ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    วัวกินหญ้า หรือ หญ้ากินวัว? BL

    ลำดับตอนที่ #6 : บทที่6

    • อัปเดตล่าสุด 4 ก.ย. 64


    ในที่สุดก็ถึงวันหยุด กู่หนิวที่ไม่มีอะไรทำก็ถูกจางลู่ที่ได้หยุดเหมือนกันลากไปช่วยถือของ ถึงแม้โลกจะเข้าสู่ยุคแห่งความสิ้นหวังแล้ว แต่มันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการช๊อปปิ้งของสาวๆ จางลู่พาเขาไปยังห้างเฟิงฟู่ที่เคยเป็นแหล่งช้อปปิ้งมีชื่อ ตอนแรกเขาคิดว่าสถานที่คงร้างผู้คน ไม่คิดว่าจะมีคนเดินจับจ่ายซื้อของไม่น้อย

    กู่หนิวมองภาพเหล่านั้นด้วยความประหลาดใจ

    “เฮ้! ต้าหนิว อย่าทำหน้าเป็นบ้านนอกไม่เคยเห็นเมืองกรุงสิ”

    “...ที่นี่...ทำไมถึง?”

    “อะไร อย่าบอกนะว่าตั้งแต่วันสิ้นโลกยังไม่เคยมาซื้อของน่ะ?”จางลู่ถามอย่างแปลกใจ กู่หนิวพยักหน้าให้ อีกฝ่ายจึงตบหน้าผากตัวเองก่อนอธิบายด้วยเสียงหน่ายใจ

    “อย่างที่เห็นนี่แหละ ห้างเฟิงฟู่ยังเปิดให้บริการอยู่... พวกที่มายึดที่นี่เป็นป้อมเพ่ยเพ่ย ป้อมนั้นหัวการค้า พอยึดได้ก็ไม่ทำหวงก้าง พวกนั้นไม่ได้กั้นคนไม่ให้เข้า แต่ถือโอกาสทำการค้าซะเลย พวกของที่ขายก็มีทั้งอาหารกระป๋อง เครื่องมือเครื่องใช้ แต่โดยส่วนใหญ่ที่มาซื้อกันก็เป็นพวกอาวุธล่ะนะ”จางลู่ยักไหล่ขณะชี้แจง แต่คนฟังยังมีคำถาม

    “อาวุธเหรอครับ?”

    ห้างเฟิงฟู่เคยขายอาวุธด้วยเหรอ?

    “ซื่อบื้อจริง! แค่อาวุธน่ะเรื่องเล็ก พวกนั้นมีคนที่มีความสามารถด้านการสร้างอาวุธอยู่ พอทำออกมาแล้วก็เอามาขายไง!

    “อ้อ”กู่หนิวที่เพิ่งตามทันร้องออกมาเบาๆ จางลู่พ่นลมหายใจก่อนจะก้าวนำไป กู่หนิวเกาหัวแล้วเดินตามไปต้อยๆ แต่เมื่อหญิงสาวหยุดอยู่หน้าร้านหนึ่ง ชายหนุ่มก็นิ่งอึ้งไป

    ร้านขายชุดชั้นในสตรี?

    “เอาแบบมือหนึ่ง”จางลู่ตรงเข้าไปหาคนขายซึ่งเป็นหญิงวัยกลางคนที่มีไฝใกล้มุมปากพร้อมวางถุงผ้าลายหัวกะโหลกที่บรรจุคริสตัลสีแดงลงบนโต๊ะ

    “อ้าว คุณจางลู่ มาอีกแล้วเหรอจ๊ะ? เพิ่งมาซื้อไปเมื่อสองเดือนก่อนเอง”คนขายทักทายด้วยน้ำเสียงสนิทสนม ขณะที่สาวผมทองมีสีหน้าติดรำคาญ

    “ทำขาดตอนซักน่ะ เอาของออกมาให้ดูเร็ว ฉันยังต้องไปร้านอื่นอีก”

    “ได้จ๊ะ มือหนึ่งเหมือนเคยนะจ๊ะ”คนขายยังคงพูดเสียงหวาน คล้ายไม่ใส่ใจต่อท่าทีไร้มารยาทของคู่สนทนา

