คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : บทเก้า ตัวจริงของชายปริศนา
"เช่นนั้น...ข้ายกนางให้เจ้าดีหรือไม่?"
คำพูดน่าตกใจนี้ไม่เพียงแต่จิ้นเฟยจะระแวง
เฟยจิ่งเองก็เริ่มจับเค้าได้ว่าที่อีกฝ่ายประมูลลู่หลินไปเพราะต้องการบางอย่างจากพวกตน
"ต้องการอะไร?"น้ำเสียงที่แฝงความระแวดระวังไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายลดรอยยิ้มลง เจ้าของเสียงทุ้มต่ำหัวเราะเบาๆ
"ไม่ได้คิดจะให้ทำอะไรแปลกๆหรอก
แค่...อยากให้ถอดนั่นออกน่ะ"ปลายนิ้วเรียวเคาะเบาๆที่หน้ากากตัวเอง
"หน้ากากนี่?"จิ้นเฟยจับหน้ากากที่สวมอยู่พลางกล่าวทวน
ก่อนมองรอยยิ้มประหลาดของอีกฝ่ายอย่างนึกสงสัยยิ่งกว่าเดิม
"ลุงเฟยว่าไง? รับเงื่อนไขดีไหม?"จิ้นเฟยลอบปรึกษาเฟยจิ่ง
ขณะที่สองตายังจับสังเกตร่างสูงอย่างระวัง
ฝ่ายเฟยจิ่งครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนตอบเสียงเรียบ
"เงื่อนไขนี้ไม่ยาก
รับไว้ไม่เสียหาย"
"จะดีเหรอลุงเฟย? เงื่อนไขที่หมอนี่ว่ามันน่าสงสัยนะ"จิ้นเฟยว่าอย่างติดกังวล แม้จะเข้าใจเหตุผลที่เฟยจิ่งเลือกตอบรับก็ตาม
ถึงมันจะดีที่ไม่ต้องเสียเวลาแย่งชิงตัวลู่หลิน
แต่การที่อีกฝ่ายแลกสินค้าที่ทุ่มซื้อด้วยทองคำสิบหีบกับการเห็นหน้าตน
จิ้นเฟยคิดว่ามันแปลกเกินไป
"ไม่ต้องสนใจเรื่องเล็กน้อย
ยังไงเสียหากเจ้านั่นคิดตุกติกข้าจะจัดการเอง"ฟังคำกล่าวนี้จิ้นเฟยก็สบายใจในที่สุด
หันไปตอบตกลงกับคู่ค้าประหลาด
"ได้ ข้ารับเงื่อนไขนั้น
แต่จะให้ถอดตอนนี้เลย?"
"...ไม่
ไว้หลังงานเลิกดีกว่า"อีกฝ่ายดูลังเลเล็กน้อยก่อนตอบ
ทางฝ่ายจิ้นเฟยก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก เมื่อหมดสิ้นปัญหาก็กลับไปดูงานประมูลต่อ
สินค้าที่ถูกนำเสนอขายชุดถัดๆมาก็ล้วนแต่เป็นพวกเด็กสาวหน้าตาดี
ซึ่งทุกคนต่างมีสีหน้าเศร้าหมองแฝงเร้นอย่างเพียงมองก็รู้ว่าหาได้เต็มใจ
"สินค้าพวกนี้มาจากไหนเหรอลุงเฟย?
พวกผู้หญิงบนเวทีหน้าตาผิวพรรณอย่างกับพวกคุณหนู
จะบอกว่าเป็นพวกที่พ่อแม่ส่งมาขายใช้หนี้ก็ออกจะเกินไปมั้ง
เพราะเด็กๆหน้าตาดีแบบนี้แทนที่จะเอามาขายสู้เอาไปเสนอแลกกับพวกคุณชายยังจะดีซะกว่าอีก
หรือลุงว่าไง?"น้ำคำกล่าวอย่างแฝงความสงสัยติดไม่พอใจที่ทำให้คนฟังนึกหนักใจเล็กๆ
"บางทีเจ้าก็ฉลาดเกินไป..."เสียงต่อว่าที่คล้ายรำพึงกับตัวเองของเฟยจิ่งส่งผลให้จิ้นเฟยขมวดคิ้วไม่เข้าใจ
แต่ก็ไม่มีคำตอบกลับมา
จนเมื่อเข้าสู่ช่วงใกล้ปิดงานก็ได้มีร่างหนึ่งพุ่งเข้ามาด้วยท่าทางแตกตื่น
จากใบหน้าและการแต่งกาย หญิงสาวนางนั้นคือผู้ทำหน้าที่เป็นพิธีกรเมื่อครู่
จิ้นเฟยหรี่ตามองร่างนั้นวิ่งขึ้นไปกระซิบถ้อยคำกับหญิงสาวชุดแดงบนเวที
"แย่แล้วเจ้าค่ะนายหญิง!
