คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : องก์สอง
‘เพราะเหตุใด’ เฮ่อหมิงต้านนึกถามหาเหตุผลอยู่นาน แต่คำว่าเพราะบุญคุณก็ดูจะไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้อง
เป็นที่รู้กันดีว่าในบรรดาทั่วสิบห้าแคว้น
แคว้นจิ้งนับเป็นดินแดนที่อุดมสมบูรณ์และมั่งคั่งที่สุด
และเพราะเป็นแคว้นขนาดใหญ่จึงต้องมีการแบ่งเขตปกครองย่อยลงมาเพื่อง่ายต่อการจัดการดูแล
ในหมู่ผู้ปกครองทั้งหมด อ๋องเฮ่อฉีจ้าง อดีตองค์ชายสามผู้มีสายเลือดนักรบในตัวที่ถูกส่งไปดูแลเขตทางใต้ถือเป็นผู้ที่โชคดีที่สุด
ชายหนุ่มได้พานพบและครองรักหวานชื่นกับองค์หญิงหลายเอ้อเหมย
ยอดสาวงามแห่งชนเผ่าลูก้า ผู้มีเกศาสีทองคำ และดวงตาที่งดงามดุจกักเก็บผืนฟ้าไว้ภายใน
แต่การที่คนคนหนึ่งมีความสุขเกินไปย่อมทำให้สวรรค์นึกอิจฉา
ดังนั้นทายาทเพียงคนเดียวของจวนเฮ่ออ๋องจึงราวกับถูกสาป เพราะหากไม่นับรูปลักษณ์ที่ถอดแบบมารดามา
ไม่เพียงเด็กน้อยจะตาบอดและเป็นใบ้ตั้งแต่กำเนิด ยามถึงวัยก้าวเดินกลับพบว่าสองขาที่มีอยู่อ่อนแรงจนทำไม่ได้แม้แต่หยัดยืน
ความพิกลพิการที่มีเมื่อถูกผนวกเข้ากับรูปโฉมอันเลิศล้ำ เฮ่อหมิงต้าน
บุตรชายแห่งจวนอ๋องผู้ยิ่งใหญ่จึงถูกกล่าวขานว่าเป็นคนงามที่โชคร้ายที่สุดในแผ่นดิน
อ๋องเฮ่อฉีจ้างได้ควานหาหมอจากทั่วใต้หล้ามาเพื่อรักษาบุตรชาย
แต่ทุกผู้ที่พบเจอทำเพียงกล่าวว่านี่เป็นชะตากรรมที่ต้องน้อมรับ
ไม่ว่าผู้ใดที่รับรู้เรื่องราวต่างพากันนึกสงสารและเห็นใจเด็กน้อย ทว่า เฮ่อหมิงต้านไม่เคยคิดว่าตนเองน่าสงสารแต่อย่างใด
เพราะเขามีบิดามารดาที่รักใคร่และมองตัวเขาเป็นดังไข่มุกในอุ้งมืออยู่
ตั้งแต่เกิดมา นอกจากความพิการที่มี เขาก็ไม่เคยได้รับความลำบากใดๆ ในชีวิต
เฮ่อหมิงต้านยังคงใช้ชีวิตอย่างมีความสุขเรื่อยมา จนกระทั่งเมื่อเขาอายุได้สิบหกปี
ราวกับเกิดอาเพศครั้งใหญ่ขึ้นกับจวนเฮ่ออ๋อง ปีนั้นในเดือนสี่
ทั่วเขตทางใต้ได้มีการก่อจารจลครั้งใหญ่ อ๋องเฮ่อฉีจ้างได้รับคำสั่งจากเบื้องบนให้เข้าทำการปราบปราม
แต่แล้วระหว่างปฏิบัติงานอยู่ พระองค์เกิดโชคร้ายตกจากหลังม้าและถูกม้าที่แตกตื่นเหยียบย่ำจนกระดูกแขนซ้ายป่น
ทั้งกระดูกสันหลังได้ถูกกระแทกอย่างแรงตอนตกลงมาจนส่งผลให้ชายหนุ่มกลายเป็นอัมพาตทั้งตัว
สืบเนื่องจากเหตุการณ์ดังกล่าวพระชายาหลายเอ้อเหมยจึงได้ล้มป่วยลง และพออาการทุเลาลงพระนางกลับคล้ายจะเสียสติไปเสียแล้ว
