คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : องก์สอง
‘เพราะเหตุใด’
ในฐานะผู้มุ่งมั่นสู่เส้นทางแห่งการรักษา
ไป๋หลิงเสวี่ยไม่เคยตั้งคำถามกับการช่วยชีวิตคนมาก่อน
แต่เริ่มเดิมทีชายหนุ่มเป็นเพียงชาวบ้านชาวเขาที่มีความรู้เรื่องสมุนไพรเล็กน้อย
เนื่องจากติดตามบิดามารดาขึ้นไปเก็บสมุนไพรบนภูเขาเป็นประจำ ทว่า ตอนที่อายุได้สิบเอ็ดหนาว
หมู่บ้านของเขากลับเจอเข้ากับโรคระบาด
ผู้คนในหมู่บ้านทยอยกันเสียชีวิตลงคนแล้วคนเล่า แม้แต่บิดามารดาของเขาเองก็ไม่เว้น
ขณะที่ไป๋หลิงเสวี่ยนึกสิ้นหวังและใกล้จะหมดลมหายใจกลับถูกชายชราผู้หนึ่งยื้อชีวิตไว้ได้
ชายชราผู้นั้นไร้ชื่อแซ่
หลังทำการรักษาเขาและคนในหมู่บ้านคนอื่นๆ เสร็จก็เตรียมจากไป
แต่ไป๋หลิงเสวี่ยที่ยามนั้นยังอ่อนแรงอยู่มากก็ฝืนตะเกียดตะกายพุ่งไปคำนับโขกศีรษะให้อีกฝ่ายพลางอ้อนวอนให้ช่วยสอนวิชาแพทย์ให้
“ท่านหมอ ดะ... ได้โปรด รับข้าไว้เป็นศิษย์ด้วยเถิด!”
แท้จริงแล้วไป๋หลิงเสวี่ยเป็นคนขี้อายและพูดน้อย
นอกจากคนในครอบครัวแล้วเขาแทบไม่ได้พูดจากับใคร
อีกทั้งครั้งนี้ยังเป็นการขอร้องที่ทำให้ผู้อื่นลำบากใจ ใบหน้าของเขาจึงแดงก่ำ
แต่กระนั้นร่างเล็กของเด็กชายก็ยังดื้อรั้น
ไม่ยอมเงยศีรษะขึ้นจนกว่าอีกฝ่ายจะรับปาก
แต่แทนคำตอบ
ชายชราผู้นั้นกลับทิ้งตำราแพทย์จำนวนหนึ่งไว้แล้วหายตัวไป
ไป๋หลิงเสวี่ยที่ยามนั้นไม่รู้หนังสือสักตัวได้แต่ใช้มือเล็กโอบกอดเหล่าตำราไว้ในอ้อมอกพลางหลั่งน้ำตา
จากนั้นเขาก็ออกเก็บสมุนไพรไปแลกเงินมาเรียนหนังสือ ชีวิตช่วงนั้นลำบากนัก
แต่ถึงอย่างนั้นไป๋หลิงเสวี่ยก็ไม่ย่อท้อ จนเวลาล่วงเลยไปนับสิบปีเขาก็เริ่มออกรักษาผู้คนโดยใช้วิชาแพทย์ที่มี
ไม่นานชื่อเสียงของชายหนุ่มก็ลือไกล และด้วยครั้งหนึ่งเขาบังเอิญรักษาโรคหายากของคุณหนูจากจวนเจ้าเมืองสุ่ยได้จึงถูกผู้คนพากันเรียกขานว่าหมอเทวดา
แต่แม้จะมีชื่อเสียงโด่งดังเพียงใด ไป๋หลิงเสวี่ยก็ยังคงใช้ชีวิตเหมือนเดิม
เขายังคงออกรักษาผู้คนไปทั่วโดยไม่แบ่งแยกฐานะ
ซึ่งไป๋หลิงเสวี่ยไม่คาดว่าชีวิตอันแสนธรรมดานี้ของตนจะแปรเปลี่ยนไปหลังจากได้พบเจอคนคนหนึ่ง
บ่ายวันหนึ่ง
ขณะที่ขึ้นไปเก็บสมุนไพรบนภูเขาก็เจอชายคนหนึ่งล้มคว่ำอยู่ข้างต้นไม้
โดยเนื้อตัวมีสีม่วงช้ำอย่างคนโดนพิษ เวลานั้นไป๋หลิงเสวี่ยได้ยื่นมือเข้าช่วยเหลืออย่างไม่ได้คิดใส่ใจอะไร
