ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เฟิงจิ้น จักรพรรดิสองวิญญา

    ลำดับตอนที่ #11 : บทสิบ พี่น้องพบพาน

    • อัปเดตล่าสุด 4 มี.ค. 64



       "ไม่เป็นไรแล้วนะ"

       คำสั้นๆพาให้หยาดไข่มุกร่วงหล่นจากดวงตาเด็กสาวอย่างไร้เสียง จิ้นเฟยเห็นอย่างนั้นจึงหวังเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาให้ แต่ก่อนจะได้ทำอย่างนั้นก็ต้องกระเด็นล้มเมื่อถูกร่างหนึ่งพุ่งเข้าชน

       อั่ก! จิ้นเฟยนิ่วหน้ากับแรงกระแทกที่หลังก่อนหรี่ตาขึ้นเมื่อรู้สึกถึงน้ำหนักที่กดทับร่าง เมื่อเงยหน้าก็พบเงาร่างเล็กที่ปกคลุมด้วยเส้นผมสีดำยุ่งเหยิงกับชุดสีขาวเปื้อนโลหิต ซึ่งไม่ทันมองให้ดีกว่านั้นก็พลันรับรู้ถึงเรี่ยวแรงมหาศาลที่บีบรัดลำคอแน่นจนหายใจไม่ออก แต่อึดใจต่อมาก็พลันเข้าใจแน่ชัดว่าสถานการณ์ตอนนี้คือตนเองกำลังโดนใครบางคนบีบคออยู่!

       จิ้นเฟยเริ่มหน้าเขียว พยายามแกะมือขาวซีดที่บีบคอตนอยู่ออกแต่กลับทำได้ยากนัก

       "ลุงเฟยช่วยทีสิ!"จิ้นเฟยที่กำลังจะขาดอากาศหายใจเรียกร้องความช่วยเหลือจากวิญญาณอีกดวงที่ยังคงสงบรับชมเรื่องที่เกิดขึ้นด้วยความนิ่งเฉย

       "กับเรื่องแค่นี้เจ้ายังต้องอาศัยความช่วยเหลือจากข้า เห็นได้ชัดว่ายังฝึกมาไม่พอ"แม้จะพูดบ่น แต่สุดท้ายเฟยจิ่งก็เข้าคุมร่างแกะมือที่โอบรัดลำคออยู่ออกพร้อมใช้ขาถีบยันเข้าที่กลางท้องอีกฝ่ายส่งผลให้ร่างที่นั่งคร่อมในทีแรกกระเด็นไปไกล

       เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ก่อให้เกิดความโกลาหล ท่ามกลางเสียงโหวกเหวกโวยวายนี้ตงห่ายที่หายตัวไปในทีแรกได้ปรากฏตัวแล้วพูดสั่งให้ทหารคุมตัวคนที่ก่อเรื่องไว้ ทหารหลายคนตรงเข้าไปจับร่างที่นอนหงายอยู่ ซึ่งอีกฝ่ายพยายามสะบัดตัวดิ้นรนขัดขืนและด้วยเรี่ยวแรงที่เกินตัวทำให้ต้องใช้ทหารร่างโตถึงสามคนในการคุมร่างเล็กนั้นไว้

       "ปล่อยข้า!"เสียบแหลมแหบแห้งร้องตะโกน ตอนนี้เองที่จิ้นเฟยได้เห็นคนที่เกือบจะฆ่าตัวเองชัดๆ และก็ต้องตกตะลึงเมื่อพบว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงเด็กชายตัวเล็กที่สูงพอๆกับลู่หลินเท่านั้น ซึ่งชุดขาวที่ร่างนั้นสวมอยู่เปรอะเลอะด้วยคราบดินและรอยเลือด ส่วนใบหน้าถูกคลุมด้วยเส้นผมสีดำเกรอะฝุ่นยุ่งเหยิง สภาพเหมือนคนเพิ่งถูกทำร้ายมามากกว่าเป็นฝ่ายทำร้ายชาวบ้านซะอีก

       จิ้นเฟยค่อยๆลุกขึ้นยืนพลางลูบคอตัวเองอย่างนึกปวดแสบ ลู่หลินที่อยู่ไม่ไกลเขยิบเข้าใกล้หวังดูแผลให้ด้วยความเป็นห่วง จิ้นเฟยกำลังจะลูบหัวปลอบว่าไม่เป็นไรก็เจอเสียงแหลมแห้งตะโกนเข้าขัด

       "อย่าแตะต้องพี่สาวของข้านะ!"