ข้างนอกนั่นถูกทหารปิดล้อมไว้หมดแล้วเจ้าค่ะ"
เสียงกระซิบที่มันก็ยังส่งตรงมาถึงหูได้อย่างตรงหน้าที่
สำหรับจิ้นเฟยแค่รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
แต่ปฏิกิริยาจากร่างสูงที่ยืนอยู่ด้านข้างกลับปรากฏรอยยิ้มเย็น
ซึ่งท่าทางนั้นมีเพียงเฟยจิ่งที่จับสังเกตได้
และนั่นทำให้เขารีบบอกให้จิ้นเฟยหนีออกจากที่นี่
"เราต้องไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้"
"ทำไมล่ะลุง?"จิ้นเฟยที่ตามสถานการณ์ไม่ทันถามอย่างข้องใจ
เมื่อไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องหนีทหารด้วย ซึ่งเฟยจิ่งตอบเสียงเคร่งทันควัน
"เมื่อการค้ามนุษย์นับเป็นการละเมิดกฎบ้านเมือง
ทางการปิดล้อมที่นี่ไว้เช่นนั้นย่อมแปลว่าคิดรวบตัวผู้กระทำผิดให้หมด
หากเจ้าไม่อยากติดร่างแห เราต้องไปเดี๋ยวนี้!"
"เข้าใจล่ะ"จิ้นเฟยตอบรับเมื่อได้ฟังคำอธิบาย
ก่อนจะหยุดคิดเล็กน้อยเมื่อหันไปยังคู่ค้าที่ตนทำข้อตกลงไว้ "แล้วลู่หลินล่ะ?"
"นางจะไม่เป็นไร"
เพียงได้ฟังคำกล่าวนี้จิ้นเฟยก็ผละจากมาทันใดโดยไม่สนว่าชายสวมหน้ากากสีทองนั้นจะพยายามเรียกรั้งตนไว้หรือไม่ ซึ่งหลังเผ่นออกมาจิ้นเฟยก็ต้องดีดตัวไปบนหลังคาตึกข้างเคียงเมื่อบริเวณรอบหอเพลิงระบำได้ถูกปิดล้อมไว้หมดแล้ว รอบตัวหอมีทหารกลุ่มหนึ่งยืนล้อมกรอบกันไม่ให้ผู้คนในหอหลบหนี ขณะที่อีกกลุ่มเข้าไปในตัวหอ ซึ่งจากที่คาดคนเหล่านั้นคงเข้าไปจับตัวพวกที่อยู่ในงานประมูลเป็นแน่
จิ้นเฟยลอบปาดเหงื่อเมื่อคิดได้ว่าฉิวเฉียดจริงๆ หากโดนทางการจับไป ทั่วเมืองหลวงคงได้รู้กันหมดว่าองค์ชายเก้าที่ไม่มีใครต้องการมีส่วนเกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์อันเป็นการขัดต่อกฎบ้านเมืองขั้นร้ายแรง
ซึ่งหากข่าวลือเหล่านี้แพร่กระจายออกไป ชื่อเสียงขององค์ชายไป๋เฟิงจิ้นคงถึงคราวจบสิ้นจริงๆแล้ว
แต่ถึงจะพ้นวิกฤตมาได้จิ้นเฟยก็ยังไม่ไปไหนเนื่องจากกังวลถึงความปลอดภัยของเด็กสาวที่ตนรับปากว่าจะช่วย
จนเมื่อเห็นเหตุการณ์ทั้งหลายเริ่มสงบ ผู้คนในงานประมูลต่างถูกจับกุมไว้เกือบหมด
ใช่ มีบางคนที่หายไป ได้แก่ตัวเจ้าของหออย่างแม่นางหงลวี่ และร่างอ้วนฉุของไอ้หมูตอนที่ชอบอวดร่ำอวดรวย
อ้อ
ร่างสูงที่ซื้อตัวลู่หลินไปก็ไม่อยู่เหมือนกัน... หนีไปได้งั้นเหรอ?
