ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    คนสมควรตาย รีบกลับเข้าร่างเดี๋ยวนี้! BL

    ลำดับตอนที่ #5 : องก์สอง

    • อัปเดตล่าสุด 2 ส.ค. 64


       เพราะเหตุใด ในฐานะผู้มุ่งมั่นสู่เส้นทางแห่งการรักษา ไป๋หลิงเสวี่ยไม่เคยตั้งคำถามกับการช่วยชีวิตคนมาก่อน

       แต่เริ่มเดิมทีชายหนุ่มเป็นเพียงชาวบ้านชาวเขาที่มีความรู้เรื่องสมุนไพรเล็กน้อย เนื่องจากติดตามบิดามารดาขึ้นไปเก็บสมุนไพรบนภูเขาเป็นประจำ ทว่า ตอนที่อายุได้สิบเอ็ดหนาว หมู่บ้านของเขากลับเจอเข้ากับโรคระบาด ผู้คนในหมู่บ้านทยอยกันเสียชีวิตลงคนแล้วคนเล่า แม้แต่บิดามารดาของเขาเองก็ไม่เว้น ขณะที่ไป๋หลิงเสวี่ยนึกสิ้นหวังและใกล้จะหมดลมหายใจกลับถูกชายชราผู้หนึ่งยื้อชีวิตไว้ได้

       ชายชราผู้นั้นไร้ชื่อแซ่ หลังทำการรักษาเขาและคนในหมู่บ้านคนอื่นๆ เสร็จก็เตรียมจากไป แต่ไป๋หลิงเสวี่ยที่ยามนั้นยังอ่อนแรงอยู่มากก็ฝืนตะเกียดตะกายพุ่งไปคำนับโขกศีรษะให้อีกฝ่ายพลางอ้อนวอนให้ช่วยสอนวิชาแพทย์ให้

       “ท่านหมอ ดะ... ได้โปรด รับข้าไว้เป็นศิษย์ด้วยเถิด!

       แท้จริงแล้วไป๋หลิงเสวี่ยเป็นคนขี้อายและพูดน้อย นอกจากคนในครอบครัวแล้วเขาแทบไม่ได้พูดจากับใคร อีกทั้งครั้งนี้ยังเป็นการขอร้องที่ทำให้ผู้อื่นลำบากใจ ใบหน้าของเขาจึงแดงก่ำ แต่กระนั้นร่างเล็กของเด็กชายก็ยังดื้อรั้น ไม่ยอมเงยศีรษะขึ้นจนกว่าอีกฝ่ายจะรับปาก

       แต่แทนคำตอบ ชายชราผู้นั้นกลับทิ้งตำราแพทย์จำนวนหนึ่งไว้แล้วหายตัวไป ไป๋หลิงเสวี่ยที่ยามนั้นไม่รู้หนังสือสักตัวได้แต่ใช้มือเล็กโอบกอดเหล่าตำราไว้ในอ้อมอกพลางหลั่งน้ำตา จากนั้นเขาก็ออกเก็บสมุนไพรไปแลกเงินมาเรียนหนังสือ ชีวิตช่วงนั้นลำบากนัก แต่ถึงอย่างนั้นไป๋หลิงเสวี่ยก็ไม่ย่อท้อ จนเวลาล่วงเลยไปนับสิบปีเขาก็เริ่มออกรักษาผู้คนโดยใช้วิชาแพทย์ที่มี ไม่นานชื่อเสียงของชายหนุ่มก็ลือไกล และด้วยครั้งหนึ่งเขาบังเอิญรักษาโรคหายากของคุณหนูจากจวนเจ้าเมืองสุ่ยได้จึงถูกผู้คนพากันเรียกขานว่าหมอเทวดา

