คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : บทที่11
ขณะที่กู่หนิวคิดเรื่องนั้น
เสียงฝนด้านนอกพลันหายไป ร่างหนาหันมาบอกกับเซียงเว่ยด้วยท่าทีเช่นเคย
“เดี๋ยวผมออกไปดูข้างนอกก่อนนะครับ
คุณชายรออยู่ในนี้นะครับ”
เพราะมั่นใจว่าด้านในปลอดภัยกว่ากู่หนิวจึงไม่ลังเลที่จะผละตัวออกมา
แต่แล้วข้อมือของเขากลับถูกอีกคนยึดไว้
“คุณชาย?”
“ไปด้วยกัน”เสียงของเซียงเว่ยที่มักจะราบเรียบไร้อารมณ์เสมอ
ในครั้งนี้คล้ายจะเข้มแข็งและกดต่ำกว่าปกติ อีกทั้งฝ่ามือที่ยึดข้อมือเขาก็ยังล็อคแน่นประดุจคีมเหล็ก
กู่หนิวกะพริบตาในความมืด
เขาชั่งใจคิด สุดท้ายก็ตัดสินใจพาเซียงเว่ยออกไปด้วย ยังไงซะถ้าอยู่ใกล้ๆกัน
เขาคงเข้าไปปกป้องง่ายกว่า
พวกเขาออกมาจากความมืดก็พบกับ...โลกสีแดงฉาน
กู่หนิวดูไม่ออกว่าทะเลเลือดที่พื้นมาจากสายฝนเมื่อครู่
หรือว่าอย่างอื่น
บนพื้นอิฐหนอนที่ควรจะเรียงรายเป็นรูปดอกไม้มีซากของสิ่งที่ดูคล้ายแขนขามนุษย์จำนวนหนึ่งกระจัดกระจายอยู่
กู่หนิวลองเขยิบเข้าไปดูท่อนแขนที่อยู่ใกล้สุด
จากประสบการณ์ที่ผ่านมาทำให้เขาพอจะแยกระหว่างซากผู้ล่ากับศพมนุษย์ได้
ถึงเลือดจากทั้งสองจะมีสีแดงเหมือนกัน แต่ความหนืดข้นของตัวเลือดจะต่างกัน
ทำให้เมื่อเลือดของพวกผู้ล่าเกาะติดเสื้อผ้าจะซักออกยากกว่าเลือดคน
อีกทั้งกลิ่นเลือดของผู้ล่าจะเหม็นหืนอย่างบอกไม่ถูก
เป็นกลิ่นที่แย่พอๆกับห้องน้ำสกปรก
ครั้งนี้เลือดที่ออกมาจากแขนขามีสภาพเป็นน้ำใส
กู่หนิวถอนใจ เดาว่านี่คงเป็นของบรรดาผู้กล้าที่เข้าร่วมท้าท้ายประสิทธิภาพของฝนสีเลือดเมื่อครู่
กู่หนิวลองกวาดดูรอบๆเพื่อวิเคราะห์ถึงสาเหตุการตาย เท่าที่เขาได้ยิน
ไม่มีเสียงการต่อสู้ ดังนั้นนี่จึงไม่น่าจะใช่การจู่โจมจากพวกผู้ล่า
แต่สภาพการตายที่เหลือแค่แขนกับขานี่...
“ระเบิด”
คำกล่าวของเซียงเว่ยทำให้กู่หนิวละออกจากห้วงคิด
“ระเบิดเหรอครับ?”
จะว่าไปท่อนแขนขาที่พอเห็นอยู่ก็มีสภาพฉีกขาด
ไม่ได้เรียบเสมออย่างโดนตัด แต่ถ้าโดนระเบิด ทำไมถึงไม่มีเสียงระเบิดกันล่ะ?
“พี่เว่ย! ต้าหนิว! ปลอดภัยดีรึเปล่า!”เสียงเรียกดังมาจากฟากหนึ่งของตึก กู่หนิวเพ่งมองไปก็พบว่าเป็นหลงจู เด็กหนุ่มยืนอยู่ที่ชั้นสองของตึก
จากมุมนั้น อีกฝ่ายน่าจะเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่นี่?
