?"เฟยจิ่งร้องขัดขึ้น จิ้นเฟยยังไม่สนใจ ตอนนี้ความสนใจทั้งหมดอยู่ที่ร่างเล็กซึ่งมีสีหน้าเรียบเฉย แต่นัยน์ตาสีอ่อนคู่นั้นกลับสะท้อนความรู้สึกลังเลและคาดหวัง ดวงตาสีเทากระจ่างช้อนมองมาที่จิ้นเฟยอย่างคล้ายเอ่ยถ้อยคำ

       'เชื่อได้...จริงๆหรือ?'

       ราวกับจิ้นเฟยเข้าใจ เจ้าตัวว่าด้วยน้ำเสียงทะเล้น

       "ข้าอยากลองเล่นบทอัศวินช่วยเจ้าหญิงสักหนมานานแล้ว ถ้ายังไงลู่หลินมาช่วยรับบทเป็นองค์หญิงให้ทีสิ"

       หลังตกปากรับคำสัญญาเป็นมั่นเหมาะจิ้นเฟยก็ต้องมาจัดการเคลียร์กับคนใจน้อยที่งอนไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

       "น่านะลุงเฟย ฉันอยากช่วยเด็กคนนั้นจริงๆนะ อย่าโมโหไปเลยน่า นะ"

       ตลอดทางกลับไปลานประมูลจิ้นเฟยพยายามง้อเฟยจิ่งที่ไม่ยอมพูดอะไรสักคำ ถึงจะยอมคุมร่างและพาเดินกลับไปลานประมูลให้แต่ก็ไม่ยอมปริปากพูดด้วย ท่าทีเมินเฉยเงียบสงัดจนแทบไร้ตัวตนทำให้คนก่อเรื่องรู้สึกร้อนรนขึ้นมา หลังงัดสารพัดวิธีมาใช้แล้วไม่ได้ผล จิ้นเฟยก็เม้มปากแน่น

       "ฉันขอโทษ... ลุงเฟยอย่าโกรธฉันเลยนะ"

       ถ้อยคำแผ่วกล่าวอย่างแฝงความขลาดกลัวลึกๆ ร่างที่ก้าวเดินอยู่จนถึงเมื่อครู่หยุดฝีเท้าลง ก่อนยืนนิ่งทิ้งช่วงให้ความเงียบกลืนกิน ผ่านไปครู่ใหญ่สุ้มเสียงเรียบเฉยจึงว่าขึ้นอย่างช้าๆ

       "เจ้าเคยกล่าวว่าร่างนี้ข้ากับเจ้าครอบครองร่วมกัน"ถ้อยคำกล่าวราบเรียบดุจสายน้ำอันสงบนิ่งไร้ระลอกคลื่นอารมณ์

       "อืม"คนฟังตอบรับเสียงเบาในลำคอ อีกเสียงกล่าวคำต่ออย่างเนิบช้า

       "เจ้าเคยกล่าวว่า...ผลของการกระทำใดๆที่ร่างนี้กระทำข้ากับเจ้าล้วนต้องรับผิดชอบร่วมกัน"

       "ใช่..."

       "เช่นนั้นเหตุใด...เจ้าจึงตัดสินใจกระทำสิ่งต่างๆด้วยตัวเอง?"คำถามที่จิ้นเฟยนิ่งค้าง เฟยจิ่งกล่าวถ้อยคำต่ออย่างเรียบเรื่อย

       "เรื่องที่ลอบเร้นออกมาเที่ยวโดยไม่บอกกล่าวก็ครั้งหนึ่ง เรื่องเมื่อครู่อีก เหตุใดเจ้าจึงตัดสินใจช่วยเด็กสาวที่ชื่อลู่หลินด้วยตัวเอง โดยไม่แม้แต่จะปรึกษาข้า?"สุ้มเสียงเรียบเว้นช่วงเล็กน้อย ก่อนเอ่ยต่อด้วยเสียงเย็นยะเยือก

       "การกระทำเช่นนี้ของเจ้ายังถือว่าตัวข้าเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตใหม่นี่อยู่หรือไม่? หรือเจ้าเห็นข้าเป็นเพียงเครื่องมือที่ไร้จิตใจชิ้นหนึ่ง?"

       จิ้นเฟยสะอึกเมื่อสิ่งที่เฟยจิ่งกล่าวนั้นถูกต้อง ตัวเธอเป็นคนพูดเอง พูดแบบนั้นออกไปเอง แต่ท้ายที่สุดคนที่ผิดคำพูดก็เป็นตัวเธอเอง...

