ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เฟิงจิ้น จักรพรรดิสองวิญญา

    ลำดับตอนที่ #13 : บทสิบสอง ท่านอาจารย์เฟย

    • อัปเดตล่าสุด 25 ส.ค. 60



       เช้านี้ความโกลาหลได้มาเยือนห้องเครื่อง เหล่าพ่อครัวที่มีหน้าที่ทำอาหารส่งมายังตำหนักตวนหมิงเมื่อทราบข่าวการมาเยือนขององค์ชายตงห่ายต่างพากันรีบสับเปลี่ยนรายการอาหารที่จะจัดส่งไปโดยด่วน

       เป็ดย่างน้ำแดง ไก่ต้มสมุนไพร ก้านผักซอย แม้อาหารจะมีแค่สามอย่างแต่ความอลังการนี่กินขาด ขนาดจานชามที่ใส่ยังมีลวดลายงดงามผิดกับตลอดสองปีที่ผ่านมาลิบลับ เป้ยฉีและถังจูหลังยกอาหารมาวางเสร็จก็เดินออกจากห้องไปท่ามกลางความแปลกใจของตงห่าย ทางฝ่ายจิ้นเฟย เมื่อเห็นเมนูอาหารที่สมกับฐานะองค์ชายถูกนำมาจัดวางบนโต๊ะอย่างสวยงามก็หลุดหัวเราะขำ ก่อนแกล้งพูดแซวร่างสูงที่นั่งอยู่ตรงข้าม

       "ข้าต้องขอบคุณพี่สี่จริงๆ ที่ทำให้ตัวข้าได้มีโอกาสสัมผัสกับอาหารเลิศรสของวังหลวงอีกครั้ง"คำกล่าวอย่างเจือกระแสหยอกล้อทำให้คนฟังนิ่งมองอย่างไม่รู้ควรจะตอบโต้สิ่งใด

       เนื่องจากเพิ่งกลับมาถึงเมืองหลวงได้ไม่กี่วันทำให้ตงห่ายไม่มีโอกาสได้รับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นภายในวังหลวง จนกระทั่งเช้าของวันนี้ หลังจากเข้าเฝ้าฮ่องเต้ที่ท้องพระโรงเขาจึงได้ทราบเรื่องต่างๆ ทั้งเรื่องฮองเฮาคนก่อนทรงล้มป่วยและจากไปเมื่อสามปีก่อน เรื่องที่พระสนมมู่ผู้เป็นที่โปรดปรานได้รับการเลื่อนขั้นขึ้นเป็นฮองเฮาคนใหม่ หรือจะเรื่องที่องค์ชายมู่หย่งอวิ๋นได้รับการแต่งตั้งเป็นรัชทายาทขึ้นแทนองค์ชายไป๋เฟิงจิ้นซึ่งถูกปลด

       ข่าวที่ได้รับล้วนแต่ทำให้ตงห่ายต้องนึกประหลาดใจอยู่เงียบๆ ห้าปีที่เขาจากไปสิ่งต่างๆได้เปลี่ยนแปลงไปมากเหลือเกิน ทว่า สิ่งที่ดูจะเปลี่ยนไปมากที่สุดคงเป็นร่างโปร่งตรงหน้าเขา เฟิงจิ้น

       ไม่ใช่ความสูง หน้าตา หรือน้ำเสียง ปัจจัยเหล่านั้นเทียบไม่ได้กับบรรยากาศรอบตัวและนิสัยที่แปรเปลี่ยนไปจนแทบจะเป็นคนละคน

       ทั้งที่โดนปลดออกจากตำแหน่งแต่คนตรงหน้ากลับดูไม่เดือดร้อน เพียงฟังคำกล่าวก่อนหน้า ตงห่ายก็มั่นใจว่าหลายปีนี้ชีวิตของน้องชายต่างมารดาของเขาผู้นี้ต้องไม่ง่ายดายเป็นแน่

       องค์ชายที่ถูกถอดถอนตำแหน่งทั้งปราศจากคนหนุนหลังย่อมตกเป็นเป้าให้ผู้อื่นเหยียบย่ำ แต่ทว่าเฟิงจิ้นที่อยู่เบื้องหน้าเขายามนี้กลับยังสามารถมองสิ่งที่เกิดขึ้นเหมือนเรื่องขำขัน อดีตองค์รัชทายาทที่ไม่เคยประสบกับความยากลำบากใดๆในชีวิตมาก่อน ยามนี้กลับดูปล่อยวางได้อย่างน่าเหลือเชื่อ

       "พี่สี่ เรารีบทานกันเถอะ เดี๋ยวอาหารเย็นชืดแล้วจะไม่อร่อยเอานะ"จิ้นเฟยว่าพลางจับตะเกียบ มองสบตากับผู้เป็นพี่ชายพร้อมเผยยิ้มน้อยๆ ตงห่ายเห็นอย่างนั้นจึงจับตะเกียบขึ้นมาอย่างเสียไม่ได้ เขามองดูอาหารในวังที่ยังคงความหรูหราเอาไว้ไม่เปลี่ยนแล้วเผลอมุ่นคิ้วไม่รู้ตัว

       "มีอะไรหรือ?"