       แต่แม้จะมีชื่อเสียงโด่งดังเพียงใด ไป๋หลิงเสวี่ยก็ยังคงใช้ชีวิตเหมือนเดิม เขายังคงออกรักษาผู้คนไปทั่วโดยไม่แบ่งแยกฐานะ ซึ่งไป๋หลิงเสวี่ยไม่คาดว่าชีวิตอันแสนธรรมดานี้ของตนจะแปรเปลี่ยนไปหลังจากได้พบเจอคนคนหนึ่ง

       บ่ายวันหนึ่ง ขณะที่ขึ้นไปเก็บสมุนไพรบนภูเขาก็เจอชายคนหนึ่งล้มคว่ำอยู่ข้างต้นไม้ โดยเนื้อตัวมีสีม่วงช้ำอย่างคนโดนพิษ เวลานั้นไป๋หลิงเสวี่ยได้ยื่นมือเข้าช่วยเหลืออย่างไม่ได้คิดใส่ใจอะไร หลังจากทำการระงับพิษเบื้องต้น เขาก็พาชายผู้นั้นกลับไปพักผ่อนที่บ้านของตนเอง ซึ่งระหว่างขั้นตอนรักษาจำเป็นต้องถอดเสื้อชายหนุ่มออก

       ร่างกายแกร่งภายใต้เสื้อผ้าดูสมบูรณ์เปี่ยมด้วยพลังชีวิตและกลิ่นอายบุรุษเพศ หากแต่ในสายตาไป๋หลิงเสวี่ย รอยถูกแทงตรงอกซ้ายของชายหนุ่มกลับโดดเด่นสะดุดตายิ่งกว่าสิ่งใด แม้ตัวแผลจะแลดูเก่าอย่างเห็นได้ว่าผ่านมาหลายปีแล้ว กระนั้นตำแหน่งบาดแผลก็อยู่ใกล้จุดตายของมนุษย์จนน่ากังวล

       ไป๋หลิงเสวี่ยลองคลำที่หน้าอกชายหนุ่มเพื่อตรวจสอบตำแหน่งหัวใจ ก่อนพบว่าหัวใจของชายหนุ่มอยู่เฉียดตำแหน่งบาดแผลไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

       เพียงละมือออก ไป๋หลิงเสวี่ยก็พลันประสานสายตากับเจ้าของร่างที่ไม่รู้ว่าลืมตาขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่

       เกิดความเงียบขึ้นชั่วครู่ ก่อนไป๋หลิงเสวี่ยจะถอยห่างออกมา เขาหยิบเข็มสีเงินที่เพิ่งนำไปต้มขึ้นมาแล้วเอ่ยปากขึ้นเสียงเนิบนาบ

       “เจ้าถูกพิษหมอกวิเวก ข้าจะฝังเข็มรักษาให้”

       “อ้อ”คนฟังตอบรับคำเบาๆ ก่อนนอนนิ่งไม่ขัดขืน สีหน้าแววตาดูไม่ใส่ใจเลยว่าใครจะทำสิ่งใดกับตนเอง ฝ่ายไป๋หลิงเสวี่ยหลังบอกกล่าวแล้วก็ลงมืออย่างรวดเร็ว พอผ่านไปครึ่งชั่วยามเขาจึงถอนเข็มออก

       “จากนี้ดื่มยาบำรุงให้ตรงเวลา ไม่เกินเจ็ดวันก็หายดี”

       “อืม”

       หลังได้ยินเสียงครางรับ ไป๋หลิงเสวี่ยก็เดินไปต้มยามาให้ชายหนุ่มดื่ม รอจนอีกฝ่ายดื่มหมดก็ยกถ้วยยาไปเก็บ จากนั้นเขาก็เดินไปแยกสมุนไพรที่เก็บมาให้เป็นระเบียบ