หลังจากทำการระงับพิษเบื้องต้น เขาก็พาชายผู้นั้นกลับไปพักผ่อนที่บ้านของตนเอง
ซึ่งระหว่างขั้นตอนรักษาจำเป็นต้องถอดเสื้อชายหนุ่มออก
ร่างกายแกร่งภายใต้เสื้อผ้าดูสมบูรณ์เปี่ยมด้วยพลังชีวิตและกลิ่นอายบุรุษเพศ
หากแต่ในสายตาไป๋หลิงเสวี่ย รอยถูกแทงตรงอกซ้ายของชายหนุ่มกลับโดดเด่นสะดุดตายิ่งกว่าสิ่งใด
แม้ตัวแผลจะแลดูเก่าอย่างเห็นได้ว่าผ่านมาหลายปีแล้ว
กระนั้นตำแหน่งบาดแผลก็อยู่ใกล้จุดตายของมนุษย์จนน่ากังวล
ไป๋หลิงเสวี่ยลองคลำที่หน้าอกชายหนุ่มเพื่อตรวจสอบตำแหน่งหัวใจ
ก่อนพบว่าหัวใจของชายหนุ่มอยู่เฉียดตำแหน่งบาดแผลไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
เพียงละมือออก ไป๋หลิงเสวี่ยก็พลันประสานสายตากับเจ้าของร่างที่ไม่รู้ว่าลืมตาขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่
เกิดความเงียบขึ้นชั่วครู่
ก่อนไป๋หลิงเสวี่ยจะถอยห่างออกมา เขาหยิบเข็มสีเงินที่เพิ่งนำไปต้มขึ้นมาแล้วเอ่ยปากขึ้นเสียงเนิบนาบ
“เจ้าถูกพิษหมอกวิเวก ข้าจะฝังเข็มรักษาให้”
“อ้อ”คนฟังตอบรับคำเบาๆ ก่อนนอนนิ่งไม่ขัดขืน
สีหน้าแววตาดูไม่ใส่ใจเลยว่าใครจะทำสิ่งใดกับตนเอง ฝ่ายไป๋หลิงเสวี่ยหลังบอกกล่าวแล้วก็ลงมืออย่างรวดเร็ว
พอผ่านไปครึ่งชั่วยามเขาจึงถอนเข็มออก
“จากนี้ดื่มยาบำรุงให้ตรงเวลา ไม่เกินเจ็ดวันก็หายดี”
“อืม”
หลังได้ยินเสียงครางรับ ไป๋หลิงเสวี่ยก็เดินไปต้มยามาให้ชายหนุ่มดื่ม
รอจนอีกฝ่ายดื่มหมดก็ยกถ้วยยาไปเก็บ จากนั้นเขาก็เดินไปแยกสมุนไพรที่เก็บมาให้เป็นระเบียบ
อันไหนต้องรักษาความสด อันไหนต้องตากแห้ง กระทั่งอันที่แห้งสนิทแล้วนำไปเก็บรักษาเพื่อไม่ให้ราขึ้น
เขาก็จัดการอย่างรอบคอบ หลังใช้เวลาไปครู่ใหญ่กับเรื่องนั้นก็ถึงเวลากินข้าว ด้วยเป็นคนไม่เลือกกิน
ไป๋หลิงเสวี่ยจึงเลือกสมุนไพรที่มีสรรพคุณบำรุงโลหิตและหัวใจมาทำผักลวกกินง่ายๆอย่างเคย
แต่พอนึกได้ว่ามีคนป่วยอยู่ด้วยจึงทำเผื่อ
โดยเลือกสมุนไพรที่จะไม่กระทบต่อร่างกายอีกฝ่าย
“สมุนไพรพวกนี้กินแล้วดีต่อร่างกาย”เพราะเห็นอีกคนยังนั่งนิ่งไม่ขยับตะเกียบ
ไป๋หลิงเสวี่ยจึงพูดอธิบายให้ฟัง รอจนอีกฝ่ายคีบกับข้าวเข้าปากเขาจึงกลับไปทานต่อ
มื้ออาหารที่เรียบง่ายได้จบลง
ไป๋หลิงเสวี่ยเห็นว่าคืนนี้เตียงของตนไม่ว่างแล้วเลยตัดสินใจไปนอนในห้องยาที่อยู่ใกล้ๆแทน
เวลาเจ็ดวันผ่านไปเช่นนี้
ในเช้าวันที่แปด