จิ้นเฟยค่อนข้างกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้
เนื่องจากมัวพะวงกับกลุ่มคนเบื้องล่างจึงไม่ทันสังเกตเงาดำจากเบื้องหลัง
แต่ด้วยเฟยจิ่งที่มีสัญชาตญาณดีกว่าจึงหันไปตั้งรับหลบคมดาบที่วาดผ่านร่างตนได้อย่างทันท่วงที
กรึ่ก...
หน้ากากที่สวมอยู่ปริแตกจากการโดนเฉี่ยวไปเมื่อครู่จนเผยให้เห็นใบหน้าเกลี้ยงเกลาซีกขวา
จิ้นเฟยใช้มือหนึ่งจับหน้ากากซีกซ้ายไม่ให้ร่วงหล่นตามพลางมองตอบร่างสูงที่เป็นคนลงมืออย่างตกใจ
"คิดจะทำอะไร?"จิ้นเฟยถามเสียงห้วน
ก่อนจะขมวดคิ้วเมื่อพบว่าเนื้อตัวไม่มีอะไรพอจะใช้เป็นอาวุธได้
ขณะที่อีกฝ่ายถือดาบเล่มใหญ่เอาไว้ในมือ ระหว่างที่คิดอยู่นั้นร่างสูงกลับลดดาบลง
แล้วว่าขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่แน่ใจ
"เสี่ยวเฟิง?"
คำเรียกนั้นทำให้ทั้งสองวิญญาณชะงักพร้อมกัน ก่อนจิ้นเฟยจะหรี่ตามองคนพูดอย่างนึกระแวง
อีกฝ่ายมีความเกี่ยวข้องอะไรกับร่างนี้กัน?
"เจ้าเป็นใคร"
"หืม? อะไรกัน นี่จำพี่ไม่ได้เหรอ? พี่เอง"เสียงทุ้มนุ่มกล่าวย้ำ
ก่อนจะถอดหน้ากากแล้วปัดผมสีดำที่ปรกหน้าออก
ซึ่งเมื่อเห็นโครงหน้านั้นชัดๆความคุ้นเคยที่แปลกประหลาดก็พุ่งเข้าจู่โจม
ใบหน้าที่เปลี่ยนแปลงไปมากแต่ก็ยังส่อเค้าวันวาน
จิ้นเฟยและเฟยจิ่งจ้องมองดวงหน้าคมนั้นชัดๆ เพียงอึดใจความปวดแปลบก็แวบเข้ามาในหัวพร้อมกับภาพอดีตที่เล่นฉาย ร่างเล็กของเด็กชายสองร่างวิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนานในสวนกว้างของวังหลวง
ร่างหนึ่งสะดุดหกล้มหน้าคว่ำ อีกร่างก้าวเข้าหาพร้อมยื่นมือมาฉุด
ร่างเล็กที่หกล้มเงยหน้ามองร่างที่โตกว่า มือน้อยเอื้อมคว้ามือใหญ่
พร้อมกันนั้นริมฝีปากเล็กในความทรงจำก็ขยับเอื้อนเอ่ยถ้อยคำ
'พี่สี่'
"พี่...สี่?"
