คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : องค์สาม วันเกิด
'เพราะเหตุใด'
นี่เป็นคำถามที่หยางเพ่ยอิง โม่เหยียนซิง หลูชิ่งเหมย เฮ่อหมิงต้าน หนานตู้อวิ๋น ไป๋หลิงเสวี่ย และจ้าวหลางอวี้ ได้ใช้เวลาถึงห้าสิบปีในการค้นหาคำตอบ แต่จนกระทั่งวันนี้พวกเขาก็ยังไม่อาจชี้ชัดถึงเหตุผลที่แท้จริง
หากถามว่าเหตุใดจึงคิดชุบชีวิต ไม่สู้ถามว่าครั้งนั้น...เหตุใดจึงลงมือ
ย้อนกลับไปเมื่อปีนั้น ราวหนึ่งเดือนก่อนวันลงมือ พวกเขาทั้งเจ็ดที่บ้างถูกข่มขู่ ถูกลักพา และถูกยื่นผลประโยชน์ให้จนกลายมาเป็นฮูหยินในนามของชายผู้นั้น ได้มารวมตัวกันตามคำเชิญของฮูหยินห้า...หนานตู้อวิ๋น โดยมีจุดประสงค์คือการวางแผนลอบสังหารบุรุษอวดดีที่ถือวิสาสะเรียกขานตนเองว่าสามีของพวกเขา
ในครั้งนั้นเป็นหนานตู้อวิ๋นที่เอ่ยชักชวนให้ก่อเหตุ แต่หากจะคิดกล่าวโทษว่าอีกคนเป็นต้นเหตุก็ออกจะใส่ความกันเกินไปหน่อย เพราะหากไม่มีใจคิดลงมือแล้ว ต่อให้ถูกมารร้ายข่มขู่เทพเซียนเกลี้ยกล่อมก็ไม่อาจแปรเปลี่ยนความตั้งใจเดิมได้
หยางเพ่ยอิง เขาคิดแค้นมารร้ายชั่วช้าที่บีบบังคับและนำตนมากักขังไว้ในแดนเหนือ แต่ที่ทำให้ความโกรธแค้นยิ่งทบทวีนั้นสืบเนื่องมาจากเหตุการณ์เมื่อหนึ่งปีก่อน ข่าวเรื่องที่พรรคพิราบขาวถูกพรรคต้าไห่บุกฆ่าล้างโดยคำสั่งของอีกฝ่ายได้ดังมาถึงหู เดิมเขายังคิดว่ามัจจุราชแดนเหนือก็หาได้โฉดชั่วถึงเพียงนั้น แต่ความเป็นจริงที่ปรากฏกลับทำให้เขานึกเหยียดหยันความโง่เขลาของตนเอง ทว่าแม้ชายหนุ่มจะคิดหาวิธีสังหารมารร้ายนั่นอยู่เกือบทุกลมหายใจกลับไม่อาจบรรลุผล ดังนั้นแล้วเขาจึงได้แต่กัดฟันจำยอมใช้วิธีต่ำช้า เพื่อแก้แค้นให้กับอาจารย์และพี่น้องในพรรค
โม่เหยียนซิง ความแค้นที่บิดาถูกสังหารไม่อาจลบเลือนเช่นใด ความปรารถนาที่จะสังหารชายผู้นั้นก็ไม่มีวันจางหายไปเช่นเดียวกัน แต่กระนั้นเขาก็ไม่อาจหักใจลงมือได้สักครั้ง มายามนี้สงครามเย็นระหว่างวังไผ่เขียวกับราชวงศ์ต้าฉางทวีความรุนแรงขึ้นทุกที สุดท้ายเขาจึงต้องเข้าร่วมแผนการ ทั้งหมดนี้เพื่อลบหนี้เลือดในวันวาน... และเพื่อปกป้องผู้คนในวังไผ่เขียว