ไป๋หลิงเสวี่ยเตรียมออกตระเวนตรวจตามบ้านเช่นปกติ
เขากล่าวย้ำกับคนป่วยที่เพิ่งหายดีด้วยเสียงกำชับ
“ช่วงนี้ต้องพักผ่อนเยอะๆ อย่าได้ใช้แรง
และห้ามกินของแสลงแปดอย่าง... ข้าจดไว้ให้ที่นี่แล้ว”เขายื่นกระดาษแผ่นเล็กให้ชายชุดดำที่มีแววตาติดซึมเซาก่อนจากมา
พอตกบ่าย ไป๋หลิงเสวี่ยก็กลับมาที่บ้านเพื่อเตรียมตัวขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพร
เขานึกไม่ถึงว่าจะเจอชายชุดดำยืนนิ่งอยู่หน้าประตูด้วยสภาพไม่แตกต่างจากเมื่อเช้า
“เป็นอะไรไป? ยังรู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือ?”ไป๋หลิงเสวี่ยถามด้วยเสียงแปลกใจแกมเป็นห่วง
เพราะตอนตรวจชีพจรอีกฝ่ายเมื่อเช้า พิษหมอกวิเวกในร่างก็ถูกถอนออกหมดแล้ว ดังนั้นนอกจากจะรู้สึกอ่อนเพลียอยู่บ้างก็ไม่น่ามีปัญหาอื่น
หลังได้ยินเสียง
ชายหนุ่มที่ไม่รู้ชื่อแซ่คนนั้นก็ค่อยๆหันมาทางเขา
จากนั้นก็ยืนนิ่งเงียบไม่ปริปากพูดอะไร
ไป๋หลิงเสวี่ยเองก็เป็นแค่หมอจึงไม่มีความสามารถเดาใจคน
แต่สีหน้าอ้างว้างที่ดูเศร้าสร้อยของอีกฝ่ายก็ทำให้เขารู้สึกว่าไม่ควรปล่อยไว้เช่นนี้
“ถ้าเจ้าว่างอยู่...ก็มาช่วยงานข้าเป็นอย่างไร?”
หลังส่งคำถามออกไปก็สบตากับคนที่ยืนอยู่
ซึ่งกินเวลาครู่หนึ่งกว่าอีกฝ่ายจะพยักหน้ารับ ไป๋หลิงเสวี่ยเห็นอีกฝ่ายตกลงแล้วก็พยักหน้ากลับเบาๆ
พวกเขาทั้งสองคนเตรียมตะกร้ากันคนละใบ ก่อนจะพากันขึ้นไปบนเขา และเพราะเกรงว่าชายหนุ่มจะไม่รู้จักสมุนไพร
ไป๋หลิงเสวี่ยจึงอธิบายลักษณะของสมุนไพรที่หาง่ายสองสามชนิดให้อีกฝ่ายฟัง
“ถ้าเจ้าเก็บได้พอสมควรแล้วให้มารอข้าที่นี่”ไป๋หลิงเสวี่ยพูดกำชับไม่กี่คำก่อนจะแยกออกมาเก็บสมุนไพรคนเดียว
เป็นเพราะสมุนไพรที่เขาใช้มักขึ้นอยู่บริเวณที่หายาก
ไป๋หลิงเสวี่ยจึงใช้เวลาตลอดบ่ายไปกับการเก็บสมุนไพร
รอจนท้องฟ้าเริ่มมืดเขาถึงนึกขึ้นได้ว่าพาคนมาด้วย ชายหนุ่มรีบกลับไปยังจุดนัดพบ
ก่อนจะเห็นว่ามีร่างของชายชุดดำยืนพิงต้นไม้รออยู่ก่อนแล้ว
ไป๋หลิงเสวี่ยเดินเข้าไปใกล้
ทว่าด้วยความมืดเขาจึงมองเห็นเพียงว่าตะกร้าสมุนไพรถูกบรรจุไว้จนเต็ม
แม้สมุนไพรที่เขาบอกให้อีกฝ่ายไปเก็บจะไม่ใช่สมุนไพรหายากและมีประโยชน์มากมายอะไร
แต่การที่ชายหนุ่มเก็บมาจนเต็มก็ถือว่าเป็นคนที่รับผิดชอบต่อหน้าที่ยิ่ง
“ทำได้ดีมาก
กลับกันเถอะ”ไป๋หลิงเสวี่ยกล่าวคำกับคนที่เอาแต่นิ่งเงียบก่อนเดินนำลงเขาไป