       พี่?

       ทุกสายตามุ่งจับจ้องยังต้นเสียงที่ยังคงมีท่าทีแข็งกร้าว จิ้นเฟยกะพริบตา ยังไม่ทันเอ่ยอะไรร่างเล็กของลู่หลินกลับเดินตรงเข้าไปหาร่างที่ถูกจับกดให้นั่งคุกเข่าอยู่กับพื้น เมื่อไปหยุดอยู่ตรงหน้าร่างนั้น เด็กสาวก็ย่อตัวลงเล็กน้อยก่อนค่อยๆใช้มือเล็กที่สั่นระริกปัดเส้นผมที่ปรกหน้าอีกฝ่ายออกอย่างแผ่วเบา

       เบื้องหลังเส้นผมที่สกปรกนั่นคือใบหน้าที่เต็มไปด้วยฝุ่นและคราบเลือดแห้งกรัง โดยเฉพาะบริเวณดวงตาด้านขวาซึ่งปิดสนิท ขณะที่ดวงตาอีกข้างเบิกกว้างและกำลังจับจ้องใบหน้าของเด็กสาวที่กำลังใช้มือน้อยลูบแก้มตนอย่างไม่ละสายตา

       จิ้นเฟยที่มองสถานการณ์อยู่ห่างๆสังเกตเห็นบางอย่าง นัยน์ตาข้างนั้น แม้จะมีลักษณะหางตาชี้อย่างแฝงความหยิ่งทะนงซึ่งต่างกับดวงตากลมโตอันหวานซึ้งที่แฝงความโศกเศร้า แต่ก็ยังมีจุดหนึ่งที่เหมือนกัน 

       นัยน์ตาข้างนั้นมีสีเทาอ่อน...แบบเดียวกับลู่หลิน

       "พี่สาว..."น้ำเสียงแหบแห้งที่อ่อนระโหยดังขึ้นแผ่วเบา ซึ่งลู่หลินหลังได้ยินคำเรียกก็เข้ากอดเด็กชายแน่น ทางพวกทหารเมื่อเห็นสถานการณ์เปลี่ยนก็ถอยห่างออกมา ปล่อยให้ร่างเล็กทั้งสองอยู่ด้วยกันตามลำพัง

       ทางเด็กชายเมื่อแขนถูกปล่อยเป็นอิสระก็ค่อยๆยกมือขาวซีดที่เลอะไปด้วยฝุ่นดินกอดตอบ เมื่อฝ่ามือสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นจากแผ่นหลังบางที่สั่นไหวความรู้สึกบางอย่างก็ตีตื้อขึ้นมาที่อกจนรู้สึกร้อนที่กระบอกตา

       "..พ..พี่..ลู่..หลิน.."

       ถ้อยคำแหบเครือที่กลั่นออกมาแฝงด้วยความรู้สึกและคำพูดมากมายเอาไว้ เมื่อสัมผัสได้ถึงแรงกระชับฝ่ามือที่แผ่นหลังเด็กชายก็ซุกใบหน้าลงกับไหล่ของร่างเล็ก ก่อนปล่อยให้น้ำตาสายหนึ่งไหลรินจากดวงตาข้างที่เหลืออยู่...

     

       พอเหตุการณ์เริ่มสงบ ตงห่ายก็สั่งการให้ทหารจัดการแยกกลุ่มผู้หญิงที่ถูกจับมาขายออกเป็นสองกลุ่มแล้วคุ้มกันไปยังที่ปลอดภัย ขณะเดียวกันก็สั่งคุมตัวผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับงานประมูลไปกักไว้เพื่อสอบสวนภายหลัง จิ้นเฟยยืนชมภาพการสั่งการที่เฉียบขาดของอีกฝ่ายอยู่ห่างๆอย่างนึกชื่นชม ซึ่งเมื่อจัดการกับเรื่องต่างๆเสร็จร่างสูงก็ตรงเข้ามาหาจิ้นเฟยโดยมีร่างของทหารนายหนึ่งติดตามมา

       "วันนี้ดึกแล้ว เจ้ากลับไปก่อนเถอะ ไว้พรุ่งนี้พี่เสร็จธุระแล้วจะไปหา"ตงห่ายใช้น้ำเสียงอ่อนโยนกล่าว จิ้นเฟยพยักหน้ารับเพราะรู้ดีว่าตนอยู่ไปก็รังแต่จะเกะกะ ทว่าทหารร่างโตที่ชื่อเถาเถาก็พูดค้านขึ้น

