คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #16 : บทที่16
ไม่กี่อาทิตย์ถัดมากู่หนิวก็ต้องแปลกใจเมื่อได้ยินเรื่องการคัดเลือกคนเข้าป้อม
“รับคนเพิ่มเหรอครับ?”กู่หนิววางจานใส่เกี๊ยวลงตรงกลางโต๊ะ
โดยหันฝั่งที่ดูสวยๆ ไปทางเซียงเว่ย ก่อนจะนั่งลงข้างๆ
“อืม
น้าคุนบอกว่าช่วงหลังมานี้ผู้ล่ามีความดุร้ายมากขึ้น
เลยว่าจะรับสมัครคนเพิ่มสักหน่อย แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะมีผ่านสักกี่คน”หลงจูที่นั่งอยู่เยื้องไปด้านขวาพูดตอบขณะจิ้มเกี๊ยวนึ่งไส้ผักเข้าปาก
ใกล้ๆ กัน หลงไช่ที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตากินก็ผงกหัวรับอย่างเห็นด้วย
แต่กู่หนิวยังสงสัย
“ผ่าน...งั้นเหรอครับ?”
พอได้ยินน้ำเสียงสงสัย
หลงไช่ที่กลืนเกี๊ยวหมดก็โพล่งขึ้น
“อ๊ะ พี่หนิวไม่ได้เข้าป้อมมาด้วยวิธีการคัดเลือกนี่นะ!”คนพูดทำหน้านึกได้ ก่อนช่วยอธิบาย “คืองี้ ป้อมไป่เหอของเราถือเป็นป้อมที่มีสวัสดิการหลายอย่างดีเป็นอันดับต้นๆ
ทีนี้เพื่อไม่ให้มีสมาชิกล้นป้อม น้าคุนเลยจัดให้มีการทดสอบคัดเลือกคนเข้าป้อม
แต่รายละเอียดนี่ฉันก็จำไม่ได้เหมือนกัน”
“อย่างที่อาไช่ว่า
น้าคุนจัดทำการคัดคนเข้าป้อม โดยขั้นตอนแรกสุดคือซักประวัติ จากนั้นก็ทดสอบพลังว่าเป็นประโยชน์ต่อป้อมรึเปล่า
แต่ขั้นตอนที่ขาดไม่ได้เลยคือ...การทดสอบนิสัย”หลงจูว่ามาถึงตรงนี้ก็แสยะยิ้ม
“ทดสอบนิสัยเหรอครับ?”
“อืม
ขั้นตอนนี้จะว่ายากก็ยาก จะว่าง่ายก็ง่าย เอาเป็นว่าเห็นด้วยตาจะเข้าใจมากกว่า”
กู่หนิวฟังแล้วก็ยังสงสัย
แต่พอเขาลองไปส่องดูการคัดเลือกในวันถัดมาก็พลันเข้าใจ
จางลู่
หญิงสาวที่เคยอยู่ในคราบนางเสือบัดนี้กลายสภาพเป็นลูกแมวน้อยขี้กลัว
เพียงมองไปท่ามกลางผู้คนนับร้อยพัน คุณจะเห็นร่างเด็กสาวผมย้อมทองในชุดวันพีชแขนยาวสีขาวไข่มุกกับบูทสีน้ำตาลยืนหันรีหันขวางอย่างกระสับส่ายอยู่
ซึ่งทรงผมมัดแกละต่ำกับเสื้อขนแกะนุ่มนิ่มสีชมพูอ่อนที่สวมทับ
และเครื่องสำอางโทนใสๆที่แต่ง ยิ่งเสริมภาพลักษณ์สาวน้อยบอบบางให้กับร่างบาง ซึ่งหากไม่รู้จักกันมาก่อน
กู่หนิวเองก็คงเห็นอีกฝ่ายเป็นเด็กสาวไร้เดียงสาที่ไม่มีพิษภัยอะไรเหมือนกัน
ส่วนที่เขาเข้าใจว่าการทดสอบนิสัยคืออะไร
ก็เพราะตอนนี้จางลู่กำลังถูกกลุ่มคนไม่คุ้นหน้ารายล้อมอยู่
ซึ่งมีทั้งหญิงชายคละกันไป โดยจากท่าที ดูเหมือนคนกลุ่มนั้นกำลังคุกคามจางลู่อยู่