หลูชิ่งเหมย เดิมทีเขาไม่มีความแค้นหรือเรื่องผิดใจใดกับอีกฝ่าย แต่เมื่อสามปีก่อนพรรคต้าไห่ได้มีคำสั่งไล่ล่าชนเผ่าหลูลงไป ซึ่งเพียงครึ่งปีเท่านั้น ชนเผ่าหลูที่เหลือรอดจากสงครามและรอดตายจากโรคระบาดเมื่อหลายปีก่อนทั้งหมดก็ถูกเข่นฆ่าไม่มีเหลือ เมื่อถามหาถึงเหตุผล ชายผู้ออกคำสั่งอันโหดร้ายกลับกล่าวเพียงว่าคนเหล่านั้นสมควรตายแล้ว เมื่อได้ฟังคำพูดไร้เมตตานั้นเลือดในกายของเขาก็พลันเย็นเฉียบ กับคนโหดเหี้ยมไร้คุณธรรมเช่นนี้ เขาไม่อาจทนอยู่ร่วมใต้ฟ้าเดียวกันอีกต่อไป
เฮ่อหมิงต้าน เพราะคนผู้นั้นนับเป็นผู้มีพระคุณที่มีบุญคุณล้นเหลือ ดังนั้นต่อให้อีกฝ่ายเป็นมารร้ายที่ผู้คนมากมายชิงชังรังเกียจเขาก็ไม่มีแม้เศษเสี้ยวความคิดที่จะลงมือ แต่...หากไม่ใช่ผู้มีพระคุณเล่า? คำบอกเล่าบางอย่างจากคนแซ่หนานได้เอ่ยถึงความเชี่ยวชาญเรื่องพิษของพรรคต้าไห่ รวมถึงพฤติกรรมลอบส่งคนเข้าออกวังหลวงซึ่งเป็นสถานที่พำนักของกลุ่มคนที่เคยทำร้ายบิดามารดารวมถึงวางพิษตัวเขาในวัยเยาว์ เมื่อได้ฟังดังนั้นเขาจึงร้อนใจและยินยอมให้ความร่วมมืออย่างไม่สนใจสิ่งอื่นใด
หนานตู้อวิ๋น ตัวเขาไม่ใช่คนดีมีเมตตาอะไร เพราะอย่างนั้น...เพื่อผลประโยชน์ที่ต้องการ เขาจึงยินดีใช้ความร้ายกาจตอบแทนความดี ยอมเหยียบย่ำความจริงใจของมารร้ายผู้นั้นไว้ใต้ฝ่าเท้า
ไป๋หลิงเสวี่ย หน้าที่ของหมอมีไว้ช่วยคน แต่เมื่อได้ฟังถึงสิ่งที่ชายผู้นั้นกระทำในหลายปีที่ผ่านมา เขาก็เริ่มเข้าใจความหมายของคำพูดในครั้งนั้น หากสังหารหนึ่งคนแล้วสามารถช่วยชีวิตคนนับหมื่นพันไว้ได้ เช่นนั้น...เขาก็ยินยอมให้มือคู่นี้เปื้อนเลือดดูสักครั้ง
จ้าวหลางอวี้ อิสระคือเหตุผลแรกเริ่มที่เขาพร่ำย้ำกับตัวเองให้ลงมือสังหารชายผู้นั้น แต่ความชั่วช้าที่ได้รับรู้ในเวลาต่อมากลับเป็นเหตุผลแท้จริงที่ผลักดันให้ลงมือ
ต่างคนต่างมีเหตุผลในการสังหาร ดังนั้นเมื่อหนานตู้อวิ๋นได้เชื้อเชิญและขอความร่วมมือจึงไม่มีใครปฏิเสธ ในวันที่มัจจุราชแดนเหนือเดินทางไปงานชุมนุมยุทธ์ที่จัดขึ้นทุกสิบปี พวกเขาทั้งหมดก็ได้มารวมตัวกัน ณ ห้องลับที่ถูกจัดเตรียมไว้เพื่อพูดคุยรายละเอียดของแผนการ
กริ๊ก...
