คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #15 : บทที่15
ทำไมอีกฝ่ายถึงกล้าไว้ใจ
และบอกเรื่องนี้กับเขา?
จากที่ได้ยินเมื่อครู่
พลังของหลงคุนดูจะพิเศษและสมควรถูกเก็บเป็นความลับระดับสูง ซึ่งมันไม่ควรถูกแพร่งพรายบอกต่อคนนอกอย่างเขา
ทว่าเซียงเว่ยกลับพูดออกมาอย่างหน้าตาเฉย
นี่เพราะอีกฝ่ายคิดว่าเขาไม่มีปัญญาเอาไปบอกคนอื่น?
หรือแค่...เชื่อใจ?
คำว่า ‘เชื่อใจ’ ที่ส่งตรงเข้ามาในสมองทำให้กู่หนิวตัวชา
และคงเพราะสมองถูกช็อตจากความคิดดังกล่าวทำให้เขาเผลอเปิดปากบอกเล่าความลับของตัวเองไป
“พลังของผม คือการแลกเปลี่ยนคริสตัลครับ”
คำพูดที่โพล่งออกไปอย่างไม่ยั้งคิดนี้ทำให้กู่หนิวนึกอยากตบปากตัวเองแรงๆ
แต่ทว่าปฏิกิริยาของเซียงเว่ยกลับดูคล้ายไม่ใส่ใจกับสิ่งที่ได้ยิน เด็กหนุ่มเพียงรับฟังแล้วตอบอืมกลับมาเบาๆ
กู่หนิวเห็นอย่างนั้นก็รู้สึกโล่งอก ชายหนุ่มนึกในใจว่าช่างโชคดีจริงๆ ที่เซียงเว่ยดูจะไม่ใช่คนประเภทพวกหวังผลประโยชน์ระยะสั้น
กู่หนิวนึกไม่ออกเหมือนกันว่าหากเจ้านายหนุ่มเกิดคิดละโมบ
แล้วบีบบังคับให้เขาใช้ความสามารถพิเศษเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองขึ้นมา...ตัวเขาจะทำยังไง
ห่างออกไปไม่ไกลจากมุมที่เซียงเว่ยกับกู่หนิวนั่งสนทนา
หลงคุนที่ได้ยินคำพูดของทั้งคู่ตั้งแต่ต้นจนจบชัดเจนเต็มสองหูพลันเผยสีหน้าหลากหลายออกมา
ตอนแรกเขามุ่นคิ้วไม่ชอบใจที่เซียงเว่ยบอกกล่าวความลับกับบุคคลที่ตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่าเป็นสายให้กับเจ้าของป้อมเฉาเชา
แต่ต่อมาตัวเขาก็ต้องตะลึงอ้าปากเหวอเมื่อได้ยินความลับเรื่องพลังของกู่หนิว
หลงคุนพลันปะติดปะต่อเรื่องได้ เขารู้แล้วว่าที่ผ่านมาอีกฝ่ายนำคริสตัลพวกนั้นมาจากไหน
และนี่เองที่ทำให้ชายหนุ่มมองร่างหนาด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป...
เมื่อจบมื้ออาหาร
กู่หนิวก็ตัดสินใจขอตัวกลับห้องอย่างนึกอ่อนเพลีย แต่ก่อนจะกลับ เซียงเว่ยได้มอบนมสตรอว์เบอรี่สองขวดให้กับเขา
ซึ่งนี่นับว่าเป็นครั้งแรกที่อีกฝ่ายมอบอะไรให้กับเขาด้วยมือตัวเอง กู่หนิวมองขวดนมที่ได้รับมาก่อนจะฉีกยิ้มกว้าง
“ขอบคุณครับ!”
ว่าจบคนตัวโตก็หมุนตัวจากมาด้วยหัวใจที่เบิกบาน
ส่วนฝ่ายคนที่มองตามหลังก็ได้แต่นิ่งงันเมื่อนึกถึงรอยยิ้มกว้างที่นับว่าได้เห็นเต็มตาเป็นครั้งที่สอง...