กู่หนิวมองอย่างลังเล เขาเองก็พอจะรู้ว่าจางลู่มีฝีมือการต่อสู้พอสมควร แต่ก็ยังไม่เคยเห็นตอนอีกฝ่ายรับมือกับคนด้วยกันทีจึงนึกกังวลเล็กน้อย
และกู่หนิวก็ต้องขมวดคิ้วหนักเมื่อจางลู่กำลังจะถูกพาไปที่อื่น
ขณะที่เขาคิดก้าวเข้าไปช่วยนั้นเองก็มีร่างหนึ่งตรงเข้าไปขวาง
“นี่ๆๆ
อย่ามายุ่งกับพี่สาวคนนี้ดีกว่านะ ถ้าไม่อยากเดือดร้อน”เสียงใสๆของเด็กหนุ่มในชุดฮุ้ดสีดำปิดหน้าพูดห้ามปรามขณะยืนคั่นกลางระหว่างจางลู่กับกลุ่มคน
“อย่ามายุ่งน่าไอ้หนู
จะไปไหนก็ไป!”ชายกล้ามโตพูดพลางหักนิ้วดังกร๊อบอย่างข่มขู่
“ลุงคนนี้อารมณ์ร้ายจัง
น่ากลัวอ่า”พูดไม่ทันจบคำ คนพูดก็วิ่งมาหลบหลังจางลู่แทน
ทำเอาคนรอบข้างอึ้งไปอย่างไม่คาดคิด ขณะที่ชายกล้ามโตกำลังจะบันดาลโทสะก็มีเงาร่างหนึ่งเข้าไปสกัด
“มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม
กลุ่มของพวกนายโดนตัดสิทธิ์แล้ว ออกไปซะ”
คำพูดน้อยประหยัดคำกับน้ำเสียงทุ้มออกแปร่งๆนี้จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากไห่หลาง
กู่หนิวเห็นเด็กหนุ่มเข้าไปช่วยเหลือแล้วก็วางใจ ซึ่งก็สมความไว้วางใจ
เมื่อไม่นานไห่หลางก็จัดการเล่นงานคนกลุ่มนั้นจนไปนอนจมกองเลือด...
เอิ่ม?
กู่หนิวนิ่งอึ้งไปเมื่อเห็นว่าการลงมือครั้งนี้ดูหนักหนาเกินเหตุ
แต่พอนึกถึงเรื่องที่จางลู่เคยพูดประมาณว่าไห่หลางเป็นประเภทยั้งมือไม่เก่งก็เข้าใจ
เขาได้แต่ถอนหายใจแล้วภาวนาให้คนกลุ่มนั้นไม่เสียชีวิตไปซะก่อน
หลังการคัดเลือกจบลง
สมาชิกที่รับเข้ามาใหม่มีเพียงสามคน โดยคนแรกคือ ลู่ฝาง ชายวัยกลางคนที่มีความสามารถในการรักษา
คนที่สองคือเด็กผู้หญิงอายุราว ม.ต้น ที่มีความสามารถในการควบคุมพรรณไม้ ลู่เฉิน
และคนสุดท้าย...
เด็กหนุ่มผู้สามารถเคลื่อนไหวได้รวดเร็ว
ไป๋หยาง
ที่ว่าเคลื่อนไหวรวดเร็วนั้น
อีกฝ่ายสามารถวิ่งหายไปจากสายตาได้รวดเร็วยิ่งกว่าภูตพราย กู่หนิวถึงกับยอมรับว่าตัวเองด้อยกว่า
เพราะถ้าจะให้แข่งกัน มันก็เหมือนเอาจักรยานแม่บ้านไปแข่งกับเครื่องบินเจ๊ต
มันคนละระดับกัน
แต่ที่น่าประหลาดใจคือ ไป๋หยางคนนี้เป็นเพื่อนสมัยเด็กของไห่หลาง ซึ่งเป็นเรื่องบังเอิญอันน่ายินดีจริงๆ ที่ทั้งคู่ได้กลับมาพบกันอีกครั้งโดยที่ยังมีชีวิต
ทว่า เรื่องนั้นยังไม่สำคัญเท่ากับความจริงที่ว่าอีกฝ่ายเคลื่อนไหวได้เร็วกว่าเขา
กู่หนิวจำได้ดีถึงเหตุผลที่ตัวเองได้รับหน้าที่เป็นคนคุ้มกันของเซียงเว่ย
ใช่แล้ว มันเป็นเพราะ ‘ความเร็ว’ ของเขา
แต่ตอนนี้กลับมีอีกคนที่เร็วยิ่งกว่า ถ้าอย่างนั้น...
“เปลี่ยน...งาน?”