       จิ้นเฟยถามขึ้นอย่างแปลกใจเมื่อเห็นสีหน้าติดคล้ายไม่พอใจของอีกคน ตงห่ายที่รู้ตัวว่าเผลอแสดงท่าทีออกไปตั้งท่าจะปฏิเสธ แต่แล้วความคิดบางอย่างก็ทำให้เขาเลือกที่จะถามออกไปแทน

       "เจ้าคิดเช่นไรกับอาหารเหล่านี้"

       จิ้นเฟยเลิกคิ้วเล็กๆ ก่อนตอบกลับอย่างติดตลก

       "ก็น่าอร่อยดี ท่าทางพวกพ่อครัวจะพิถีพิถันในการทำกันน่าดู"

       "เจ้าคิดอย่างนั้นหรือ?"น้ำเสียงเรียบติดเย็นชาถามกลับมา จิ้นเฟยที่สัมผัสถึงพายุอารมณ์ที่ซ่อนไว้เบื้องหลังถ้อยคำเหล่านั้นได้ลอบยิ้มขำ ก่อนถามกลับอย่างหยอกเย้า

       "แล้วเหตุใดพี่สี่ไม่บอกข้าเล่า...ว่าควรคิดเช่นไร?"

       ตงห่ายสบตากับคนที่พูดหยอกล้อตนนิ่ง ซึ่งนัยน์ตาใสกระจ่างคู่นั้นหาได้หลบเลี่ยง ดวงตาสีดำขลับที่มองตรงมายังเขาไร้ซึ่งระลอกคลื่นอารมณ์ เมื่อรวมกับรอยยิ้มน้อยๆ ซึ่งประดับบนใบหน้าที่เริ่มส่อเค้าความงามอันยากเสมอเหมือนยิ่งทำให้ผู้มองเกิดความรู้สึกพิศวง

       ครู่หนึ่งที่ร่างสูงนิ่งมองดวงตาคู่นั้นด้วยท่าทีที่ยากจะบอกได้ว่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่

       "ห้าปีก่อน ข้าได้ตัดสินใจจากเมืองหลวงไปเพื่อฝึกฝนตนเอง เพียงก้าวแรกที่ข้าย่างเท้าออกจากเขตเมืองไท่จินแห่งนี้ ตัวข้าก็ไม่ใช่เฉินตงห่าย องค์ชายลำดับที่สี่แห่งแคว้นอวิ๋นอีกต่อไป...เป็นเพียงนายทหารฝึกหัดที่ชื่อไป่หมิงเท่านั้น"

       เมื่อร่างสูงเริ่มเล่า จิ้นเฟยก็วางตะเกียบลงแล้วเหยียดหลังตรงนั่งฟังอย่างตั้งใจ ตงห่ายเหลือบมองท่าทีนั้นแล้วเล่าต่อด้วยเสียงเรียบเรื่อย

       "ด้วยการฝึกฝนทำให้ตัวข้าได้ออกตะเวนไปทั่วแคว้น... ยิ่งข้าไปไกลเท่าไหร่ยิ่งได้ค้นพบความจริง แคว้นอวิ๋นที่ลือชื่อเรื่องความอุดมสมบูรณ์ แต่ในที่ที่ห่างไกล ราษฎร์ในแคว้นกลับอดอยาก อำนาจบารมีของเจ้าแคว้นที่คิดว่าล้นฟ้านักหนากลับไม่อาจกำจัดความโสมมที่เกิดขึ้นทั่วแคว้นให้หมดไปได้"พูดถึงตรงนี้น้ำเสียงที่กล่าวก็เต็มไปด้วยความขมขื่น ดวงตาสีฟ้าเข้มวาววับ

       "เรื่องเมื่อคืนวาน เจ้าเห็นแล้วใช่หรือไม่? ทั้งที่วังหลวงอยู่ไม่ไกลแต่กลับมีคนกล้ากระทำเรื่องผิดกฎหมายอย่างไม่กลัวเกรง พวกขุนนางหยาบช้าถึงกับกล้าค้ามนุษย์ในเขตเมืองหลวง!"สิ้นคำพูดตะเกียบในมืออีกฝ่ายก็ถูกหักครึ่ง ทำเอาคนมองลอบกลืนน้ำลายเล็กๆ