เพราะหากไม่จู่ๆ ก็ส่งเสียงกรีดร้องทำลายข้าวของ ก็จะเอาแต่นั่งร้องไห้อย่างเหม่อลอยอยู่บนตั่งเตียงโดยไม่พูดไม่จา
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเหล่านี้ทำให้จวนเฮ่ออ๋องแทบตกต่ำถึงขีดสุด
หลังหมอหลวงทำการตรวจอาการแล้วพบว่าไม่อาจรักษา ตำแหน่งผู้ปกครองเขตทางใต้จึงถูกเปลี่ยนมือ
นับจากนั้นจวนเฮ่ออ๋องก็ปิดประตูไม่พบเจอผู้คนอีก
จนเวลาผ่านพ้นไปสองปีจึงมีการเปลี่ยนแปลง เมื่อบังเอิญมีหมอเทวดาท่านหนึ่งไปเยือนยังจวน
และใช้เวลาเพียงสามวันทำการรักษาทั้งอ๋องเฮ่อฉีจ้างและพระชายาหลายเอ้อเหมยให้หายเป็นปกติ
ผู้คนกล่าวว่าเหตุการณ์นั้นถือเป็นปาฏิหาริย์
ทว่า น่าแปลกที่ไม่มีใครพูดถึงบุตรชายเพียงคนเดียวของทั้งสองแม้แต่น้อย
ราวกับพากันลืมเลือนไปจนหมดสิ้น...
ทางด้าน เฮ่อหมิงต้าน
บุตรชายจวนอ๋องผู้ถูกลืมเลือน แท้จริงแล้วเขาถูก ‘หมอเทวดา’ พาตัวมารักษายังสถานที่ห่างไกล แต่นั่นก็เป็นเพียงข้ออ้างให้คนภายนอกรับรู้
เพราะหมอเทวดาที่อวดอ้างถึง แท้จริงแล้วคือปีศาจร้ายที่ตัวเขาได้เสนอกายเนื้อและวิญญาณเป็นสิ่งแลกเปลี่ยนในการทำการรักษาบิดามารดาที่ถูกคนชั่วทำร้าย
ถูกแล้ว ไม่ว่าจะอาการบาดเจ็บของท่านพ่อของเขา
หรือการล้มป่วยของท่านแม่ ล้วนเกิดขึ้นด้วยน้ำมือของคนที่ชักใยอยู่เบื้องหลังทั้งสิ้น
กระทั่งความพิการที่เขามีอยู่ก็เป็นฝีมือของคนผู้นั้นเช่นกัน
ตอนรู้ความจริงเหล่านี้เฮ่อหมิงต้านพลันนึกอยากฆ่าคนขึ้นมาเป็นครั้งแรก แต่เพราะไม่มีกำลังพอเขาจึงทำได้เพียงคับแค้นกับโชคชะตา
ทว่า หนึ่งปีหลังเกิดเรื่อง
เขาก็ได้พานพบกับบุรุษที่จะมาเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของเขา
ไห่เป่ยผิงคือนามของคนผู้นั้น
ในวันหนึ่งอีกฝ่ายได้บุกรุกเข้ามาในห้องของเขาอย่างไร้เสียง ทั้งๆที่ตัวเขามีประสาทรับเสียงและกลิ่นไวมากแท้ๆ
แต่เขาก็ยังคงไม่รับรู้ถึงการคงอยู่ของอีกคนจนกระทั่งอีกฝ่ายเอ่ยปาก
“ได้ยินมาว่าจวนเฮ่ออ๋องซ่อนของล้ำค่าเอาไว้...
คิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นจริง”
ภายใต้ความมืดมิดเสียงทุ้มเข้มที่แฝงมนต์เสน่ห์ชวนหลงใหลพลันดังขึ้นข้างกาย
ยามนั้นเฮ่อหมิงต้านเพิ่งทานมื้อเที่ยงเสร็จจึงนั่งรับลมอยู่ข้างหน้าต่าง
เมื่อได้ยินเสียงคนเขาพลันนึกตื่นตัวและคิดไปว่าผู้มาใหม่คือนักฆ่าที่ถูกส่งมาสังหารครอบครัวของเขา
จึงอาศัยจังหวะที่อีกฝ่ายถือดีมาจับคางเขา คว้าเอามือข้างนั้นมากัดอย่างเต็มแรง!
