คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #13 : บทสิบสอง ท่านอาจารย์เฟย
เช้านี้ความโกลาหลได้มาเยือนห้องเครื่อง เหล่าพ่อครัวที่มีหน้าที่ทำอาหารส่งมายังตำหนักตวนหมิงเมื่อทราบข่าวการมาเยือนขององค์ชายตงห่ายต่างพากันรีบสับเปลี่ยนรายการอาหารที่จะจัดส่งไปโดยด่วน
เป็ดย่างน้ำแดง ไก่ต้มสมุนไพร ก้านผักซอย
แม้อาหารจะมีแค่สามอย่างแต่ความอลังการนี่กินขาด
ขนาดจานชามที่ใส่ยังมีลวดลายงดงามผิดกับตลอดสองปีที่ผ่านมาลิบลับ
เป้ยฉีและถังจูหลังยกอาหารมาวางเสร็จก็เดินออกจากห้องไปท่ามกลางความแปลกใจของตงห่าย ทางฝ่ายจิ้นเฟย
เมื่อเห็นเมนูอาหารที่สมกับฐานะองค์ชายถูกนำมาจัดวางบนโต๊ะอย่างสวยงามก็หลุดหัวเราะขำ
ก่อนแกล้งพูดแซวร่างสูงที่นั่งอยู่ตรงข้าม
"ข้าต้องขอบคุณพี่สี่จริงๆ
ที่ทำให้ตัวข้าได้มีโอกาสสัมผัสกับอาหารเลิศรสของวังหลวงอีกครั้ง"คำกล่าวอย่างเจือกระแสหยอกล้อทำให้คนฟังนิ่งมองอย่างไม่รู้ควรจะตอบโต้สิ่งใด
เนื่องจากเพิ่งกลับมาถึงเมืองหลวงได้ไม่กี่วันทำให้ตงห่ายไม่มีโอกาสได้รับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นภายในวังหลวง
จนกระทั่งเช้าของวันนี้ หลังจากเข้าเฝ้าฮ่องเต้ที่ท้องพระโรงเขาจึงได้ทราบเรื่องต่างๆ
ทั้งเรื่องฮองเฮาคนก่อนทรงล้มป่วยและจากไปเมื่อสามปีก่อน เรื่องที่พระสนมมู่ผู้เป็นที่โปรดปรานได้รับการเลื่อนขั้นขึ้นเป็นฮองเฮาคนใหม่ หรือจะเรื่องที่องค์ชายมู่หย่งอวิ๋นได้รับการแต่งตั้งเป็นรัชทายาทขึ้นแทนองค์ชายไป๋เฟิงจิ้นซึ่งถูกปลด
ข่าวที่ได้รับล้วนแต่ทำให้ตงห่ายต้องนึกประหลาดใจอยู่เงียบๆ
ห้าปีที่เขาจากไปสิ่งต่างๆได้เปลี่ยนแปลงไปมากเหลือเกิน ทว่า สิ่งที่ดูจะเปลี่ยนไปมากที่สุดคงเป็นร่างโปร่งตรงหน้าเขา เฟิงจิ้น
ไม่ใช่ความสูง หน้าตา หรือน้ำเสียง
ปัจจัยเหล่านั้นเทียบไม่ได้กับบรรยากาศรอบตัวและนิสัยที่แปรเปลี่ยนไปจนแทบจะเป็นคนละคน
ทั้งที่โดนปลดออกจากตำแหน่งแต่คนตรงหน้ากลับดูไม่เดือดร้อน เพียงฟังคำกล่าวก่อนหน้า ตงห่ายก็มั่นใจว่าหลายปีนี้ชีวิตของน้องชายต่างมารดาของเขาผู้นี้ต้องไม่ง่ายดายเป็นแน่
องค์ชายที่ถูกถอดถอนตำแหน่งทั้งปราศจากคนหนุนหลังย่อมตกเป็นเป้าให้ผู้อื่นเหยียบย่ำ
แต่ทว่าเฟิงจิ้นที่อยู่เบื้องหน้าเขายามนี้กลับยังสามารถมองสิ่งที่เกิดขึ้นเหมือนเรื่องขำขัน อดีตองค์รัชทายาทที่ไม่เคยประสบกับความยากลำบากใดๆในชีวิตมาก่อน
ยามนี้กลับดูปล่อยวางได้อย่างน่าเหลือเชื่อ
"พี่สี่ เรารีบทานกันเถอะ
เดี๋ยวอาหารเย็นชืดแล้วจะไม่อร่อยเอานะ"จิ้นเฟยว่าพลางจับตะเกียบ
มองสบตากับผู้เป็นพี่ชายพร้อมเผยยิ้มน้อยๆ ตงห่ายเห็นอย่างนั้นจึงจับตะเกียบขึ้นมาอย่างเสียไม่ได้
เขามองดูอาหารในวังที่ยังคงความหรูหราเอาไว้ไม่เปลี่ยนแล้วเผลอมุ่นคิ้วไม่รู้ตัว
"มีอะไรหรือ?"