“คุณชายครับ”
เสียงหลงคุนดังขึ้นเบาๆ
เซียงเว่ยเบนสายตาจากบานประตูมามองคนเรียกที่ยามนี้มีสีหน้าอ่อนใจปนๆจำยอม
“หากคุณคิดจริงจัง
ผมจะช่วย... เรื่อง ‘เขา’ “
เมื่อได้ยินถ้อยคำนี้
นัยน์ตาสีฟ้าของคนฟังพลันส่องประกายวูบ รอยยิ้มอ่อนโยนที่เลือนรางค่อยๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าอันอ่อนเยาว์ของเด็กหนุ่ม
“ขอบใจ”
ทางฝั่งกู่หนิวที่ได้รับรู้ความลับยิ่งใหญ่เทียมฟ้ามานั้น
ในทีแรกก็นึกกระสับกระส่ายอยู่บ้าง แต่สุดท้ายเมื่อไม่มีอะไรเกิดขึ้นจึงลดท่าทีลง และใช้ชีวิตในแต่ละวันไปเหมือนเคย
โดยในทุกๆสามวันเขาจะมีโอกาสไปทานอาหารเย็นร่วมกับเซียงเว่ย โดยมีหลงคุนคอยเป็นพนักงานเสิร์ฟให้
ชีวิตของเขาโดยรวมแล้วไม่มีอะไรเปลี่ยน
จะมีก็แต่คนรอบตัวนั่นแหละที่ดูแปลกไป
ยกตัวอย่างเช่น
หลงคุน พักนี้อีกฝ่ายมักพูดจากับเขาด้วยน้ำเสียงที่เป็นมิตรกว่าที่เคย และไม่ชักสีหน้าใส่อย่างไร้เหตุผลเหมือนเมื่อก่อน
คล้ายกับว่าป้อมปราการที่ตั้งขึ้นเพื่อกีดกันตัวเขาได้หายไป ซึ่งจากที่ลองพิจารณาดูแล้ว
กู่หนิวเชื่อว่ามันน่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องพลังของเขา
คนถัดมาที่ดูแปลกไปก็คือจางลู่
พักนี้อีกฝ่ายไม่ได้พูดกระแนะกระแหนหรือเหน็บเขาเท่าไหร่ มีเพียงสายตาแพรวพราวกับรอยยิ้มที่ดูเจ้าเล่ห์ซึ่งส่งมาให้ทุกครั้งที่เจอ
แน่นอนว่ากู่หนิวก็คาดเดาได้ว่ามันเกี่ยวข้องกับที่ช่วงหลังๆ เขาใกล้ชิดกับเซียงเว่ยมากขึ้น
ยังอีกคนที่มีท่าทีแปลกไป
เฉ่าเหมย
ปกติเด็กสาวมักจะกล่าวทักทายเขาด้วยรอยยิ้มเวลาเดินสวนกัน
แต่ช่วงหลังมานี้ คล้ายกับว่าอีกฝ่ายกำลังหลบหน้าเขาอยู่...
“พี่หนิวคะ”เสียงหวานใสดุจกระดิ่งกับคำเรียกขานที่เป็นเอกลักษณ์ทำให้คนโดนเรียกหันไปมองต้นเสียงอย่างแปลกใจ
กู่หนิวมองดูใบหน้าจิ้มลิ้มที่ยามนี้สองแก้มแต้มสีระเรื่อ โดยเฉดสีของมันใกล้เคียงกับกิ๊บสตรอว์เบอรี่ที่ติดอยู่บนเรือนผมอีกฝ่ายพอสมควร
“เฉ่าเหมย”กู่หนิวเช็ดเศษดินกับกางเกงก่อนลุกขึ้นยืน
ชายหนุ่มมองดูเด็กสาวในชุดกระโปรงสีฟ้าอ่อนที่ค่อยๆเดินเข้ามาใกล้อย่างนึกสงสัย “มีอะไรรึเปล่า?
ถึงมาหาถึงนี่”
“ค่ะ พี่หนิวคะ
คือ...พรุ่งนี้พี่จะหยุดใช่ไหมคะ?”คำถามที่กู่หนิวไม่นึกแปลกใจที่เด็กสาวรู้
เพราะตอนลงไปขอยื่นเรื่องหยุด เขาเห็นอีกฝ่ายนั่งเช็คเอกสารอยู่ไม่ไกล
“ใช่”
พอได้รับคำยืนยัน สีหน้าเด็กสาวก็เปลี่ยนเป็นโล่งใจ และไม่นาน เสียงใสๆ
ก็เอ่ยคำถามออกมาอีกคราด้วยท่าทีไม่มั่นใจ
“ถะ
ถ้าอย่างนั้น...พรุ่งนี้ไปเที่ยวกับเหมย...ได้ไหมคะ?”
