ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    วัวกินหญ้า หรือ หญ้ากินวัว? BL

    ลำดับตอนที่ #11 : บทที่11

    • อัปเดตล่าสุด 5 ก.ย. 64


    ขณะที่กู่หนิวคิดเรื่องนั้น เสียงฝนด้านนอกพลันหายไป ร่างหนาหันมาบอกกับเซียงเว่ยด้วยท่าทีเช่นเคย

    “เดี๋ยวผมออกไปดูข้างนอกก่อนนะครับ คุณชายรออยู่ในนี้นะครับ”

    เพราะมั่นใจว่าด้านในปลอดภัยกว่ากู่หนิวจึงไม่ลังเลที่จะผละตัวออกมา แต่แล้วข้อมือของเขากลับถูกอีกคนยึดไว้

    “คุณชาย?”

    “ไปด้วยกัน”เสียงของเซียงเว่ยที่มักจะราบเรียบไร้อารมณ์เสมอ ในครั้งนี้คล้ายจะเข้มแข็งและกดต่ำกว่าปกติ อีกทั้งฝ่ามือที่ยึดข้อมือเขาก็ยังล็อคแน่นประดุจคีมเหล็ก

    กู่หนิวกะพริบตาในความมืด เขาชั่งใจคิด สุดท้ายก็ตัดสินใจพาเซียงเว่ยออกไปด้วย ยังไงซะถ้าอยู่ใกล้ๆกัน เขาคงเข้าไปปกป้องง่ายกว่า

    พวกเขาออกมาจากความมืดก็พบกับ...โลกสีแดงฉาน

    กู่หนิวดูไม่ออกว่าทะเลเลือดที่พื้นมาจากสายฝนเมื่อครู่ หรือว่าอย่างอื่น

    บนพื้นอิฐหนอนที่ควรจะเรียงรายเป็นรูปดอกไม้มีซากของสิ่งที่ดูคล้ายแขนขามนุษย์จำนวนหนึ่งกระจัดกระจายอยู่ กู่หนิวลองเขยิบเข้าไปดูท่อนแขนที่อยู่ใกล้สุด จากประสบการณ์ที่ผ่านมาทำให้เขาพอจะแยกระหว่างซากผู้ล่ากับศพมนุษย์ได้ ถึงเลือดจากทั้งสองจะมีสีแดงเหมือนกัน แต่ความหนืดข้นของตัวเลือดจะต่างกัน ทำให้เมื่อเลือดของพวกผู้ล่าเกาะติดเสื้อผ้าจะซักออกยากกว่าเลือดคน อีกทั้งกลิ่นเลือดของผู้ล่าจะเหม็นหืนอย่างบอกไม่ถูก เป็นกลิ่นที่แย่พอๆกับห้องน้ำสกปรก

    ครั้งนี้เลือดที่ออกมาจากแขนขามีสภาพเป็นน้ำใส กู่หนิวถอนใจ เดาว่านี่คงเป็นของบรรดาผู้กล้าที่เข้าร่วมท้าท้ายประสิทธิภาพของฝนสีเลือดเมื่อครู่ กู่หนิวลองกวาดดูรอบๆเพื่อวิเคราะห์ถึงสาเหตุการตาย เท่าที่เขาได้ยิน ไม่มีเสียงการต่อสู้ ดังนั้นนี่จึงไม่น่าจะใช่การจู่โจมจากพวกผู้ล่า แต่สภาพการตายที่เหลือแค่แขนกับขานี่...

    “ระเบิด”

    คำกล่าวของเซียงเว่ยทำให้กู่หนิวละออกจากห้วงคิด

    “ระเบิดเหรอครับ?”

    จะว่าไปท่อนแขนขาที่พอเห็นอยู่ก็มีสภาพฉีกขาด ไม่ได้เรียบเสมออย่างโดนตัด แต่ถ้าโดนระเบิด ทำไมถึงไม่มีเสียงระเบิดกันล่ะ?

    “พี่เว่ย! ต้าหนิว! ปลอดภัยดีรึเปล่า!”เสียงเรียกดังมาจากฟากหนึ่งของตึก กู่หนิวเพ่งมองไปก็พบว่าเป็นหลงจู เด็กหนุ่มยืนอยู่ที่ชั้นสองของตึก จากมุมนั้น อีกฝ่ายน่าจะเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่นี่?

