คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : บทที่1
หากมีคนถามเขาว่า
สิ่งที่อยากได้เมื่อวันสิ้นโลกมาถึงคืออะไร
คำตอบของเขาคือ...นมสตรอว์เบอรี่
....
ชื่อของเขาคือ กู่หนิว (วัว)
สามปีก่อน ก่อนที่ดวงจันทร์สีแดงทั้งเจ็ดจะเฉิดฉายบนท้องฟ้า
ตัวเขาก็เป็นแค่กรรมกรวัยเกือบสามสิบที่หาได้ตามไซต์งานก่อสร้างทั่วไป
ด้วยรูปร่างใหญ่โตและเชื่องช้าเหมือนนิสัยนี้ใครต่อใครจึงเรียกเขาว่า
ต้าหนิว(วัวใหญ่) โดยส่วนตัวแล้วเขาเป็นคนง่ายๆ และอาจด้วยนิสัยใจเย็นที่ถูกฝึกปรือมาจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า
ทำให้ตอนที่วันสิ้นโลกมาถึงเขาจึงไม่ได้แตกตื่นมากนัก ทั้งยังคล้ายยินดีเล็กๆ
เมื่อไม่ต้องออกไปทำงานตากแดดให้ตัวดำเพิ่มอีก
ตั้งแต่สามปีก่อน ตัวเขาได้โยกย้ายตำแหน่งจากกรรมกรมาเป็นยามลาดตระเวน
อาชีพนี้แม้ได้เงินเดือนค่อนข้างดีและมีสวัสดิการครบถ้วน แต่กลับไม่ค่อยเป็นที่นิยมเท่าไหร่นัก
ในบรรดาหมวดอาชีพทั้งหมด ‘ยามรักษาความปลอดภัยยามค่ำคืน’
ถูกจัดเป็นอาชีพที่เสี่ยงต่อการเสียชีวิตเป็นอันดับต้นๆ
เหตุผลก็ด้วยยุคสมัยนี้มนุษย์ยังไม่แข็งแกร่งพอจะต่อต้านกับ ‘ผู้ล่า’ ได้
ถึงแม้ปัจจุบัน มนุษย์ที่ผ่านพ้น ‘ภัยพิบัติ’ มาแล้วจะได้รับพลังวิเศษกันคนละอย่าง แต่ด้วยเวลาแค่สามปี
มันไม่มากพอให้เหล่ามนุษย์ปรับตัวให้คุ้นชินกับพลังที่ได้มา โดยส่วนมาก มนุษย์ทั้งหลายจึงตกตายก่อนที่จะมีโอกาสได้ใช้พลังของตัวเอง
ถามว่าเขากลัวไหม? แน่นอนว่ากลัว
แต่ถ้าจะให้มัวกลัวแล้วอดตายก็ไม่ใช่วิสัยของเขาด้วย อีกอย่าง
คนเราเมื่อถึงเวลาก็ต้องตายด้วยกันทุกคน แทนที่จะมัวแต่กลัวกับสิ่งที่ยังมาไม่ถึง
เขาขอใช้เวลาที่เหลือให้คุ้มค่าดีกว่า
วันนี้ก็เป็นอีกวันที่เขาออกมาลาดตระเวนคนเดียว ตอนกลางคืนอากาศค่อนข้างหนาวทำให้ต้องใส่เสื้อหนาหลายชั้น
เขาต้องจำใจทนกับกลิ่นอับของเสื้อผ้าที่ไม่ได้ผ่านการซักมาแรมปีแล้วออกย่ำเท้าเดินต่อท่ามกลางความมืดสลัวของแสงไฟสีส้มข้างทางที่ติดๆดับๆ
กู่หนิวเดินไปข้างหน้าพลางเงี่ยหูกวาดตามองท้องถนนที่โล่งโจ้งอย่างไม่ให้มีอะไรตกหล่น
ประสบการณ์สามปีมานี้ได้สอนเขาว่า ถ้าไม่อยากเป็นเหยื่อของผู้ล่า ก็จงระวังตัวไว้ตลอดเวลา