คำกล่าวที่คล้ายๆ
กับการชักชวนส่งผลให้ร่างของกู่หนิวนิ่งแข็งไปเหมือนโดนสตัฟฟ์ ชายหนุ่มมองดูผู้กล่าวด้วยแววตาซับซ้อน
ซึ่งไม่ว่าจะสีหน้าขัดเขินหรือปฏิกิริยาไร้เดียงสาที่เด็กสาวแสดงออกมาอย่างไม่รู้ตัว
มันล้วนสะท้อนให้เห็นชัดถึงความรู้สึกที่อีกฝ่ายพยายามเก็บซ่อน
และเพราะความรู้สึกที่เห็นได้ชัดเจนนั้นเองที่ทำให้คนมองนึกลังเล
“เรื่องนั้น...”
“ต้าหนิว!”ขณะที่กำลังจะให้คำตอบ จางลู่ที่โผล่จากไหนไม่รู้พลันเยี่ยมหน้ามาจากประตูพลางป้องปาก
“เลขาบอสให้มาตามแน่ะ ตาลุงนั่นฝากบอกนายว่าถ้าเสร็จแล้วให้ลงไปหาที่ห้องบอส
แค่นี้แหละ!”ว่าจบคนก็ปิดประตูไป โดยทิ้งคนสองคนเอาไว้กับบรรยากาศกระอักกระอ่วนและบทสนทนาที่ขาดตอน
กู่หนิวก้มมองเด็กสาวที่มีสีหน้าค้างไป
ก่อนจะถอนใจเบาๆ
“สำหรับนัดวันพรุ่งนี้...
ฉันขอคิดดูก่อนแล้วกันนะ”
พอส่งเฉ่าเหมยกลับไปได้
กู่หนิวที่เสร็จงานก็ก้าวลงบันไดไปอย่างเชื่องช้า โดยระหว่างทางไปยังห้องของเซียงเว่ยชายหนุ่มได้เผลอเหม่อลอยหลายครั้ง
เมื่อคิดไม่ถึงว่าเฉ่าเหมยจะมีความรู้สึกแบบนั้นต่อตน
กู่หนิวลูบหน้าตัวเองอย่างหนักใจ
เพราะถึงอีกฝ่ายจะโตแล้วก็ตาม แต่ทุกครั้งที่มองไปยังเด็กสาว สายตาของเขายังคงปรากฏภาพของเด็กหญิงวัยแปดขวบหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูซ้อนทับอยู่
และภาพนั้นก็คอยตอกย้ำสัญญาที่เขาเคยรับปากคนคนหนึ่งไว้...
“อาหนิว รับปากย่า อย่าได้ทำให้ดอกโบตั๋น*ต้องแปดเปื้อน”
มาถึงห้องของเซียงเว่ย
กู่หนิวพยายามปรับสีหน้าให้ดูเป็นปกติก่อนเคาะประตู พอเข้าไปแล้ว เขาก็เห็นว่านอกจากซียงเว่ยกับหลงคุนแล้ว
ในห้องมีคนเพิ่มเข้ามาสามคน ซึ่งทันทีที่เขาก้าวขาเข้าไปในห้องหลงคุนก็พูดเข้าประเด็นทันที
“ต้าหนิว ที่ฉันเรียกนายมานี่
เพราะจะคุยเรื่องงานผู้ดูแลป้อม จากนี้ไปฉันจะให้สามคนนี้มาทำหน้าที่แทนนาย
ส่วนนาย นับจากนี้ไปก็ให้กลับมาทำหน้าที่หลัก นอกเหนือจากตอนไปเรือนกระจกแล้ว
นายต้องมาประจำอยู่ที่ห้องนี้จนถึงเย็น”
“ทำไมล่ะครับ?”กู่หนิวตั้งคำถามกับการเปลี่ยนแปลงที่กะทันหัน
หลงคุนเพียงดันแว่นแล้วตอบ
“ช่วงนี้มีข่าวเรื่องผู้ล่าบุกเข้าจู่โจมจากทางอากาศ
