ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    คนสมควรตาย รีบกลับเข้าร่างเดี๋ยวนี้! BL

    ลำดับตอนที่ #3 : องก์หนึ่ง

    • อัปเดตล่าสุด 3 ม.ค. 65


       เสียงตะโกนดังสนั่นที่ฟังคล้ายเสียงคำรามของท้องฟ้าสะท้อนก้องไปทั่วบริเวณ แต่เสียงที่ว่านั้นยังไม่น่าตกใจเท่ากับตัวเจ้าของเสียงที่ไม่น่าจะปรากฏตัวขึ้นที่นี่

       จ้าวหลางอวี้ แม่ทัพสีแดงผู้ควรจะอยู่ที่จวนของตัวเองในแคว้นฉู่

       ยิ่งเมื่อไห่เป่ยผิงมองไปยังเบื้องหลังชายหนุ่มก็ยิ่งต้องตกใจ เมื่อเหล่าคนที่เขาได้แวะไปเยี่ยมเยียนในช่วงเจ็ดวันที่ผ่านมาล้วนแต่อยู่ที่นี่ด้วยกันทั้งสิ้น

       “โม่เหยียนซิง?”ไห่เป่ยผิงทวนชื่อนี้อย่างประหลาดใจ เพราะเขาจำได้ดีว่าเพิ่งเจออีกฝ่ายเมื่อวาน ซึ่งตอนนี้ชายหนุ่มชุดเขียวผู้นี้ควรอยู่ที่วังไผ่เขียวสิถึงจะถูก!

       “ท่านแวะไปเยี่ยมเยียนข้ามาจริงๆสินะ”เสียงที่อบอุ่นดุจสายลมในฤดูไม้ไม้ผลิกล่าวเบาๆ สีหน้านุ่มนวลสุภาพดุจบัณฑิตคลี่ยิ้มอ่อนจางขณะหันหน้าไปทางหนึ่ง ตอนนี้เองที่ไห่เป่ยผิงสังเกตเห็นว่าคนพูดไม่ได้มองมาที่ตน แต่จับจ้องไปยังตัวกระจกวงรีขนาดเท่าเด็กที่ตั้งอยู่บนเก้าอี้เล็กซึ่งเรืองแสงสีขาวออกมาจางๆ และเมื่อมองเข้าไปในกระจกก็พบภาพตัวเขาที่กลายเป็นวิญญาณสะท้อนอยู่อย่างชัดเจน

       “...กระจกส่องภพ?”ไห่เป่ยผิงกล่าวขึ้นหลังนึกถึงเรื่องที่ได้ยินเมื่อไม่กี่วันก่อนขึ้นได้

       “ถูกแล้ว ข้าอุตส่าห์ถ่อไปเอามาจากสำนักบ่วงเมฆาเชียวนะ!”เสียงโอ้อวดทวงความดีความชอบดังมาจากร่างในชุดม่วงที่ยืนพิงกำแพงอยู่ไม่ไกล ไห่เป่ยผิงหันมองเจ้าของเสียงพลางพินิจคนพูดอย่างถ้วนถี่

       ชายหนุ่มที่เพิ่งเอ่ยคำมีรูปร่างปราดเปรียวและผิวกายออกคล้ำ โดยไม่ว่าจะเป็นเรือนผมสีดำสั้นเพียงบ่าที่ถักทอเปียเล็กๆร้อยรัดด้วยเชือกสีเหลืองทองจำนวนหนึ่งเอาไว้ หรือเครื่องหน้าเรียบง่ายไม่โดดเด่นแต่แปลกตาของอีกฝ่าย ล้วนเผยชัดถึงสายเลือดแห่งชนเผ่า ซึ่งยามนี้นัยน์ตาสีเหลืองอำพันของเจ้าตัวเปล่งประกายระริกไหวอย่างชวนดึงดูดใจเป็นที่สุด

       ไห่เป่ยผิงมองดู 'หลูชิ่งเหมย' ที่กำลังยิ้มร่าอย่างไม่เข้ากับสถานการณ์พลางสังเกตเห็นว่าในมืออีกฝ่ายถือโซ่สีเงินที่ไม่คุ้นตาเส้นหนึ่งเอาไว้

       ขณะเดียวกันเมื่อได้ยินถ้อยคำของคนหลงตัวเองนั้น ไห่เป่ยผิงก็พลันนึกถึงข่าวเกี่ยวกับอีกฝ่ายที่ได้ยินตอนไปโรงเตี๊ยมแสวงรักขึ้นได้

       “...วังสยบมาร...”

       “หือ?”