"ใช่ พี่เอง
ไม่ได้เจอกันหลายปีเลยนะเสี่ยวเฟิง"
จิ้นเฟยยืนตะลึงมองใบหน้าหล่อเหลาที่แย้มยิ้มอ่อนโยนด้วยความตกใจ
เมื่อไม่คิดมาก่อนว่าจะมาบังเอิญเจอกับคนรู้จักของอดีตเจ้าของร่าในที่แบบนี้
ทั้งอีกฝ่ายยังไม่ใช่แค่คนรู้จักธรรมดา แต่เป็นถึงพี่ชายต่างมารดา
องค์ชายเฉินตงห่าย องค์ชายสี่แห่งแคว้นอวิ๋น
ถึงจะบอกว่าเป็นองค์ชาย
แต่ร่างกายกลับดูเหมือนนักรบ ร่างสูงที่เปลี่ยนไปใส่ชุดหนังสีดำแขนสั้นแนบพอดีตัว
ลักษณะเสื้อผ้าที่ใส่มีเกราะอ่อนสวมทับคล้ายกับพวกทหาร
ซึ่งเมื่อสวมชุดนี้จึงเผยให้เห็นร่างกายที่อุดมด้วยกล้ามเนื้อแกร่ง
จากความทรงจำในอดีตที่ตกค้างอีกฝ่ายอายุต่างกับร่างนี้เพียงสองถึงสามปีเท่านั้น
แต่บรรยากาศรอบตัวยามนี้กลับดูคล้ายทหารศึกที่ผ่านสนามรบมาไม่น้อย
เฟยจิ่งลอบสังเกตวิธีจับดาบของร่างสูงที่ดูหนักแน่นมั่นคงแล้วหวนนึกถึงการฟันก่อนหน้านี้
หากการฟันครั้งนั้นคงเป็นการจงใจทำลายหน้ากากของพวกเขา
นี่แสดงว่าเจ้าตัวคำนึงถึงปฏิกิริยาหลบหลีกของทางฝ่ายเขาไว้แล้ว
ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงนับว่าองค์ชายผู้นี้มีฝีมือร้ายกาจไม่น้อย
เพราะการเจาะจงทำลายแต่ตัวหน้ากากนั้นต้องอาศัยการคำนวณถึงระยะและแรงในการฟัน
การฟันเมื่อครู่อีกฝ่ายทำได้อย่างสมบูรณ์แบบจึงว่าเป็นยอดฝีมือคนหนึ่ง
ร่างสูงเก็บดาบเสียบกลับไปที่ข้างเอวก่อนเดินตรงเข้ามาหา
จิ้นเฟยไม่รู้ว่าควรถอยหนีดีไหม แต่พอนึกได้ว่ามีเฟยจิ่งอยู่ด้วยจึงเลือกทำใจเย็นยืนนิ่งปล่อยให้อีกฝ่ายเข้าใกล้
ซึ่งพอเข้าใกล้ได้ระยะร่างนั้นก็เคลื่อนฝ่ามือใหญ่เข้าหา
จิ้นเฟยเกร็งตัวก่อนนิ่งอึ้งเมื่อพบว่าเจ้าของมือกำลังลูบหัวตน
"ไม่ได้เจอกันเพียงห้าปีเจ้ากลับโตขึ้นมาก
ดูสิ สูงเกือบถึงอกข้าแล้ว"สัมผัสแผ่วเบาและคำพูดกลั้วหัวเราะที่เต็มไปด้วยความเอ็นดูของอ๋องสี่จิ้นเฟยกะพริบตาปริบๆ
แล้วเอียงคอว่าตอบกลับไป
"พี่สี่ต่างหากที่โตขึ้นมาก
ข้ายังอีกนานกว่าจะสูงเท่าท่าน"คำย้อนส่งผลให้คิ้วร่างสูงเลิกขึ้น
ก่อนยกยิ้มมุมปาก
"เดี๋ยวนี้เจ้ารู้จักเถียงข้าแล้วรึ?
เสี่ยวเฟิงตัวน้อยที่เมื่อก่อนคอยเดินตามข้าอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
จากกันเพียงไม่นานเจ้ากลับกลายเป็นเด็กดื้อดึงเสียแล้ว"
"ข้าไม่ได้ดื้อเสียหน่อย
แต่ถึงข้ากลายเป็นเด็กดื้อ พี่สี่ก็ไม่โกรธเคืองข้าหรอก จริงหรือไม่?"คนพูดกะพริบตาใสพาให้คนฟังนิ่งก่อนหัวเราะร่วน
"กล้าใช้คำพูดไล่ต้อนข้า ใครกันที่สั่งสอนให้เจ้ากลายเป็นเด็กร้ายกาจอย่างนี้?"มือที่ลูบหัวเบาๆเปลี่ยนเป็นขยี้อย่างหมั่นเขี้ยวระคนเอ็นดู
จิ้นเฟยร้องโอ๊ยเบาๆ แล้วรีบจับมืออีกฝ่ายออก
"พอเลย ผมข้ายุ่งหมดแล้ว
พี่สี่ ท่านต้องรับผิดชอบมาเลยนะ!"