    “คุณชายครับ เราไปรวมตัวกับพวกเขากันเถอะครับ”กู่หนิวเอ่ยชักชวนเมื่อเห็นเซียงเว่ยยังคงนิ่ง ซึ่งอีกฝ่ายเพียงหันมาก่อนเดินนำไป

    พอไปรวมตัว กู่หนิวก็พบว่าคนลดลงไปพอสมควร ตอนนี้คนที่อยู่ที่ตึก นับรวมตัวเขากับเซียงเว่ยเข้าไปแล้วก็มีเพียง18คน ส่วนซากเมื่อกี้ก็น่าจะมีอยู่เจ็ดถึงแปดคน แปลว่ายังมีคนหลงอยู่อีกงั้นเหรอ? กู่หนิวนึกสงสัย แต่เพราะไม่เห็นว่าหลงจูจะทีท่าคิดออกตามหาจึงเลือกจะเงียบ และถามถึงเรื่องที่ยังคาใจ

    “เกิดอะไรขึ้นกับพวกข้างนอกเหรอครับ?”

    คำถามของเขากลับทำให้คนฟังหลายคนสีหน้าเปลี่ยน ก่อนจะเป็นหลงจูที่เปิดปากเล่าด้วยสีหน้าเคร่งอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน

    “เจ้าพวกนั้น...หลังออกไปตากฝนได้สักพัก จู่ๆก็พากันตัวสั่นแล้วฉีกทึ้งเสื้อผ้าตัวเองเหมือนพวกเสียสติ ฉันเองก็เห็นไม่ชัดนักหรอก แต่มีบางคนหัวบวมปูดออกมาจนกระทั่งหัวเหมือนลูกแตงโม จากนั้นก็...”พูดถึงตรงนี้ท้ายเสียงก็หายเงียบไป กู่หนิวพอจะรู้ว่าถ้อยคำที่ต่อท้ายคืออะไร จึงขมวดคิ้วแล้วตั้งข้อสันนิษฐาน

    “ฝนพวกนั้นเป็นสาเหตุงั้นเหรอครับ?”

    “จากที่เห็นก็น่าจะใช่ แต่เรื่องนี้ยังต้องรอการยืนยันอีกที”หลงจูว่าแล้วหันไปกล่าวกับเซียงเว่ย “พี่เว่ย ตอนนี้พวกเรากลับกันก่อนเถอะ ตอนนี้ข้างนอกดูไม่ปลอดภัยเท่าไหร่”

    เซียงเว่ยที่มีใบหน้าไร้อารมณ์กวาดนัยน์ตาสีฟ้าวาวไปรอบบริเวณ ก่อนตอบคำเบาๆ

    “อืม”

    หลังจากนั้นพวกเขาก็กลับมายังป้อม ที่หน้าป้อมนั้นหลงไช่และจางลู่ได้ยืนรออยู่ก่อนแล้ว โดยทั้งคู่มีสีหน้าเคร่งเครียดอย่างที่คนพอจะคาดเดาว่าเกิดเรื่องบางอย่างขึ้น

    “พี่จู! พี่เว่ย! น้าคุนสั่งว่าถ้าพวกพี่มาถึงแล้วให้รีบขึ้นไปหาด่วน!

    เสียงหลงไช่เต็มไปด้วยความร้อนรน คนอื่นๆเห็นอย่างนั้นก็แยกย้ายกลับที่พักตัวเอง กู่หนิวเองก็เช่นกัน เขาคิดจะไปหานมสตรอว์เบอรี่ดื่มย้อมใจก่อนกลับห้องตน หากแต่เซียงเว่ยกลับคว้าข้อมือเขาไว้ก่อน

    “ไปด้วยกัน”

    กู่หนิวได้ยินอย่างนั้นก็ตามขึ้นไปด้วย ระหว่างที่ตัวลิฟต์เลื่อนขึ้นสู่ชั้นบน ไม่มีใครเลยที่เอ่ยคำพูดขึ้น แม้แต่หลงไช่ที่ค่อนข้างพูดมากก็สงบปากอย่างผิดปกติ ทุกสายตามองตัวเลขที่ค่อยๆเปลี่ยนไปอย่างช้าๆ กู่หนิวเองก็โดนบรรยากาศหนักอึ้งในลิฟต์กดดันจนไม่ทันรู้สึกตัวว่าเซียงเว่ยยังไม่ได้ปล่อยข้อมือตนที