เสียงขวดกระเบื้องกระทบโต๊ะดังเสนาะเพราะพริ้ง แต่สายตาทุกคู่ที่มองไปยังขวดยาสีดำนั้นกลับเต็มไปด้วยความไม่สบายใจ เพราะสิ่งที่บรรจุอยู่ภายในนั้นคือพิษร้ายที่จะถูกนำมาใช้สังหารมัจจุราชแดนเหนือในเวลาอันใกล้นี้
ถูกแล้ว แผนการลอบสังหารชายผู้ชั่วร้ายที่สุดในใต้หล้าขึ้นอยู่กับ...ยาพิษขวดเล็กๆนี่
ยามได้ฟังแผนการหลายคนยังนึกว่าล้อเล่น เพราะสำหรับพรรคมาร พิษใดๆล้วนไม่แตกต่างจากของเล่น ไร้คุณค่าแก่การใส่ใจโดยสิ้นเชิง แต่เมื่ออีกฝ่ายเอ่ยชี้แจงพวกเขาจึงทราบความจริงอันน่าขัน
ประมุขพรรคมารอันดับหนึ่งถึงกับมีจุดอ่อนด้านพิษเนี่ยนะ...?
"เรื่องนี้ได้รับการพิสูจน์แล้ว และไม่เพียงประมุขไห่ที่มีจุดอ่อนดังกล่าว จากข่าวที่คนของข้าสืบมา พบว่าในพรรคต้าไห่ คนส่วนใหญ่ล้วนเห็นว่าตนยิ่งใหญ่จึงรังเกียจการใช้พิษ คนเหล่านั้นมองว่าสิ่งนี้เป็นแค่ลูกไม้เล็กๆที่ไม่ควรค่าแก่การใส่ใจ ดังนั้นผู้คนในพรรคจึงมุ่งเสริมพลังยุทธ์และความแข็งแกร่งของร่างกายจนเป็นการสร้างจุดอ่อนขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ซึ่งนับเป็นโชคดีของพวกเราแล้ว"ในห้องลับที่ถูกจัดเตรียมไว้ หนานตู้อวิ๋นที่ทำหน้าเปิดการประชุมกล่าวพลางเผยรอยยิ้มหวานดังดอกไม้ แต่รอยยิ้มนี้กลับสร้างความรู้สึกอึดอัดพิกลให้กับผู้มอง
"แต่จะมีจุดอ่อนด้านพิษก็ใช่ว่าจะสามารถวางยาพิษได้ง่ายๆเสียหน่อย"จ้าวหลางอวี้เอ่ยทักท้วง
"นั่นไม่เป็นปัญหา ข้าบังเอิญพบตำราพิษเล่มหนึ่งเขียนเกี่ยวกับยอดพิษไร้รสไร้กลิ่นไร้สี หลังรับพิษเข้าไป ภายในเวลาหนึ่งถ้วยชา ผู้ที่ต้องพิษจะหลับไหลไม่ได้สติ วรยุทธ์ในร่างถูกกร่อนทำลายสิ้น จนกลายเป็นเพียงท่อนไม้มีลมหายใจที่รอคอยให้ผู้คนมาสังหาร"คำอธิบายนี้ทำให้ผู้ฟังเหน็บหนาวนัก
พิษอะไรกันจึงร้ายกาจถึงเพียงนั้น?
ต่อให้เป็นพิษสะพานเดี่ยว หนึ่งในสามยอดพิษในตำนานก็ทำได้แค่ดับลมหายใจคนหลังครบหนึ่งชั่วยาม ระหว่างนั้นผู้ต้องพิษแม้มีอาการอ่อนแรงไปบ้างแต่ก็ยังสามารถเข่นฆ่าหรือหลบหนีได้อยู่ แต่พิษชนิดนี้กลับไม่ให้โอกาสคนได้ทำสิ่งใดเลย
"มันคือพิษอะไรกัน?"หยางเพ่ยอิงถามเสียงเคร่ง พิษที่ร้ายกาจถึงเพียงนี้ หากไปอยู่ในมือคนชั่วจะต้องสร้างภัยพิบัติครั้งใหญ่ขึ้นแน่
"วางใจเถิด ท่านหัวหน้าพรรคพิราบขาว พิษนี้แม้ร้ายกาจ แต่โอกาสที่จะลงมือสำเร็จกลับยากเข็ญนัก เพราะวัตถุดิบที่ใช้ในการสร้างพิษชนิดนี้ล้วนล้ำค่าและหายากยิ่ง ทั้งในการสังหารเป้าหมาย อีกฝ่ายจะต้องได้รับพิษเข้าไปในจำนวนที่มากพอ"หนานตู้อวิ๋นอธิบายด้วยน้ำเสียงเนิบช้า แต่คนฟังยังไม่คลายใจ
"มากเท่าใด?"