       อันไหนต้องรักษาความสด อันไหนต้องตากแห้ง กระทั่งอันที่แห้งสนิทแล้วนำไปเก็บรักษาเพื่อไม่ให้ราขึ้น เขาก็จัดการอย่างรอบคอบ หลังใช้เวลาไปครู่ใหญ่กับเรื่องนั้นก็ถึงเวลากินข้าว ด้วยเป็นคนไม่เลือกกิน ไป๋หลิงเสวี่ยจึงเลือกสมุนไพรที่มีสรรพคุณบำรุงโลหิตและหัวใจมาทำผักลวกกินง่ายๆอย่างเคย แต่พอนึกได้ว่ามีคนป่วยอยู่ด้วยจึงทำเผื่อ โดยเลือกสมุนไพรที่จะไม่กระทบต่อร่างกายอีกฝ่าย

       “สมุนไพรพวกนี้กินแล้วดีต่อร่างกาย”เพราะเห็นอีกคนยังนั่งนิ่งไม่ขยับตะเกียบ ไป๋หลิงเสวี่ยจึงพูดอธิบายให้ฟัง รอจนอีกฝ่ายคีบกับข้าวเข้าปากเขาจึงกลับไปทานต่อ

       มื้ออาหารที่เรียบง่ายได้จบลง ไป๋หลิงเสวี่ยเห็นว่าคืนนี้เตียงของตนไม่ว่างแล้วเลยตัดสินใจไปนอนในห้องยาที่อยู่ใกล้ๆแทน เวลาเจ็ดวันผ่านไปเช่นนี้

       ในเช้าวันที่แปด ไป๋หลิงเสวี่ยเตรียมออกตระเวนตรวจตามบ้านเช่นปกติ เขากล่าวย้ำกับคนป่วยที่เพิ่งหายดีด้วยเสียงกำชับ

       “ช่วงนี้ต้องพักผ่อนเยอะๆ อย่าได้ใช้แรง และห้ามกินของแสลงแปดอย่าง... ข้าจดไว้ให้ที่นี่แล้ว”เขายื่นกระดาษแผ่นเล็กให้ชายชุดดำที่มีแววตาติดซึมเซาก่อนจากมา

       พอตกบ่าย ไป๋หลิงเสวี่ยก็กลับมาที่บ้านเพื่อเตรียมตัวขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพร เขานึกไม่ถึงว่าจะเจอชายชุดดำยืนนิ่งอยู่หน้าประตูด้วยสภาพไม่แตกต่างจากเมื่อเช้า

       “เป็นอะไรไป? ยังรู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือ?”ไป๋หลิงเสวี่ยถามด้วยเสียงแปลกใจแกมเป็นห่วง เพราะตอนตรวจชีพจรอีกฝ่ายเมื่อเช้า พิษหมอกวิเวกในร่างก็ถูกถอนออกหมดแล้ว ดังนั้นนอกจากจะรู้สึกอ่อนเพลียอยู่บ้างก็ไม่น่ามีปัญหาอื่น

       หลังได้ยินเสียง ชายหนุ่มที่ไม่รู้ชื่อแซ่คนนั้นก็ค่อยๆหันมาทางเขา จากนั้นก็ยืนนิ่งเงียบไม่ปริปากพูดอะไร ไป๋หลิงเสวี่ยเองก็เป็นแค่หมอจึงไม่มีความสามารถเดาใจคน แต่สีหน้าอ้างว้างที่ดูเศร้าสร้อยของอีกฝ่ายก็ทำให้เขารู้สึกว่าไม่ควรปล่อยไว้เช่นนี้

       “ถ้าเจ้าว่างอยู่...ก็มาช่วยงานข้าเป็นอย่างไร?”