"รับผิดชอบ? ข้าต้องรับผิดชอบอะไร?"คนฟังแกล้งถามอย่างสงสัย
ซึ่งนั่นเรียกรอยยิ้มเจ้าเล่ห์จากจิ้นเฟย
"พี่สี่ทำผมข้ายุ่ง
ดังนั้นท่านต้องรับผิดชอบโดยมาคอยหวีผมข้านับจากนี้"คำกล่าวอ้างที่ไร้เหตุผลซึ่งร่างสูงเพียงเลิกคิ้วยิ้มๆก่อนตอบตามน้ำ
"หือ? ให้ข้าหวีผมให้เจ้า? ได้สิ"ได้ยินคำตอบรับจิ้นเฟยก็แกล้งเชิดหน้าพูดเสียงดัง
"ยังมีอีกเรื่อง
เมื่อครู่พี่สี่ทำหน้ากากข้าแตก ท่านต้องซื้อใหม่คืนให้ข้าด้วย"
คำกล่าวที่ว่าได้คืบจะเอาศอก
เห็นทีคงสร้างขึ้นเพื่อกล่าวเปรียบกับสถานการณ์ตรงหน้าโดยเฉพาะเป็นแน่
ตงห่ายมองไปยังเศษซากหน้ากากที่เกิดจากฝีมือตัวเองก่อนพยักหน้ารับ
"ย่อมได้"
"มีอีกเรื่อง"พอได้ยินว่ามีอีกทำให้คิ้วคนฟังเริ่มขมวด
แต่จิ้นเฟยหาได้สนใจร่ายยาวถึงความผิดอีกฝ่ายไปจนถึงบทลงโทษ
"วันนี้เป็นวันแรกที่ข้าออกมาเที่ยวเล่น
แต่พี่สี่ขัดจังหวะข้า ดังนั้นท่านพี่ต้องชดใช้โดยการพาข้ามาเที่ยวในวันหลังด้วย!"
"ฮืม
ข้าว่าจะถามเจ้าอยู่ว่าเหตุใดองค์ชายรัชทายาทอย่างเจ้าถึงได้ออกมานอกวังหลวงเพียงลำพังอย่างนี้"คำถามนี้ส่งผลให้คนฟังชะงัก
"เรื่องนั้น..."
"ไป่หมิง!
ไป่หมิง! เกิดเรื่องแล้ว!!"
เสียงดังโหวกเหวกมาพร้อมกับเสียงฝีเท้าหนักวิ่งตรงมาทางพวกเขา
ซึ่งเมื่อเสียงเหล่านั้นหยุดลงจึงเผยให้เห็นร่างสูงใหญ่ของชายหนุ่มในเครื่องแบบทหารคนหนึ่งในสภาพหอบเหนื่อย
ใบหน้ากร้านคล้ำแดดปรากฏร่องรอยเหงื่ออันบ่งบอกถึงความรีบร้อนของเจ้าตัว
"อะไรของเจ้าเถาเถา
เสียงดังเชียว"ร่างสูงเอ่ยปากถามผู้มาใหม่ที่ใช้หลังมือปาดเหงื่อที่หน้าผากแล้วพูดเสียงระรัว
"เกิดเรื่องแล้ว
เจ้าอ้วนเสี้ยวม่อนั่นหนีไปได้!"
"เรื่องนั้นข้ารู้แล้ว
ข้าเพิ่งส่งกำลังทหารไปตามตัวจับกลับมา"ร่างสูงตอบเสียงนิ่ง
ทางฝ่ายคนบอกข่าวรีบว่าต่อ
"ยังมีอีกเรื่อง
แม่เล้าของหอนี้ตายแล้ว!"