"เจ็ดจอกสุรา ฮึๆ คงเพราะเหตุนี้พิษชนิดนี้จึงมีชื่อว่า 'เจ็ดจอกคืนสวรรค์' "
ฟังน้ำเสียงขบขันของอีกฝ่ายแล้วผู้ฟังทั้งหลายกลับไม่ได้รู้สึกสบายใจขึ้นเท่าใด เพราะหากต้องใช้พิษจำนวนมากถึงเพียงนั้น ความคิดที่จะลงมือจะมีโอกาสสำเร็จได้จริงหรือ?
"พวกท่านไม่ต้องกังวลไป ข้าได้วางแผนทั้งหมดไว้แล้ว อีกหนึ่งเดือน พรรคต้าไห่มีกำหนดจัดงานเลี้ยงฉลองวันเกิดครบสามสิบปีของประมุขไห่ พวกเราจะลงมือในวันนั้น ในวันงานข้าจะนำสุราที่ผสมกับพิษเจ็ดจอกคืนสรรค์นี้มาสับเปลี่ยนกับสุราในงานเลี้ยง สิ่งที่ทุกท่านต้องทำคือผลัดกันรินสุราใส่จอกเหล้าของประมุขมารผู้นั้น ซึ่งนับไปแล้ว...ก็ครบเจ็ดจอกพอดี"หนานตู้อวิ๋นอธิบายแผนการด้วยรอยยิ้ม ตอนนั้นเองที่เฮ่อหมิงต้านถามแทรกขึ้นอย่างนึกระแวง
"เหตุใดเจ้าไม่ลงมือเอง? มีเหตุผลใดที่ต้องดึงพวกเราเข้าไปร่วมด้วย?"
คนอื่นๆ เองก็มองชายหนุ่มอย่างรอคำตอบ
"ข้าเองก็อยากลงมือคนเดียว แต่น่าเสียดายที่ข้ามีประวัติมาก่อน... หากลงมือลำพังเกรงว่าจะไม่สำเร็จ เพราะเหตุนี้จึงต้องรบกวนขอความร่วมมือจากทุกท่านแล้ว"หนานตู้อวิ๋นกล่าวพลางประสานมือคำนับด้วยรอยยิ้ม
คำตอบที่ได้รับนี้ทำให้คนอื่นๆ นอกจากไป๋หลิงเสวี่ยและจ้าวหลางอวี้ฉุกคิดถึงเหตุการณ์เมื่อหลายปีก่อนขึ้น
"ในปีนั้นข้าลงมือเกือบจะสำเร็จแล้วเชียว โชคร้ายที่คนผู้นั้นได้หมอเทวดามากความสามารถช่วยเหลือเอาไว้ได้ทัน น่าเสียดายจริงๆ เหตุการณ์ครั้งนั้นข้าลงทุนลงแรงไปไม่น้อย กระทั่งคนที่วางตัวไว้ในพรรคก็โดนกำจัดทิ้งไปเกินครึ่ง..."
หนานตู้อวิ๋นกล่าวเสียงโศก และระหว่างที่พูดบ่นด้วยถ้อยคำเหล่านี้ เจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนได้ปรายตาไปยังทิศที่ 'หมอเทวดามากความสามารถ' นั่งอยู่ ซึ่งไป๋หลิงเสวี่ยก็คล้ายจะทราบที่มาของพิษหมอกวิเวกที่ผิงได้รับในปีนั้น รวมถึงเหตุผลที่ชายผู้นี้ลงมือทำร้ายเขาด้วย...
แต่ต่อให้รู้ว่าผิงเป็นประมุขมารผู้ชั่วร้าย เขาเชื่อว่าตนเองก็จะกระทำเช่นเดิม เพราะหากปฏิเสธจะช่วยเหลือชีวิตเบื้องหน้าทั้งที่ยังทำได้ เขายังจะกล้าเรียกตัวเองว่าหมออีกหรือ?