เมื่อเดินไปได้สักพัก สายตาก็พลันเหลือบเห็นกองซากผู้ล่าที่ถูกตัดหัวกลุ่มใหญ่นอนระเนระนาดเกลื่อนพื้น
สามปีมานี่ฉากนองเลือดประเภทนี้เห็นได้บ่อยครั้ง แต่ที่น่าแปลกคือ
ท่ามกลางกลุ่มก้อนของซากไร้หัว มีวัตถุสีขาวๆ นอนกองรวมอยู่ด้วย
กู่หนิวตัดสินใจเดินไปดู แล้วก็ได้เห็นว่าวัตถุสีขาวที่ว่า แท้จริงเป็นร่างผอมบางของเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่หน้าตาดีพอๆ
กับดารา ดูจากสีผมที่ออกเงินแล้วคล้ายว่าจะเป็นลูกครึ่งด้วย
ในมือขาวเนียนของอีกฝ่ายกำมีดผีเสื้อเปื้อนโลหิตเอาไว้แน่น
กู่หนิวมองแล้วมองอีก แต่ก็ไม่เห็นสัญญาณการกลายร่าง
จึงคาดว่าเด็กหนุ่มคงไม่ได้ติดเชื้อ เขาลองใช้ไม้เบสบอลที่ถือเป็นอุปกรณ์ประจำตัวมาตลอดสามปีเขี่ยๆ
ไปที่ร่างนั้น พอได้ยินเสียงอืออาครางสลับกับเสียงหายใจติดขัดลอดออกมาเบาๆ ก็ตัดสินใจล้วงเอาคริสตัลสีเหลืองขนาดพอๆ
กับลูกปิงปองออกมายัดใส่ปากอีกฝ่าย แต่ทันทีที่เขาแตะต้องตัวเด็กหนุ่ม ใบมีดสั้นเปื้อนโลหิตก็พลันยื่นมาจ่อแนบชิดลำคอ
นัยน์ตาสีฟ้าแวววาวของคนที่คิดว่าสลบไปแล้วยามนี้เปิดครึ่งลืมครึ่ง
ดวงตาเย็นชาว่างเปล่าที่จับจ้องมานั้นให้ความรู้สึกน่าหวาดหวั่น แต่ในสายตากู่หนิวซึ่งผ่านโลกมามาก
เขาสังเกตเห็นความหวาดระแวงในแววตาจึงตัดสินใจชูมือที่ถือคริสตัลให้อีกฝ่ายเห็น
พร้อมมองสบตานิ่งอย่างสื่อเจตนาว่าไม่ได้มาร้าย
เด็กหนุ่มนิ่งงันไปครู่ใหญ่ แต่ในที่สุดก็ลดมีดลง
มือขาวแย่งคริสตัลไปใส่ปากแล้วหลับตานิ่ง
กู่หนิวเห็นแล้วก็ถอยออกมาให้อีกฝ่ายได้ซึมซับพลังของคริสตัลและรักษาอาการบาดเจ็บ
เขายืนเฝ้าอยู่นานหลายชั่วโมงจนกระทั่งท้องฟ้าสว่าง กู่หนิวเหลือบมอง เห็นเด็กหนุ่มลืมตาแล้วจึงโบกมือจากมา
และแล้วในที่สุดก็ได้กลับมาที่เตียง... กู่หนิวคิดขณะแนบใบหน้าลงบนเตียงเดี่ยวที่มีสภาพกลางๆ
กึ่งเก่ากึ่งใหม่ วันนี้เขากลับช้าเพราะเหตุสุดวิสัย ทำให้ตอนไปรับรายได้วันนี้ถูกฝ่ายบัญชีค่อนแคะว่าอู้งาน
แต่คำพูดพวกนั้นก็ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรนัก กู่หนิวหันหน้าไปทางซ้าย เขามองดูคริสตัลสีแดงกับอาหารกระป๋องที่ตั้งอยู่บนโต๊ะแล้วค่อยๆหลับตา...