       หลังส่งคำถามออกไปก็สบตากับคนที่ยืนอยู่ ซึ่งกินเวลาครู่หนึ่งกว่าอีกฝ่ายจะพยักหน้ารับ ไป๋หลิงเสวี่ยเห็นอีกฝ่ายตกลงแล้วก็พยักหน้ากลับเบาๆ พวกเขาทั้งสองคนเตรียมตะกร้ากันคนละใบ ก่อนจะพากันขึ้นไปบนเขา และเพราะเกรงว่าชายหนุ่มจะไม่รู้จักสมุนไพร ไป๋หลิงเสวี่ยจึงอธิบายลักษณะของสมุนไพรที่หาง่ายสองสามชนิดให้อีกฝ่ายฟัง

       “ถ้าเจ้าเก็บได้พอสมควรแล้วให้มารอข้าที่นี่”ไป๋หลิงเสวี่ยพูดกำชับไม่กี่คำก่อนจะแยกออกมาเก็บสมุนไพรคนเดียว

       เป็นเพราะสมุนไพรที่เขาใช้มักขึ้นอยู่บริเวณที่หายาก ไป๋หลิงเสวี่ยจึงใช้เวลาตลอดบ่ายไปกับการเก็บสมุนไพร รอจนท้องฟ้าเริ่มมืดเขาถึงนึกขึ้นได้ว่าพาคนมาด้วย ชายหนุ่มรีบกลับไปยังจุดนัดพบ ก่อนจะเห็นว่ามีร่างของชายชุดดำยืนพิงต้นไม้รออยู่ก่อนแล้ว

       ไป๋หลิงเสวี่ยเดินเข้าไปใกล้ ทว่าด้วยความมืดเขาจึงมองเห็นเพียงว่าตะกร้าสมุนไพรถูกบรรจุไว้จนเต็ม แม้สมุนไพรที่เขาบอกให้อีกฝ่ายไปเก็บจะไม่ใช่สมุนไพรหายากและมีประโยชน์มากมายอะไร แต่การที่ชายหนุ่มเก็บมาจนเต็มก็ถือว่าเป็นคนที่รับผิดชอบต่อหน้าที่ยิ่ง

       “ทำได้ดีมาก กลับกันเถอะ”ไป๋หลิงเสวี่ยกล่าวคำกับคนที่เอาแต่นิ่งเงียบก่อนเดินนำลงเขาไป ซึ่งพอพวกเขากลับไปถึงบ้านไป๋หลิงเสวี่ยก็ตรงไปที่ห้องสมุนไพรเพื่อทำการคัดแยก ก่อนเขาจะตะลึงเมื่อได้เห็นสมุนไพรในตะกร้าของอีกคนชัดๆ ดอกหยาดน้ำค้าง ใบมรกต ผลทิวา หญ้าประดับฟ้า และยังมีสมุนไพรอีกมากมายที่เขาเคยเห็นแต่เพียงในตำรา

       ไป๋หลิงเสวี่ยอึ้งงัน หากมีแค่อย่างเดียวอาจนับว่าอีกฝ่ายโชคดี แต่เท่าที่เห็นนี่ย่อมไม่ได้อาศัยเพียงโชค

       ไป๋หลิงเสวี่ยเหลือบมองคนที่ยืนพิงกำแพง พลางแน่ใจว่าคนผู้นี้หาใช่คนธรรมดา แต่แม้จะรู้ถึงเรื่องนั้น ไป๋หลิงเสวี่ยก็ไม่ได้เก็บเอามาคิดให้มากมาย เขาเพียงแต่รู้สึกโชคดีที่ได้เห็นสมุนไพรเหล่านี้กับตาตัวเอง

       “สมุนไพรเหล่านี้เจ้าเก็บไว้เถอะ”ไป๋หลิงเสวี่ยว่าพลางส่งตะกร้าสมุนไพรคืนอีกคน

       “ทำไม”ชายชุดดำส่งเสียงออกมาหนึ่งคำ โดยที่ไม่มีทีท่าจะรับตะกร้าสมุนไพรกลับ

       “ของเหล่านี้ล้ำค่า ข้าไม่กล้าใช้”ไป๋หลิงเสวี่ยตอบคำถามตรงๆ ซึ่งคนฟังเพียงเงียบไปอึดใจก่อนจะขยับริมฝีปากสีสดเอ่ยถ้อยคำสั้นๆ อย่างที่คนฟังไม่รู้จะทำยังไงดี