       "ฉัน...ขอโทษ ขอโทษจริงๆ ฉันไม่ได้เห็นลุงเป็นเครื่องมือ ฉันแค่...แค่...ลืมตัว"

       คำกล่าวที่ไม่ต่างจากแก้ตัว แต่จิ้นเฟยพูดจากใจ เธอลืมตัวไป ลืมว่าร่างนี้หาใช่ของเธอคนเดียว ลืมไปว่าทุกๆการกระทำของเธอมีผลต่อคนอีกคนด้วย และสิ่งที่เธอตัดสินใจทำลงไปมันเป็นการสร้างปัญหาให้กับตัวเธอเองและเฟยจิ่ง

       นั่นสินะ ก็สร้างปัญหาใหญ่ซะขนาดนี้ ไม่แปลกที่คราวนี้ลุงเฟยจะโกรธ...

       ถ้อยคำสำนึกผิดที่ส่งมาพร้อมความคิดที่รั่วไหลทำให้ผู้รับฟังถอนใจเล็กน้อย

       "หากเจ้ากล่าวด้วยใจจริง ข้าอยากให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นเป็นครั้งสุดท้าย"คำกล่าวอย่างให้โอกาสพาให้คนฟังนิ่งอึ้งด้วยความยินดี

       "อืม คราวหลังฉันจะไม่ทำอีกแล้ว ฉันสัญญา"จิ้นเฟยพูดรับปากเสียงหนัก ซึ่งถ้อยคำสัญญานี้เธอจะไม่มีวันลืมเลือนไปชั่วชีวิต...

     

       หลังจัดการกับเรื่องเล็กๆน้อยๆวิญญาณทั้งสองก็ได้กลับมาที่ลานประมูล เฟยจิ่งที่เป็นคนควบคุมร่างกายทอดมองเวทีด้วยท่าทางนิ่งเฉย ส่วนทางจิ้นเฟยตั้งแต่รับปากสัญญาก็เงียบไปอย่างผิดวิสัย

       เฟยจิ่งพ่นลมหายใจเบาๆ ที่จริงก็ใช่ว่าเขาโกรธอะไรอีกฝ่ายนัก แต่การกระทำวันนี้ของจิ้นเฟยมันเกินเลยขอบเขตไปมาก หากตนไม่พูดปรามไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ ก็ไม่รู้ว่าในภายภาคหน้าวิญญาณสาวจะกระทำเรื่องใดอีก

       เรื่องก่อนนี้ หากอีกฝ่ายปรึกษาเขาสักนิด ถึงแม้จะมีดุว่าบ้าง แต่อย่างไรเสียเฟยจิ่งคิดว่าตนคงยอมให้ความร่วมมือช่วยเหลือ หากแต่ครานี้วิญญาณสาวกลับมองข้ามหัวเขาไปแล้วตัดสินใจทุกอย่างด้วยตนเอง เป็นเหตุให้ตัวเขาฉุนจัดจนถึงเมื่อครู่

       เอาเถอะ ยังไงเสียเจ้าตัวก็สำนึกแล้ว

       "แล้วเจ้าคิดจะช่วยเด็กที่ชื่อลู่หลินอย่างไร?"

       เป็นครั้งแรกที่เฟยจิ่งเอ่ยปากขึ้นก่อน จิ้นเฟยที่ยังคงซึมได้ยินคำพูดก็ยังไม่มีการตอบสนอง จนเมื่อสติกลับมาก็ร้องถามด้วยความตกใจ

       "ละ ลุงเฟยจะยอมช่วยเหรอ?"น้ำเสียงแตกตื่นอย่างไม่เก็บอาการทำให้คนฟังทั้งนึกฉิวและขันไปพร้อมกัน

       "เจ้าคิดว่าข้าแล้งน้ำใจขนาดนั้นเลยรึ?"

       "ปะ เปล่า ฉันแค่... ฉันไม่ได้คิดว่าลุงเฟยแล้งน้ำใจนะ"

       เมื่อได้ยินเสียงขรึมที่แกล้งกล่าวคาดคั้นจิ้นเฟยก็รีบละล่ำละลั่กปฏิเสธ ท่าทีลนลานเช่นนั้นของอีกฝ่ายทำให้เฟยจิ่งได้แต่ลอบส่ายหัวในใจ

       "ในเมื่อเจ้าเอ่ยให้คำมั่นไปแล้ว ข้าเองก็ไม่จะคิดผิดสัจจะ"คำพูดเรียบง่ายแต่ก็ทำให้จิ้นเฟยกลับมายิ้มเหมือนเดิม รอยยิ้มที่กว้างขึ้นเรื่อยๆพร้อมความคิดบางส่วนที่ส่งมาอย่างไม่ตั้งใจทำให้เฟยจิ่งกระแอมเบาๆ ก่อนถามซ้ำ เขาทำเป็นไม่ได้ยินความคิดไร้สาระที่เจ้าเด็กจอมป่วนคิดในใจ

       ลุงเฟยจิ่งใจดีที่สุดเลย!