ตื่นมาอีกทีตอนบ่ายแก่ๆ กู่หนิวอ้าปากหาวหนึ่งรอบ
ก่อนเขาจะล้วงเข้าไปในกางเกงผ้าเนื้อหนาตัวเก่งที่สวมอยู่ แล้วคลำไปที่ต้นขาซ้ายจนเจอเข้ากับของที่ต้องการ
ชายหนุ่มหยิบถุงผ้าสีฟ้าขนาดประมาณสองฝ่ามือจากกระเป๋าลับด้านในออกมาคลี่เปิดดู คริสตัลในนั้นมีสีแดงอยู่ยี่สิบและสีเหลืองอยู่ห้า
หลังชั่งใจคิดเล็กน้อยเขาก็หยิบเอาคริสตัลสีแดงสิบอันออกมาวางบนเตียง แล้วประกบมือเข้าหากัน
เพียงครู่เดียวคริสตัลสีแดงทั้งสิบก็หายไป เหลือไว้แค่คริสตัลสีเขียวใสสองอัน
กู่หนิวหยิบคริสตัลทั้งสองอันใส่ปากอย่างรวดเร็ว
ก่อนจะจัดการเก็บถุงผ้ากลับไว้ตามเดิม
เขาหลับตาอีกครู่ก็ออกไปวิ่งรอบสนามสิบรอบพลางจับเวลา ผลที่ได้คือความเร็วรอบนี้ดีกว่าเมื่ออาทิตย์ก่อนอยู่
0.2วิฯ เขาหาวอีกรอบแล้วตัดสินใจใช้คริสตัลสีแดงสองอันไปแลกตั๋วอาบน้ำสำหรับเดือนนี้
ร่างหนาใช้เวลาห้านาทีสำหรับการอาบน้ำหกขันด้วยสบู่ที่ใกล้หมดสภาพและยาสระผมที่ผ่านการเจือจางจนแทบกลายเป็นน้ำเปล่า
หลังจัดการตัวเองเสร็จ กู่หนิวก็เดินกลับห้องเพื่อไปนอนรอเอาแรงก่อนถึงเวลางาน แต่คิดไม่ถึงว่าเวลานอนอันแสนมีค่าของเขาจะถูกรบกวน
กู่หนิวถูกหัวหน้าป้อมผู้ควบคุมพื้นที่โซนแถบนี้เรียกตัวไปพบ
เขาสาวเท้าไปยังที่หมายพลางคิดทบทวนถามตัวเองว่าได้ไปโผล่หน้าหรือกระตุ้นต่อมโมโหอะไรของคุณชายประจำป้อมเหลียงตี้อีกหรือเปล่า
แต่คิดไปคิดมา หลังจากเป็นกระสอบทรายให้อีกฝ่ายจนถึงสามเดือนก่อนแล้ว เขาก็เหมือนจะไม่ได้ไปล่วงเกินราชาประจำค่ายอีก
หรืออีกฝ่ายจะเบื่อเลยอยากเรียกเขาไปเป็นกระสอบทรายฆ่าเวลาเล่น?
อ้า ดูท่าเดือนแห่งความเหน็ดเหนื่อยจะมาถึงอีกแล้วสิ...
แต่ความคาดหวังของเขากลับพลิกผิดไปไกล เมื่อครั้งนี้ราชาประจำค่ายที่หน้าตาไม่ถือว่าดีหรือร้าย
แต่มักทำตัวหยิ่งและวางท่ากร่างเพราะถือดีว่ามีพลังไฟที่สามารถต่อกรกับผู้ล่า ได้เข้ามาตบไหล่พูดนับพี่นับน้องก็พาให้ขนลุก
กู่หนิวพยายามคิดหาสาเหตุว่าตกลงแล้วอีกฝ่ายกินยาไม่เขย่าขวดมาหรือว่าถูกพวกผู้ล่าโจมตีจนสมองกลับกันแน่
แต่ไม่นานเขาก็รู้คำตอบ
เขาถูกพาไปพบกับชายหนุ่มสวมแว่นคนหนึ่งที่แม้หน้าตาจะไม่ถือว่าหล่อมากนัก
แต่อีกฝ่ายมีรัศมี ทวงท่าและความสง่าอย่างที่คนโง่ก็พอจะรู้ว่าเป็นพวกชนชั้นสูง
กู่หนิวก้มหัวทักทายอย่างเงอะงะ
แล้วยืนสงบเสงี่ยมรอฟังถึงเหตุผลที่ถูกเรียกตัวมาพบ
“ผมชื่อหลงคุน มาจากป้อมไป่เหอ(ลิลลี่) วันนี้ผมเป็นตัวแทนมาเจรจา
ทางเราต้องการให้คุณผู้ชายท่านนี้ย้ายมาอยู่ที่ป้อมของเรา ทางคุณสามารถเรียกราคาได้ตามต้องการ”หลังแนะนำตัวสั้นๆ คนพูดก็ว่าเข้าประเด็นสำคัญ
โดยไม่สนใจเลยว่าคนฟังจะตกตะลึงกับคำพูดนั้นแค่ไหน
“ครับ?”