       “ไม่ใช้ก็ทิ้ง”

       สุดท้ายไป๋หลิงเสวี่ยก็ไม่กล้าทิ้งสมุนไพรเหล่านั้น เขาทำได้แค่เก็บรักษา และตัดสินใจว่าจะลองทำยาลูกกลอนจากสมุนไพรเหล่านั้น แน่นอนว่าลูกกลอนที่ทำขึ้นมาย่อมต้องส่งมอบให้กับเจ้าของสมุนไพร ถึงตอนนั้นเขาหวังว่าอีกฝ่ายจะไม่โยนยาลูกกลอนเหล่านั้นทิ้งเป็นพอ

       หลังจากแยกสมุนไพรเสร็จแล้ว ไป๋หลิงเสวี่ยก็ตรงไปที่ครัวเพื่อทำอาหาร ซึ่งอาหารที่ทำก็ไม่พ้นพวกผักสมุนไพรลวกเช่นเคย ตอนเอาจานกับข้าวไปตั้งที่โต๊ะ ไป๋หลิงเสวี่ยคล้ายเห็นใบหน้าชายชุดดำกระตุกน้อยๆ

       แต่ก็คงจะคิดไปเอง

       หลังทานมื้อเย็นเสร็จไปหลิงเสวี่ยก็เตรียมตัวไปห้องยาเหมือนเช่นวันก่อนๆ แต่กลับถูกคนดักหน้า เขาเงยมองร่างสูงที่ยืนขวางทางอย่างไม่เข้าใจเหตุผล รอจนอีกฝ่ายเอ่ยคำ

       “ข้าไปเอง”

       เพียงจบคำเงาร่างคนก็หายไปในพริบตา ไป๋หลิงเสวี่ยอึ้งตะลึงเมื่อไม่มีโอกาสพูดรั้งแม้แต่ครึ่งคำ ในคืนนั้นเขาได้หลับนอนในห้องของตัวเองในรอบเจ็ดวัน

     

       วันถัดมา ไป๋หลิงเสวี่ยก็เจอชายหนุ่มคนเดิมยืนรออยู่หน้าบ้าน อาการยืนนิ่งตรงไม่ไหวติงของอีกฝ่ายพาให้คนมองรู้สึกคล้ายเจอรูปปั้นหิน ไป๋หลิงเสวี่ยนิ่งมองอยู่อึดใจ ก่อนจะเปิดทางให้ร่างสูงเข้ามาทานอาหารในบ้าน พอถึงเวลาออกตรวจ เขาก็หันมาถามอีกคนอย่างลังเลเล็กน้อย

       “เจ้า...จะมาด้วยกันหรือไม่?”

       ชายชุดดำพยักหน้าเล็กน้อย ไป๋หลิงเสวี่ยจึงเริ่มออกตรวจในยามเช้าโดยมีอีกร่างคอยติดสอยห้อยตาม และอย่างเช่นทุกครั้ง เมื่อเขาเคาะประตูสามครั้งก็จะมีร่างชาวบ้านออกมาเปิดประตูต้อนรับ หลังตรวจตราทุกคนเสร็จก็จะได้รับคำขอบคุณและคำอวยพร

       “ขอบพระคุณท่านหมอไป๋ยิ่ง”

       “ขอให้ท่านหมอเทวดาร่างกายแข็งแรงและอยู่กับพวกเราไปนานๆ”

       นอกจากนี้ชาวบ้านยังพยายามมอบของเล็กๆน้อยๆอย่างพวกพืชผัก ข้าวสาร และเนื้อสัตว์ แต่ไป๋หลิงเสวี่ยกลับปฏิเสธทุกคนเหมือนทุกครั้ง ซึ่งทุกสิ่งที่เขาทำล้วนอยู่ในสายตาของอีกคนตลอดเวลา พอกลับถึงบ้านในช่วงสาย คนที่เงียบมาโดยตลอดก็ได้เปิดปากถามขึ้น