ฉันเลยอยากให้นายมาคอยคุ้มครองเผื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน”นั่นนับเป็นข้ออ้างที่สมเหตุสมผล
กู่หนิวจึงไม่ได้ติดใจ แม้ในความเป็นจริง คนที่ควรเป็นฝ่ายถูกปกป้องน่าจะเป็นคนตัวโตเสียด้วยซ้ำ
“เข้าใจแล้วครับ”
แม้จะรับคำไปอย่างนั้น
สุดท้ายกู่หนิวก็ยังไม่ได้เริ่มงานจริง เพราะวันถัดมาเป็นวันหยุดของเขา
กู่หนิวลงลิฟต์มายังชั้นล่างสุดอันเป็นห้องโถงรวม
ชายหนุ่มวางแผนจะไปเยี่ยมเยียนลุงเป่ยก่อนออกไปหาซื้อของน่าสนใจที่ห้าง
แต่ขาที่ก้าวเดินก็เป็นอันต้องชะงัก เมื่อได้เห็นว่าตรงโซฟาสีเข้มใกล้ทางออกนั้น มีเงาร่างในชุดกระโปร่งสีชมพูหวานนั่งรออยู่
ซึ่งแม้จะมองเพียงข้างหลังเขาก็รู้ดีว่าเป็นใคร
และนั่นทำให้กู่หนิวนึกถึงเรื่องเมื่อวานขึ้น เขาหยุดยืนพลางมองแผ่นหลังเล็กที่ดูบอบบางนิ่ง
แม้แต่ตอนนี้ เขาก็ยังไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรกับอีกฝ่ายดี
แต่จะยืนอยู่ตรงนี้ต่อไปก็ไร้ประโยชน์
กู่หนิวสูดลมหายใจก่อนตรงเข้าไปหาร่างที่โซฟา...
หมับ!
ไหล่ที่ถูกคว้าอย่างกะทันหันทำให้กู่หนิวหันไปตั้งรับด้วยสีหน้าระแวดระวัง
พอเห็นเป็นหลงคุนเขาก็คลายท่าทีลง กู่หนิวกำลังจะเอ่ยปากถามว่ามีอะไร แต่สายตาก็เห็นกระเป๋าเอกสารและเสื้อโค้ทที่อีกฝ่ายถืออยู่ซะก่อน
ดูจากวัตถุข้างต้นแล้วทำให้เขาแน่ใจว่าอีกฝ่ายกำลังจะออกไปข้างนอก
“ต้าหนิว
คุณชายเซียงเรียกไปพบ”
ไม่ทันจะได้เปิดปากพูด
หลงคุนก็ว่าสวนขึ้นอย่างง่ายๆ ซึ่งนั่นทำให้คนฟังประหลาดใจ ก่อนจะกล่าวท้วงเบาๆ
“แต่วันนี้เป็นวันหยุดของผ...”
“คุณชายบอกว่าถ้านายโผล่หน้ามาภายในห้านาที
นมสตรอว์เบอรี่ขวดใหญ่จะเป็นของนาย”ไม่รอให้ว่าจบ หลงคุนก็พูดแทรกขึ้นอย่างเฉยเมย
โดยเนื้อความนั้นทำให้คนบางคนตาโตอย่างตื่นเต้น
นมสตรอว์เบอรี่ขวดใหญ่!
ที่ผ่านมานมสตรอว์เบอรี่ผลิตออกมาเป็นขวดเล็กๆ
ที่รินใส่แก้วน้ำธรรมดาได้หนึ่งแก้ว แต่ช่วงหลังๆ
เริ่มมีการผลิตขวดใหญ่ออกมาจัดจำหน่าย โดยขวดใหญ่ที่ว่าสามารถรินได้ถึงสี่แก้วเต็ม! ส่วนราคาก็เท่ากับคริสตัลสีแดงสิบอัน แน่นอนว่ากู่หนิวอยากซื้อ
แต่เพราะงบไม่ค่อยมีเขาจึงได้แต่ซื้อขวดเล็กมาโดยตลอด
แต่ว่านะ เทียบกับขวดเล็กแล้ว
ขวดใหญ่ดื่มได้สะใจกว่าเยอะ!