       "ตัวข้านั้นต้องการเป็นทหารรับใช้ราชวงศ์อวิ๋นและปกป้องบ้านเมืองเพื่อให้ผู้คนในแว่นแคว้นได้ใช้ชีวิตกันอย่างเป็นสุข แต่สิ่งที่เกิดขึ้นมันคืออะไรความอดอยาก! ความโสมม! การฉ้อโกงของเหล่าขุนนาง! ทุกสิ่งที่ข้าทำมา...ล้วนสูญเปล่า!"สีหน้าเจ็บแค้นนั้นทำให้จิ้นเฟยที่พอเข้าใจความรู้สึกพูดปลอบ

       "แต่ท่านก็ได้ช่วยเหลือพวกเขาไว้ไม่ใช่หรือ?"

       "ครั้งนี้ข้าช่วยเหลือสำเร็จก็จริง แต่ในอดีตเล่ามีเหยื่อมากมายเท่าใดที่ต้องเผชิญกับเรื่องราวเหล่านี้ แล้วในอนาคตอีกเล่าตัวข้าเพียงลำพังไม่อาจช่วยเหลือทุกคนไว้ได้"น้ำเสียงแฝงความปวดร้าวที่กล่าวทำให้ผู้ฟังอย่างจินเฟยต้องนิ่งเงียบเมื่อไม่สามารถหาคำพูดมาตอบโต้ได้ ทว่า

       "ก็รู้ตัวนี่"

       คำที่ถูกเอ่ยขึ้นกลางความเงียบทำให้ตงห่ายเงยหน้าขึ้น มองดูเจ้าของใบหน้าเรียบเฉยตรงข้ามเอ่ยถ้อยคำต่อ

       "ในเมื่อรู้ตัวว่าไม่สามารถช่วยเหลือทุกผู้ด้วยกำลังของตนได้ ก็จงหยุดคิดดึงดันเสีย จงทำในสิ่งที่ทำได้ในตอนนี้ก็เพียงพอ"

       เกิดความเงียบขึ้นชั่วอึดใจ ก่อนผู้พูดจะเปลี่ยนน้ำเสียงเอ่ยแก้คำใหม่

       "อ่า ข้าหมายถึงว่าแม้พี่สี่จะไม่สามารถช่วยเหลือทุกคนที่เดือดร้อนได้ แต่ท่านก็สามารถช่วยเหลือผู้หญิงกลุ่มเมื่อวานไว้ได้"จิ้นเฟยว่าด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆ ขณะมองคนฟังที่ยังคงนิ่งเงียบ

       "ข้าเชื่อว่าในอดีตท่านต้องเคยช่วยเหลือผู้คนมากมายเอาไว้ ในอนาคตเองก็เช่นกัน ท่านจะต้องช่วยเหลือผู้คนไว้อีกมากอย่างแน่นอน"

       ตงห่ายมองน้องชายต่างมารดาของตน มองริมฝีปากน้อยซึ่งค่อยๆเหยียดรอยยิ้มกว้างและเอ่ยถ้อยคำที่จะประทับอยู่ในใจเขาตลอดกาล

       "เพราะอย่างนั้น สิ่งที่ท่านทำมาจนถึงวันนี้และจะทำต่อไปเพื่อบ้านเมืองในอนาคตนั้น ไม่มีสิ่งใดสูญเปล่าอย่างแน่นอน"น้ำคำหนักแน่นดังกังวาน ตงห่ายนิ่งฟังซึมซับคำพูดเหล่านั้น ก่อนค่อยๆเผยรอยยิ้มอ่อนโยน

       "เจ้าโตขึ้นมากจริงๆ เสี่ยวเฟิง"

       คำเรียก เสี่ยวเฟิง ส่งผลให้ใบหน้าคนถูกเรียกแข็งค้าง ปฏิกิริยานั้นทำให้คนมองเลิกคิ้วอย่างสงสัย ไม่ทันถามอะไรฝ่ายแรกก็ร้องขอออกมาด้วยสีหน้าตัดสินใจ

       "พี่สี่ จากนี้ไปเวลาอยู่ด้วยกันลำพัง ท่านช่วยเรียกข้าว่า เฟย ได้หรือไม่?"

       "เฟย หรือ?"ตงห่ายทวนเบาๆ จิ้นเฟยพยักหน้า

       "ข้าอยากให้ท่านเรียกข้าว่าเฟย เพราะเสี่ยวเฟิงคนนั้นไม่อยู่แล้ว"ถ้อยคำน่าสงสัยพาให้คนฟังมุ่นคิ้ว

       "เจ้าหมายความว่าอย่างไร?"