       “เหตุใดจึงไม่รับของเหล่านั้นมา”

       ไป๋หลิงเสวี่ยแปลกใจเล็กน้อยกับถ้อยคำยาวเหยียดจากปากอีกฝ่าย แต่กระนั้นเขาก็ยังตอบไป

       “เพราะข้าหาได้หวังสิ่งเหล่านั้น”

       หลังจบคำถาม ไป๋หลิงเสวี่ยก็ตรงไปห้องเคี่ยวยา เขาลืมตัวปล่อยทิ้งคนไว้ จนกระทั่งตกเย็นจึงได้ยินเสียงเคาะประตู ไป๋หลิงเสวี่ยชะงักมือที่กำลังเคี่ยวยา เขาเบาไฟ ก่อนเดินไปเปิดประตู

       เพียงประตูถูกแง้มเปิด กลิ่นหอมอ่อนๆ ของอะไรบางอย่างก็พลันโชยเข้าจมูก พร้อมกันนั้นตรงหน้าเขาก็มีชามน้ำแกงถูกยื่นมาให้ ไป๋หลิงเสวี่ยมองดูหัวปลาในชามน้ำแกงแล้วเงยหน้ามองร่างสูงที่มีสีหน้าราบเรียบ

       “กินซะ”

       ไป๋หลิงเสวี่ยยังลังเลด้วยมีคำถามในใจ แต่เมื่อเห็นอาการทำท่าจะปล่อยมือของอีกคน เขาก็รีบยื่นมือไปรับก่อนที่ชามจะตกลงไปบนพื้น

       “เอ่อ ขอบคุณ”

       คำพูดนั้นได้รับเพียงแววตาเฉยเมยและแผ่นหลังเงียบงันเป็นการตอบรับ

       ไป๋หลิงเสวี่ยมองถ้วยน้ำแกงในมือที่ให้ความรู้สึกอบอุ่น แล้วนึกถึงใบหน้าเย็นชาของคนที่เพิ่งจากไป เขาพลันใคร่สงสัยเป็นครั้งแรกว่าชายชุดดำที่เขาไม่รู้แม้แต่ชื่อผู้นั้น แท้จริงเป็นคนเช่นไรกันแน่

       แม้จะยังคงไม่ได้คำตอบในเรื่องนั้น แต่เรื่องที่ว่าอีกฝ่ายหาปลามาจากไหน หลังสอบถามในวันถัดมาเขาก็ได้คำตอบ

       “อีกฟากของภูเขามีแม่น้ำอยู่”

       ไป๋หลิงเสวี่ยได้รับคำตอบก็กระจ่าง เมื่อวานเย็นเขายังนึกแปลกใจที่เห็นน้ำแกงชามนั้น เพราะแถวรอบหมู่บ้านนี้ไม่มีแม่น้ำ จะมีก็แต่บ่อน้ำไว้สำหรับใช้อาบและดื่มกิน

       แม้คำตอบนั้นจะช่วยไขข้อสงสัย แต่ขณะเดียวกันคำตอบนั้นก็ช่วยตอกย้ำเรื่องที่ว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนธรรมดาให้เด่นชัดขึ้น เพราะแม่น้ำสายที่ว่านั้นเขาก็เคยได้ยินคนในหมู่บ้านกล่าวถึง เพียงแต่มันอยู่ไกลจนต้องใช้เวลาไปกลับร่วมสิบวัน กระนั้นอีกฝ่ายกลับสามารถไปจับปลาที่แม่น้ำนั่นและกลับมาภายในวันเดียว เรื่องเช่นนี้คนทั่วไปไม่อาจกระทำ