ไป๋หลิงเสวี่ยคิดได้แล้วก็สบตากับอีกคนอย่างไร้ความละอายใจ จนกระทั่งคนมองเป็นฝ่ายละสายตาไปเอง
"แล้วที่ว่าให้พวกเราช่วยรินเหล้า เจ้าคิดว่าเขาจะยอมดื่มเหล้าที่พวกเรารินรึไง?"หลูชิ่งเหมยเอ่ยอย่างไม่เชื่อถือ แต่หนานตู้อวิ๋นเพียงยิ้มแล้วเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ
"ท่านประมุขไห่มีหรือจะไม่ให้เกียรติดื่มเหล้าฉลองที่บรรดาฮูหยินทั้งหลายรินให้?"
สีหน้าของบรรดา 'ฮูหยิน' เมื่อฟังคำแล้วก็เปลี่ยนเป็นครุ่นคิด
มิผิด เหล้าฉลองที่ภรรยารินให้ มีเหตุผลใดไม่กล้าดื่ม? ต่อให้อีกฝ่ายคิดสงสัยว่ามีแผนการซ่อนเร้น แต่ก็คงไม่ปฏิเสธ ดังนั้นแล้วแผนนี้จึงใช้การได้จริง
ทบทวนกันหลายตลบสุดท้ายทุกคนก็ตอบตกลงร่วมแผนการครั้งนี้
กาลเวลาบางครั้งพัดผ่านรวดเร็วดังพายุ ชั่วพริบตาก็ถึงวันดังกล่าว วันที่เก้าเดือนเก้า งานเลี้ยงฉลองวันเกิดของประมุขไห่ได้ถูกจัดเตรียมอย่างหรูหรายิ่งใหญ่ ทั่วทั้งพรรคแซ่ซ้องไปด้วยเสียงเฉลิมฉลอง ถ้อยคำอวยพรดังกึกก้องกังวาน
"ท่านประมุขจงเจริญ! พรรคต้าไห่จงเจริญ!!"
"พรรคต้าไห่ยิ่งใหญ่เกรียงไกร! ไร้คู่ต่อกร!"
"ไร้คู่ต่อกร!"
เสียงเหล่านั้นดังสะท้อนไปทั่วพรรค กระทั่งผู้คนที่พักอาศัยอยู่ใกล้เคียงยังได้ยิน หากแต่เจ้าของงานอย่างไห่เป่ยผิงที่ตั้งแต่เริ่มก็เอาแต่เก็บตัวอยู่ในเรือนหอกลับไม่ได้ยินสิ่งใดเลย ด้วยค่ายกลบังตาที่ล้อมรอบได้ปิดกั้นเสียงทั้งหลายจนสิ้น เวลานี้สิ่งที่พอจะได้ยินมีเพียงเสียงของน้ำตกที่อยู่ใกล้เคียงเท่านั้น...
เทียบกับงานฉลองด้านนอก การจัดเลี้ยงที่ถูกจัดเตรียม ณ ชั้นบนสุดของเรือนหอกลับดูเงียบเหงาไปถนัดตา ไร้เสียงขับร้อง ไร้ทำนองขับขาน ทั่วทั้งชั้นนี้นอกจากของตกแต่งและวิวทิศทัศน์อันงดงามที่มีอยู่แต่เดิม สิ่งที่เพิ่มเติมขึ้นมามีเพียงโต๊ะไม้สลักแปดเซียนกับเบาะรองนั่งสีแดงปักลายหรูหราที่ถูกเรียงจัดตามจำนวนคน
ถ้าเปรียบเทียบข้อแตกต่างในด้านดี...ก็คงเป็นเรื่องคุณภาพและปริมาณของอาหารชั้นเลิศบนโต๊ะที่ไม่เพียงมีจำนวนมากมายจนละลานตา กลิ่นรสรูปลักษณ์ของพวกมันล้วนเลิศล้ำเหนือธรรมดา กระทั่งอาหารฝีมือของบรรดาห้องเครื่องจากทั่วสิบห้าแคว้นก็ไม่อาจเทียบเคียงโดยสิ้นเชิง
แต่ก็ค่อนข้างเป็นที่น่าเสียดาย เพราะแม้อาหารเหล่านั้นจะเลิศหรูเพียงใด เวลานั้นกลุ่มคนที่นั่งล้อมรอบโต๊ะกลับไม่มีผู้ใดมีความอยากอาหาร สายตาผู้คนบ้างจดจ้องผ้าปูโต๊ะ บ้างเหลือบแลรอบด้านอย่างใจไม่อยู่กับตัว ผู้ที่สามารถเก็บงำท่าทีไว้ได้ก็เห็นจะมีเพียงไม่กี่คน กระทั่งเจ้าของงานเองก็คล้ายจะอารมณ์ดีกว่าที่เคยเป็น รอยยิ้มบนใบหน้าของชายหนุ่มแลดูราวกับเด็กน้อยที่กำลังจะได้รับของขวัญชิ้นโต
ทว่า ของขวัญที่ชายหนุ่มจะรับในวันนี้ เห็นทีจะมีแต่ความตายเท่านั้น...