       มองสีหน้าข้องใจของตงห่ายจิ้นเฟยก็ยิ้มอ่อนกล่าวเสียงเบา

       "ข้า...ไม่ใช่เสี่ยวเฟิงที่ท่านรู้จักอีกแล้ว"

       ตงห่ายขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ไม่ได้ขัดอะไร จิ้นเฟยจึงว่าต่อ

       "เมื่อสามปีก่อนตั้งแต่ท่านแม่จากไป ตลอดปีแรกนั้นข้าได้ถูกกลั่นแกล้งนับครั้งไม่ถ้วน ซึ่งครั้งสุดท้ายที่ข้าโดนพวกเขาเหล่านั้นรังแกมันทำให้ข้าระลึกขึ้นได้ว่า ข้าไม่ใช่องค์รัชทายาทอีกต่อไป"

       จิ้นเฟยแสร้งหลุบตาลงต่ำมองฝ่ามือที่ประสานเข้าหากัน

       "ปราศจากท่านแม่และตำแหน่งรัชทายาทคอยปกป้อง ตัวข้าก็เป็นเพียงองค์ชายไร้ค่าที่ไม่มีใครเหลียวแล"คำกล่าวหยุดชะงักพร้อมใบหน้าคนพูดที่หันไปมองผนังที่อยู่ทางซ้ายมือ 

       ตงห่ายมองตามสายตาไปพบภาพเขียนรูปมังกรทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้า ลายเส้นอ่อนช้อยของก้อนเมฆและภูเขากับน้ำหนักของพู่กันที่ตวัดวาดลำตัวมังกรนั้นให้ความรู้สึกตัดกันอย่างชัดเจน 

       หนึ่งดุดันแข็งกร้าว หนึ่งอ่อนโยนพลิ้วไหว ซึ่งนี่เองที่กอปรให้เกิดความย้อนแย้งอันงดงาม 

       ระหว่างที่ตงห่ายนึกสงสัยว่าผู้ใดเป็นผู้รังสรรค์ผลงานชิ้นนี้ขึ้นมาก็ต้องชะงักเมื่อสังเกตเห็นตัวอักษร 'เฟย' ที่กำกับอยู่ใต้ภาพ ซึ่งพอดีกับที่หูได้ยินคำพูดต่อมา

       "แต่เพราะอย่างนั้นจึงทำให้ข้าได้พบกับท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์เฟย"

       นามที่ได้ยินทำให้ตงห่ายละสายตาจากภาพกลับมา ขณะที่จิ้นเฟยยังคงมองไปที่ภาพแขวนอย่างนิ่งสงบ

       "ในวันนั้นเมื่อสองปีก่อน ขณะที่ข้านึกทำใจกับชะตากรรมที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงนี้อยู่ๆ ท่านอาจารย์เฟยก็ได้ปรากฏกายขึ้น ท่านได้เข้าช่วยเหลือ สอนวรยุทธ์ให้แก่ข้าเพื่อปกป้องตนเอง ท่านได้สอนสั่งข้าเป็นเวลาสองปีเต็ม ก่อนจะเดินทางจากไปเมื่อค่ำวานนี้..."

       "สิ่งที่ท่านอาจารย์เหลือไว้ให้ข้ามีเพียงนามใหม่ เฟย ท่านอาจารย์กล่าวว่านามนี้จะทำให้ข้าโบยบินไปไกลเหนือผู้ใดในแผ่นดิน อีกทั้งนามนี้ยังเป็นนามเก่าของท่านอาจารย์ ข้าจึงอยากให้พี่สี่เรียกขานข้าด้วยนามนี้ เพื่อย้ำเตือนข้าไม่ให้หลงลืมตน ย้ำเตือนว่าข้ายามนี้หาใช่องค์ชายที่ไร้ค่าคนเดิมอีกต่อไป"สิ้นคำกล่าวรอยยิ้มมุ่งมั่นก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่นิ่งสงบ

       เรื่องเล่าที่ได้ฟังทำให้ตงห่ายเข้าใจในที่สุด ก่อนหน้านี้เขาสงสัยว่าเหตุใดจึงสัมผัสถึงวรยุทธ์จากร่างเฟิงจิ้นได้ ที่แท้เพราะได้คนช่วยสอนนี่เอง

       ตงห่ายมองดูใบหน้าด้านข้างของเฟิงจิ้น เมื่อเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความยินดีและเคารพยามจับจ้องไปที่ภาพเขียนบนผนังแล้วใบหน้าเขาก็แต้มรอยยิ้มบาง

       ความเปลี่ยนแปลงของเฟิงจิ้นยามนี้ คงต้องขอบคุณท่านอาจารย์เฟยผู้นั้นแล้ว


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×