“ครับ”
กู่หนิวพูดตอบรับคำเจ้านายหนุ่ม
ซึ่งยามนี้เขากำลังนั่งบนเก้าอี้ที่อยู่ข้างหน้าโต๊ะทำงานของเซียงเว่ย ห่างออกไปไม่ไกล
มีเงาร่างโปร่งของหลงคุนที่ควรเป็นผู้ทำหน้าที่รับเรื่องนี้ยืนอิงเสาอยู่
โดยอีกฝ่ายกำลังทำเป็นอ่านเอกสารด้วยท่าทีไม่รู้ไม่ชี้
“ทำไม?”
เมื่อได้ยินเจ้านายหนุ่มร้องขอเหตุผล
กู่หนิวก็ไม่มีความคิดที่จะปิดบัง เขาพูดออกไปตรงๆ
“เพราะเด็กใหม่ที่ชื่อไป๋หยางมีความสามารถในการเคลื่อนไหวรวดเร็วกว่าผม
จึงเหมาะสมที่จะคอยอยู่ข้างๆ คอยช่วยเหลือเวลาที่คุณชายตกอยู่ในอันตรายครับ"
เซียงเว่ยที่ได้ฟังเหตุผลนิ่งงันไป
หลงคุนที่ทำตัวเป็นผู้ชมอยู่แต่แรกจึงเข้ามาช่วยไกล่เกลี่ย
“ไม่ใช่ว่าแค่เร็วอย่างเดียวแล้วจะมาเป็นคนคุ้มกันส่วนตัวของคุณชายได้
อีกอย่าง เด็กนั่นเป็นคนใหม่ ไม่น่าไว้ใจ”คนพูดดันแว่นแล้วว่าอย่างที่กู่หนิวส่ายหัวไม่เห็นด้วย
“เขาเป็นเพื่อนของไห่หลาง
นี่น่าจะพอรับประกันได้ระดับหนึ่งนะครับ”
หลงคุนยังทำท่าจะพูดอะไรอีก แต่เซียงเว่ยกลับเป็นฝ่ายเคลื่อนไหวก่อน เด็กหนุ่มวางปากกาในมือตนลง
นัยน์ตาสีฟ้าแวววาวจับจ้องไปยังร่างหนาอย่างยากจะคาดเดาอารมณ์
“...ไม่พอใจ?”
“ครับ?”
เห็นกู่หนิวมีสีหน้าไม่เข้าใจ
เซียงเว่ยก็ขยายความ
“อยู่ข้างๆ ฉัน
...ไม่พอใจ?”
“อะ
ไม่ใช่อย่างนั้นครับ! แต่ผมแค่เห็นว่ามีตัวเลือกอื่นที่ดีกว่าเลย...”
“ไม่”ยังพูดไม่ทันจบ
น้ำเสียงราบเรียบของเจ้านายหนุ่มก็ว่าขึ้นขัด เซียงเว่ยมองสบตากับคนฟังแล้วพูดย้ำทีละคำ
”นาย ดี ที่ สุด”
ด้วยคำพูดนี้ สุดท้ายกู่หนิวจึงไม่ได้เปลี่ยนงาน
ทั้งยังคล้ายทำงานหนักขึ้น เมื่อเซียงเว่ยออกไปล่าบ่อยขึ้น
และบ่อยครั้งที่เจ้านายหนุ่มทำเลือดกระเซ็นใส่เสื้อผ้า ซึ่งเมื่อมีเลือดบางส่วนกระเด็นมาเปื้อนหน้า
กู่หนิวก็จะกุลีกุจอเข้าไปช่วยเช็ดออกจนสะอาดเอี่ยม
อย่างเช่นครั้งนี้
“สะอาดแล้วครับ”กู่หนิวพูดบอกพลางถอยห่างออกมา
ในมือของเขาคือผ้าเช็ดหน้าสีขาวเนื้อมันวาวที่ดูเรียบหรูซึ่งได้มาจากหลงคุน อีกฝ่ายซื้อมาให้เขาสามแพ็คแล้วบอกให้พกติดตัวตอนออกมาล่า
คล้ายกับว่าชายหนุ่มจะคาดเดาได้ล่วงหน้าว่าจะเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ขึ้นยังไงยังงั้น
กู่หนิวเก็บผ้าเช็ดหน้าเปื้อนเลือดใส่กระเป๋ากางเกงตนเองพลางกวาดตามองรอบด้าน ก่อนจะพบว่าล่าบริเวณนี้ถูกกำจัดไปหมดแล้ว
“นี่ก็ใกล้เวลากลับแล้ว
ไปรอที่จุดนัดพบกันเถอะครับ”กู่หนิวใช้หลังมือปาดเหงื่อบนหน้าผาก ก่อนจะลอบจัดคอเสื้ออย่างรู้สึกอึดอัดกับอากาศวันนี้ที่ดูจะร้อนอบอ้าวเป็นพิเศษ
แต่ไม่ทันที่เขาจะมองหาอะไรมาดื่มเพื่อดับกระหาย เซียงเว่ยก็ล้วงเอาขวดนมสตรอเบอรี่ขวดใหญ่ออกมาจากกระเป๋ากางเกงซะก่อน
เอ๋!?