“ไปทันทีครับผม!”กู่หนิวตอบรับด้วยเสียงกระชุ่มกระชวย หลงคุนเองพยักหน้าแล้วเดินตรงไปยังทางออก
ตอนนี้เองที่กู่หนิวเพิ่งนึกได้ว่าเฉ่าเหมยนั่งรออยู่ ขาที่กำลังจะก้าวกลับไปยังลิฟต์ก็พลันลังเล
และก่อนที่จะตัดสินใจอะไร เขาก็พลันเห็นใครบางคนเดินผ่านมา
เป็นหลงไช่
อีกฝ่ายอยู่ในเสื้อกันหนาวมีฮู้ดสีฟ้าตัดขาว โดยกำลังเดินก้มหน้าก้มตาเล่นเกมกดอย่างไม่มองทาง
กู่หนิวเห็นอย่างนั้นก็เข้าไปพูดคุยและฝากฝังเรื่องบางอย่าง
ไม่นานเขาก็ขึ้นมาถึงห้องของเซียงเว่ย
เสียก็แต่มันเลยเวลาห้านาทีทองไปถึงสิบนาทีเต็ม แต่ถึงนมสตรอว์เบอรี่ขวดใหญ่จะหลุดลอยไป
กู่หนิวกลับพบว่าตนเองไม่ได้เสียดายขนาดนั้น
ตอนนี้เขามีข้อสงสัยเดียวคือเซียงเว่ยเรียกเขามาทำไม หรือว่าจะมีธุระสำคัญ?
อ๊ะ
ครั้งนี้เมื่อเปิดประตูเข้าห้องไป
แทนที่กลิ่นลิลลี่ที่คุ้นเคย อากาศในห้องกลับเต็มไปด้วยกลิ่นน้ำมัน กลิ่นควัน
และ...กลิ่นเหม็นไหม้
กู่หนิวรีบสาวเท้าไปยังต้นตอ
ซึ่งเป็นฝั่งห้องครัวเล็กที่สามารถประกอบอาหารง่ายๆได้
เมื่อเขาเข้าใกล้ที่เกิดเหตุก็พลันเจอเซียงเว่ยในชุดสเว็ตเตอร์สีขาวเงินตัวเดิมกำลังทำอะไรบางอย่างอยู่หน้าเตาไฟฟ้า
และไม่ทันให้เขาได้สงสัยก็เห็นอีกฝ่ายเปิดขวดไวน์แล้วสาดโครมใส่กระทะจนเกิดเปลวไฟพุ่งพรวดขึ้นมาอย่างน่าหวาดเสียว
กู่หนิวดิ่งเข้าไปคว้าเซียงเว่ยให้ออกห่างจากพื้นที่อันตราย
พอวางคนเสร็จเขาก็ตรงเข้าไปถอดปลั๊กเตาไฟฟ้า และเมื่อหมอกควันจางลง
กู่หนิวก็ได้เห็นวัตถุปริศนาสีดำที่คล้ายจะเป็นเนื้อสัตว์ที่ถูกหมักในก้อนถ่านหมอบนิ่งอยู่ในกระทะ
ส่วนหม้อที่เปิดอุ่นอยู่เตาข้างๆ ก็มีลาวาเดือดสีแดงขุ่นคลั่กเต้นระบำอยู่ ซึ่งฟองลาวาเหล่านั้นเมื่อแตกออกก็กระเซ็นไปติดขอบหม้อจนดูคล้ายคราบเลือดแห้งกรัง...
กู่หนิวไม่รู้จะบรรยายสิ่งที่ดูไม่น่าใช่อาหารคนข้างต้นว่ายังไงดี
และเมื่อเขาหันไปทางเซียงเว่ยก็เห็นว่าสายตาที่มองไปยังหม้อและกระทะดูจะไม่พอใจเท่าไหร่
งานนี้กู่หนิวก็ไม่แน่ใจว่าควรทำอะไรต่อ
แต่พอเขาเห็นวัตถุดิบสดใหม่ที่สามารถใช้ประกอบการทำอาหารได้อยู่ไม่ไกล ปากก็หลุดพูดออกไป
“เดี๋ยวผมทำอะไรให้ทานนะครับ”
กู่หนิวคิดว่าคงเป็นเพราะเช้านี้หลงคุนมีธุระด่วนจึงไม่ทันได้ทำอาหารให้เซียงเว่ย
และคงเพราะเจ้านายหนุ่มไม่อยากทานอาหารกระป๋องเลยเลือกจะลงมือทำเอง
แต่ระหว่างขั้นตอนการทำคงมีอะไรผิดพลาด...