“คุณชายครับ
เราไปรวมตัวกับพวกเขากันเถอะครับ”กู่หนิวเอ่ยชักชวนเมื่อเห็นเซียงเว่ยยังคงนิ่ง
ซึ่งอีกฝ่ายเพียงหันมาก่อนเดินนำไป
พอไปรวมตัว
กู่หนิวก็พบว่าคนลดลงไปพอสมควร ตอนนี้คนที่อยู่ที่ตึก
นับรวมตัวเขากับเซียงเว่ยเข้าไปแล้วก็มีเพียง18คน
ส่วนซากเมื่อกี้ก็น่าจะมีอยู่เจ็ดถึงแปดคน แปลว่ายังมีคนหลงอยู่อีกงั้นเหรอ?
กู่หนิวนึกสงสัย แต่เพราะไม่เห็นว่าหลงจูจะทีท่าคิดออกตามหาจึงเลือกจะเงียบ และถามถึงเรื่องที่ยังคาใจ
“เกิดอะไรขึ้นกับพวกข้างนอกเหรอครับ?”
คำถามของเขากลับทำให้คนฟังหลายคนสีหน้าเปลี่ยน
ก่อนจะเป็นหลงจูที่เปิดปากเล่าด้วยสีหน้าเคร่งอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
“เจ้าพวกนั้น...หลังออกไปตากฝนได้สักพัก
จู่ๆก็พากันตัวสั่นแล้วฉีกทึ้งเสื้อผ้าตัวเองเหมือนพวกเสียสติ
ฉันเองก็เห็นไม่ชัดนักหรอก แต่มีบางคนหัวบวมปูดออกมาจนกระทั่งหัวเหมือนลูกแตงโม
จากนั้นก็...”พูดถึงตรงนี้ท้ายเสียงก็หายเงียบไป
กู่หนิวพอจะรู้ว่าถ้อยคำที่ต่อท้ายคืออะไร จึงขมวดคิ้วแล้วตั้งข้อสันนิษฐาน
“ฝนพวกนั้นเป็นสาเหตุงั้นเหรอครับ?”
“จากที่เห็นก็น่าจะใช่
แต่เรื่องนี้ยังต้องรอการยืนยันอีกที”หลงจูว่าแล้วหันไปกล่าวกับเซียงเว่ย “พี่เว่ย
ตอนนี้พวกเรากลับกันก่อนเถอะ ตอนนี้ข้างนอกดูไม่ปลอดภัยเท่าไหร่”
เซียงเว่ยที่มีใบหน้าไร้อารมณ์กวาดนัยน์ตาสีฟ้าวาวไปรอบบริเวณ
ก่อนตอบคำเบาๆ
“อืม”
หลังจากนั้นพวกเขาก็กลับมายังป้อม
ที่หน้าป้อมนั้นหลงไช่และจางลู่ได้ยืนรออยู่ก่อนแล้ว โดยทั้งคู่มีสีหน้าเคร่งเครียดอย่างที่คนพอจะคาดเดาว่าเกิดเรื่องบางอย่างขึ้น
“พี่จู! พี่เว่ย!
น้าคุนสั่งว่าถ้าพวกพี่มาถึงแล้วให้รีบขึ้นไปหาด่วน!”