       "เฮ้ย ไป่หมิง ดึกป่านนี้เจ้าคิดจะให้เจ้าหนูนี่กลับบ้านคนเดียวจริงๆน่ะเหรอ?"พอเห็นตงห่ายไม่ตอบคำ ชายร่างโตก็ส่งเสียงจิ๊จ๊ะในลำคออย่างไม่พอใจ ก่อนนิ่วคิ้วเสนอ 

       "ถ้ายังไงก็ให้น้องชายเจ้าไปพักที่โรงเตี๊ยมกับพวกเราแทนแล้วกัน"

       แม้คำพูดจะเต็มไปด้วยความหวังดี แต่งานนี้จิ้นเฟยรับความหวังดีนั้นไม่ได้

       "ขอบคุณพี่ชายเถาเถาที่เป็นห่วง แต่ว่าวันนี้ข้าแอบหนีมาเที่ยวโดยไม่ได้บอกใคร หากไม่รีบกลับคงได้โดนคนที่บ้านดุเอาแน่ แต่ถ้าข้ากลับไปตอนนี้คงพอได้อ้างชื่อพี่สี่ได้บ้าง"ถ้อยคำซุกซนที่แฝงแผนการทำให้คนโดนพาดพิงเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ

       "โฮ่ เจ้าหนูนี่ฉลาดไม่เบานี่"เถาเถาว่าอย่างถูกใจ ก่อนจะถามอย่างนึกขึ้นได้ "จริงสิ เจ้าหนู เจ้าชื่ออะไร?"

       คำถามนี้เรียกสายตาตงห่ายให้มองตรงมา เมื่อมองสบสายตาคู่นั้นจิ้นเฟยก็เข้าใจความหมายจึงหันไปส่งยิ้มกว้างและตอบคำถามทหารร่างโตด้วยเสียงดังฟังชัด

       "ข้าชื่อเฟยขอรับ ขอบคุณพี่ชายเถาเถาที่คอยดูแลพี่ชายข้า ตั้งแต่พี่สี่จากไปก็ไม่ยอมส่งข่าวกลับมาเลยทำให้ข้าเป็นห่วงมาก แต่เมื่อได้พบกันวันนี้ ได้เห็นพี่สบายดีข้าก็สบายใจแล้ว"

       คำพูดไหลลื่นดังสายน้ำ ซึ่งจิ้นเฟยไม่ต้องใช้สมองคิดคำโกหกให้มากมาย เพราะทุกสิ่งที่พูดออกไปนั้นเป็นความรู้สึกลึกๆของเด็กชายตัวน้อยซึ่งถูกทิ้งไว้เพียงลำพัง มันเป็นความรู้สึกตลอดสามปีขององค์ชายเก้าเฟิงจิ้นที่มีต่อองค์ชายสี่ตงห่าย

       อย่างที่เคยบอกว่าร่างนี้มีความทรงจำตกค้างอยู่มาก แต่ที่มากกว่าความทรงจำคืออารมณ์และความรู้สึกนึกคิด ยามที่หวนนึกถึงเรื่องบางอย่างอารมณ์และความรู้สึกยามที่องค์ชายน้อยได้เผชิญก็ส่งผ่านความทรงจำมาด้วยเช่นกัน นั่นจึงเป็นเหตุผลที่จิ้นเฟยค่อนข้างสนิทใจในการพูดคุยกับร่างสูง ขณะที่ทางเฟยจิ่ง แม้จะรับรู้ถึงอารมณ์ความรู้สึกของอดีตเจ้าของร่าง แต่ก็ไม่ได้หลงไปกับสิ่งเหล่านั้น อีกฝ่ายตัดความรู้สึกที่ไม่ใช่ของตนเองทิ้งแล้วใช้สมองที่เป็นกลางตัดสินใจเรื่องต่างๆ ดังนั้นเจ้าตัวจึงไม่ได้ลดการป้องกันที่มีต่อตงห่ายลงเหมือนอย่างจิ้นเฟย

       ตงห่ายที่ฟังคำพูดนั้นแล้วนิ่งเงียบไป ขณะที่เถาเถาตบหนักๆลงบนบ่าเล็กแล้วหัวเราะอย่างชอบใจ

       "ไม่ต้องห่วงเจ้าหนูเฟย ข้าจะดูแลพี่เจ้าอย่างดีเลย!"