    ทันทีที่ประตูลิฟต์เปิดออก พวกเขาทั้งหมดก็ตรงไปยังห้องที่อยู่เยื้องไปกับห้องของเซียงเว่ย ซึ่งนั่นเป็นทั้งห้องทำงานและที่พักของหลงคุน เมื่อเปิดประตูเข้าไป พวกเขาทั้งหมดก็ได้เห็นหลงคุนนั่งหน้าเคร่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน โดยมือซ้ายกำลังจดข้อความลงกระดาษ ส่วนมือขวาพรมนิ้วอยู่บนแป้นพิมพ์ด้วยความเร็วระดับเทพ

    แม้จะเห็นว่าพวกเขาและเซียงเว่ยมากันถึงแล้ว แต่หลงคุนก็ยังคงไม่ละจากสิ่งที่ทำอยู่ ซึ่งสำหรับการที่คนที่ไม่เคยละเลยเซียงเว่ยถึงกับไม่ยอมผละมือออกมา ทำให้ทุกคนต่างคาดเดาได้ว่าสิ่งที่อีกฝ่ายทำอยู่ต้องเป็นเรื่องสำคัญมาก ผ่านไปครู่ใหญ่ชายหนุ่มจึงลุกขึ้นยืน เจ้าตัวก้าวเข้ามาหาเซียงเว่ยพร้อมกระดาษปึกหนึ่ง หลงคุนดันแว่นอย่างสงบสติอารมณ์แล้วเอ่ยรายงานด้วยเสียงเคร่ง

    “จากที่สายข่าวรายงาน เมื่อสี่ชั่วโมงก่อนได้เกิดปรากฏการณ์ฝนสีเลือดขึ้นทั่วโลก โดยกลุ่มมนุษย์ที่โดนฝนพวกนั้นจะเกิดการระเบิดร่างอย่างน่าสงสัย ขณะเดียวกัน...ฝั่งผู้ล่า มีการยืนยันแล้วว่าพวกผู้ล่าที่โดนฝนสีเลือดเข้าไป เกิดการวิวัฒนาการ”

    วิวัฒนาการ?!

    นอกจากเซียงเว่ยแล้ว ใบหน้าทุกคนในที่นี้ต่างพากันเผือดสี

    หลงคุนเองก็มีสีหน้าย่ำแย่ แม้จะพยายามกดไว้ก็ตาม ชายหนุ่มหยิบรีโมตมาอันเล็กออกมากด ไม่นานเครื่องโปรเจคเตอร์ที่ติดตั้งไว้ก็ฉายภาพขึ้นบนกำแพง มันเป็นภาพวิดีโอที่ค่อนข้างสั่นและเบลอ แต่พวกเขาก็ยังพอจะเห็นว่าอะไรเป็นอะไร ซึ่งท่ามกลางฝนสีเลือดที่ตกกระหน่ำ วิดีโอได้จับภาพของผู้ล่าที่มีสภาพเป็นชายวัยกลางคนร่างอวบในชุดเสื้อกล้ามสีขาวกับกางเกงวอร์มสีเขียวแก่ ทุกสายตาต่างจับตามองภาพโปรเจคเตอร์ซึ่งกำลังฉายสิ่งที่พวกเขาที่ไม่อยากให้เกิดขึ้น

    แต่เดิมพวกผู้ล่าจะมีนัยน์ตาขาวขุ่น กงเล็บคม และฟันที่แหลมคมกว่าคนทั่วไปเล็กน้อยเป็นออฟชั่นติดตัว แต่ยามนี้ในจอ แผ่นหลังของผู้ล่าตัวนั้นได้ปูดนูนขึ้นเป็นรอยนูนโค้งขนาดใหญ่สองอัน รอยปูดนั้นขยับไหวไปมา ราวกับมีอะไรบางอย่างกำลังดันออกมาจากใต้ผิวหนัง ซึ่งไม่นานผิวหนังส่วนดังกล่าวก็เกิดการฉีกขาด ก่อนจะปรากฏ...ปีกสีเลือดสองคู่

    เฮือก!