เสียงหลงไช่เต็มไปด้วยความร้อนรน
คนอื่นๆเห็นอย่างนั้นก็แยกย้ายกลับที่พักตัวเอง กู่หนิวเองก็เช่นกัน
เขาคิดจะไปหานมสตรอว์เบอรี่ดื่มย้อมใจก่อนกลับห้องตน
หากแต่เซียงเว่ยกลับคว้าข้อมือเขาไว้ก่อน
“ไปด้วยกัน”
กู่หนิวได้ยินอย่างนั้นก็ตามขึ้นไปด้วย
ระหว่างที่ตัวลิฟต์เลื่อนขึ้นสู่ชั้นบน ไม่มีใครเลยที่เอ่ยคำพูดขึ้น
แม้แต่หลงไช่ที่ค่อนข้างพูดมากก็สงบปากอย่างผิดปกติ
ทุกสายตามองตัวเลขที่ค่อยๆเปลี่ยนไปอย่างช้าๆ
กู่หนิวเองก็โดนบรรยากาศหนักอึ้งในลิฟต์กดดันจนไม่ทันรู้สึกตัวว่าเซียงเว่ยยังไม่ได้ปล่อยข้อมือตนที
ทันทีที่ประตูลิฟต์เปิดออก
พวกเขาทั้งหมดก็ตรงไปยังห้องที่อยู่เยื้องไปกับห้องของเซียงเว่ย
ซึ่งนั่นเป็นทั้งห้องทำงานและที่พักของหลงคุน เมื่อเปิดประตูเข้าไป พวกเขาทั้งหมดก็ได้เห็นหลงคุนนั่งหน้าเคร่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน
โดยมือซ้ายกำลังจดข้อความลงกระดาษ ส่วนมือขวาพรมนิ้วอยู่บนแป้นพิมพ์ด้วยความเร็วระดับเทพ
แม้จะเห็นว่าพวกเขาและเซียงเว่ยมากันถึงแล้ว
แต่หลงคุนก็ยังคงไม่ละจากสิ่งที่ทำอยู่
ซึ่งสำหรับการที่คนที่ไม่เคยละเลยเซียงเว่ยถึงกับไม่ยอมผละมือออกมา
ทำให้ทุกคนต่างคาดเดาได้ว่าสิ่งที่อีกฝ่ายทำอยู่ต้องเป็นเรื่องสำคัญมาก
ผ่านไปครู่ใหญ่ชายหนุ่มจึงลุกขึ้นยืน เจ้าตัวก้าวเข้ามาหาเซียงเว่ยพร้อมกระดาษปึกหนึ่ง
หลงคุนดันแว่นอย่างสงบสติอารมณ์แล้วเอ่ยรายงานด้วยเสียงเคร่ง
“จากที่สายข่าวรายงาน
เมื่อสี่ชั่วโมงก่อนได้เกิดปรากฏการณ์ฝนสีเลือดขึ้นทั่วโลก
โดยกลุ่มมนุษย์ที่โดนฝนพวกนั้นจะเกิดการระเบิดร่างอย่างน่าสงสัย
ขณะเดียวกัน...ฝั่งผู้ล่า มีการยืนยันแล้วว่าพวกผู้ล่าที่โดนฝนสีเลือดเข้าไป เกิดการวิวัฒนาการ”
วิวัฒนาการ?!
นอกจากเซียงเว่ยแล้ว
ใบหน้าทุกคนในที่นี้ต่างพากันเผือดสี
หลงคุนเองก็มีสีหน้าย่ำแย่
แม้จะพยายามกดไว้ก็ตาม ชายหนุ่มหยิบรีโมตมาอันเล็กออกมากด
ไม่นานเครื่องโปรเจคเตอร์ที่ติดตั้งไว้ก็ฉายภาพขึ้นบนกำแพง มันเป็นภาพวิดีโอที่ค่อนข้างสั่นและเบลอ
แต่พวกเขาก็ยังพอจะเห็นว่าอะไรเป็นอะไร ซึ่งท่ามกลางฝนสีเลือดที่ตกกระหน่ำ
วิดีโอได้จับภาพของผู้ล่าที่มีสภาพเป็นชายวัยกลางคนร่างอวบในชุดเสื้อกล้ามสีขาวกับกางเกงวอร์มสีเขียวแก่
ทุกสายตาต่างจับตามองภาพโปรเจคเตอร์ซึ่งกำลังฉายสิ่งที่พวกเขาที่ไม่อยากให้เกิดขึ้น
แต่เดิมพวกผู้ล่าจะมีนัยน์ตาขาวขุ่น
กงเล็บคม และฟันที่แหลมคมกว่าคนทั่วไปเล็กน้อยเป็นออฟชั่นติดตัว แต่ยามนี้ในจอ
แผ่นหลังของผู้ล่าตัวนั้นได้ปูดนูนขึ้นเป็นรอยนูนโค้งขนาดใหญ่สองอัน
รอยปูดนั้นขยับไหวไปมา ราวกับมีอะไรบางอย่างกำลังดันออกมาจากใต้ผิวหนัง
ซึ่งไม่นานผิวหนังส่วนดังกล่าวก็เกิดการฉีกขาด ก่อนจะปรากฏ...ปีกสีเลือดสองคู่
เฮือก!