กู่หนิวเบิกตา
เขามองดูขวดนมสลับกับกางเกงผ้าที่ดูไม่มีอะไรพิเศษอย่างไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
นี่อย่าบอกนะ...ว่าเซียงเว่ยมีพลังวิเศษอย่างอื่นอีกน่ะ?!
“พลังของซูหมิง”
“อะ ของคุณซู...เหรอครับ?”
กู่หนิวทักอย่างแอบประหลาดใจ
เขาหวนนึกถึงชายชุดกาวน์ที่มักทำหน้าที่เฝ้าเสบียงอยู่เสมอ
จะว่าไปเขาก็ไม่รู้ทีว่าคุณซูมีพลังอะไร ว่าแต่ สามารถนำสิ่งของออกมาจากความว่างเปล่าได้นี่
มันดูเหมือนกับ...
“กระเป๋ามิติ”
กู่หนิวได้ฟังถ้อยคำยืนยันจากปากเซียงเว่ยแล้ว
ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าควรจะห้ามปรามอีกฝ่ายเรื่องที่ชอบเอาความลับสำคัญมาบอกเขาดีไหม
แต่พอคิดๆแล้ว ถึงบอกไปก็คงเปล่าประโยชน์ ไม่อย่างนั้นหลงคุนคงห้ามสำเร็จไปแล้ว
หลังดื่มนมสตรอว์เบอรี่หมดขวด
พวกเขาก็ไปรวมตัวที่จุดนัด แล้วก็ได้เจอเหตุการณ์ดาวเด่นถูกรุมล้อม
ร่างผอมในชุดฮู้ดถูกผู้คนในป้อมที่ร่วมกันออกล่าครั้งนี้ยืนล้อมหน้าล้อมหลัง กู่หนิวมองเส้นผมสีแดงหยักศกตามธรรมชาติและผิวขาวน้ำนมอย่างเพลินตา โดยเฉพาะต้นคอขาวเนียนเหมือนหยกที่มีโชกเกอร์รัดอยู่ เส้นสายสีดำไม่หนาไม่บางที่โอบรัดยิ่งทำให้ลำคอของเด็กหนุ่มดูบอบบางยิ่งขึ้น แต่จ้องได้ไม่นานร่างของเซียงเว่ยก็เข้าขวาง กู่หนิวมองแผ่นหลังของเจ้านายหนุ่มที่บดบังเงาร่างของไป๋หยางจากสายตาเขาได้อย่างพอดิบพอดีอย่างนึกอ่อนใจ
ดูเหมือนอาการขี้หวงจะออกอีกแล้ว
เพราะออกมาล่าบ่อยขึ้นทำให้กู่หนิวเริ่มสังเกตว่าหากสายตาของเขาไปหยุดอยู่ที่คนอื่นนานเข้าหน่อย
เซียงเว่ยจะชอบเข้ามากั้นแนวสายตาเขาไว้ ซึ่งแม้จะไม่ค่อยเข้าใจ
แต่กู่หนิวเดาว่ามันคงเป็นอาการติดเพื่อนอย่างหนึ่ง
กู่หนิวก้าวออกไปกล่าวกับเซียงเว่ย
”เดี๋ยวผมจะไปถามดูนะครับว่าเกิดอะไรขึ้น”
เซียงเว่ยเอียงหน้ามอง
ก่อนจะผงกศีรษะเบาๆ กู่หนิวยิ้มแล้วเดินไปสะกิดคนที่ยืนอยู่ไม่ไกล
“เอ่อ
เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ? ทำไมทุกคนถึงไปรุมเด็กคนนั้นกันหมด?”