กู่หนิวแปลกใจกับสิ่งที่ได้ยิน ไม่เพียงเขา
เหลียงฟาง หัวหน้าป้อมเหลียงตี้เองยังแสดงสีหน้าคาดไม่ถึง แต่ดูจากใบหน้าขรึมจริงจังของคนพูดจึงไม่มีใครคิดว่านี่เป็นการล้อเล่น
สำหรับกู่หนิวที่ไม่เคยยึดติดกับอะไรหลังตั้งสติได้ก็เพียงกะพริบตาสามที
แล้วเอ่ยข้อเรียกร้องเป็นงานที่สามารถได้อาหารกระป๋องมากินอย่างน้อย1มื้อต่อวัน กับคริสตัลสีแดงกับเหลืองอย่างละอัน
กู่หนิวไม่รู้ว่าตัวเองจะถูกพาไปยังป้อมอื่นเพราะอะไร แต่ไม่ว่ายังไงเขาก็ต้องหาหลักประกันให้กับตัวเองไว้ก่อน
พอได้ยินคำขอ คนฟังก็เพียงแสดงแววตาประหลาดก่อนตอบตกลง
อีกฝ่ายจ่ายค่าตัวเขาให้กับเหลียงฟางเป็นคริสตัลสีแดงจำนวนสองกระเป๋า
ซึ่งเมื่อทุกอย่างเรียบร้อยดี กู่หนิวก็ได้ย้ายสำมะโนครัวไปยังป้อมไป่เหอที่อยู่เยื้องๆ
กับป้อมเหลียงตี้ไปประมาณสามสี่ซอยด้วยรถกันกระสุนสีเงินคันงาม
พอเห็นตึกที่เป็นที่อยู่ป้อมไป่เหอกู่หนิวก็เลิกคิ้ว นึกย้อนกลับไปยังป้อมเหลียงตี้แล้ว ช่างให้ความรู้สึกเหมือนเอาอพาร์ทเม้นท์ถูกๆ ไปเทียบกับโรงแรมห้าดาวยังไงยังงั้น
ชายหนุ่มส่ายหัว และด้วยความขี้เกียจใส่ใจ
หลังลงจากรถเขาจึงไม่ได้สังเกตอะไรรอบด้านมากมาย เพียงเดินตามหลังคุณหลงไปอย่างเงียบๆ
ตัวลิฟต์ทะยานขึ้นไปชั้นบนสุด คุณหลงเดินนำเขาไปยังห้องหนึ่ง
ทันทีที่ประตูเปิดออกก็เผยให้เห็นห้องกว้างสไตล์เรียบง่ายแต่ให้กลิ่นอายหรูหรา
และอาจด้วยประสาทสัมผัสที่พัฒนาขึ้นหลังวันสิ้นโลก
จมูกของเขาจึงได้กลิ่นของดอกไม้ชนิดหนึ่งอบอวลไปทั่วห้อง
ขณะกำลังนึกว่าเป็นกลิ่นของดอกไม้อะไร ร่างเด็กหนุ่มชุดขาวก็ปรากฏสู่สายตา
กู่หนิวนิ่งค้างไปเมื่อเห็นได้ใบหน้าที่งดงาม อ่อนเยาว์ และบริสุทธิ์ราวกับเทวดาใกล้ๆ
ก่อนชายหนุ่มจะระลึกได้ว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าเป็นคนเดียวกับที่เขาได้ช่วยเหลือไว้เมื่อเช้ามืดวันนี้
งานนี้เขาพอจะเข้าใจถึงเหตุผลที่ถูกพามารางๆแล้ว
“เชิญนั่ง”เสียงคุณหลงว่าขึ้นอย่างราบเรียบ
กู่หนิวรีบนั่งลงตามคำเชิญอย่างรวดเร็ว
“ท่านนี้คือคุณชายเซียงเว่ย
จากนี้ไปจะเป็นเจ้านายของคุณ”คุณหลงพูดแนะนำเสร็จก็กล่าวทบทวนข้อเรียกร้องของเขาให้เด็กหนุ่มฟัง