       คำสัญญาที่จิ้นเฟยพยักหน้ารับ ขณะที่ในใจนึกขำอีกฝ่ายว่าดูแลประสาอะไรถึงพยายามลากตัวไปทิ้งที่หอโคม นี่ถ้าเจ้าตัวรู้ว่าคนที่ตัวเองแกล้งตบหัวตบไหล่เป็นถึงองค์ชายจะทำหน้ายังไงกันนะ?

       หมดเรื่องแล้วจิ้นเฟยก็โค้งตัวลาตงห่ายและเถาเถา ก่อนเลื่อนสายตามองไปยังลู่หลินซึ่งกำลังใช้ผ้าสะอาดเช็ดหน้าผู้เป็นน้องชายอยู่ไม่ไกล

       อยู่ที่นี่คงปลอดภัยแล้วล่ะนะ

       "ถ้าอย่างนั้นข้าขอตัวกลับก่อนก็แล้วกัน พี่สี่ พี่ชายเถาเถา รักษาตัวด้วย"จิ้นเฟยโค้งลา ซึ่งทั้งสองพยักหน้ารับแล้วกำชับให้กลับระวังๆ ขณะที่หมุนตัวกลับเตรียมจากไปนั้นเอง

       หมับ!

       ความรู้สึกชายเสื้อถูกดึงรั้งส่งผลให้จิ้นเฟยชะงักเท้า เมื่อหันไปมองก็พบว่าเป็นลู่หลินที่ยึดไว้ มองฝ่ามือเล็กที่กำชายเสื้อตัวเองไว้แน่นจิ้นเฟยก็เลิกคิ้ว

       ร่างเล็กขยับริมฝีปากคล้ายต้องการเอ่ยถ้อยคำแต่ก็ไม่มีเสียงใดลอดออกมาจึงเม้มปากแน่น จิ้นเฟยเห็นท่าทางนั้นจึงยื่นมือขวาไปให้ ลู่หลินมองฝ่ามือขาวตรงหน้าแล้วราวกับเห็นภาพทับซ้อนกับภาพเหตุการณ์ไม่กี่ชั่วยามก่อน

       หากไม่ใช่มือนี้ที่ยื่นเข้ามาช่วยเหลือ...

       ลู่หลินก้มหน้าต่ำลงก่อนใช้มือหนึ่งปะคองฝ่ามือใหญ่ไว้ อีกข้างก็เขียนตวัดตัวอักษรลงไป    

       'ขอบคุณ'

       "เรื่องในวันนี้ข้าไม่ได้ลงมือทำอะไรเลย ถ้าจะขอบคุณก็ขอบคุณพี่สี่กับพวกพี่ๆทหารแทนจะดีกว่า"จิ้นเฟยว่าอย่างขำๆเมื่อรับรู้สิ่งที่ร่างเล็กต้องการบอก ฝ่ายเด็กสาวสั่นหัวเหมือนไม่เห็นด้วยกับคำพูดนั้น

       ตอนนี้เองที่ชายเสื้ออีกข้างถูกดึงด้วยแรงที่มากกว่า พอหันไปดูก็พบกับร่างเล็กของเด็กชายหน้าตามอมแมมที่ตอนนี้ปัดผมไปด้านขวาจนเห็นใบหน้าซีกซ้ายที่ปลอดภัยไร้ราคี พอใช้น้ำสะอาดล้างออกก็เผยให้เห็นเชื้อผู้ดีลางๆ จิ้นเฟยมองใบหน้าเล็กที่ส่อแววหล่อในอนาคตทำท่าขมวดคิ้วแน่นหน้าตาขึงขัง

       "เรื่องก่อนหน้านี้...ข้าขอโทษด้วย ถึงข้าจะตั้งใจฆ่าเจ้าจริงๆก็ตาม"

       น้ำเสียงยามกล่าวกับคำพูดที่เหมือนว่าอย่างขอไปทีทำให้ฝ่ายโดนขอโทษมุมปากกระตุก ก่อนจิ้นเฟยจะเลิกคิ้วขึ้นเมื่อพบว่าอีกฝ่ายยังพูดไม่จบ