“...หืม? ดุร้ายไม่เบาเลยนะเนี่ย”
แทนที่เสียงร้องอย่างเจ็บปวด บุรุษผู้นั้นกลับกล่าวอย่างใจเย็น
ซึ่งนั่นทำให้เฮ่อหมิงต้านออกแรงกัดเพิ่มขึ้นจนตัวฟันกระทบกับกระดูกดังกึก เขารู้ดีว่าสิ่งที่ทำอยู่มันไร้ความหมาย
และอีกไม่ช้าก็คงถูกอีกฝ่ายหยิบยื่นความตายให้ แต่ถึงอย่างนั้นเขา เฮ่อหมิงต้าน ก็จะไม่ขอยอมจำนน
ต่อให้ต้องตายเขาก็ขอฝากรอยแผลที่ไม่มีวันลบเอาไว้ให้!
“นึกว่าลูกแมว แต่จริงๆ คือลูกเสืองั้นสินะ
อืม... ถูกพิษไปหลายตัวเลยนี่
ที่ยังรอดแบบนี้นับว่าดวงดีไม่น้อย”อีกฝ่ายพึมพำอะไรบางอย่างขณะใช้มืออีกข้างลูบหัวเขาไปมา
“แต่ก็คงดวงดีจริงๆ นั่นแหละ ถึงได้มาเจอข้า เอาเถอะ ถือเป็นวาสนา
จะรักษาให้ก็แล้วกัน”
พูดอะไรน่ะ? รักษา?
ขณะที่ตั้งคำถามอยู่นั้นก็พลันรู้สึกเจ็บแปลบที่ศีรษะเสมือนถูกของแหลมคมทิ่มแทง
จากนั้นแทนที่ความมืดมิด เขาก็พลันเห็น...แสงสว่าง
นี่มัน? มองเห็นแล้ว?!
พรึ่บ!
“อ้อ ไม่ได้สิ ตาแก่นั่นบอกว่าไม่ควรมองแสงจ้าทันที
เจ้าก็ทนหน่อยแล้วกัน”เสียงชายผู้นั้นดังขึ้นกล่าวพร้อมสัมผัสของผ้าไหมเคลื่อนมาบดบังดวงตา
แสงสว่างเจิดจ้าเมื่อครู่จึงหลงเหลือเพียงสีสันอันอ่อนโยนชนิดหนึ่งเลือนราง
“ตาแล้ว ต่อไปก็เสียงสินะ”
“อั่ก!”
เฮ่อหมิงต้านจำต้องคายปากที่กัดมืออีกฝ่ายออกเมื่อลำคอถูกบีบแน่นจนหายใจไม่ออก
แต่ความรู้สึกนั้นก็อยู่ไม่นานนัก เมื่อแรงกดหายไปเขาก็รีบสูดลมหายใจเข้าพลางไอไล่ความเจ็บปวด
“แค่กๆ แค่ก”
“เอาล่ะ ไหนลองพูดซิ”
...พูด? เฮ่อหมิงต้านตะลึง หรือเมื่อครู่คือวิธีการรักษา?
“พูดไม่เป็นก็ลองส่งเสียงออกมาหน่อยก็ได้
ไหนลองทำเสียงอาซิ อา...”น้ำเสียงกึ่งหยอกล้อที่เอ่ยฟังสามหาวนัก
แต่เฮ่อหมิงต้านไม่มีเวลาใส่ใจ เพราะเขากำลังพยายามเปล่งเสียงตามคำแนะนำ
“อะ อา?”เฮ่อหมิงต้านชะงักเมื่อมีเสียงบางอย่างลอดออกมาจากลำคอ
เขาแตะช่วงคอของตนก่อนส่งเสียงซ้ำๆด้วยความตื่นเต้น “อะ อ่า! อา!
อ้า!”