    กู่หนิวสูดลมหายใจเข้าอย่างตระหนก เขามองภาพวิดีโอที่ซูมเข้าหาตัวปีก และนั่นทำให้พวกเขาได้พบว่าปีกสีแดงฉานนั้นมีลักษณะคล้ายปีกค้างคาว เพียงแต่ส่วนตัวปีกคล้ายถูกสร้างขึ้นจากกล้ามเนื้อ มันคล้ายผิวชั้นในของมนุษย์ที่ถูกนำมาเย็บต่อทอเป็นผืน กู่หนิวยังสังเกตเห็นว่ามีเส้นเลือดสีม่วงดำเส้นตุบๆอยู่บนปีกพวกนั้นอีกด้วย และท่ามกลางฝนสีเลือดที่ยังคงโปรยปราย ผู้ล่าตนนั้นได้กรีดร้องคำรามเสียงแหลมสูงลากยาวอย่างชวนให้ปวดหู ก่อนที่มันจะกระพืออวัยวะส่วนใหม่ แล้วบินหายลับไป

    เมื่อภาพฉายจบลง ไม่ว่าจะเป็นหลงจูหรือหลงไช่ต่างก็หน้าดำคล้ำ กู่หนิวก็กลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก เพราะเขารู้ดีว่าภาพเมื่อครู่หมายความว่าอะไร

    ปีก สัญลักษณ์ของเจ้าเวหา

    แต่เดิมผู้ล่านั้นไม่ค่อยเป็นภัยคุกคามอะไร เพราะพวกมันเคลื่อนไหวได้แต่บนพื้นดิน แต่ว่าจากนี้ไป เหล่าผู้ล่าคงจะเริ่มออกจู่โจมจากบนท้องฟ้า...

    กู่หนิวหลุบตาลงต่ำเพื่อซ่อนความประหวั่นในแววตา

    ดูท่า...ฝันร้ายครั้งใหม่กำลังจะเปิดฉากแล้ว

    “นอกจากเรื่องที่ผู้ล่ามีวิวัฒนาการแล้ว ยังมีข่าวหลุดออกมาว่าป้อมฉางชิง ป้อมซานเซา ป้อมหลูโจว และป้อมฉ่ายหงที่อยู่เมืองMถูกกลุ่มผู้ล่าจู่โจม ซึ่งสถานการณ์ตอนนี้...ป้อมทั้งหมดได้ถูกตีแตกแล้ว”หลงคุนยังคงรายงานข่าวร้ายอย่างต่อเนื่อง แต่จากรายชื่อป้อมที่ไม่คุ้นหูเท่าไหร่ ทำให้กู่หนิวไม่มีปฏิกิริยาอะไรนักเมื่อเทียบกับคนอื่นๆ

    “อะไรนะ! ป้อมฉางชิงกับป้อมหลูโจวถูกตีแตก?!”หลงไช่ร้องออกมาเสียงดังลั่น จางลู่ที่ยืนข้างๆขมวดคิ้ว แล้วถามเสียงแข็ง

    “เป็นข่าวจริงงั้นเหรอ? ไม่ใช่ว่าป้อมฉางชิงมีคนที่สร้างบาเรียคลุมป้อมได้อยู่รึไง?”

    “คุณหนูเหอชิงหายตัวไป สายข่าวยืนยันว่าเธอหายตัวไปก่อนที่ผู้ล่าจะทำการบุก”หลงคุนดันแว่นพลางตอบ หลงจูขมวดคิ้วว่าบ้าง

    “แต่ป้อมหลูโจวมีกองกำลังคุ้มกันอยู่ไม่ใช่เหรอครับน้าคุน? พวกนั้นแข็งแกร่งมากนี่ครับ?”

    “หน่วยสเลเยอร์ถูกส่งออกไปปฏิบัติหน้าที่ก่อนหน้าที่จะมีการบุกราวหนึ่งอาทิตย์”

    “อะไรกัน ทำไมมันถึงบังเอิญขนาดนี้...”