ซึ่งพอพวกเขากลับไปถึงบ้านไป๋หลิงเสวี่ยก็ตรงไปที่ห้องสมุนไพรเพื่อทำการคัดแยก
ก่อนเขาจะตะลึงเมื่อได้เห็นสมุนไพรในตะกร้าของอีกคนชัดๆ ดอกหยาดน้ำค้าง ใบมรกต
ผลทิวา หญ้าประดับฟ้า และยังมีสมุนไพรอีกมากมายที่เขาเคยเห็นแต่เพียงในตำรา
ไป๋หลิงเสวี่ยอึ้งงัน
หากมีแค่อย่างเดียวอาจนับว่าอีกฝ่ายโชคดี
แต่เท่าที่เห็นนี่ย่อมไม่ได้อาศัยเพียงโชค
ไป๋หลิงเสวี่ยเหลือบมองคนที่ยืนพิงกำแพง
พลางแน่ใจว่าคนผู้นี้หาใช่คนธรรมดา แต่แม้จะรู้ถึงเรื่องนั้น
ไป๋หลิงเสวี่ยก็ไม่ได้เก็บเอามาคิดให้มากมาย เขาเพียงแต่รู้สึกโชคดีที่ได้เห็นสมุนไพรเหล่านี้กับตาตัวเอง
“สมุนไพรเหล่านี้เจ้าเก็บไว้เถอะ”ไป๋หลิงเสวี่ยว่าพลางส่งตะกร้าสมุนไพรคืนอีกคน
“ทำไม”ชายชุดดำส่งเสียงออกมาหนึ่งคำ
โดยที่ไม่มีทีท่าจะรับตะกร้าสมุนไพรกลับ
“ของเหล่านี้ล้ำค่า
ข้าไม่กล้าใช้”ไป๋หลิงเสวี่ยตอบคำถามตรงๆ ซึ่งคนฟังเพียงเงียบไปอึดใจก่อนจะขยับริมฝีปากสีสดเอ่ยถ้อยคำสั้นๆ
อย่างที่คนฟังไม่รู้จะทำยังไงดี
“ไม่ใช้ก็ทิ้ง”
สุดท้ายไป๋หลิงเสวี่ยก็ไม่กล้าทิ้งสมุนไพรเหล่านั้น เขาทำได้แค่เก็บรักษา
และตัดสินใจว่าจะลองทำยาลูกกลอนจากสมุนไพรเหล่านั้น แน่นอนว่าลูกกลอนที่ทำขึ้นมาย่อมต้องส่งมอบให้กับเจ้าของสมุนไพร
ถึงตอนนั้นเขาหวังว่าอีกฝ่ายจะไม่โยนยาลูกกลอนเหล่านั้นทิ้งเป็นพอ
หลังจากแยกสมุนไพรเสร็จแล้ว
ไป๋หลิงเสวี่ยก็ตรงไปที่ครัวเพื่อทำอาหาร ซึ่งอาหารที่ทำก็ไม่พ้นพวกผักสมุนไพรลวกเช่นเคย ตอนเอาจานกับข้าวไปตั้งที่โต๊ะ ไป๋หลิงเสวี่ยคล้ายเห็นใบหน้าชายชุดดำกระตุกน้อยๆ
แต่ก็คงจะคิดไปเอง
หลังทานมื้อเย็นเสร็จไปหลิงเสวี่ยก็เตรียมตัวไปห้องยาเหมือนเช่นวันก่อนๆ
แต่กลับถูกคนดักหน้า เขาเงยมองร่างสูงที่ยืนขวางทางอย่างไม่เข้าใจเหตุผล
รอจนอีกฝ่ายเอ่ยคำ
“ข้าไปเอง”
เพียงจบคำเงาร่างคนก็หายไปในพริบตา
ไป๋หลิงเสวี่ยอึ้งตะลึงเมื่อไม่มีโอกาสพูดรั้งแม้แต่ครึ่งคำ
ในคืนนั้นเขาได้หลับนอนในห้องของตัวเองในรอบเจ็ดวัน
วันถัดมา ไป๋หลิงเสวี่ยก็เจอชายหนุ่มคนเดิมยืนรออยู่หน้าบ้าน
อาการยืนนิ่งตรงไม่ไหวติงของอีกฝ่ายพาให้คนมองรู้สึกคล้ายเจอรูปปั้นหิน
ไป๋หลิงเสวี่ยนิ่งมองอยู่อึดใจ ก่อนจะเปิดทางให้ร่างสูงเข้ามาทานอาหารในบ้าน
พอถึงเวลาออกตรวจ เขาก็หันมาถามอีกคนอย่างลังเลเล็กน้อย
“เจ้า...จะมาด้วยกันหรือไม่?”