    “อย่าย้อมแมวขายล่ะ ฉันไม่อยากพังร้านทิ้ง”จางลู่พูดขู่เสียงเรียบเรื่อย ฝั่งคนขายฟังก็ปิดปากหัวเราะ

    “แหม พูดอะไรน่ากลัวจริงเชียว”

    หญิงกลางคนเดินเข้าไปยกลังออกมา ซึ่งเมื่อเปิดออกก็พบชุดชั้นในหลายรูปแบบ โดยตัวชุดยังคงมีกลิ่นที่บ่งบอกให้รู้ว่าเป็นของใหม่ ขณะเดียวกัน อีกฝ่ายสังเกตเห็นที่กู่หนิวยืนตัวแข็งทื่อเป็นท่อนไม้อยู่ด้านข้างจางลู่จึงเอ่ยทัก

    “อ้าว คราวนี้มากับแฟนเหรอจ๊ะ?”หญิงกลางคนอมยิ้ม ซึ่งคนโดนแซวตอบทันควัน

    “คนแบกของต่างหาก”

    คำตอบที่ไม่เกรงใจใครของจางลู่ทำให้กู่หนิวยิ้มเจื่อน ก่อนจะกล่าวทักทายคนขายอย่างมีมารยาท

    “สวัสดีครับ”

    “แหม สุภาพซะด้วย ไม่ใช่แฟนจริงๆเหรอจ๊ะ”คนพูดหันไปกระซิบถามจางลู่ในประโยคหลัง แต่ด้วยประสาทสัมผัสที่ถูกพัฒนาขึ้นของกู่หนิวจะไม่ได้ยินได้ยังไง?

    “ไม่ใช่”คนตอบยังคงหนักแน่น ก่อนจะกระตุกยิ้มมุมปาก “หมอนี่แฟนของบอสต่างหาก”

    แค่ก!

    กู่หนิวสำลักอากาศเมื่อโดนยัดเยียดสถานะให้ เขาหันไปสบกับสายตาประหลาดใจของคนขาย ก่อนรีบอธิบาย

    “ไม่ใช่นะครับ เมื่อกี้...คุณลู่ลู่แค่ล้อเล่นน่ะครับ”เขาหัวเราะเสียงแห้ง ขณะปรายตามองคนก่อเรื่องที่ยังทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ พอออกจากร้านมาได้สักระยะกู่หนิวก็ทนไม่ได้ เขาถอนหายใจแล้วพูดเตือนอย่างหวังดี

    “คุณลู่ลู่ อย่าพูดเล่นแบบนี้สิครับ ถ้าเกิดเจ้านายมาได้ยินจะเดือดร้อนเอานะครับ”

    “แล้วคิดว่าที่อยู่นี่บอสไม่รู้รึไง?”จางลู่กลอกตา

    “เอ๋?”

    “ที่พวกฉันกล้าพูดก็เพราะไม่โดนบอสว่าน่ะสิ ถ้าโดนห้ามจะยังมีคนกล้าพูดอีกรึไง?”

    กู่หนิวอึ้ง แต่ก็ถูกอย่างจางลู่ว่า เพียงแต่บางทีที่เซียงเว่ยไม่ได้ห้ามปรามเป็นเพราะไม่ใส่ใจมากกว่า คิดแล้วชายหนุ่มก็ส่ายหัวแล้วว่าเปลี่ยนเรื่อง

    “นอกจากร้านนี้แล้วจะซื้ออะไรเพิ่มเหรอครับ? ถ้ายังไงให้ผมไปเดินดูให้แทนก็ได้”

    “อย่าเลย หน้าเซ่อๆอย่างนาย ดีไม่ดีจะโดนปล้นเอามากกว่า”จางลู่โบกมือบอกปัดอย่างไม่เห็นด้วย ซึ่งกู่หนิวสงสัยความหมายคำว่าถูกปล้นของอีกฝ่าย ว่าตกลงหมายถึงว่ากลัวเขาจะตามเกมคนขายไม่ทันจนโดนหลอกขายของไม่ดี หรือกลัวโดนคนใช้กำลังปล้นชิงสิ่งของกันแน่ แต่เขาก็ไม่ได้ถาม เพียงคอยเดินตามและหิ้วบรรดาของที่จางลู่ซื้อ จนกระทั่งขึ้นรถกลับ กู่หนิวก็เผลอหลุดปากถามออกไป

    “ทำไมเฉ่าเหมยถึงไม่มาด้วยล่ะครับ?”