เสียงที่ถูกเปล่งออกมาฟังใสกังวานนัก
เฮ่อหมิงต้านนึกยินดีจนหัวใจเต้นระรัว เขาไม่นึกเลยว่าชั่วชีวิตนี้จะมีโอกาสได้พูดจาเหมือนคนอื่น
อีกทั้งเมื่อครู่เขาก็สามารถมองเห็นแล้ว ยามนี้ความพิการที่เขามีอยู่กำลังถูกรักษาไปทีละอย่าง
“อืม ฝึกไปเรื่อยๆแล้วกัน คราวหน้าจะแวะมาคุยด้วย
อ้อ ผ้าน่ะผูกไว้ก่อนก็ดี ค่อยๆ ทำตัวให้ชินกับแสงซะ ส่วนขา
ถ้าว่างจะมารักษาให้แล้วกัน ไปล่ะ”
สิ้นคำกล่าวลาเงาร่างอีกคนก็หายลับไป ฝ่ายเฮ่อหมิงต้านซึ่งใช้เวลาครู่ใหญ่จนสะกดความยินดีลงได้ก็พลันรับรู้ถึงของเหลวรสหวานออกเฝื่อนที่อยู่ในปาก
เพียงแต่ในยามนั้นเขายังไม่รับรู้ว่ามันคือรสชาติของสิ่งใด
จากนั้นเวลาได้ผ่านไปเดือนเศษ
ยามนี้เขาสามารถมองเห็นแล้ว เพียงแต่นอกเหนือจากการฝึกมองแสงโคมยามค่ำคืน
เขายังจำต้องใช้ผ้าไหมผูกตาไว้อีกชั้น ส่วนการพูด เขาฝึกฝนจนพูดได้ฉะฉาน
แต่ช่วงแรกยังมีหลายครั้งที่เผลอลืมวิธีเปล่งเสียง
แน่นอนว่าการฝึกฝนทั้งหมดถูกเก็บเป็นความลับ
เฮ่อหมิงต้านกำลังเฝ้ารอการมาเยือนของบุรุษผู้นั้น
ชายที่ถือวิสาสะบุกเข้ามาในจวนของเขาและเป็นผู้ทำการรักษาเขา
คนผู้นั้นคือหมอเทวดาที่ผู้คนร่ำลือเช่นนั้นหรือ?
เขาเคยได้ยินเรื่องเล่าถึงผู้วิเศษที่สามารถรักษาได้ทุกโรคและทำได้กระทั่งชุบชีวิตคนตาย
ผู้คนต่างเรียกขานบุคคลที่มีความสามารถดังกล่าวว่าหมอเทวดา
ก่อนหน้าที่จะได้พบกับชายลึกลับ เขาไม่เคยเชื่อว่าบนแผ่นดินนี้มีตัวตนเช่นนั้นอยู่จริง
แต่หลังจากพานพบเขาก็เริ่มเปลี่ยนแปลงความเชื่อ และคาดหวัง
หากอีกฝ่ายคือหมอเทวดาจริง
ก็คงจะรักษาท่านพ่อกับท่านแม่ได้ใช่หรือไม่?