ซึ่งตั้งแต่จนจบสีหน้าผู้ฟังมีเพียงความเรียบเฉย นัยน์ตาสีฟ้าที่ไม่มีใครคาดเดาความลับที่ซุกซ่อนอยู่ออกหลุบลงต่ำ
หลังคุณหลงพูดจบเด็กหนุ่มก็กระดิกนิ้วเรียก
กู่หนิวลอบแปลกใจขณะมองภาพหลงคุนโค้งตัวลงไปฟังถ้อยคำกระซิบ
หลังผ่านไปครู่หนึ่งชายหนุ่มก็ผละออกมา แผ่นหลังที่โค้งลงเมื่อครู่กลับมาเหยียดตรง
มือที่สวมถุงมือขาวดันแว่นเบาๆ แล้วกล่าวแนะนำอาชีพที่ตรงกับข้อเรียกร้องของเขา
“คนคุ้มกัน?” กู่หนิวทำสีหน้าประหลาด ซึ่งคนมองก็เข้าใจความหมาย
“จากข้อมูล ทางเราทราบดีว่าพลังของคุณคือความเร็ว
พวกเราจึงคาดหวังว่าคุณจะสามารถใช้พลังนั้นพาคุณชายเซียงหลบหนีไปยังสถานที่ปลอดภัยในยามคับขัน”ชายหนุ่มดันแว่นอีกครั้งพลางชี้แจง
กู่หนิวถึงได้โล่งใจ เพราะในใบประวัติ พลังพิเศษของเขา ‘ถูกระบุ’ ว่าเป็นความเร็ว เขาคิดแล้วพยักหน้า เมื่องานดูจะไม่ยากและไม่ได้เสี่ยงอันตรายมากนัก
ต่อมาก็ถึงเรื่องที่พัก ชายหนุ่มถูกจัดให้อยู่ชั้นถัดลงไป
โดยอยู่ใกล้กับบันไดหนีไฟ งานนี้คาดว่าคงเตรียมไว้พร้อมรับสถานการณ์ฉุกเฉิน
กู่หนิวถูกสั่งว่าให้คอยคุ้มกันเฉพาะตอนออกไปปฏิบัติภารกิจ ส่วนในเวลาว่างสามารถไปไหนก็ได้
แต่ก็ต้องอยู่ในระยะที่สามารถเรียกใช้ได้ตลอดเวลา เรื่องวันหยุดมีให้7วันต่อปี
ส่วนเงื่อนไขเงินเดือนก็ได้ตามที่เขาเรียกร้องเอาไว้
พูดตามตรงกู่หนิวคิดว่างานนี้ค่อนข้างสบายไปหน่อย
เขาลำบากมาจนชิน พออยู่ว่างนานๆ เลยรู้สึกไม่สบายตัว ทนไปได้สองวันจึงบากหน้าไปถามคุณหลงว่านอกจากงานนี้แล้วเขาสามารถหางานอย่างอื่นทำได้รึเปล่า
สุดท้ายเลยถูกไล่มาปลูกดอกไม้ในเรือนกระจกที่อยู่ชั้นดาดฟ้า โดยค่าแรงเป็นคริสตัลสีแดงหนึ่งอันต่อวัน
หลังได้รับงานใหม่มา คนที่ไม่ชอบว่างงานก็เป็นอันได้วิ่งวุ่นหาข้อมูลวิธีการดูแลดอกไม้ใบหญ้าที่แต่ก่อนไม่เคยใส่ใจ
เขาคอยทะนุถนอมดูแลดอกไม้อยู่นับเดือนก็เริ่มรู้สึกผูกพัน
พอจะเข้าใจความรู้สึกของคนสวนที่โมโหเวลามีคนมือบอนไปเด็ดดอกไม้ใบไม้เล่นหน่อยๆ แล้ว
กู่หนิวที่อาศัยในป้อมไป่เหอมาเป็นเดือนยังคงรักษานิสัยเอื่อยเฉื่อยของตัวเองเอาไว้อย่างดี