กู่หนิวสูดลมหายใจเข้าอย่างตระหนก
เขามองภาพวิดีโอที่ซูมเข้าหาตัวปีก
และนั่นทำให้พวกเขาได้พบว่าปีกสีแดงฉานนั้นมีลักษณะคล้ายปีกค้างคาว เพียงแต่ส่วนตัวปีกคล้ายถูกสร้างขึ้นจากกล้ามเนื้อ
มันคล้ายผิวชั้นในของมนุษย์ที่ถูกนำมาเย็บต่อทอเป็นผืน
กู่หนิวยังสังเกตเห็นว่ามีเส้นเลือดสีม่วงดำเส้นตุบๆอยู่บนปีกพวกนั้นอีกด้วย และท่ามกลางฝนสีเลือดที่ยังคงโปรยปราย
ผู้ล่าตนนั้นได้กรีดร้องคำรามเสียงแหลมสูงลากยาวอย่างชวนให้ปวดหู
ก่อนที่มันจะกระพืออวัยวะส่วนใหม่ แล้วบินหายลับไป
เมื่อภาพฉายจบลง
ไม่ว่าจะเป็นหลงจูหรือหลงไช่ต่างก็หน้าดำคล้ำ กู่หนิวก็กลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก
เพราะเขารู้ดีว่าภาพเมื่อครู่หมายความว่าอะไร
ปีก
สัญลักษณ์ของเจ้าเวหา
แต่เดิมผู้ล่านั้นไม่ค่อยเป็นภัยคุกคามอะไร
เพราะพวกมันเคลื่อนไหวได้แต่บนพื้นดิน แต่ว่าจากนี้ไป เหล่าผู้ล่าคงจะเริ่มออกจู่โจมจากบนท้องฟ้า...
กู่หนิวหลุบตาลงต่ำเพื่อซ่อนความประหวั่นในแววตา
ดูท่า...ฝันร้ายครั้งใหม่กำลังจะเปิดฉากแล้ว
“นอกจากเรื่องที่ผู้ล่ามีวิวัฒนาการแล้ว
ยังมีข่าวหลุดออกมาว่าป้อมฉางชิง ป้อมซานเซา ป้อมหลูโจว และป้อมฉ่ายหงที่อยู่เมืองMถูกกลุ่มผู้ล่าจู่โจม
ซึ่งสถานการณ์ตอนนี้...ป้อมทั้งหมดได้ถูกตีแตกแล้ว”หลงคุนยังคงรายงานข่าวร้ายอย่างต่อเนื่อง
แต่จากรายชื่อป้อมที่ไม่คุ้นหูเท่าไหร่
ทำให้กู่หนิวไม่มีปฏิกิริยาอะไรนักเมื่อเทียบกับคนอื่นๆ
“อะไรนะ! ป้อมฉางชิงกับป้อมหลูโจวถูกตีแตก?!”หลงไช่ร้องออกมาเสียงดังลั่น จางลู่ที่ยืนข้างๆขมวดคิ้ว แล้วถามเสียงแข็ง
“เป็นข่าวจริงงั้นเหรอ?
ไม่ใช่ว่าป้อมฉางชิงมีคนที่สร้างบาเรียคลุมป้อมได้อยู่รึไง?”
“คุณหนูเหอชิงหายตัวไป
สายข่าวยืนยันว่าเธอหายตัวไปก่อนที่ผู้ล่าจะทำการบุก”หลงคุนดันแว่นพลางตอบ
หลงจูขมวดคิ้วว่าบ้าง
“แต่ป้อมหลูโจวมีกองกำลังคุ้มกันอยู่ไม่ใช่เหรอครับน้าคุน?
พวกนั้นแข็งแกร่งมากนี่ครับ?”
“หน่วยสเลเยอร์ถูกส่งออกไปปฏิบัติหน้าที่ก่อนหน้าที่จะมีการบุกราวหนึ่งอาทิตย์”
“อะไรกัน
ทำไมมันถึงบังเอิญขนาดนี้...”
หน่วยสเลเยอร์ถือเป็นมือดีของป้อมหลูโจว
คนกลุ่มนี้ได้ยินมาว่าเป็นเคยกลุ่มทหารพิเศษทำให้มีความสามารถเชิงต่อสู้และทักษะเอาตัวรอดมากกว่าคนธรรมดา ซึ่งถ้าคนกลุ่มนั้นยังอยู่ที่ป้อมล่ะก็ ป้อมหลู่โจวคงไม่ถูกตีแตกง่ายๆแน่
“จำนวนผู้ล่าที่บุกป้อมล่ะครับ?”หลงไช่ถามบ้าง
ซึ่งครั้งนี้หลงคุนเงียบไปครู่หนึ่ง ชายหนุ่มเม้มปากก่อนจะเอ่ยตอบ
“จากการกะคร่าวๆ
แต่ละป้อมถูกกลุ่มผู้ล่าจำนวนไม่ต่ำกว่า2,000บุกโจมตี”
“สองพัน?!”