“อ๊ะ
คุณอดีตผู้ดูแล... พอดีเด็กใหม่ที่ชื่อไป๋หยางทำผลงานใหม่น่ะครับ
ทุกคนเลยไปชื่นชมอยู่”
คำตอบที่ได้รับทำให้กู่หนิวเลิกคิ้ว
แต่ไม่ทันให้เขาได้ถามรายละเอียด เสียงกลุ่มชนก็ดังขึ้นแทรก
“เยี่ยมไปเลยเสี่ยวหยาง!”
“ใช่ๆ
นายเก่งสุดๆ! เมื่อกี้ตอนนายลงมือ
ฉันตามไม่ทันเลยล่ะ!”
“แถมยังโชคดีโคตรๆ
ถึงกับได้คริสตัลสีม่วงมาตั้งแปดอันแน่ะ!”
“เสี่ยวหยางสุดยอดไปเลย!”
คำชื่นชมที่ลอดมาให้ได้ยินทำให้กู่หนิวเข้าใจสถานการณ์ในที่สุด
ดูเหมือนเด็กใหม่ที่ชื่อไป๋หยางจะโชว์ฝีมือออกมา
แล้วยังได้คริสตัลสีม่วงที่นับว่าเป็นคริสตัลที่มีค่าในสายตาหลายๆคนมาหลายอันด้วยสินะ
“เฮ้พวก
ฉันว่าไป๋หยางเคลื่อนไหวเร็วกว่าคุณอดีตผู้ดูแลอีกนะ หรือนายว่าไง?”
“ชู่! นายอย่าเอ็ดไป ฉันได้ยินมาว่าที่บอสให้คุณอดีตผู้ดูแลคอยอยู่ข้างๆ
เพราะคุณอดีตผู้ดูแลเคยช่วยชีวิตบอสไว้”
“อ๋า
อย่างงี้นี่เอง! ไม่น่าล่ะ
ฉันก็ว่าคุณผู้ดูแลไม่ค่อยเก่งด้านต่อสู้เท่าไหร่
ยังได้ยินเมิ่งเอ๋อร์บอกว่าเป็นเพราะบอสชอบคุณผู้ดูแลถึงให้คอยอยู่ใกล้ๆ
ที่แท้เป็นเพราะเคยช่วยชีวิตไว้งั้นเองสินะ!”
คุณอดีตผู้ดูแลที่ตกเป็นหัวข้อสนทนาอย่างกู่หนิว หลังรับฟังจบก็ค่อยๆ ถอยกลับไปยืนข้างเซียงเว่ยพร้อมบอกเล่าถึงสาเหตุที่คนมุงไป๋หยาง ซึ่งแม้จะไม่ตั้งใจแต่กู่หนิวก็ได้แสดงท่าทีรักษาระยะห่างออกมา
ช่องว่างที่เกิดขึ้นอย่างปุบปับส่งผลให้เซียงเว่ยนิ่วคิ้ว นัยน์ตาสีฟ้าแวววาวมองร่างหนาที่ก้มหัวกล่าวคำด้วยท่าทีสุภาพ
เสมือนลูกจ้างคุยกับเจ้านายอย่างไม่พอใจ แต่แม้จะไม่พอใจเพียงใดเซียงเว่ยกลับไม่คิดหาเรื่องคนร่างโต
เขาแค่ออกคำสั่งให้ทุกคนกลับป้อม
เมื่อกลับถึงป้อมไป่เหอก็นับว่าเป็นเวลาเย็นแล้ว
กู่หนิวหลังรับเงินเดือนจากเซียงเว่ยก็เตรียมจะจากไป หากแต่...
“หนิว”
เสียงเซียงเว่ยที่กล่าวเรียกทำให้คนที่เตรียมตัวจะออกไปชะงักเท้า
แล้วหันมามองอย่างสอบถาม ซึ่งคนถูกมองนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะพูดช้าชัด
“นอนด้วยกัน”
กู่หนิวนิ่งอึ้งไปกับสิ่งที่ได้ยิน
ก่อนเขาจะตอบสนองด้วยท่าทีลนลาน
“เอ่อ มันไม่เหมาะสะ...”
“สองขวด”
ไม่รอให้พูดจบ
เซียงเว่ยก็กล่าวตัดบท ทีแรกกู่หนิวยังคิดแย้ง แต่เมื่อสบกับสายตาที่แน่วแน่คู่นั้นก็ทำให้เขาต้องกลืนคำพูดที่ตั้งใจจะกล่าวลงไป
แล้วตอบคำเสียงอ่อน
“...ผมจะไปหยิบผ้าห่มที่ห้องมานะครับ”
ความคิดเห็น