จิ้นเฟยถามขึ้นอย่างแปลกใจเมื่อเห็นสีหน้าติดคล้ายไม่พอใจของอีกคน
ตงห่ายที่รู้ตัวว่าเผลอแสดงท่าทีออกไปตั้งท่าจะปฏิเสธ แต่แล้วความคิดบางอย่างก็ทำให้เขาเลือกที่จะถามออกไปแทน
"เจ้าคิดเช่นไรกับอาหารเหล่านี้"
จิ้นเฟยเลิกคิ้วเล็กๆ ก่อนตอบกลับอย่างติดตลก
"ก็น่าอร่อยดี
ท่าทางพวกพ่อครัวจะพิถีพิถันในการทำกันน่าดู"
"เจ้าคิดอย่างนั้นหรือ?"น้ำเสียงเรียบติดเย็นชาถามกลับมา
จิ้นเฟยที่สัมผัสถึงพายุอารมณ์ที่ซ่อนไว้เบื้องหลังถ้อยคำเหล่านั้นได้ลอบยิ้มขำ
ก่อนถามกลับอย่างหยอกเย้า
"แล้วเหตุใดพี่สี่ไม่บอกข้าเล่า...ว่าควรคิดเช่นไร?"
ตงห่ายสบตากับคนที่พูดหยอกล้อตนนิ่ง ซึ่งนัยน์ตาใสกระจ่างคู่นั้นหาได้หลบเลี่ยง
ดวงตาสีดำขลับที่มองตรงมายังเขาไร้ซึ่งระลอกคลื่นอารมณ์ เมื่อรวมกับรอยยิ้มน้อยๆ
ซึ่งประดับบนใบหน้าที่เริ่มส่อเค้าความงามอันยากเสมอเหมือนยิ่งทำให้ผู้มองเกิดความรู้สึกพิศวง
ครู่หนึ่งที่ร่างสูงนิ่งมองดวงตาคู่นั้นด้วยท่าทีที่ยากจะบอกได้ว่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่
"ห้าปีก่อน ข้าได้ตัดสินใจจากเมืองหลวงไปเพื่อฝึกฝนตนเอง
เพียงก้าวแรกที่ข้าย่างเท้าออกจากเขตเมืองไท่จินแห่งนี้ ตัวข้าก็ไม่ใช่เฉินตงห่าย องค์ชายลำดับที่สี่แห่งแคว้นอวิ๋นอีกต่อไป...เป็นเพียงนายทหารฝึกหัดที่ชื่อไป่หมิงเท่านั้น"
เมื่อร่างสูงเริ่มเล่า
จิ้นเฟยก็วางตะเกียบลงแล้วเหยียดหลังตรงนั่งฟังอย่างตั้งใจ
ตงห่ายเหลือบมองท่าทีนั้นแล้วเล่าต่อด้วยเสียงเรียบเรื่อย
"ด้วยการฝึกฝนทำให้ตัวข้าได้ออกตะเวนไปทั่วแคว้น...
ยิ่งข้าไปไกลเท่าไหร่ยิ่งได้ค้นพบความจริง
แคว้นอวิ๋นที่ลือชื่อเรื่องความอุดมสมบูรณ์ แต่ในที่ที่ห่างไกล ราษฎร์ในแคว้นกลับอดอยาก
อำนาจบารมีของเจ้าแคว้นที่คิดว่าล้นฟ้านักหนากลับไม่อาจกำจัดความโสมมที่เกิดขึ้นทั่วแคว้นให้หมดไปได้"พูดถึงตรงนี้น้ำเสียงที่กล่าวก็เต็มไปด้วยความขมขื่น
ดวงตาสีฟ้าเข้มวาววับ
"เรื่องเมื่อคืนวาน
เจ้าเห็นแล้วใช่หรือไม่? ทั้งที่วังหลวงอยู่ไม่ไกลแต่กลับมีคนกล้ากระทำเรื่องผิดกฎหมายอย่างไม่กลัวเกรง พวกขุนนางหยาบช้าถึงกับกล้าค้ามนุษย์ในเขตเมืองหลวง!"สิ้นคำพูดตะเกียบในมืออีกฝ่ายก็ถูกหักครึ่ง
ทำเอาคนมองลอบกลืนน้ำลายเล็กๆ
"ตัวข้านั้นต้องการเป็นทหารรับใช้ราชวงศ์อวิ๋นและปกป้องบ้านเมืองเพื่อให้ผู้คนในแว่นแคว้นได้ใช้ชีวิตกันอย่างเป็นสุข
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นมันคืออะไร? ความอดอยาก! ความโสมม!