ครั้งนี้กู่หนิวที่นิ่งฟังมานานเกิดอาการตกใจบ้าง
ถึงเขาจะไม่รู้จักป้อมหลูโจว หรือหน่วยสเลเยอร์ที่ว่า แต่จำนวนผู้ล่าที่บุกป้อมย่อมนับว่าเยอะผิดปกติ
ก่อนอื่นเลย
ไม่ว่าจะเป็นป้อมที่ใหญ่หรือแข็งแกร่งแค่ไหนก็ไม่มีทางมีสมาชิกในป้อมเกินหกร้อยคน
ยิ่งป้อมเล็กๆอย่างป้อมเหลียงตี้ที่เขาเคยอยู่นั้น แค่มีคนถึงห้าสิบคนก็นับว่ามากเกินไปแล้ว
เพราะการจะจัดการควบคุมดูแลคนจำนวนมากเป็นเรื่องที่ยากลำบากมาก
ไม่ว่าจะเป็นทรัพยากรที่มีอยู่จำกัดหรือปัญหาด้านสายสัมพันธ์ ทางป้อมไป่เหอที่พวกเขาอยู่ตอนนี้เองก็มีสมาชิกแค่สี่ร้อยกว่าคน
ไม่พอ ต่อให้ทุกป้อมมีสมาชิกในป้อมเยอะแค่ไหน
แต่คนที่จะสามารถใช้พลังในการต่อสู้ได้นั้น จะมีสักกี่คนเชียว? ต่อให้ทุกคนได้รับพลังที่สามารถใช้สู้มา
แต่คนที่จะมีความกล้าพอที่จะลุกขึ้นมาต่อกรกับพวกผู้ล่าก็มีเพียงหยิบมือเท่านั้น
ถ้าไม่ใช่เพราะเหตุผลนี้ คนส่วนใหญ่คงไม่ตกตายในช่วงหลายปีที่ผ่านมาหรอก
แล้วนี่จะบอกว่ามีจำนวนผู้ล่าถึงสองพันตนเข้าบุกตีป้อมป้อมหนึ่ง?
ถ้าหากป้อมที่ว่าไม่ถูกตีแตกนี่สิถึงจะเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์
“สองพันเลยเหรอ?! น้าคุนแน่ใจนะครับว่าไม่ได้ฟังมาผิดน่ะ?”หลงไช่ที่คล้ายหลุดการควบคุมดึงทึ้งผมตัวเองเหมือนคนเสียสติ
หลงคุนไม่ได้ตอบคำถามอีกฝ่าย แต่เลือกหันมาหาเซียงเว่ย ทว่าก่อนจะเปิดปาก สายตาอีกฝ่ายกลับเพ่งมายังจุดๆหนึ่ง
ซึ่งนั่นเรียกสายตาคนอื่นๆในห้องให้หันมองตาม รวมทั้งกู่หนิวด้วย และเมื่อร่างหนามองตามไปยังจุดที่หลงคุนมองอยู่ก็ต้องหน้าเหวอ
มือของเซียงเว่ยยังจับข้อมือเขาอยู่!
กู่หนิวนิ่งอึ้ง
แต่เขาก็ไม่กล้าทำอะไร ก็จะให้ทำอะไรล่ะ? สะบัด?
เซียงเว่ยที่ถูกสายตาหลายคู่จับจ้อง
ในที่สุดก็ยอมปล่อยข้อมือกู่หนิว เจ้าตัวกวาดมองคนในห้องแล้วหมุนตัวเดินออกไปเงียบๆ
“.......”
กู่หนิวมองตามบานประตูที่ปิดลง
ก่อนหันมาเผชิญหน้ากับสายตาของคนที่เหลือ...
เอ่อ... เขาคิดผิดรึเปล่าที่ตามเซียงเว่ยขึ้นมาข้างบน?
ความคิดเห็น