       ไป๋หลิงเสวี่ยเก็บเรื่องดังกล่าวไว้ในใจและใช้ชีวิตร่วมกับอีกฝ่ายเช่นนั้นจนเวลาล่วงเลยผ่านไปถึงหกเดือน

       กล่าวกันว่ามนุษย์ทุกผู้ล้วนมีความสามารถในการปรับตัวให้คุ้นชินกับเรื่องราวต่างๆ ไป๋หลิงเสวี่ยยอมรับว่าจริง เพราะเพียงหกเดือนเขาก็เคยชินกับการมีอีกคนร่วมอาศัยอยู่ในบ้าน แม้คนผู้นั้นจะพูดน้อยจนนับคำได้ และมีท่าทีไม่ใส่ใจผู้คน แต่กระนั้นทุกๆวันก็ยังมีน้ำแกงหัวปลาให้ดื่ม และทุกเจ็ดวันก็ยังคงขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรด้วยกัน

       ดังนั้น แม้ชายที่ชื่อ ผิง ผู้นี้จะให้ความรู้สึกลึกลับยากเกินหยั่ง แต่ก็ไม่ทำให้รู้สึกว่าน่าหวาดกลัวอะไร

       ในวันนี้ไป๋หลิงเสวี่ยก็ยังคงออกตรวจชาวบ้านเช่นเคย ส่วนอีกคน เกรงว่ายามนี้คงไปท่องภูเขาล่องแม่น้ำอย่างเคยเช่นกัน

       ไป๋หลิงเสวี่ยส่ายหัวในใจเมื่อนอกจากวันแรกแล้ว อีกฝ่ายก็ไม่เคยออกมาเดินตรวจด้วยกันอีกเลย

       ระหว่างวัน ไป๋หลิงเสวี่ยได้ทำการรักษาคนในหมู่บ้านไปทั้งหมดห้าราย โดยสามคนมีไข้อ่อนๆ ขณะที่คนหนึ่งถูกต่อต่อย และอีกคนถูกงูกัด หลังทำการรักษาเสร็จเขาก็เก็บข้าวของเตรียมตัวกลับ แต่พอเดินไปได้ครึ่งทางกลับเจอคนล้มทรุดอยู่ข้างทาง

       ด้วยความเป็นหมอเขาจึงเข้าไปพยุงพร้อมตรวจดูอาการให้ แม้จะเห็นว่าชายหนุ่มที่ล้มอยู่นั้นหาใช่คนในหมู่บ้านทั้งยังมีผิวพรรณและหน้าตางดงามแตกต่างจากชาวบ้านทั่วไปก็ตาม แต่เมื่อคิดจะแตะข้อมือขาวเพื่อตรวจชีพจร กลับพลันเจ็บแปลบที่บริเวณท้อง เมื่อก้มดูก็เห็นมีดสลักปักอยู่กลางท้องตนเอง ไป๋หลิงเสวี่ยค่อยๆ เบนสายตาจากบาดแผลไปยังคนลงมือซึ่งใบหน้าแต้มไว้ด้วยรอยยิ้มหวาน

       “นี่น่ะหรือหมอเทวดา? ฮึๆ ข้าอยากรู้นัก ว่าหมอเทวดาจะรักษาตนเองเช่นไร”เสียงอ่อนหวานที่แฝงเร้นด้วยความเย้ายวน ประหนึ่งบุปผาพิษที่คอยล่อลวงผู้คนเอ่ยกลั้วหัวเราะอย่างที่คนฟังมิอาจเข้าใจ

       ไป๋หลิงเสวี่ยไม่อาจเข้าใจทั้งสิ่งที่อีกฝ่ายพูด รวมถึงสาเหตุที่ลงมือทำร้ายเขา ทว่า เมื่อมองดูดวงตางดงามที่ชวนลุ่มหลงแต่ไร้ความเมตตาคู่นั้น ชายหนุ่มก็เข้าใจได้ว่า...เวลาตายของตนมาถึงแล้ว