สำหรับคำตอบของคำถามนั้น เขาได้รับมันในอีกสองเดือนให้หลัง
ชายผู้นั้นโผล่มาเยือนอีกครั้ง
ซึ่งเวลานี้เฮ่อหมิงต้านมองเห็นเป็นปกติแล้ว แม้สายตาของเขาจะยังไม่ค่อยสู้แสง
แต่ก็สามารถมองดูโลกใบนี้ได้ด้วยดวงตาของตนเอง
และยามนี้เขาก็มองเห็นผู้ที่ทำการรักษาเขาได้อย่างชัดเจน
อีกฝ่ายเป็นชายรูปร่างสูงใหญ่ โดยสวมใส่ชุดคลุมสีดำตัดผิวกายขาว
ใบหน้าดูโดดเด่นชวนมอง แต่หาได้ดูอ่อนโยนอย่างคนมีเมตตา เฮ่อหมิงต้านยังคงแยกแยะไม่ได้ว่าสิ่งใดงดงาม
ทว่าหลายเดือนที่ผ่านมาเขาได้ศึกษาเรื่องของสีสัน
และความรู้สึกของเขาบอกว่าชายผู้นี้ไม่เหมาะสมกับอาภรณ์ที่สะอาดบริสุทธิ์อย่างสีขาว
กลับกัน สีดำที่ห่อหุ้มกายอยู่กลับเข้ากับชายหนุ่มได้เป็นอย่างดี
“หืม รอข้าอยู่งั้นหรือ?”อีกฝ่ายพลางเดินเข้ามาด้วยทวงท่าสบายๆ
คล้ายอยู่บ้านของตนเอง พอเดินมาถึงคนก็แตะขาทั้งสองของเขาอยู่ครู่ก่อนปล่อยออกแล้วเดาะลิ้นหนึ่งที
“มีอะไรหรือ?”เฮ่อหมิงต้านใช้เสียงของตนสนทนากับคนอื่นเป็นครั้งแรก แม้เนื้อเสียงยามพูดจะสั่นพลิ้วเล็กน้อยแต่ก็ยังไพเราะจับจิต
ฝ่ายชายชุดดำเมื่อได้ยินคำถามก็เดาะลิ้นอีกรอบแล้วตอบ
“ขาเจ้า ข้ารักษาไม่ได้”
เมื่อได้ยินดังนั้นเฮ่อหมิงต้านพลันนิ่งอึ้งไป
แต่เขาก็สามารถปรับความรู้สึกได้อย่างรวดเร็ว เพราะอันที่จริง สำหรับเขาแล้วการเดินไม่ได้ไม่ถือว่าสำคัญอะไร
อาจรู้สึกเสียดายอยู่บ้างแต่ก็ไม่ถึงกับผิดหวังจนยากจะทานทน ที่สำคัญกว่านั้น...
“ขาของข้ารักษาไม่ได้ก็ช่างเถิด
แต่...เจ้ารักษาท่านพ่อกับท่านแม่ได้หรือไม่?”
เฮ่อหมิงต้านถามด้วยความคาดหวังที่ล้นปรี่
แทนที่อาการพิการของเขา เขาหวังอย่างยิ่งว่าอีกฝ่ายจะสามารถรักษาบิดามารดาของเขาได้
“พ่อแม่ของเจ้า?
ให้ข้าดูก่อน”พูดแค่นั้นอีกฝ่ายก็หาบวับไปทันที
ก่อนจะกลับมาหลังผ่านไปหนึ่งก้านธูปพร้อมกับคำตอบอันน่ายินดี
“ได้ พ่อแม่ของเจ้า ข้ารักษาได้”
“จริงหรือ?!”เฮ่อหมิงต้านร้องถามเสียงตื่นเต้น นัยน์ตาสีฟ้างดงามที่กะพริบไหวพร่างพราวด้วยความปีติ
จนกระทั่งสบตากับนัยน์ตาสีดำที่มืดมิดของคู่สนทนา
เขารู้สึกตัวว่าเผลอเสียอาการไปจึงเม้มปากเบาๆ จากนั้นก็เอ่ยขอร้อง
“ถ้าเช่นนั้นเจ้า...ช่วยรักษาท่านพ่อกับท่านแม่ของข้าด้วยเถิด”
ภาพศีรษะของผู้สูงศักดิ์ที่โน้มต่ำลงให้กับบุคคลปริศนาที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้าอาจดูแปลกประหลาด
แต่เฮ่อหมิงต้านถูกกลับไม่คิดมาก ถึงเขาจะเป็นเชื้อพระวงศ์ที่ถูกเลี้ยงมาดั่งไข่ในหิน
แต่ความรู้พื้นฐานที่คนทั่วไปรู้เขาเองก็ได้ร่ำเรียนมา
ดังนั้นเขาจึงรู้ดีว่าเมื่อต้องการความช่วยเหลือจากคนอื่น
สิ่งที่ต้องทำคือก้มศีรษะและเอ่ยปากขอร้องอย่างจริงใจ หาใช่พูดสั่ง ข่มขู่
หรือกดขี่บังคับด้วยอำนาจที่ตนมี
แม้นี่จะเป็นการขอร้องใครสักคนครั้งแรกในชีวิต
แต่เฮ่อหมิงต้านเชื่อว่าตนเองทำได้ดีพอ ทว่าคำตอบรับกลับตรงข้ามกับความคาดหวัง
“โทษที แต่ไม่ล่ะ”
“ว่าไงนะ?”เฮ่อหมิงต้านตะลึง เขารีบเงยหน้ามองผู้เอ่ยอย่างไม่เชื่อหู
“ข้าช่วยเจ้าเพราะเห็นว่าเรามีวาสนาต่อ
แต่รักษาพ่อแม่ของเจ้า
นั่นมันอยู่นอกเหนือขอบเขตไปแล้ว”ชายผู้นั้นยิ้มอย่างไม่ยี่หระ และนั่นทำให้เฮ่อหมิงต้านร้อนใจจนหลุดปากอ้อนวอน
“ขะ ข้าต้องทำอย่างไรเจ้าจึงจะยอมรักษาให้กับท่านพ่อและท่านแม่ของข้า?