       ไห่เป่ยผิงมองคนที่มีสีหน้าสับสน แล้วเอ่ยเยินยอด้วยรอยยิ้มกดลึก

       “จอมโจรร้อยบุปผา ช่างร้ายกาจสมชื่อ แม้แต่ของวิเศษที่วังสยบมารรักษาเป็นอย่างดียังถูกเจ้าฉกชิงมาได้ น่านับถือนัก น่านับถือ”

       “นั่นก็...แน่นอนอยู่แล้ว?”ครั้งนี้คนพูดรับคำอย่างไม่เต็มเสียง เพราะสัมผัสได้ถึงไอทะมึนเบื้องหลังรอยยิ้มที่ส่งมา หลูชิ่งเหมยคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยได้รับรอยยิ้มแบบนี้มาก่อน ซึ่งทุกครั้งที่เจอเข้ากับรอยยิ้มนี้ตัวเขาก็จะเจอกับเรื่องไม่น่าพิสมัยหลายอย่าง...

       “หลูชิ่งเหมย เจ้าเงียบซะ! ไห่เป่ยผิง เจ้ารีบกลับเข้าร่างเดี๋ยวนี้!เฮ่อหมิงต้าน ที่อยู่ในชุดสีส้มเช่นเคยพูดสั่งการด้วยเสียงเอาแต่ใจ และน่าแปลกที่ครั้งนี้ฝ่ายหลูชิ่งเหมยเพียงเกาศีรษะแกรกๆ แล้วยอมเงียบลงตามคำสั่งอย่างว่าง่าย

       ส่วนทางไห่เป่ยผิง...

       “กลับเข้าร่าง? หมายถึง...ข้า?”เป็นครั้งแรกที่เจ้าของฉายามัจจุราชแดนเหนือผู้ร้ายกาจนึกสับสนกับถ้อยคำที่ได้ยิน ก่อนร่างสูงในชุดคลุมดำลากพื้นจะเพ่งสายตาไปยังม่านกั้นสีขาวที่ถูกเงาผู้คนบดบังเป็นครั้งแรก ซึ่งที่นั่นเขาสัมผัสได้ถึงลมหายใจอันเบาบาง และชีพจรที่เต้นแผ่วจนแทบไม่ได้ยิน ชั่วพริบตานั้นเอง สายลมจากเบื้องนอกพลันพัดโหมเข้ามาในห้อง และได้พัดพาให้ม่านที่ว่านั้นพลิ้วไหวจนเห็นใบหน้าของคนที่นอนอยู่

       ตึก ตัก

       จู่ๆ ก็ราวกับได้ยินเสียงหัวใจในร่างเต้นกระตุกอย่างแรง และคล้ายว่าจะไม่ใช่เขาคนเดียวที่สัมผัสถึงเรื่องนั้น เพราะทุกคนในที่นั้นต่างหันไปมองร่างหลังม่านกั้นอย่างพร้อมเพียง

       “เร็วเข้า! เจ้าจะรอช้าไม่ได้ ถ้ายังถ่วงเวลาต่อไป เส้นใยวิญญาณที่เชื่อมร่างกายกับวิญญาณของเจ้าเข้าด้วยกันจะยิ่งเลือนราง หากเส้นใยนี้ขาดลงเจ้าจะไม่มีวันกลับเข้าร่างได้อีก!”ชายชราที่ยืนอยู่ด้านข้างซ่งไคว่เล่อกล่าวเร่งด้วยน้ำเสียงรีบร้อน แต่ไห่เป่ยผิงที่ได้ยินถ้อยคำกลับยังยืนนิ่ง ใบหน้าร้ายกาจผุดรอยยิ้มขำขัน

       “อะไรกัน? นี่พวกเจ้ารักข้ามากเสียจนไม่อยากแยกจากเลยหรือ? แต่นั่น...ออกจะสายเกินไปสักหน่อยนะ?”คำพูดที่ถูกกล่าวอย่างขบขัน แต่กลับทำให้สีหน้าเหล่าคนฟังเปลี่ยนเป็นไม่น่ามอง ก่อนเป็นจ้าวหลางอวี้ที่ยกมือชี้หน้าด้วยท่าทางไม่พอใจ

       “เจ้า!

       “ข้าพูดสิ่งใดผิดหรือ? หรือพวกเจ้าไม่คิดว่ามันน่าขำ? คิดชุบชีวิตข้าให้ฟื้นกลับมา...หลังจากที่ตัดสินใจป้อนยาพิษให้ข้ากับมือตัวเอง?”