กู่หนิวนึกภาพตอนเซียงเว่ยสาดไวน์กระทะจนเกือบเกิดหายนะแล้วยิ้มเจื่อน
เซียงเว่ยมองไก่ทอดสีเข้มในจานด้วยสายตาราบเรียบ
ซึ่งกู่หนิวก็พูดขอโทษออกมา
“ผมไม่ค่อยทำอาหารเองเท่าไหร่
มีแต่พวกอาหารทอดปิ้งย่างที่พอจะมั่นใจอยู่บ้าง ลองชิมดูก่อนเถอะครับ”
เซียงเว่ยนิ่งไป
แต่สุดท้ายก็ใช้ตะเกียบคีบเนื้อไก่ที่ถูกเลาะกระดูกออกหมดแล้วขึ้นมากัดคำเล็กๆ
กู่หนิวเห็นเซียงเว่ยยอมกินแล้วก็โล่งใจ เพราะอาหารที่เขาทำนั้นถือว่าบ้านๆ ดูเป็นอาหารข้างทางที่คนฐานะอย่างเด็กหนุ่มไม่น่าจะมีโอกาสได้ลิ้มลอง อย่างเซียงเว่ยดูจะเหมาะกับอาหารในภัตตาคารหรูๆมากกว่า
“อร่อย”
จู่ๆ
เซียงเว่ยก็โพล่งขึ้น กู่หนิวนิ่งอึ้งไป ก่อนจะเข้าใจว่าอีกฝ่ายกำลังชมอาหารฝีมือเขาอยู่
ชายหนุ่มขยับยิ้มเล็กน้อย
“ถ้างั้นก็ทานเยอะๆนะครับ”
พอทานอาหารกันเสร็จ
กู่หนิวก็สอบถามถึงสาเหตุที่เซียงเว่ยตามเขาขึ้นมา
“ดูแล
นี่”เซียงเว่ยพูดพลางส่งกระถางดอกไม้สีขาวแบบมีหูหิ้วอันเล็กให้กู่หนิว
“ครับ?”กูหนิวรับมาถืออย่างงงๆ
ก่อนจะได้ยินเสียงเจ้านายหนุ่มว่า
“หงไป่เหอ”
“ลิลลี่แดงงั้นเหรอครับ?”
กู่หนิวถามอย่างประหลาดใจขณะก้มมองดินดำในกระถาง
เพราะเขากำลังคิดว่าจะลองไปหาซื้อเมล็ดพันธุ์นี้อยู่พอดี
“อืม”
“แล้วไม่เอาไปปลูกในเรือนกระจกเหรอครับ?”กู่หนิวสอบถามพลางหมุนกระถางใบเล็กในมือ
เพราะดูแล้วเซียงเว่ยคล้ายตั้งใจปลูกใส่กระถางเล็กนี่
“ไม่”เซียงเว่ยตอบกลับมาทันที
กู่หนิวพยักหน้าอย่างไม่ได้สงสัยอะไร แต่แล้วเขากลับได้ยินเสียงเซียงเว่ยพูดเสริมขึ้น
“อันนี้ พิเศษ”
ยามพูดคำนี้ เซียงเว่ยสบตากับคู่สนทนานิ่ง
กู่หนิวกะพริบตา
ไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองรึเปล่า แต่แววตาของเด็กหนุ่มในตอนที่พูดคำว่า ‘พิเศษ’ นั้น
แลดูคลุมเครืออย่างประหลาด...
สรุปแล้วกู่หนิวเลยใช้เวลาของวันหยุดครั้งนี้ไปกับการดูแลดอกลิลลี่สีแดงในห้องทำงานของเซียงเว่ย
และที่น่าแปลกก็คือ หลงคุนที่ออกไปข้างนอกตอนเช้า
กลับเพิ่งจะกลับมาถึงป้อมในตอนเย็น
“ช่วงนี้ฉันอาจต้องไปข้างนอกบ่อยๆ
เพราะงั้นฝากนายดูแลเรื่องอาหารเช้ากับเที่ยงของคุณชายหน่อยแล้วกัน
เรื่องวัตถุดิบฉันจะเตรียมไว้ให้เอง”
คนพูดเอ่ยฝากฝังพลางดันแว่นนิ่งๆ
ซึ่งงานนี้กู่หนิวได้แต่กะพริบตาปริบๆ กับหน้าที่ที่เพิ่มเข้ามา
แน่นอนว่าชายหนุ่มไม่ได้ไม่พอใจ เพราะภาระใหม่ที่ได้รับมามันเล็กน้อยมาก
เขาเพียงแต่คิดว่าพักหลังมานี้ หลงคุนดูจะเริ่มไว้ใจเขามากขึ้น
แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องไม่ดีนี่นะ?
--------------------
*ดอกโบตั๋น – ถือเป็นดอกไม่สูงค่าของจีน มักใช้เปรียบเทียบกับหญิงสูงศักดิ์
ความคิดเห็น