ขอเพียงเป็นสิ่งที่ข้าทำได้ข้ายอมทำทุกอย่าง!”
หลังเอ่ยถ้อยคำเหล่านี้ออกไป
ชายชุดดำก็นิ่งเงียบไปนานกว่าจะกล่าวตอบ
“เช่นนั้นเจ้า...มาเป็นภรรยาของข้าก็แล้วกัน”
“ภรรยา? นั่นเป็นคำเรียกของสตรีไม่ใช่หรือ?”เฮ่อหมิงต้านขมวดคิ้วถามอย่างนึกสงสัย
ซึ่งชายชุดดำปฏิเสธ
“ผิดแล้ว ภรรยาคือบุคคลที่จะได้รับความใส่ใจและการปกป้องจากผู้เป็นสามี
สิ่งใดที่ภรรยาต้องการ สามีมีหน้าที่จัดหามาให้ สิ่งใดที่ทำให้ภรรยาทุกข์ทน
สามีมีหน้าที่ขจัดมันทิ้ง ดังนั้นหากเจ้าเป็นภรรยาของข้า เรื่องพ่อแม่ของเจ้าข้าจะจัดการรักษาให้เอง”
คำกล่าวกล่อมฟังดูเป็นเหตุเป็นผล
เฮ่อหมิงต้านที่ยังอ่อนเยาว์และไร้เดียงสาอยู่มากจึงหลงเชื่ออย่างง่ายดาย
เขาฟังแล้วก็เอ่ยถามอย่างลังเล
“ข้าแค่ต้องเป็นภรรยาของเจ้างั้นหรือ?”
“ถูกต้อง”
“แล้ว...ภรรยามีหน้าที่อะไรบ้าง?”
คล้ายคำถามนี้จะไม่กระตุกต่อมขบขันของผู้ฟัง
อีกฝ่ายจึงยกยิ้มขันก่อนจะเอ่ยตอบ
“หน้าที่ของภรรยาย่อมเป็นการอยู่เคียงข้างสามี
เพื่อให้สามีได้ทำหน้าที่ของสามี”
“ความหมายของเจ้าคือ หากข้าเป็นภรรยาของเจ้า
ข้าจะต้องติดตามเจ้าไป และไม่อาจอยู่ที่จวนนี้ต่องั้นหรือ?”
“ถูกต้อง”
“แต่หากข้าไม่ตอบตกลง เจ้าก็จะไม่รักษาท่านพ่อกับท่านแม่ของข้า...”