การฉ้อโกงของเหล่าขุนนาง! ทุกสิ่งที่ข้าทำมา...ล้วนสูญเปล่า!"สีหน้าเจ็บแค้นนั้นทำให้จิ้นเฟยที่พอเข้าใจความรู้สึกพูดปลอบ
"แต่ท่านก็ได้ช่วยเหลือพวกเขาไว้ไม่ใช่หรือ?"
"ครั้งนี้ข้าช่วยเหลือสำเร็จก็จริง
แต่ในอดีตเล่า? มีเหยื่อมากมายเท่าใดที่ต้องเผชิญกับเรื่องราวเหล่านี้
แล้วในอนาคตอีกเล่า? ตัวข้าเพียงลำพังไม่อาจช่วยเหลือทุกคนไว้ได้"น้ำเสียงแฝงความปวดร้าวที่กล่าวทำให้ผู้ฟังอย่างจินเฟยต้องนิ่งเงียบเมื่อไม่สามารถหาคำพูดมาตอบโต้ได้
ทว่า
"ก็รู้ตัวนี่"
คำที่ถูกเอ่ยขึ้นกลางความเงียบทำให้ตงห่ายเงยหน้าขึ้น
มองดูเจ้าของใบหน้าเรียบเฉยตรงข้ามเอ่ยถ้อยคำต่อ
"ในเมื่อรู้ตัวว่าไม่สามารถช่วยเหลือทุกผู้ด้วยกำลังของตนได้
ก็จงหยุดคิดดึงดันเสีย จงทำในสิ่งที่ทำได้ในตอนนี้ก็เพียงพอ"
เกิดความเงียบขึ้นชั่วอึดใจ
ก่อนผู้พูดจะเปลี่ยนน้ำเสียงเอ่ยแก้คำใหม่
"อ่า
ข้าหมายถึงว่าแม้พี่สี่จะไม่สามารถช่วยเหลือทุกคนที่เดือดร้อนได้
แต่ท่านก็สามารถช่วยเหลือผู้หญิงกลุ่มเมื่อวานไว้ได้"จิ้นเฟยว่าด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆ
ขณะมองคนฟังที่ยังคงนิ่งเงียบ
"ข้าเชื่อว่าในอดีตท่านต้องเคยช่วยเหลือผู้คนมากมายเอาไว้
ในอนาคตเองก็เช่นกัน ท่านจะต้องช่วยเหลือผู้คนไว้อีกมากอย่างแน่นอน"
ตงห่ายมองน้องชายต่างมารดาของตน
มองริมฝีปากน้อยซึ่งค่อยๆเหยียดรอยยิ้มกว้างและเอ่ยถ้อยคำที่จะประทับอยู่ในใจเขาตลอดกาล
"เพราะอย่างนั้น
สิ่งที่ท่านทำมาจนถึงวันนี้และจะทำต่อไปเพื่อบ้านเมืองในอนาคตนั้น
ไม่มีสิ่งใดสูญเปล่าอย่างแน่นอน"น้ำคำหนักแน่นดังกังวาน ตงห่ายนิ่งฟังซึมซับคำพูดเหล่านั้น
ก่อนค่อยๆเผยรอยยิ้มอ่อนโยน
"เจ้าโตขึ้นมากจริงๆ
เสี่ยวเฟิง"
คำเรียก เสี่ยวเฟิง
ส่งผลให้ใบหน้าคนถูกเรียกแข็งค้าง ปฏิกิริยานั้นทำให้คนมองเลิกคิ้วอย่างสงสัย
ไม่ทันถามอะไรฝ่ายแรกก็ร้องขอออกมาด้วยสีหน้าตัดสินใจ
"พี่สี่
จากนี้ไปเวลาอยู่ด้วยกันลำพัง ท่านช่วยเรียกข้าว่า เฟย ได้หรือไม่?"
"เฟย หรือ?"ตงห่ายทวนเบาๆ จิ้นเฟยพยักหน้า
"ข้าอยากให้ท่านเรียกข้าว่าเฟย
เพราะเสี่ยวเฟิงคนนั้นไม่อยู่แล้ว"ถ้อยคำน่าสงสัยพาให้คนฟังมุ่นคิ้ว
"เจ้าหมายความว่าอย่างไร?"