       มีดที่แทงมานั้นมีพิษร้ายที่ทำให้รู้สึกเย็นยะเยือกไปถึงกระดูก เพียงไม่นานทั่วทั้งร่างก็ชาดิก จนผ่านไปยี่สิบลมหายใจบริเวณปอดก็เริ่มรู้สึกคล้ายโดนกดทับด้วยของหนักจนหายใจลำบาก ไป๋หลิงเสวี่ยพยายามขบคิดว่าพิษที่ตัวเองได้รับคืออะไร แต่คล้ายยิ่งใช้ความคิดภาพเบื้องหน้ายิ่งพร่ามัว ภาพสุดท้ายที่เขาเห็นก่อนหมดสติไปคือชายอาภรณ์สีเหลืองอ่อนที่โชกชุ่มด้วยโลหิต...

     

       ประหนึ่งถูกฉุดออกจากห้วงฝันอันยาวนาน ไป๋หลิงเสวี่ยค่อยๆ ลืมตาขึ้นในสถานที่ไม่คุ้นเคย เขาพยายามหยัดกายขึ้นนั่งแต่กลับพบว่าไร้เรี่ยวแรง ขณะกำลังสับสนก็เห็นร่างในชุดดำเดินเข้ามาใกล้พร้อมชามใบหนึ่ง

       “...ผิง เกิดอะไรขึ้น?”เสียงที่เปล่งออกมาเบาหวิวและแหบแห้งอย่างน่าตกใจ แต่คนโดนถามกลับเพียงทิ้งกายนั่งบนตั่งด้านข้าง พร้อมตักของในชามที่เต็มไปด้วยกลิ่นฉุนของสมุนไพรมาตรงปากเขา

       “กินซะ”

       เสียงอีกฝ่ายฟังเย็นชาไม่ต่างจากที่เคย ไป๋หลิงเสวี่ยไม่ได้ดื้อรั้น เขาทานของในชามจนหมด เมื่อรู้สึกว่าร่างกายมีเรี่ยวแรงมากขึ้นก็ถามซ้ำ

       “เกิดอะไรขึ้น?”

       เขาประสานสายตากับนัยน์ตาคู่นั้น ซึ่งวูบหนึ่งเขาคล้ายเห็นความเจ็บปวดเจือด้วยความรู้สึกผิดสะท้อนในแววตา แต่อึดใจถัดมาก็เห็นเพียงความเย็นชาที่ไม่อาจคาดการณ์สิ่งใด และแทนคำตอบ คนกลับพูดประโยคหนึ่งออกมา

       “หากคิดไปจากที่นี่ก็สังหารข้าเสีย”

       น้ำเสียงที่พูดนั้นราบเรียบและหนักแน่นเกินกว่าจะเป็นคำล้อเล่น ไป๋หลิงเสวี่ยที่ยังคงอ่อนแรงอยู่มาก หัวก็ยังตื้อมึน ความคิดจึงเชื่องช้ากว่าที่ควรเป็น ยามนั้นเขาทำได้เพียงตอบคำไปตามสัญชาตญาณ

       “หมอไม่อาจฆ่าคน”

       ได้ยินคำกล่าวของเขา คนที่มีสีหน้าเย็นชามาโดยตลอดก็ผุดรอยยิ้มที่ดูขบขันขึ้น

       “ฆ่าหนึ่ง เพื่อช่วยร้อย หากสังหารข้าได้ ผู้คนทั่วหล้าจะสรรเสริญเจ้า”

       คำกล่าวนั้นช่างฟังไร้เหตุผล แต่ไม่รู้เหตุใดไป๋หลิงเสวี่ยกลับขบคิดอย่างจริงจัง

       การฆ่าคนถือเป็นการช่วยชีวิตได้ด้วยหรือ?


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×