เฮ่อหมิงต้านเอ่ยต่อพลางจับจ้องไปยังใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มของอีกฝ่าย
เมื่อเห็นท่าทีที่ไม่ตอบรับไม่ปฏิเสธของอีกคน
เฮ่อหมิงต้านก็หลุบตาลงต่ำพลางทบทวนข้อแลกเปลี่ยนที่ไม่ยากเกินตัดสินใจ
แม้ต่อจากนี้ไปเขาอาจจะไม่ได้อยู่ที่นี่
แต่ถ้ามันแลกมาด้วยการที่ท่านพ่อกับท่านแม่กลับมาหายดีแล้ว...เขาก็ยินดี
หลังตัดสินใจได้เฮ่อหมิงต้านก็เอื้อนเอ่ยคำตอบของตน ซึ่งเมื่อได้รับคำตอบ
ชายชุดดำก็กล่าวแนะนำตัวเองเป็นครั้งแรก
“ข้าชื่อไห่เป่ยผิง
จากนี้ไปจะเป็นสามีของเจ้า”
เฮ่อหมิงต้านได้ยินอีกคนแนะนำตัวก็นึกได้ว่าตัวเองควรแนะนำตัวบ้าง
แต่เพราะไม่เคยทำมาก่อน เขาจึงเลียนแบบรูปประโยคจากอีกฝั่ง
“ข้า...มีนามว่าเฮ่อหมิงต้าน
จากนี้ไปจะเป็นภรรยาของเจ้า...”เฮ่อหมิงต้านกล่าวถึงตรงนี้ก็นิ่งไปเล็กน้อย
แล้วพูดเสริม “ถ้าเจ้ารักษาท่านพ่อกับท่านแม่ของข้าได้น่ะนะ”
ฟังคำกล่าวนี้แล้ว ไห่เป่ยผิงพลันยกยิ้ม
แล้วเอ่ย
“ไม่ต้องห่วง พ่อแม่ของเจ้า
ข้าจะรักษาเอง”
หลังรับคำเป็นมั่นเหมาะอีกฝ่ายก็ลงมือ
และเพียงสามวัน อาการเป็นอัมพาตของเฮ่อฉีจ้างก็ดีขึ้นจนสามารถลุกขึ้นนั่งด้วยตัวเองได้
ส่วนหลายเอ้อเหมยก็กลับมามีสติอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าอาการของทั้งคู่ดีขึ้น
เฮ่อหมิงต้านที่เดิมไม่ได้รู้สึกอะไรกับการที่ไห่เป่ยผิงรักษาดวงตาให้พลันรู้สึกยินดีที่มีโอกาสเห็นท่านพ่อกับท่านแม่กลับมาแข็งแรงด้วยตาของตัวเอง
“ท่านพ่อ
ท่านแม่”เฮ่อหมิงต้านเอ่นเรียกบุพการีทั้งสองด้วยเสียงสั่นเครือ
ทางด้านผู้ถูกเรียกขานต่างนิ่งตะลึงไป
“เจ้า... หมิงเอ๋อร์?
เมื่อกี้เป็นเจ้าพูดงั้นหรือ?!”เฮ่อฉีจ้างที่หลุดจากอาการตะลึงสอบถามอย่างไม่อยากเชื่อ
เฮ่อหมิงต้านเห็นดังนั้นก็เอ่ยรับคำ
“เป็นข้าเองท่านพ่อ”
“เดี๋ยวก่อน
นี่หมิงเอ๋อร์มองเห็นพวกเรางั้นหรือ?!”ครานี้เป็นเสียงอ่อนหวานของพระชายาหลายเอ้อเหมย
“ถูกต้องท่านแม่ ข้ามองเห็นแล้ว”เฮ่อหมิงต้านกล่าวพลางสบประสานกับนัยน์ตาสีฟ้าใสของผู้เป็นมารดา
“ดี!