"อะไรนะ?"ร่างสูงขมวดคิ้วแน่น ขณะหรี่ตามองคนพูด
"ข้าไม่รู้รายละเอียดนัก
แต่จูเมี่ยวที่เป็นคนตรวจสอบศพบอกว่านางตายเพราะพิษ บางทีนางอาจฆ่าตัวตาย"
"เรื่องนั้นข้าว่า..."ขณะกำลังกล่าวร่างสูงก็พลันหยุดชะงักหันมามองร่างโปร่งเล็กที่ทำตาซื่อยืนฟังอยู่เงียบๆตั้งแต่เมื่อครู่
ซึ่งเมื่อเห็นคู่สนทนามองไปทางอื่นร่างสูงใหญ่ก็หันมองตาม ก่อนจะขมวดคิ้ว
"เจ้าหนูนี่เป็นใคร?"คำถามนี้น้ำเสียงที่กล่าวแฝงความหวาดระแวงอยู่หลายส่วน
จิ้นเฟยเห็นมืออีกฝ่ายเลื่อนไปอยู่ที่ข้างเอวก็รีบอ้าปาก
ซึ่งไม่ทันตอบก็มีคนช่วยพูดแทน
"นั่นน้องชายข้าเอง บังเอิญแอบมาเที่ยวแถวนี้
ข้าเจอตัวเลยกำลังดุว่าอยู่"คำอธิบายของร่างสูงทำให้ร่างใหญ่ละมือที่แตะดาบออก
ก่อนหัวเราะร่า
"โฮ่
เจ้าหนูอย่างเจ้าถึงวัยเที่ยวหอโคมแล้วรึ ดีๆ อย่าเอาพี่เจ้าเป็นตัวอย่างล่ะ
รายนี้ถ้าไม่ใช่เรื่องงานไม่ยอมเข้าไปท่าเดียว ข้ารึอุตส่าห์จ่ายเหล่าแม่นางทั้งหลายให้ช่วยบริการเจ้าเป็นพิเศษแท้ๆเชียว"
"เช่นนั้นข้าควรขอบใจเจ้า?"ร่างสูงถามด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น ซึ่งฝ่ายคนฟังหัวเราะโอ่
"ไม่ต้องๆ ข้ามันคนใจกว้าง
เอ้อ... เจ้าหนูไปดูพวกพี่สาวด้านหน้ากันเถอะ
แต่ล่ะคนงามๆทั้งนั้น"แววตาเย็นยะเยือกที่ส่งมาทำให้ร่างโตรีบเบี่ยงประเด็น
ร่างสูงถอนใจเหลือบมองจิ้นเฟยก่อนว่า
"ยังไงก็ไปรวมตัวกับพวกด้านหน้าก่อนเถอะ"
จิ้นเฟยพยักหน้ารับอย่างเชื่อฟัง
สองเท้าก้าวตามพี่ชายต่างมารดาที่พูดจากระซิบกระซาบกับอีกร่างด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ซึ่งน่าแปลกที่คราวนี้จิ้นเฟยกลับไม่ได้ยินเรื่องที่ทั้งสองคนพูดกัน
แต่เท่าที่ฟังจากที่คุยกันก่อนหน้า
ดูเหมือนคนที่ชื่อเถาเถาจะไม่รู้ฐานะที่แท้จริงของร่างสูง
ไม่อย่างนั้นคงไม่กล้าพูดจาเล่นหัวเล่นหางแบบนั้น
จะว่าไปแล้ว ที่องค์ชายสี่จากเมืองหลวงไปก็เพื่อฝึกฝนตนให้กลายเป็นแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่
คงเพราะได้รับอิทธิพลมาจากตระกูลเฉิน ซึ่งเป็นสายเลือดฝั่งแม่
โดยตระกูลนี้เป็นตระกูลแม่ทัพใหญ่ที่รับใช้ราชวงศ์อวิ๋นมาหลายชั่วอายุคนแล้ว
ถึงองค์ชายตงห่ายจะมีสายเลือดนี้อยู่เพียงครึ่งแต่ก็คล้ายจะสืบทอดเจตนารมณ์มาอย่างเต็มเปี่ยม
ตั้งแต่เด็กๆเจ้าตัวตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะเติบโตขึ้นเป็นคนที่แข็งแกร่งเพื่อปกป้องคนที่อ่อนแอ
ก็ดูเป็นคนดีนี่...