ชายชุดดำพยักหน้าเล็กน้อย
ไป๋หลิงเสวี่ยจึงเริ่มออกตรวจในยามเช้าโดยมีอีกร่างคอยติดสอยห้อยตาม
และอย่างเช่นทุกครั้ง
เมื่อเขาเคาะประตูสามครั้งก็จะมีร่างชาวบ้านออกมาเปิดประตูต้อนรับ
หลังตรวจตราทุกคนเสร็จก็จะได้รับคำขอบคุณและคำอวยพร
“ขอบพระคุณท่านหมอไป๋ยิ่ง”
“ขอให้ท่านหมอเทวดาร่างกายแข็งแรงและอยู่กับพวกเราไปนานๆ”
นอกจากนี้ชาวบ้านยังพยายามมอบของเล็กๆน้อยๆอย่างพวกพืชผัก ข้าวสาร
และเนื้อสัตว์ แต่ไป๋หลิงเสวี่ยกลับปฏิเสธทุกคนเหมือนทุกครั้ง ซึ่งทุกสิ่งที่เขาทำล้วนอยู่ในสายตาของอีกคนตลอดเวลา
พอกลับถึงบ้านในช่วงสาย คนที่เงียบมาโดยตลอดก็ได้เปิดปากถามขึ้น
“เหตุใดจึงไม่รับของเหล่านั้นมา”
ไป๋หลิงเสวี่ยแปลกใจเล็กน้อยกับถ้อยคำยาวเหยียดจากปากอีกฝ่าย
แต่กระนั้นเขาก็ยังตอบไป
“เพราะข้าหาได้หวังสิ่งเหล่านั้น”
หลังจบคำถาม ไป๋หลิงเสวี่ยก็ตรงไปห้องเคี่ยวยา
เขาลืมตัวปล่อยทิ้งคนไว้ จนกระทั่งตกเย็นจึงได้ยินเสียงเคาะประตู
ไป๋หลิงเสวี่ยชะงักมือที่กำลังเคี่ยวยา เขาเบาไฟ ก่อนเดินไปเปิดประตู
เพียงประตูถูกแง้มเปิด กลิ่นหอมอ่อนๆ
ของอะไรบางอย่างก็พลันโชยเข้าจมูก พร้อมกันนั้นตรงหน้าเขาก็มีชามน้ำแกงถูกยื่นมาให้
ไป๋หลิงเสวี่ยมองดูหัวปลาในชามน้ำแกงแล้วเงยหน้ามองร่างสูงที่มีสีหน้าราบเรียบ
“กินซะ”
ไป๋หลิงเสวี่ยยังลังเลด้วยมีคำถามในใจ แต่เมื่อเห็นอาการทำท่าจะปล่อยมือของอีกคน
เขาก็รีบยื่นมือไปรับก่อนที่ชามจะตกลงไปบนพื้น
“เอ่อ ขอบคุณ”
คำพูดนั้นได้รับเพียงแววตาเฉยเมยและแผ่นหลังเงียบงันเป็นการตอบรับ
ไป๋หลิงเสวี่ยมองถ้วยน้ำแกงในมือที่ให้ความรู้สึกอบอุ่น
แล้วนึกถึงใบหน้าเย็นชาของคนที่เพิ่งจากไป
เขาพลันใคร่สงสัยเป็นครั้งแรกว่าชายชุดดำที่เขาไม่รู้แม้แต่ชื่อผู้นั้น
แท้จริงเป็นคนเช่นไรกันแน่
แม้จะยังคงไม่ได้คำตอบในเรื่องนั้น
แต่เรื่องที่ว่าอีกฝ่ายหาปลามาจากไหน หลังสอบถามในวันถัดมาเขาก็ได้คำตอบ
“อีกฟากของภูเขามีแม่น้ำอยู่”
ไป๋หลิงเสวี่ยได้รับคำตอบก็กระจ่าง
เมื่อวานเย็นเขายังนึกแปลกใจที่เห็นน้ำแกงชามนั้น
เพราะแถวรอบหมู่บ้านนี้ไม่มีแม่น้ำ จะมีก็แต่บ่อน้ำไว้สำหรับใช้อาบและดื่มกิน
แม้คำตอบนั้นจะช่วยไขข้อสงสัย