มองสีหน้าข้องใจของตงห่ายจิ้นเฟยก็ยิ้มอ่อนกล่าวเสียงเบา
"ข้า...ไม่ใช่เสี่ยวเฟิงที่ท่านรู้จักอีกแล้ว"
ตงห่ายขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ไม่ได้ขัดอะไร
จิ้นเฟยจึงว่าต่อ
"เมื่อสามปีก่อนตั้งแต่ท่านแม่จากไป
ตลอดปีแรกนั้นข้าได้ถูกกลั่นแกล้งนับครั้งไม่ถ้วน ซึ่งครั้งสุดท้ายที่ข้าโดนพวกเขาเหล่านั้นรังแกมันทำให้ข้าระลึกขึ้นได้ว่า
ข้าไม่ใช่องค์รัชทายาทอีกต่อไป"
จิ้นเฟยแสร้งหลุบตาลงต่ำมองฝ่ามือที่ประสานเข้าหากัน
"ปราศจากท่านแม่และตำแหน่งรัชทายาทคอยปกป้อง
ตัวข้าก็เป็นเพียงองค์ชายไร้ค่าที่ไม่มีใครเหลียวแล"คำกล่าวหยุดชะงักพร้อมใบหน้าคนพูดที่หันไปมองผนังที่อยู่ทางซ้ายมือ
ตงห่ายมองตามสายตาไปพบภาพเขียนรูปมังกรทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้า
ลายเส้นอ่อนช้อยของก้อนเมฆและภูเขากับน้ำหนักของพู่กันที่ตวัดวาดลำตัวมังกรนั้นให้ความรู้สึกตัดกันอย่างชัดเจน
หนึ่งดุดันแข็งกร้าว หนึ่งอ่อนโยนพลิ้วไหว
ซึ่งนี่เองที่กอปรให้เกิดความย้อนแย้งอันงดงาม
ระหว่างที่ตงห่ายนึกสงสัยว่าผู้ใดเป็นผู้รังสรรค์ผลงานชิ้นนี้ขึ้นมาก็ต้องชะงักเมื่อสังเกตเห็นตัวอักษร
'เฟย' ที่กำกับอยู่ใต้ภาพ
ซึ่งพอดีกับที่หูได้ยินคำพูดต่อมา
"แต่เพราะอย่างนั้นจึงทำให้ข้าได้พบกับท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์เฟย"
นามที่ได้ยินทำให้ตงห่ายละสายตาจากภาพกลับมา
ขณะที่จิ้นเฟยยังคงมองไปที่ภาพแขวนอย่างนิ่งสงบ
"ในวันนั้นเมื่อสองปีก่อน
ขณะที่ข้านึกทำใจกับชะตากรรมที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงนี้อยู่ๆ ท่านอาจารย์เฟยก็ได้ปรากฏกายขึ้น
ท่านได้เข้าช่วยเหลือ สอนวรยุทธ์ให้แก่ข้าเพื่อปกป้องตนเอง
ท่านได้สอนสั่งข้าเป็นเวลาสองปีเต็ม ก่อนจะเดินทางจากไปเมื่อค่ำวานนี้..."
"สิ่งที่ท่านอาจารย์เหลือไว้ให้ข้ามีเพียงนามใหม่
เฟย ท่านอาจารย์กล่าวว่านามนี้จะทำให้ข้าโบยบินไปไกลเหนือผู้ใดในแผ่นดิน
อีกทั้งนามนี้ยังเป็นนามเก่าของท่านอาจารย์
ข้าจึงอยากให้พี่สี่เรียกขานข้าด้วยนามนี้ เพื่อย้ำเตือนข้าไม่ให้หลงลืมตน ย้ำเตือนว่าข้ายามนี้หาใช่องค์ชายที่ไร้ค่าคนเดิมอีกต่อไป"สิ้นคำกล่าวรอยยิ้มมุ่งมั่นก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่นิ่งสงบ
เรื่องเล่าที่ได้ฟังทำให้ตงห่ายเข้าใจในที่สุด
ก่อนหน้านี้เขาสงสัยว่าเหตุใดจึงสัมผัสถึงวรยุทธ์จากร่างเฟิงจิ้นได้
ที่แท้เพราะได้คนช่วยสอนนี่เอง
ตงห่ายมองดูใบหน้าด้านข้างของเฟิงจิ้น
เมื่อเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความยินดีและเคารพยามจับจ้องไปที่ภาพเขียนบนผนังแล้วใบหน้าเขาก็แต้มรอยยิ้มบาง
ความเปลี่ยนแปลงของเฟิงจิ้นยามนี้
คงต้องขอบคุณท่านอาจารย์เฟยผู้นั้นแล้ว
ความคิดเห็น