"ยินดีกับประมุขไห่ด้วย ขอให้ประมุขไห่อายุมั่นขวัญยืน พรรคต้าไห่รุ่งเรืองเกรียงไกรไร้ผู้ต้าน"หนานตู้อวิ๋นผู้เป็นเจ้าของแผนการลอบสังหารในค่ำคืนนี้ได้กล่าวคำอวยพรมากมายออกมาอย่างคล่องแคล่วปราศจากซึ่งความละอายใจใดๆ
ท่าทีไร้ยางอายเช่นนั้นทำให้หลายคนทั้งลอบดูถูกและนึกนับถือ ฝีมือปั้นหน้าระดับนี้ เกรงว่าแม้แต่นักแสดงของโรงละครชื่อดังยังต้องยอมแพ้ให้
"ขอบใจ"ไห่เป่ยผิงเอ่ยรับคำด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม หลังคีบทานอาหารได้ครู่หนึ่งก็ทำท่าจะรินเหล้าดื่ม ตอนนี้เองที่หนานตู้อวิ๋นส่งสายตาให้แก่จ้าวหลางอวี้ที่นั่งอยู่เยื้องไปทางซ้ายมือของไห่เป่ยผิง อีกฝ่ายได้รับสัญญาณแล้วก็หยิบฉวยขวดสุราที่อยู่ใกล้มือมาแย่งรินใส่จอกของชายที่สวมชุดดำกระทั่งในวันเกิดตนเอง ปากก็พ่นคำที่ถูกเตรียมไว้ด้วยน้ำเสียงกระด้าง
"ยินดีด้วย!"
เหล้าสีทองหอมกรุ่นถูกรินใส่จอกจนเกือบล้น ไห่เป่ยผิงโคลงหัวยิ้มๆ ก่อนจะยกจอกเหล้าขึ้นดื่มโดยไร้ท่าทีสงสัย
ถัดมาก็เป็นตาของไป๋หลิงเสวี่ย ชายหนุ่มมองขวดสุราที่ถูกหนานตู้อวิ๋นใช้หลังมือดันเข้ามาใกล้ตัวแล้วหลุบตาลงต่ำ รอจนไห่เป่ยผิงลดจอกเหล้าลงจนเกือบถึงโต๊ะจึงยอมลุกขึ้น ท่าทียามประคองถือขวดสุราดูมั่นคง แต่ขณะเดียวกันก็ราวกับจะทำขวดสุราอันบอบบางนั้นร่วงหล่นได้ทุกเมื่อ เงาร่างในชุดสีฟ้าอ่อนหลังเดินมาหยุดยังเบื้องหน้าของไห่เป่ยผิงก็พลันไร้ความเคลื่อนไหว
ไป๋หลิงเสวี่ยยอมรับว่าจนถึงตอนนี้เขาก็ยังลังเลใจ เขาไม่อาจทราบว่านี่เป็นความลังเลของผู้ที่ไม่เคยสังหารคน หรือเป็นมโนธรรมของผู้เป็นหมอที่ไม่ยินยอมย่ำเดินไปในเส้นทางแห่งการสังหารกันแน่
"ว่าอย่างไร จะไม่รินเหล้าให้ข้าหรือ?"