       คำถามที่ผู้พูดมีเพียงรอยยิ้มหยอกล้อรองรับ ซึ่งน้ำเสียงที่กล่าวไร้วี่แววโกรธแค้นหรือร่องรอยผิดหวัง ประหนึ่งว่ามันเป็นเรื่องสมควรแล้วที่ตนเองจะถูกเหล่าคนที่ได้ชื่อว่าเป็น ภรรยา สังหารทิ้งด้วยยาพิษ

       ไห่เป่ยผิงไม่ได้ประหลาดใจอะไร เพราะเรื่องที่ถูกฆ่าตายมันอยู่ในความคาดหมายของตัวเขาอยู่แล้ว แต่เรื่องตรงหน้านี่สิที่แปลกเสียจนหลงนึกว่าเป็นภาพหลอน ชายชราแปลกหน้าในชุดนักพรตสีเขียวบงกชกับร่างที่ควรตายไปแล้วของตัวเขา และถ้อยคำของเหล่าผู้ที่ชิงชังเขาที่ยามนี้เหมือนจะต้องการให้เขากลับไปมีชีวิตอีกครั้ง

       แต่...แล้วอย่างไรเล่า?

       ตอนนี้เขา ตาย แล้ว แม้ร่างที่นอนอยู่นั่นจะยังหายใจอยู่ แต่มันก็ไม่ได้สลักสำคัญอะไร ตัวเขาได้ตายไปตั้งแต่ห้าสิบปีก่อน ชีวิตของไห่เป่ยผิง นายน้อยแห่งตระกูลไห่ ประมุขพรรคต้าไห่รุ่นสุดท้ายได้จบไปตั้งแต่ตอนนั้น ไม่มีเหตุผลอันควรใดๆที่เขาจะฟื้นคืนขึ้นมาอีก

       ไห่เป่ยผิงกวาดสายตามองคนในห้องด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มก่อนจะสืบเท้าถอยหลังอย่างไร้เสียง เพียงแต่จังหวะเดียวกันนั้นก็มีเสียงสั่งการดังขึ้น พร้อมกับของสิ่งหนึ่งพุ่งตรงเข้ามารัดร่างของเขา

       “จับเขาไว้!

       ไห่เป่ยผิงไม่คิดมาก่อนว่าอาวุธธรรมดาจะสามารถสัมผัสโดนร่างวิญญาณของตัวเองได้จึงไม่ได้ตั้งใจหลบหลีกสายโซ่ที่หลูชิ่งเหมยเหวี่ยงเข้าหา แต่แล้วร่างของเขากลับถูกโซ่เส้นเล็กที่ถูกธรรมดาและไม่ได้แข็งแกร่งอะไรนักพันรัดเอาไว้แน่น เขาพยายามอย่างยิ่งเพื่อจะดิ้นให้หลุดออกจากพันธนาการ แต่ดูเหมือนว่าโซ่สีเงินนี่จะไม่ใช่แค่อาวุธทั่วไป

       “อย่าคิดหนีไปเลย โซ่ศักดิ์สิทธิ์นี่นับเป็นสุดยอดของวิเศษของวังสยบมาร ที่จริง...มันถือเป็นสินเจ้าสาวของคุณหนูฉินที่ข้าหยิบยืมมาใช้ชั่วคราว ตอนที่ไปยืมมานางถึงกับร้องโวยวายอยู่พักใหญ่เลยทีเดียว”

       คำอธิบายด้วยเสียงเหมือนจะบ่นอยู่ในทีจากปากคนชุดม่วงทำให้คนฟังพากันนึกกลอกตาใส่

       สินเจ้าสาวตระกูลฉินใช่ของที่เจ้าจะหยิบยืมได้รึไง!

       ฝั่งไห่เป่ยผิงที่ได้ยินคำอธิบายก็นิ่งงันไปเล็กน้อย สุดท้ายเขาก็ประสานสายตากับชายหนุ่มทั้งเจ็ดผู้เคยได้ชื่อว่าเป็นภรรยาของตัวเองผ่านกระจกส่องภพ ก่อนมาหยุดอยู่ที่ชายชุดขาวผู้มีแววตาเย็นยะเยือกและคมกริบดุจดาบน้ำแข็งซึ่งเป็นคนร้องสั่งให้หลูชิ่งเหมยลงมือเมื่อครู่ หลังหลุบตาลงวูบหนึ่งชายหนุ่มก็เอ่ยปากถามเสียงช้าชัด

       “เพราะเหตุใด?”

       คำสั้นๆ แต่ทำให้เหล่าคนฟังนิ่งเงียบ พร้อมย้อนนึกทวนถามตัวเองด้วยคำถามเดียวกัน

       เพราะเหตุใด...งั้นหรือ?


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×