    “เพิ่งจะมาถามรึไง?”จางลู่มองค้อน ก่อนว่า “อย่างยัยเด็กนั่นไม่เหมาะกับที่นี่หรอก เคยพามาครั้งหนึ่ง เกือบต้องละเลงเลือดที่นี่ไปรอบแล้ว”

    “เอ่อ หมายถึง?”กู่หนิวที่ได้ยินคำแปร่งๆสอบถามด้วยนึกสงสัย

    จางลู่ทำสีหน้าเหมือนไม่อยากพูดถึง แต่ก็ยอมเล่าให้ฟัง

    “ยัยเด็กเหมยโดนลวนลามน่ะสิ ไม่พอ ตอนขากลับยังเกือบถูกฉุดไปขาย พอบอสรู้เรื่องเลยส่งคนมาจัดการ แต่เจ้าเด็กไห่หลางลงมือหนักเกินไปเลยตายไปหลายศพ”

    “ฆ่าคน...เหรอครับ?”กู่หนิวสอบถามอย่างไม่แน่ใจ จางลู่ได้ยินก็ยิ้มหยัน

    “อะไร นายคิดว่าโลกนี้สะอาดนักรึไง? ต่อให้ไม่ต้องมีวันสิ้นโลก คนก็กินคนด้วยกันเป็นปกติอยู่แล้ว!”พูดจบคนก็สะบัดหน้าหนีคล้ายไม่อยากคุยด้วยอีก ฝั่งกู่หนิวคิดทบทวน ก่อนถอนใจ

    คนกินคนเป็นเรื่องปกติของโลก...เขาเองก็รู้ดีอยู่แล้ว

    พอกลับมาถึงป้อมก็เกือบเย็นแล้ว กู่หนิวที่ได้วันหยุดมาแล้วก็อยากตรงกลับห้องไปนอนให้สบายใจ แต่ก่อนจะไปเขาก็ตรงไปทำเรื่องเบิกนมสตรอว์เบอรี่กับฝ่ายดูแลคลังอาหาร

    “นมสตรอว์เบอรี่หนึ่งขวด...”เสียงแหบต่ำออกโทนเนือยเหมือนคนใกล้หลับดังมาจากร่างผอมแห้งในชุดกาวน์ นิ้วมือที่เหมือนหนังหุ้มกระดูกขยับปากกาเพื่อจรดข้อความลงสมุดบัญชี โดยใบหน้าตอบเหมือนคนขี้โรคก้มต่ำจนคางแทบติดโต๊ะ ท่านั่งหลังค่อมต่ำผสมกับภาพลักษณ์ผมกระเซิงกับหนวดจิ๋มที่ห้อยลงของอีกฝ่ายช่างชวนให้นึกถึงพวกขี้ยาไม่ก็คนจรจัด ซึ่งเสื้อขาวขุ่นที่คลุมทับนับว่าเป็นสิ่งที่สะอาดที่สุดบนร่างอีกฝ่ายแล้ว

    “ได้ละ คริสตัลแดงสามอัน... วางไว้ แล้วเข้าไปหยิบ”อีกฝ่ายพูดแล้วชี้นิ้วไปยังตู้เย็นด้านหลัง

    กู่หนิวหยิบคริสตัลสามอันออกมาส่งให้ ก่อนจะเดินตรงไปยังตู้เย็นสีดำฝั่งซ้ายมือ แล้วหยิบเอานมสตรอว์เบอรี่ที่ถูกบรรจุในขวดใสออกมาหนึ่งขวด