       "แล้วก็...ขอบคุณที่ช่วยพี่ของข้าไว้"ท่าทางขมวดคิ้วหนักยามพูดของเด็กชายตัวน้อยกับอาการเบือนหน้าเลี่ยงหลบสายตาตนส่งผลให้จิ้นเฟยหลุดขำเล็กๆอย่างนึกเอ็นดู ซึ่งเมื่ออีกฝ่ายได้ยินเสียงหัวเราะก็หันขวับมามองจิ้นเฟยตาขวางทั้งยังกล่าวด้วยน้ำเสียงติดกร้าว

       "อย่าเข้าใจผิดล่ะ บุญคุณนี่ก็เรื่องหนึ่ง แต่จากนี้ต่อไปห้ามมาทำตัวสนิทสนมกับพี่ลู่หลินของข้าอีก!"

       ซิสค่อน!

       จิ้นเฟยได้ยินคำพูดที่กางปีกกั้นไม่ให้คนอื่นเข้าใกล้พี่สาวตัวเองของอีกฝ่ายคิดในใจพลางส่ายหน้า ก่อนไอเดียบางอย่างจะพุ่งเข้ามาในหัว ซึ่งเจ้าตัวก็รีบซ่อนยิ้มร้ายแล้วปั้นหน้าใสซื่อกล่าว

       "อย่างนั้นเหรอ? แสดงว่าจากนี้ไปข้าคงไม่ได้เจอลู่หลินอีกแล้วสินะ? แย่จัง..."น้ำเสียงเศร้าเสียดายทำให้ลู่หลินที่ได้ฟังมีสีหน้าหม่นลง เด็กชายมองท่าทีพี่สาวตนเองอย่างแตกตื่น ฝ่ายจิ้นเฟยเห็นสถานการณ์ก็ล้วงเข้าไปในอกเสื้อหยิบพัดที่ซื้อมาจากตลาดเมื่อไม่นานออกมายื่นให้เด็กสาว พลางกล่าวอย่างอ่อนโยน

       "ในเมื่อต่อไปคงไม่ได้เจอกันอีก ข้าขอมอบพัดนี่ให้เป็นของดูต่างหน้า หากวาสนามีจริงเราคงได้พบพานกันอีก"

       เมื่อได้ยินเช่นนั้นลู่หลินจึงยื่นมือออกไปรับพัดเล่มนั้นมาถือแนบอก เด็กชายเห็นอย่างนั้นก็รีบพูดไล่ "เจ้าจะไปไหนก็ไปเลยไป!"

       จิ้นเฟยฟังคำพูดนั้นแล้วแกล้งถอนหายใจ

       "รีบไล่ข้าซะจริงนะ ช่างเถอะ ก่อนจะไปข้ามีของขวัญให้เจ้าเหมือนกัน"คนฟังมีสีหน้าสงสัย จิ้นเฟยแกล้งยกมือขวาที่กำอยู่เบี่ยงออกไปด้านข้างพร้อมค่อยๆแบออก ซึ่งเมื่อเด็กชายหันมองตามร่างโปร่งก็ฉวยโอกาสนั้นก้มลงหอมดังฟอดก่อนดีดตัวหนีออกมา

       "เจ้า...!"ฝ่ายโดนฉวยโอกาสกุมแก้มขวาตนก่อนชี้หน้าผู้กระทำอย่างสรรหาคำด่าไม่ออก จิ้นเฟยยิ้มกริ่มโบกมือให้เด็กชายพลางวิ่งจากไป

       "นี่คือของขวัญจากลามอบให้เจ้า ลาก่อนเด็กน้อย ไว้เจอกันใหม่"เสียงหัวเราะร่าค่อยๆเงียบหายไปทิ้งให้คนมองอึ้งตะลึง

       "น้องชายเจ้านิยมบุรุษหรือ?"เถาเถาที่คลายจากอาการตะลึงพึมพำออกมาอย่างไม่ตั้งใจ ขณะที่ตงห่ายที่อยู่ในคราบไป่หมิงเหม่อมองเส้นทางที่ร่างของน้องชายต่างมารดาตัวน้อยจากไปด้วยสายตาประหลาดใจ

       ดูท่าห้าปีที่ผ่านพ้นไป ได้เปลี่ยนให้เด็กชายผู้เย่อหยิ่งเอาแต่ใจคนนั้นให้กลายเป็นเด็กหนุ่มที่ร่าเริงช่างหยอกล้อแทนเสียแล้ว

       แต่นั่นก็ถือเป็นเรื่องดีล่ะนะ


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×