ทำให้นอกจากตอนไปรับค่าจ้างกับตอนทำงานเป็นคนสวนบนดาดฟ้าแล้ว
เขาแทบจะไม่เจอผู้คนเลย คนในป้อมที่เขาเคยเจอเห็นจะมีแต่คุณหลงคุนที่เป็นคนจ่ายค่าจ้างกับคุณชายเซียงเว่ยที่ขึ้นมาชมผลงานในเรือนกระจกวันละครั้งหลังอาหารเที่ยง
แต่ตั้งแต่ได้พบกัน เขากับคุณชายเซียงก็ไม่เคยพูดจากันสักประโยค
คิดแล้วกู่หนิวก็พลันระลึกได้ว่าเด็กหนุ่มไม่เคยพูดกับเขาโดยตรง
แต่มักจะพูดผ่านคุณหลงคุนที่เป็นเหมือนพ่อบ้านควบตำแหน่งเลขาอีกที ซึ่งเรื่องนี้กู่หนิวไม่แน่ใจนักว่าเด็กหนุ่มแค่เขินอายหรือรังเกียจที่จะพูดคุยกับคนแปลกหน้ากันแน่
แต่เขาก็ทำตัวสมเป็นลูกจ้างที่ดีโดยการไม่อู้งาน ไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้านาย และไม่บ่นจู้จี้เรื่องเงินเดือน
กู่หนิวที่ได้ศึกษาเรื่องดอกไม้มาพอสมควรในที่สุดก็นึกออกว่ากลิ่นดอกไม้ในห้องของคุณชายเซียงเว่ยเป็นกลิ่นของดอกลิลลี่
นั่นทำให้เขานึกสงสัยว่าชื่อป้อมนี่ตั้งตามความชอบของอีกฝ่ายรึเปล่า
แต่พอได้รู้ว่าเจ้านายชอบดอกลิลลี่ เขาในฐานะลูกจ้างที่ดีจึงยอมตัดใจส่งลูกๆ
ไปให้อีกฝ่ายทุกสามวัน โดยสีของลิลลี่ในแต่ละครั้งก็เลือกสุ่มเอาจากสีผ้าเช็ดหน้าที่คุณหลงเสียบไว้ที่อกเสื้อในวันนั้นๆ
เขาอยู่ทำหน้าที่เป็นคนสวนได้สามเดือนกว่า
ในที่สุดก็มีโอกาสได้ทำหน้าที่หลักของตัวเอง
ได้ยินจากคุณหลงมาว่ามีการจัดประชุมรวมของป้อมต่างๆในแถบเมืองS โดยการประชุมนี้มักจัดทุกๆครึ่งปี
แต่จะมีบางครั้งที่เลื่อนการประชุมเข้ามาเนื่องด้วยเหตุสุดวิสัย
ซึ่งงานนี้การประชุมถูกจัดขึ้นอย่างกะทันหัน
กู่หนิวขึ้นไปนั่งรถกันกระสุนสีเงินคันเดิม
โดยที่นั่งของเขาถูกจัดให้นั่งทางด้านซ้ายของคุณชายเซียง พอถามถึงเหตุผล
คุณหลงก็บอกว่าเผื่อเกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน เขาจึงได้แต่นั่งอย่างแอบเกร็งๆ อยู่ข้างกายเจ้านายตัวน้อย
แล้วก็มาถึงสถานที่ประชุม ซึ่งสถานที่ก็คือตึกหรูแห่งหนึ่งที่เคยเป็นธนาคารที่มีชื่อเสียงโด่งดังเรื่องระบบรักษาความปลอดภัย
กู่หนิวที่วันนี้ถูกจัดให้ใส่สูทขยับมือจัดเนกไทด้วยความไม่สบายใจเท่าไหร่กับบรรยากาศหนักอึ้งในห้องประชุม