       ฮึ ช่างไร้สาระเสียจริง

       "เรื่องช่วยลู่หลิน ทีแรกฉันคิดว่าจะแอบพาหนีตอนพวกคนในหอเผลอ แต่มันติดปัญหาหลายเรื่อง ก็เลย..."ถึงตรงนี้จิ้นเฟยก็ลดเสียงลง เฟยจิ่งขมวดคิ้วก่อนใช้น้ำเสียงแกมบังคับสั่งอีกฝ่าย

       "ลองว่าปัญหาของเจ้ามา"

       ได้ยินอย่างนั้นจิ้นเฟยก็ไม่กล้าลังเล รีบพูดรวดเดียว

       "อย่างแรกเลยคือ...ฉันไม่คุ้นกับทางแถวนี้ ก็เพิ่งเคยออกมาข้างนอกครั้งแรกนี่นะ นอกจากนั้นก็ยังไม่รู้ด้วยว่าที่นี่มีคนเฝ้ายามเท่าไหร่ ตอนที่หนีเลยอาจจะลำบาก ถึงจริงๆด้วยวรยุทธ์ของลุงกับฉันต่อให้ถูกกี่สิบคนรุมก็จัดการได้สบายก็ตามเถอะ แต่นั่นก็เฉพาะตอนสู้คนเดียวไม่ได้ติดลู่หลินไปด้วย..."

       "ฮึ แค่พาเด็กน้อยผู้หนึ่งหลบหนี เจ้าคิดว่าข้าไม่สามารถ?"เฟยจิ่งแทรกขึ้นด้วยน้ำเสียงยโส แต่คนฟังรู้ดีว่าคนพูดไม่เคยคุยโม้ แต่ถึงได้ยินอย่างนั้นจิ้นเฟยก็ยังไม่หายกังวลใจ

       "ยังมีอีกเรื่อง... คือเรื่องที่ว่าพอพาลู่หลินหนีออกไปได้แล้วจะทำยังไงต่อ..."คำพูดนี้เบาหวิวจนแทบไม่ต่างกับเสียงลมลอด

       อย่างที่รู้กันว่าตอนนี้วิญญาณทั้งสองอยู่ในฐานะองค์ชายที่ไร้ความโปรดปรานจากฮ่องเต้ ดังนั้นการจะนำใครสักคนเข้าวังหลวงล้วนแต่เป็นการสร้างปัญหาใหญ่ ยิ่งไปกว่านั้นสถานะของพวกเขาตอนนี้หากพาเด็กสาวลู่หลินไปอยู่ด้วยจริงรังแต่จะเป็นการทำร้ายนางเสียมากกว่า

       เรื่องนี้เฟยจิ่งรู้ จิ้นเฟยก็รู้ ดังนั้นวิญญาณสาวจึงไม่กล้าเอ่ยอะไร เพราะรู้ดีว่าเรื่องทั้งหมดเป็นปัญหาที่ตนเองสร้างขึ้นทั้งสิ้น

       "เป็นอย่างไรเล่า? นี่คือผลจากการกระทำไม่คิดของเจ้า"เฟยจิ่งกล่าวเสียงเย็น ถ้อยคำตอกย้ำให้ตัวต้นเหตุรู้สึกตัวลีบลงเรื่อยๆ

       "ฉันรู้ว่าตัวเองผิด..."จิ้นเฟยเม้มปากแน่น

       "หากเจ้ารู้ เหตุใดยามนั้นจึงกล่าวรับปากไปเล่า?"เฟยจิ่งถามอย่างไม่เข้าใจอย่างแท้จริง เขารู้ว่าจิ้นเฟยหาใช่คนโง่ ถึงจะชอบทำเป็นเล่นไปบ้างแต่ก็เป็นคนฉลาดที่รู้หนักเบา เหตุใดในตอนนั้นจึงทำเรื่องโง่เง่าลงไปกัน?

       "ฉัน... ฉันแค่รู้สึกอยากช่วย ตอนนั้น ตอนที่สบตากับเด็กคนนั้น ลุงก็เห็นนี่ว่าดวงตาของลู่หลินมันว่างเปล่าแค่ไหน?"