ดีเหลือเกิน! ในที่สุดสวรรค์ก็เห็นใจข้า! มานี่สิหมิงเอ๋อร์ มาให้แม่กอดเจ้าหน่อย”สีหน้าและแววตาของพระชายาเต็มไปด้วยความสุข
เฮ่อหมิงต้านหันมองไห่เป่ยผิงเพื่อให้อีกฝ่ายช่วยผลักเก้าอี้รถเข็น
และด้วยการกระทำนั้นเองทำให้อีกสองคนพลันให้ความสนใจกับบุรุษแปลกหน้า
“เจ้าคือ?”เฮ่อฉีจ้างสอบถามสั้นๆ
ขณะที่นัยน์ตาคมกริบจับจ้องไปยังไห่เป่ยผิง
“ข้าไห่เป่ยผิง เป็นผู้รักษาท่านกับนาง”โดยไร้ความเกรงกลัวต่อสายตาทรงอำนาจของผู้เป็นอ๋อง
ไห่เป่ยผิงได้เอ่ยแนะนำตัวพร้อมชี้ชัดถึงข้อมูลสำคัญ
“เช่นนั้นต้องขอบใจเจ้ามาก
ข้าจะให้รางวัลเป็นการตอบแทน เจ้าต้องการสิ่งใดว่ามาได้เลย”
“ไม่จำเป็น หมิงต้านได้ตกลงเรื่องนั้นกับข้าแล้ว”
“หมิงต้าน?”พระชายาหลายเอ้อเหมยอุทานเบาๆ
แล้วเลื่อนสายตามาที่บุตรชาย ซึ่งเฮ่อหมิงต้านก็สบตามารดาและบิดาของตนก่อนเอ่ย
“ท่านพ่อ ท่านแม่
ข้าได้ตกลงกับไห่เป่ยผิงว่าจะติดตามเขาไป โดยแลกเปลี่ยนกับการรักษาพวกท่าน
อีกทั้งก่อนนี้ตัวข้าก็ได้รับการรักษาจากเขาเช่นกัน”
“ติดตามไป? เจ้าจะไปจากที่นี่? ไม่นะ หมิงเอ๋อร์...”พระชายาตั้งใจจะเอ่ยค้าน
แต่ถูกผู้เป็นสามีขัด เฮ่อฉีจ้างที่ยกมือเป็นสัญญาณให้ภรรยาเงียบสบตากับไห่เป่ยผิงก่อนกล่าว
“ข้าขอพูดคุยกับเจ้าเป็นการส่วนตัวเสียหน่อย”
“ไม่มีปัญหา”
จากนั้นทั้งสองคนก็ลุกหายออกไปจากห้องเป็นเวลาเกือบหนึ่งชั่วยาม
ระหว่างนั้นพระชายาหลายเอ้อเหมยก็ซักไซ้เฮ่อหมิงต้านถึงเรื่องราวทั้งหมด
พอได้ยินเรื่องที่เฮ่อหมิงต้านตอบตกลงเป็นภรรยา พระนางก็มีสีหน้าตกใจและพูดคัดค้าน
จากนั้นเฮ่อหมิงต้านจึงได้รู้ว่าตนเองถูกหลอก ภรรยาเป็นคำเรียกขานของสตรีจริงๆ
แต่เขาก็ตอบตกลงไปแล้วจะทำอย่างไรได้
“ไม่ต้องเป็นห่วงนะหมิงเอ๋อร์
พวกเราจะปกป้องเจ้าเอง”พระชายาพูดปลอบซ้ำๆ ด้วยท่าทีอ่อนโยนและรักใคร่ เฮ่อหมิงต้านทำเพียงพยักหน้าน้อยๆ
รอจนอีกสองคนกลับมาเขากลับได้ยินเรื่องแปลกประหลาด
“หมิงเอ๋อร์ ต่อไปเจ้าต้องติดตามผิงเอ๋อร์ไปก็ทำตัวดีๆเล่า”
เฮ่อหมิงต้านไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ท่าทีที่ท่านพ่อมีต่อไห่เป่ยผิงดูเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด
ไหนจะยังคำเรียก ‘ผิงเอ๋อร์’ อีก
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ครึ่งเดือนถัดมา หลังท่านพ่อและท่านแม่ของเขาหายดีจนเป็นปกติแล้ว
เขาก็จำต้องออกเดินทางโดยมีเพียงท่านพ่อและท่านแม่ยืนมองส่ง
ขณะขึ้นมานั่งบนเกี้ยวลอยฟ้า เขาก็ทอดสายตาลงมองจวนที่ตนอาศัยมาเนิ่นนานอย่างอาลัย
“หากสามีตาย ภรรยาก็สามารถกลับบ้านได้”
“หือ?”
จู่ๆ ไห่เป่ยผิงก็โพล่งถ้อยคำหนึ่งออกมา แต่เมื่อคิดซักถามว่าอีกฝ่ายหมายความว่ายังไงก็เห็นอีกคนพริ้มตาลงคล้ายจะหลับใหลไปแล้ว
เฮ่อหมิงต้านจึงได้แต่ทบทวนคำพูดที่ได้ยินเมื่อครู่ในใจ
กลับบ้าน?
สามี...ตาย?
ความคิดเห็น