เสียงของไห่เป่ยผิงที่ดังขึ้นดึงรั้งความคิดของไป๋หลิงเสวี่ยให้ย้อนกลับมายังสถานการณ์เบื้องหน้า มองเห็นสายตาหลายคู่ที่จับจ้องมายังตน ใบหน้าของชายหนุ่มก็ลดต่ำลง เขาทราบดีว่าเมื่อตกลงร่วมมือแล้วก็ต้องกระทำตามแผนการที่วางไว้ ดังนั้นแล้วเหล้าสีทองจากขวดสุราจึงถูกริน
มองดูหยาดสุราที่รินไหลไป๋หลิงเสวี่ยก็คล้ายจะเกิดความคิดบางอย่างขึ้น
หลังจอกที่สองถูกดื่มลงไป หนานตู้อวิ๋นที่เดินสวนกับไป๋หลิงเสวี่ยตวัดสายตามองเรือนผมขาวโพลนอย่างเหยียดหยัน ก่อนสีหน้าจะแปรเปลี่ยนเป็นอ่อนหวานดุจดอกไม้เมื่อเผชิญหน้ากับเหยื่อตัวโต
"วันดีๆเช่นนี้ย่อมไม่อาจขาดเหล้ามงคล เชิญประมุขไห่"
ไห่เป่ยผิงไม่ได้ปฏิเสธ หลังดื่มจอกที่สาม ชายหนุ่มก็เอียงคอพลางมองไปยังบุรุษผมทองรูปงามที่นั่งอยู่ตรงข้ามตน เฮ่อหมิงต้านที่ถูกจัดนั่งหัวโต๊ะตรงข้ามกับไห่เป่ยผิงเห็นสายตาที่มองมาก็ตื่นตระหนก แต่อึดใจต่อมาเขาก็กัดฟันลุกขึ้นแล้วตรงไปรินเหล้าให้กับอีกฝ่าย
"ยินดีด้วย!"เทียบกับความกระด้างของจ้าวหลางอวี้ น้ำเสียงยามเอ่ยคำพูดนี้ของเฮ่อหมิงต้านกลับแฝงด้วยอารมณ์อันสับสนและซับซ้อน
จอกที่สี่ถูกดื่มลงไปแล้ว หลูชิ่งเหมยหมุนจอกเหล้าของตนรอมาสักพัก หลังเห็นไห่เป่ยผิงดื่มเหล้าที่เฮ่อหมิงต้านรินให้เสร็จก็คว้าขวดสุราเบื้องหน้าตนแล้วตรงไปรินใส่จอกอย่างไม่พูดไม่จา กระทั่งคำพูดใดก็ไม่คิดเอ่ย สีหน้าเรียบเฉยไม่แยแส แต่ก็คล้ายจะติดมึนตึงอยู่เล็กน้อย รอจนเห็นจอกสุราว่างเปล่าคนจึงหมุนตัวกลับ แต่ตอนนี้เองที่ไห่เป่ยผิงได้เอ่ยคำพูดหนึ่ง
"ขอบใจ"
สีหน้าของหลูชิ่งเหมยไม่ได้แปรเปลี่ยน แต่นัยน์ตาสีเหลืองอำพันที่ล้อกับแสงโคมกลับดูสั่นไหวอยู่บ้าง
ถึงคราวโม่เหยียนซิง ชายหนุ่มลุกขึ้นอย่างไม่รีบไม่ร้อน ขวดสุราในมือขาวเนียนคู่นั้นดูคล้ายวัตถุล้ำค่าควรเมือง ทั้งน่ามองและชวนให้ผู้คนนึกอยากแย่งชิง โม่เหยียนซิงรินเหล้าใส่จอกที่ยื่นรออย่างเนิบช้า เขาหลุบมองสายน้ำสีทองที่ใสกระจ่างจนสะท้อนใบหน้าตนแล้วเอ่ยคำเสียงเบา
"เชิญดื่ม"
เหลือจอกสุดท้าย...