แต่ขณะเดียวกันคำตอบนั้นก็ช่วยตอกย้ำเรื่องที่ว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนธรรมดาให้เด่นชัดขึ้น
เพราะแม่น้ำสายที่ว่านั้นเขาก็เคยได้ยินคนในหมู่บ้านกล่าวถึง
เพียงแต่มันอยู่ไกลจนต้องใช้เวลาไปกลับร่วมสิบวัน
กระนั้นอีกฝ่ายกลับสามารถไปจับปลาที่แม่น้ำนั่นและกลับมาภายในวันเดียว
เรื่องเช่นนี้คนทั่วไปไม่อาจกระทำ
ไป๋หลิงเสวี่ยเก็บเรื่องดังกล่าวไว้ในใจและใช้ชีวิตร่วมกับอีกฝ่ายเช่นนั้นจนเวลาล่วงเลยผ่านไปถึงหกเดือน
กล่าวกันว่ามนุษย์ทุกผู้ล้วนมีความสามารถในการปรับตัวให้คุ้นชินกับเรื่องราวต่างๆ
ไป๋หลิงเสวี่ยยอมรับว่าจริง
เพราะเพียงหกเดือนเขาก็เคยชินกับการมีอีกคนร่วมอาศัยอยู่ในบ้าน
แม้คนผู้นั้นจะพูดน้อยจนนับคำได้ และมีท่าทีไม่ใส่ใจผู้คน
แต่กระนั้นทุกๆวันก็ยังมีน้ำแกงหัวปลาให้ดื่ม
และทุกเจ็ดวันก็ยังคงขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรด้วยกัน
ดังนั้น แม้ชายที่ชื่อ ‘ผิง’
ผู้นี้จะให้ความรู้สึกลึกลับยากเกินหยั่ง แต่ก็ไม่ทำให้รู้สึกว่าน่าหวาดกลัวอะไร
ในวันนี้ไป๋หลิงเสวี่ยก็ยังคงออกตรวจชาวบ้านเช่นเคย
ส่วนอีกคน เกรงว่ายามนี้คงไปท่องภูเขาล่องแม่น้ำอย่างเคยเช่นกัน
ไป๋หลิงเสวี่ยส่ายหัวในใจเมื่อนอกจากวันแรกแล้ว
อีกฝ่ายก็ไม่เคยออกมาเดินตรวจด้วยกันอีกเลย
ระหว่างวัน
ไป๋หลิงเสวี่ยได้ทำการรักษาคนในหมู่บ้านไปทั้งหมดห้าราย โดยสามคนมีไข้อ่อนๆ
ขณะที่คนหนึ่งถูกต่อต่อย และอีกคนถูกงูกัด
หลังทำการรักษาเสร็จเขาก็เก็บข้าวของเตรียมตัวกลับ
แต่พอเดินไปได้ครึ่งทางกลับเจอคนล้มทรุดอยู่ข้างทาง
ด้วยความเป็นหมอเขาจึงเข้าไปพยุงพร้อมตรวจดูอาการให้
แม้จะเห็นว่าชายหนุ่มที่ล้มอยู่นั้นหาใช่คนในหมู่บ้านทั้งยังมีผิวพรรณและหน้าตางดงามแตกต่างจากชาวบ้านทั่วไปก็ตาม
แต่เมื่อคิดจะแตะข้อมือขาวเพื่อตรวจชีพจร กลับพลันเจ็บแปลบที่บริเวณท้อง
เมื่อก้มดูก็เห็นมีดสลักปักอยู่กลางท้องตนเอง ไป๋หลิงเสวี่ยค่อยๆ เบนสายตาจากบาดแผลไปยังคนลงมือซึ่งใบหน้าแต้มไว้ด้วยรอยยิ้มหวาน
“นี่น่ะหรือหมอเทวดา? ฮึๆ ข้าอยากรู้นัก
ว่าหมอเทวดาจะรักษาตนเองเช่นไร”เสียงอ่อนหวานที่แฝงเร้นด้วยความเย้ายวน ประหนึ่งบุปผาพิษที่คอยล่อลวงผู้คนเอ่ยกลั้วหัวเราะอย่างที่คนฟังมิอาจเข้าใจ