    “นี่นะครับ”กู่หนิวโชว์ขวดนมที่ถือให้อีกฝ่ายดู แต่นัยน์ตาสีดำที่ดูเลื่อนลอยเพียงเหลือบมาแวบเดียวแล้วผละจากไปอย่างไม่สนใจ ซึ่งนี่ก็เป็นภาพที่เขาเห็นจนเรียกว่าค่อนข้างคุ้นชิ้นเลยทีเดียว

    พูดแล้วก็คงต้องย้อนกลับไปหลังจากที่เขาได้ทำการผลิตนมสตรอว์เบอรี่ชุดที่สองเสร็จ หลงคุนได้เรียกเขาไปคุยถึงการถอดเขาออกจากโครงการนี้

    “หน้าที่ตรงนี้ฉันจะให้คนอื่นทำแทน เรื่องนมสตรอว์เบอรี่นายจะยังได้สามขวดต่อครั้งเหมือนเคย รายได้ก็เช่นกัน นายแค่กลับไปทำหน้าที่ตัวเองเหมือนเดิมก็พอ”

    เขาไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมอีกฝ่ายถึงเสนอทางเลือกที่ดูขาดทุนอย่างนี้ แต่พอนึกถึงความใจกว้างของเจ้านายที่มีมาตลอดกู่หนิวก็ตัดสินใจไม่สงสัย เพียงตอบรับแล้วกลับไปดูแลพวกดอกไม้เหมือนเดิมแทน

    ส่วนเรื่องนมสตรอวเบอรี่ ถึงนมจะมีไม่น้อย แต่สตรอวเบอรี่ที่ปลูกกลับออกผลเพียงน้อยนิด ครึ่งหนึ่งยังแบ่งไปใช้ทำพวกขนมอย่างอื่นอย่างผลไม้เชื่อมและอื่นๆอีก นมสตรอว์เบอรี่ที่ทำออกมา ตกเดือนละไม่เกินห้าสิบขวด ซึ่งตามเงื่อนไขเดิม เท่ากับว่าเขาจะได้ส่วนแบ่งเป็นนมสตรอวเบอรี่ราวสิบสองขวดต่อเดือน และนั่น...มันไม่พอหรอก!

    ก็เหมือนกับบุหรี่นั่นแหละ เมื่อสูบหนึ่งครั้งก็อยากสูบอีก นมสตรอว์เบอรี่ก็เช่นกัน ได้ดื่มหนึ่งครั้งเขาก็อยากดื่มอีก! ดังนั้นกู่หนิวจึงมาทำการแลกเปลี่ยนนมสตรอว์เบอรี่ที่นี่ โดยราคาตกอยู่ที่คริสตัลสีแดงสามอันต่อขวด

    หากยังจำได้ รายได้ของเขาสำหรับงานหลักคือคริสตัลสีแดงหนึ่งอันกับสีเหลืองหนึ่ง ส่วนงานเสริมปลูกดอกไม้ก็ได้เป็นคริสตัลสีแดงหนึ่งอัน และสำหรับโครงการนมสตรอวเบอรี่ก็ได้เป็นสีแดงหนึ่งอันต่อสิบขวด เท่ากับว่ารายได้รายเดือนของเขาตกอยู่ที่ประมาณคริสตัลสีแดงห้าอัน รวมเบ็ดเสร็จทั้งหมดเท่ากับคริสตัลสีแดง 65อัน และสีเหลือง30อัน แน่นอนว่ามันไม่พอแลกกินทุกวัน เพราะเขายังต้องกักตุนไว้ใช้แลกคริสตัลสีอื่นเพื่อพัฒนา รวมทั้งเหลือไว้ซื้อของใช้จำเป็นอีก... ดังนั้นแล้วเขาจึงหักใจแลกนมสตรอว์เบอรี่แค่ราวสิบขวดต่อเดือน รวมกับของเดิมก็เท่ากับว่าเขาได้กินนมสตรอว์เบอรี่แค่ยี่สิบสองขวดต่อเดือนเท่านั้น

    พอคิดถึงตรงนี้กู่หนิวก็ถอนใจ

    เฮ้อ มีทางไหนที่เขาจะหาคริสตัลมาซื้อนมสตรอว์เบอรี่เพิ่มได้บ้างไหมนะ?


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×