ทุกสายตาคล้ายจับจ้องไปทางหยางเพ่ยอิงอย่างไม่ตั้งใจ ทว่าสีหน้าของชายหนุ่มที่ตกเป็นเป้าสายตายังคงเรียบเฉย ขวดสุราที่ถูกจัดเตรียมอยู่ห่างฝ่ามือไปเพียงเล็กน้อย แต่รออยู่ครู่ใหญ่ ผู้ที่สมควรปราศจากความลังเลใจที่สุดกลับยังคงไม่ลงมือจนหนานตู้อวิ๋นที่นั่งอยู่ฝั่งข้ามเริ่มร้อนใจขึ้นมา
โชคดีที่ไม่นานจากนั้น อีกฝ่ายก็ขยับ เหล้าสีทองจอกสุดท้ายได้ถูกเติมเต็ม พริบตาที่สุราถูกรินจนเต็ม ใบหน้าของไห่เป่ยผิงได้แปรเปลี่ยนครั้งใหญ่ แต่แทนความรู้สึกระแวงสงสัย สีหน้าของชายหนุ่มกลับดูเบิกบานอย่างที่สุด
หากก่อนหน้านี้เปรียบสีหน้าของไห่เป่ยผิงกับเด็กน้อยที่ 'ตื่นเต้นรอคอย' ของขวัญ เช่นนั้นสีหน้ายามนี้ย่อมใช้คำว่า 'ได้รับของขวัญแล้ว' มาอธิบายได้อย่างเหมาะสม
เพราะเหตุใดกัน?
ขณะที่ทุกคนกำลังสับสน ไห่เป่ยผิงก็ได้ประคองจอกเหล้านั้นดื่มอย่างช้าๆ คล้ายว่าสิ่งที่อยู่ในจอกไม่ใช่สุราแต่เป็นน้ำทิพย์อันล้ำค่า หลังเหล้าในจอกถูกดื่มจนหมดสิ้น ไห่เป่ยผิงผู้พันจอกไม่เมามายก็คล้ายจะเริ่มเมาแล้ว เพราะอีกฝ่ายนอกจากจะเหยียดยิ้มกว้างจนดูโง่งม ริมฝีสีแดงสดยังหลุดเสียงหัวเราะที่แตกต่างจากปกติออกมาระลอกใหญ่
"ฮึ ฮะๆ ฮ่าๆๆๆ"
ได้ยินเสียงหัวเราะเหล่านี้ หนานตู้อวิ๋นถึงกับสงสัยว่าตนเผลอมองข้ามผลข้างเคียงของพิษเจ็ดจอกคืนสวรรค์ไปหรือไม่ มิเช่นนั้นเหตุใดประมุขไห่ผู้อหังการจึงดูคล้ายชายเสียสติเช่นนี้?
ไห่เป่ยผิงเก็บอาการลงอย่างลำบาก ก่อนชายหนุ่มจะกวาดสายตาไล่มองแต่ละคนด้วยท่าทีเปิดเผย นัยน์ตาแพรวพราวแฝงรอยยิ้มที่มองดูผู้คนออกจะอ่อนโยนเกินไปจนไม่คุ้นเคย ทั้งกลิ่นอายชั่วร้ายที่แฝงเร้นในกระดูกของอีกฝ่ายยังคล้ายมลายหายไปภายใต้ความอ่อนโยนนั้น
"ลำบากพวกเจ้าแล้ว"
น้ำเสียงและถ้อยคำที่แตกต่างไปจากที่เคยทำให้คนฟังเริ่มเกิดความกังวลว่าจะถูกจับได้ แต่อีกไม่นานพิษก็จะออกฤทธิ์แล้ว ขอเพียงพวกเขาสามารถถ่วงเวลาไว้จนถึงตอนนั้น...
"ข้ามีบางสิ่งที่อยากพูดกับพวกเจ้าทุกคนมานาน แต่ไม่มีโอกาสเหมาะ ในที่สุดวันนี้ก็ได้โอกาสแล้ว"
หลายคนเผยแววตาสงสัย ก่อนพากันเงี่ยหูรอฟังสิ่งที่อาจนับว่าเป็นถ้อยคำสั่งเสียของอีกฝ่าย
"เพ่ยอิง เหยียนซิง ชิ่งเหมย หมิงต้าน ตู้อวิ๋น หลิงเสวี่ย หลางอวี้"รายนามของคนทั้งเจ็ดถูกเอ่ยออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ ก่อนน้ำเสียงอันหนักแน่นและแฝงความอบอุ่นจะกล่าวคำพูดสุดท้ายออกมา
"ข้า...รักเจ้า"
ปลายเสียงยังไม่ทันจางหาย เงาร่างของคนพูดก็ได้ล้มหงายลงไปดังหุ่นกระบอกที่ถูกตัดสายเชิด
และนี่คือภาพวาระสุดท้ายของชายผู้ชั่วร้ายที่สุดในใต้หล้า
ความคิดเห็น