เขายืนอยู่ด้านหลังเยื้องไปทางซ้ายของคุณชายเซียงเว่ย
ตีคู่กับหลงคุนที่ยืนเยื้องไปทางขวา พอลองกวาดสายตาดูกู่หนิวก็พลันเห็นเจ้านายเก่าเดินเข้ามาในห้องประชุม
โดยอีกฝ่ายเดินตามหลังชายหนุ่มผมดำหน้าตาหล่อเหลาดุจเทพบุตรเข้ามาด้วยสีหน้าตื่นเต้นกระวนกระวาย
กู่หนิวอดขมวดคิ้วไม่ได้ เพราะถึงจะเป็นคนเฉื่อยชาไม่ค่อยสนใจอะไรนัก
แต่เขาก็พอจะจำได้ว่าป้อมเหลียงตี้เป็นแค่ป้อมเล็กๆ
ซึ่งไม่ควรถูกเรียกมาร่วมการประชุมครั้งนี้ และที่เขาสงสัยที่สุดคือของในมืออีกฝ่าย
กล่องสีดำปิดทึบที่ใช้รักษาของมีค่า แต่แค่ราคากล่องก็ตกใบละหลายสิบล้าน ด้วยตัวกล่องดังกล่าวนั้นมีระบบรักษาความปลอดภัยแบบพิเศษที่ทำให้นอกจากตัวเจ้าของแล้วคนอื่นไม่สามารถเปิดได้
อะไรคือเหตุผลที่ต้องใช้กล่องใบนั้นในการเก็บรักษาสิ่งของ?
ของด้านในคืออะไร? คำถามเหล่านี้ไม่เพียงแต่กู่หนิวที่อยากรู้ ในสถานที่นั้น
ทุกสายตาต่างจับจ้องไปยังกล่องปริศนาด้วยความสงสัยอย่างไม่มีการปิดบัง
ชายหนุ่มที่เดินนำหน้าเหลียงฟางมากระตุกยิ้มมุมปาก
ร่างสูงในชุทสูทลำลองสีดำเดินไปยังหัวโต๊ะเพื่อเปิดการประชุม
“ผมเฉาจู้เฉิง ยินดีที่ได้พบทุกท่านอีกครั้ง
ขอขอบคุณทุกท่านที่สละเวลามาร่วมการประชุมในครั้งนี้”
“ผมอยากทราบถึงเหตุผลที่พวกคุณเรียกพวกเรามาครั้งนี้
คุณเฉา”สมาชิกที่ร่วมประชุมคนหนึ่งว่าขึ้น ซึ่งคุณเฉาหันไปยิ้มให้ผู้กล่าว
ก่อนเริ่มเกริ่น
“ผมก็ยินดีที่จะชี้แจงให้ทุกท่านทราบเช่นกัน
จากการประชุมครั้งก่อนที่ทางป้อมไป๋ซิงได้รายงานถึงความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นของผู้ล่า
ทุกท่านคงทราบดีกว่ากลุ่มผู้ล่าในแถบฝั่งนั้นมีความว่องไวมากจนพวกเราต้องระดมส่งกำลังคนไปช่วยปราบปราม
และหนึ่งในกลุ่มที่เข้าไปช่วยเหลือในการปราบปรามครั้งนั้น...คือป้อมเหลียงตี้”พูดถึงตรงนี้ชายหนุ่มก็เบี่ยงข้างให้เหลียงฟางที่มีสีหน้าตื่นเต้นก้าวออกมา
เหลียงฟางมองไปทางชายหนุ่มเพื่อขอคำอนุญาตก่อนจะทำการปลดล็อค
และค่อยๆ เปิดกล่องที่มีวัตถุกลมกลิ้งสีเขียวใสขนาดเท่าลูกปิงปองอยู่ข้างใน...
ความคิดเห็น