       ยามที่สบตา เธอเห็นชัดถึงความอ้างว้าง โดดเดี่ยว แววตาที่ไร้ชีวิตชีวาซึ่งเก็บซ่อนความคาดหวังลึกๆเอาไว้ แววตาที่ทั้งคล้ายคลึงและคุ้นเคย

       ลู่หลินยามที่จิ้นเฟยและเฟยจิ่งเห็นครั้งแรกไม่ต่างอะไรไปกับตุ๊กตาจริงๆ ก็ไม่รู้ว่าเด็กสาวเคยเจอเรื่องร้ายอะไรมาก่อน แต่ในแววตาคู่นั้นไม่มีทั้งความหวาดกลัวและอารมณ์ความรู้สึกใดๆ แม้จะเห็นเป็นแบบนั้นแต่ทั้งสองรู้ดีว่ามันเป็นแค่ภาพลวงตาที่เจ้าตัวสร้างขึ้นมาปิดกั้นจิตใจตน และยิ่งสัมผัสได้ชัดเมื่อยามจิ้นเฟยเอ่ยปากให้ความช่วยเหลือ ดวงตาคู่น้อยที่เฉยชาได้สั่นไหว เผยให้เห็นความรู้สึกลึกๆที่เก็บซ่อนไว้ในใจ

       "เวลาที่ต้องการความช่วยเหลือ ในเวลาที่ต้องการมือใครสักคนมาฉุดรั้ง แต่เมื่อยื่นมือออกไปกลับไม่มีใครสักคนตอบรับ เรื่องแบบนั้น...ฉันไม่อยากให้มันเกิดขึ้นอีก"

       จิ้นเฟยยอมรับว่าตัวเองผิด แต่ในเวลานั้นเธอคิดแค่อย่างเดียวว่าต้องช่วยให้ได้ จะไม่ยอมให้อีกฝ่ายตกลงสู่ห้วงความสิ้นหวัง...เหมือนที่เธอเคยเป็น

       เฟยจิ่งถอนหายใจเมื่อเข้าใจแล้วว่าเหตุใดอีกฝ่ายจึงกระทำเรื่องสิ้นคิดเช่นนั้นไป แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังอดไม่ได้ต้องกล่าวเตือน

       "ข้าเองก็มิได้คิดนิ่งดูดาย หากเจ้าอยากช่วยนางข้าก็พร้อมจะสนับสนุน หากแต่สิ่งที่เจ้าทำลงไป การรับปากโดยมิคิดหน้าคิดหลังและไร้ซึ่งแผนการเป็นการกระทำที่มุทะลุ สิ้นคิด ซึ่งมีแต่คนโง่เขลากระทำกัน หากเจ้ายังเป็นเช่นนี้ บัลลังก์ที่วาดหวังไว้คงเป็นได้แค่ฝัน"

       คำพูดนี้ย้ำเตือนให้จิ้นเฟยระลึกเป้าหมายของพวกตนที่หาใช่เรื่องง่ายดายเพียงพลิกฝ่ามือ

       บัลลังก์ สิ่งที่พวกเขามุ่งหวังครองเป็นสิ่งที่ผู้คนมากมายมุ่งหมายปองเช่นกัน ซึ่งคนเหล่านั้นล้วนแต่ยอมกระทำทุกสิ่งอย่างเพื่อไขว่คว้ามัน ฉะนั้นหากวิญญาณสาวยังไม่รู้จักควบคุมตนเองแล้ว เช่นนั้นการเดินต่อไปในเส้นทางนี้ย่อมมิต่างจากเดินก้าวหาความตาย

       จิ้นเฟยที่ถูกคำพูดที่ดังเป็นการซ้ำเติมของเฟยจิ่งทิ่มแทงไปทั่วร่างก็หงอยลง เฟยจิ่งที่พูดดุว่าไปชุดหนึ่งก็กระแอมก่อนกล่าวต่อด้วยเสียงที่อ่อนลง

       "ฉะนั้นแล้ว หากเจ้าจะกระทำสิ่งใดๆอีกต้องครุ่นคิดให้ถี่ถ้วนเสียก่อน และอย่าได้คิดตัดสินใจเพียงลำพังอีก เข้าใจหรือไม่?"ท่อนท้ายน้ำเสียงเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวกำชับ จิ้นเฟยนิ่งอึ้งไปชั่วอึดใจก่อนขยับยิ้มแล้วตอบรับอย่างร่าเริง

       "รับทราบ!"


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×