    หน่วยสเลเยอร์ถือเป็นมือดีของป้อมหลูโจว คนกลุ่มนี้ได้ยินมาว่าเป็นเคยกลุ่มทหารพิเศษทำให้มีความสามารถเชิงต่อสู้และทักษะเอาตัวรอดมากกว่าคนธรรมดา ซึ่งถ้าคนกลุ่มนั้นยังอยู่ที่ป้อมล่ะก็ ป้อมหลู่โจวคงไม่ถูกตีแตกง่ายๆแน่

    “จำนวนผู้ล่าที่บุกป้อมล่ะครับ?”หลงไช่ถามบ้าง ซึ่งครั้งนี้หลงคุนเงียบไปครู่หนึ่ง ชายหนุ่มเม้มปากก่อนจะเอ่ยตอบ

    “จากการกะคร่าวๆ แต่ละป้อมถูกกลุ่มผู้ล่าจำนวนไม่ต่ำกว่า2,000บุกโจมตี”

    “สองพัน?!

    ครั้งนี้กู่หนิวที่นิ่งฟังมานานเกิดอาการตกใจบ้าง ถึงเขาจะไม่รู้จักป้อมหลูโจว หรือหน่วยสเลเยอร์ที่ว่า แต่จำนวนผู้ล่าที่บุกป้อมย่อมนับว่าเยอะผิดปกติ

    ก่อนอื่นเลย ไม่ว่าจะเป็นป้อมที่ใหญ่หรือแข็งแกร่งแค่ไหนก็ไม่มีทางมีสมาชิกในป้อมเกินหกร้อยคน ยิ่งป้อมเล็กๆอย่างป้อมเหลียงตี้ที่เขาเคยอยู่นั้น แค่มีคนถึงห้าสิบคนก็นับว่ามากเกินไปแล้ว เพราะการจะจัดการควบคุมดูแลคนจำนวนมากเป็นเรื่องที่ยากลำบากมาก ไม่ว่าจะเป็นทรัพยากรที่มีอยู่จำกัดหรือปัญหาด้านสายสัมพันธ์ ทางป้อมไป่เหอที่พวกเขาอยู่ตอนนี้เองก็มีสมาชิกแค่สี่ร้อยกว่าคน

    ไม่พอ ต่อให้ทุกป้อมมีสมาชิกในป้อมเยอะแค่ไหน แต่คนที่จะสามารถใช้พลังในการต่อสู้ได้นั้น จะมีสักกี่คนเชียว? ต่อให้ทุกคนได้รับพลังที่สามารถใช้สู้มา แต่คนที่จะมีความกล้าพอที่จะลุกขึ้นมาต่อกรกับพวกผู้ล่าก็มีเพียงหยิบมือเท่านั้น ถ้าไม่ใช่เพราะเหตุผลนี้ คนส่วนใหญ่คงไม่ตกตายในช่วงหลายปีที่ผ่านมาหรอก

    แล้วนี่จะบอกว่ามีจำนวนผู้ล่าถึงสองพันตนเข้าบุกตีป้อมป้อมหนึ่ง? ถ้าหากป้อมที่ว่าไม่ถูกตีแตกนี่สิถึงจะเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์

    “สองพันเลยเหรอ?! น้าคุนแน่ใจนะครับว่าไม่ได้ฟังมาผิดน่ะ?”หลงไช่ที่คล้ายหลุดการควบคุมดึงทึ้งผมตัวเองเหมือนคนเสียสติ หลงคุนไม่ได้ตอบคำถามอีกฝ่าย แต่เลือกหันมาหาเซียงเว่ย ทว่าก่อนจะเปิดปาก สายตาอีกฝ่ายกลับเพ่งมายังจุดๆหนึ่ง ซึ่งนั่นเรียกสายตาคนอื่นๆในห้องให้หันมองตาม รวมทั้งกู่หนิวด้วย และเมื่อร่างหนามองตามไปยังจุดที่หลงคุนมองอยู่ก็ต้องหน้าเหวอ

    มือของเซียงเว่ยยังจับข้อมือเขาอยู่!

    กู่หนิวนิ่งอึ้ง แต่เขาก็ไม่กล้าทำอะไร ก็จะให้ทำอะไรล่ะ? สะบัด?

    เซียงเว่ยที่ถูกสายตาหลายคู่จับจ้อง ในที่สุดก็ยอมปล่อยข้อมือกู่หนิว เจ้าตัวกวาดมองคนในห้องแล้วหมุนตัวเดินออกไปเงียบๆ

    “.......”

    กู่หนิวมองตามบานประตูที่ปิดลง ก่อนหันมาเผชิญหน้ากับสายตาของคนที่เหลือ...

    เอ่อ... เขาคิดผิดรึเปล่าที่ตามเซียงเว่ยขึ้นมาข้างบน?

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×