"จงระวังตัวไว้
เจ้าเด็กนั่นอันตราย"
ขณะที่จิ้นเฟยตั้งข้อสรุปในใจเฟยจิ่งกลับพูดเตือนขัดขึ้นด้วยน้ำเสียงติดเคร่ง
"อันตราย? พี่สี่น่ะเหรอ?"จิ้นเฟยเลิกคิ้ว มองร่างของคนที่พูดถึงซึ่งเดินนำหน้าตีคู่กันกับอีกคน
ทั้งคู่ยังคงพูดจากระซิบกันซึ่งน่าแปลกที่จิ้นเฟยไม่ได้ยินทั้งที่ทั้งคู่ก็ไม่ได้อยู่ไกลเท่าใดนัก
"ดูท่าทางเด็กนั่นคงระแวงเจ้า"
"ระแวงฉัน ยังไง?"คนฟังว่าอย่างไม่เข้าใจ
เพราะเท่าที่ดูร่างสูงก็พูดจาเป็นมิตรไม่มีทีท่าระแวดระวังใส่สักนิดนี่? เฟยจิ่งรับรู้ความคิดนั้นจึงถามกลับเสียงเยาะ
"เช่นนั้นเจ้าได้ยินที่สองคนนั่นพูดกันหรือไม่เล่า?"จิ้นเฟยที่ได้ยินคำถามส่ายหน้าพลางขมวดคิ้ว
"ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกันนะ
ทั้งที่อยู่ใกล้แค่นี้แท้ๆ"เฟยจิ่งพ่นลมหายใจก่อนอธิบายด้วยเสียงกึ่งระอา
"นั่นเป็นเพราะระดับลมปราณของเจ้ายังไม่ถึงขั้น
เมื่อเจ้าเด็กนั่นใช้กำลังภายในปรับระดับเสียงตอนพูดคุยเจ้าจึงไม่อาจได้ยิน"
ปรับระดับเสียงด้วยลมปราณ? จิ้นเฟยทบทวนศัพท์ใหม่ที่ไม่คุ้นหู
นิ่วคิ้วเล็กน้อยก่อนจะยกยิ้มเมื่อคิดบางอย่างได้
"ถึงฉันจะไม่ได้ยินก็จริง
แต่ถ้าเป็นลุงเฟยล่ะก็ต้องได้ยินอยู่แล้ว จริงไหม?"น้ำเสียงเปี่ยมความคาดหวังทำให้คนฟังแค่นเสียง
"ฮึ ข้าย่อมได้ยิน
แต่เรื่องที่สองคนนั่นพูดมิเกี่ยวข้องกับเรา"คำพูดนี้ของเฟยจิ่งบ่งบอกว่าเจ้าตัวไม่คิดจะบอกเล่าเนื้อหาที่ได้ยิน
ซึ่งนั่นทำให้จิ้นเฟยบู้ปากด้วยความขัดใจ
"เชอะ ลุงเฟยใจร้าย"
บทสนทนาหยุดอยู่แค่นี้
ทางตงห่ายหลังนำจิ้นเฟยมารวมกลุ่มกับเด็กสาวที่ถูกนำมาประมูลขายก็หายไปพร้อมคนที่ชื่อเถาเถา
ซึ่งคาดว่าคงไปทำธุระสำคัญบางอย่าง จิ้นเฟยพอมาถึงก็รีบสอดส่ายตาหาลู่หลิน
แล้วก็ได้พบร่างเล็กในชุดขาวยืนอยู่ที่มุมหนึ่งห่างจากคนอื่นๆจึงรีบตรงเข้าไปหา
ทางฝ่ายลู่หลินที่เห็นจิ้นเฟยก็ทำท่าตกใจเล็กน้อย
ชั่วครู่ที่เกิดความเงียบขึ้นระหว่างทั้งคู่ก่อนจะเป็นจิ้นเฟยที่ยกมือลูบศีรษะอีกฝ่ายเบาๆพลางยิ้มออกมา
"ไม่เป็นไรแล้วนะ"
ความคิดเห็น