ไป๋หลิงเสวี่ยไม่อาจเข้าใจทั้งสิ่งที่อีกฝ่ายพูด
รวมถึงสาเหตุที่ลงมือทำร้ายเขา ทว่า เมื่อมองดูดวงตางดงามที่ชวนลุ่มหลงแต่ไร้ความเมตตาคู่นั้น
ชายหนุ่มก็เข้าใจได้ว่า...เวลาตายของตนมาถึงแล้ว
มีดที่แทงมานั้นมีพิษร้ายที่ทำให้รู้สึกเย็นยะเยือกไปถึงกระดูก
เพียงไม่นานทั่วทั้งร่างก็ชาดิก จนผ่านไปยี่สิบลมหายใจบริเวณปอดก็เริ่มรู้สึกคล้ายโดนกดทับด้วยของหนักจนหายใจลำบาก
ไป๋หลิงเสวี่ยพยายามขบคิดว่าพิษที่ตัวเองได้รับคืออะไร
แต่คล้ายยิ่งใช้ความคิดภาพเบื้องหน้ายิ่งพร่ามัว
ภาพสุดท้ายที่เขาเห็นก่อนหมดสติไปคือชายอาภรณ์สีเหลืองอ่อนที่โชกชุ่มด้วยโลหิต...
ประหนึ่งถูกฉุดออกจากห้วงฝันอันยาวนาน ไป๋หลิงเสวี่ยค่อยๆ
ลืมตาขึ้นในสถานที่ไม่คุ้นเคย เขาพยายามหยัดกายขึ้นนั่งแต่กลับพบว่าไร้เรี่ยวแรง
ขณะกำลังสับสนก็เห็นร่างในชุดดำเดินเข้ามาใกล้พร้อมชามใบหนึ่ง
“...ผิง
เกิดอะไรขึ้น?”เสียงที่เปล่งออกมาเบาหวิวและแหบแห้งอย่างน่าตกใจ
แต่คนโดนถามกลับเพียงทิ้งกายนั่งบนตั่งด้านข้าง
พร้อมตักของในชามที่เต็มไปด้วยกลิ่นฉุนของสมุนไพรมาตรงปากเขา
“กินซะ”
เสียงอีกฝ่ายฟังเย็นชาไม่ต่างจากที่เคย
ไป๋หลิงเสวี่ยไม่ได้ดื้อรั้น เขาทานของในชามจนหมด
เมื่อรู้สึกว่าร่างกายมีเรี่ยวแรงมากขึ้นก็ถามซ้ำ
“เกิดอะไรขึ้น?”
เขาประสานสายตากับนัยน์ตาคู่นั้น ซึ่งวูบหนึ่งเขาคล้ายเห็นความเจ็บปวดเจือด้วยความรู้สึกผิดสะท้อนในแววตา
แต่อึดใจถัดมาก็เห็นเพียงความเย็นชาที่ไม่อาจคาดการณ์สิ่งใด และแทนคำตอบ
คนกลับพูดประโยคหนึ่งออกมา
“หากคิดไปจากที่นี่ก็สังหารข้าเสีย”
น้ำเสียงที่พูดนั้นราบเรียบและหนักแน่นเกินกว่าจะเป็นคำล้อเล่น
ไป๋หลิงเสวี่ยที่ยังคงอ่อนแรงอยู่มาก หัวก็ยังตื้อมึน ความคิดจึงเชื่องช้ากว่าที่ควรเป็น ยามนั้นเขาทำได้เพียงตอบคำไปตามสัญชาตญาณ
“หมอไม่อาจฆ่าคน”
ได้ยินคำกล่าวของเขา
คนที่มีสีหน้าเย็นชามาโดยตลอดก็ผุดรอยยิ้มที่ดูขบขันขึ้น
“ฆ่าหนึ่ง เพื่อช่วยร้อย หากสังหารข้าได้
ผู้คนทั่วหล้าจะสรรเสริญเจ้า”
คำกล่าวนั้นช่างฟังไร้เหตุผล
แต่ไม่รู้เหตุใดไป๋หลิงเสวี่ยกลับขบคิดอย่างจริงจัง
การฆ่าคนถือเป็นการช่วยชีวิตได้ด้วยหรือ?
ความคิดเห็น