ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    วัวกินหญ้า หรือ หญ้ากินวัว? BL

    ลำดับตอนที่ #1 : บทที่1

    • อัปเดตล่าสุด 4 ก.ย. 64


    หากมีคนถามเขาว่า สิ่งที่อยากได้เมื่อวันสิ้นโลกมาถึงคืออะไร

    คำตอบของเขาคือ...นมสตรอว์เบอรี่

    ....

    ชื่อของเขาคือ กู่หนิว (วัว)

    สามปีก่อน ก่อนที่ดวงจันทร์สีแดงทั้งเจ็ดจะเฉิดฉายบนท้องฟ้า ตัวเขาก็เป็นแค่กรรมกรวัยเกือบสามสิบที่หาได้ตามไซต์งานก่อสร้างทั่วไป

    ด้วยรูปร่างใหญ่โตและเชื่องช้าเหมือนนิสัยนี้ใครต่อใครจึงเรียกเขาว่า ต้าหนิว(วัวใหญ่) โดยส่วนตัวแล้วเขาเป็นคนง่ายๆ และอาจด้วยนิสัยใจเย็นที่ถูกฝึกปรือมาจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ทำให้ตอนที่วันสิ้นโลกมาถึงเขาจึงไม่ได้แตกตื่นมากนัก ทั้งยังคล้ายยินดีเล็กๆ เมื่อไม่ต้องออกไปทำงานตากแดดให้ตัวดำเพิ่มอีก

    ตั้งแต่สามปีก่อน ตัวเขาได้โยกย้ายตำแหน่งจากกรรมกรมาเป็นยามลาดตระเวน อาชีพนี้แม้ได้เงินเดือนค่อนข้างดีและมีสวัสดิการครบถ้วน แต่กลับไม่ค่อยเป็นที่นิยมเท่าไหร่นัก ในบรรดาหมวดอาชีพทั้งหมด ยามรักษาความปลอดภัยยามค่ำคืน ถูกจัดเป็นอาชีพที่เสี่ยงต่อการเสียชีวิตเป็นอันดับต้นๆ เหตุผลก็ด้วยยุคสมัยนี้มนุษย์ยังไม่แข็งแกร่งพอจะต่อต้านกับ ผู้ล่า ได้

    ถึงแม้ปัจจุบัน มนุษย์ที่ผ่านพ้น ภัยพิบัติมาแล้วจะได้รับพลังวิเศษกันคนละอย่าง แต่ด้วยเวลาแค่สามปี มันไม่มากพอให้เหล่ามนุษย์ปรับตัวให้คุ้นชินกับพลังที่ได้มา โดยส่วนมาก มนุษย์ทั้งหลายจึงตกตายก่อนที่จะมีโอกาสได้ใช้พลังของตัวเอง

    ถามว่าเขากลัวไหม? แน่นอนว่ากลัว แต่ถ้าจะให้มัวกลัวแล้วอดตายก็ไม่ใช่วิสัยของเขาด้วย อีกอย่าง คนเราเมื่อถึงเวลาก็ต้องตายด้วยกันทุกคน แทนที่จะมัวแต่กลัวกับสิ่งที่ยังมาไม่ถึง เขาขอใช้เวลาที่เหลือให้คุ้มค่าดีกว่า

    วันนี้ก็เป็นอีกวันที่เขาออกมาลาดตระเวนคนเดียว ตอนกลางคืนอากาศค่อนข้างหนาวทำให้ต้องใส่เสื้อหนาหลายชั้น เขาต้องจำใจทนกับกลิ่นอับของเสื้อผ้าที่ไม่ได้ผ่านการซักมาแรมปีแล้วออกย่ำเท้าเดินต่อท่ามกลางความมืดสลัวของแสงไฟสีส้มข้างทางที่ติดๆดับๆ

    กู่หนิวเดินไปข้างหน้าพลางเงี่ยหูกวาดตามองท้องถนนที่โล่งโจ้งอย่างไม่ให้มีอะไรตกหล่น ประสบการณ์สามปีมานี้ได้สอนเขาว่า ถ้าไม่อยากเป็นเหยื่อของผู้ล่า ก็จงระวังตัวไว้ตลอดเวลา

    เมื่อเดินไปได้สักพัก สายตาก็พลันเหลือบเห็นกองซากผู้ล่าที่ถูกตัดหัวกลุ่มใหญ่นอนระเนระนาดเกลื่อนพื้น สามปีมานี่ฉากนองเลือดประเภทนี้เห็นได้บ่อยครั้ง แต่ที่น่าแปลกคือ ท่ามกลางกลุ่มก้อนของซากไร้หัว มีวัตถุสีขาวๆ นอนกองรวมอยู่ด้วย กู่หนิวตัดสินใจเดินไปดู แล้วก็ได้เห็นว่าวัตถุสีขาวที่ว่า แท้จริงเป็นร่างผอมบางของเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่หน้าตาดีพอๆ กับดารา ดูจากสีผมที่ออกเงินแล้วคล้ายว่าจะเป็นลูกครึ่งด้วย ในมือขาวเนียนของอีกฝ่ายกำมีดผีเสื้อเปื้อนโลหิตเอาไว้แน่น

    กู่หนิวมองแล้วมองอีก แต่ก็ไม่เห็นสัญญาณการกลายร่าง จึงคาดว่าเด็กหนุ่มคงไม่ได้ติดเชื้อ เขาลองใช้ไม้เบสบอลที่ถือเป็นอุปกรณ์ประจำตัวมาตลอดสามปีเขี่ยๆ ไปที่ร่างนั้น พอได้ยินเสียงอืออาครางสลับกับเสียงหายใจติดขัดลอดออกมาเบาๆ ก็ตัดสินใจล้วงเอาคริสตัลสีเหลืองขนาดพอๆ กับลูกปิงปองออกมายัดใส่ปากอีกฝ่าย แต่ทันทีที่เขาแตะต้องตัวเด็กหนุ่ม ใบมีดสั้นเปื้อนโลหิตก็พลันยื่นมาจ่อแนบชิดลำคอ

    นัยน์ตาสีฟ้าแวววาวของคนที่คิดว่าสลบไปแล้วยามนี้เปิดครึ่งลืมครึ่ง ดวงตาเย็นชาว่างเปล่าที่จับจ้องมานั้นให้ความรู้สึกน่าหวาดหวั่น แต่ในสายตากู่หนิวซึ่งผ่านโลกมามาก เขาสังเกตเห็นความหวาดระแวงในแววตาจึงตัดสินใจชูมือที่ถือคริสตัลให้อีกฝ่ายเห็น พร้อมมองสบตานิ่งอย่างสื่อเจตนาว่าไม่ได้มาร้าย

    เด็กหนุ่มนิ่งงันไปครู่ใหญ่ แต่ในที่สุดก็ลดมีดลง มือขาวแย่งคริสตัลไปใส่ปากแล้วหลับตานิ่ง กู่หนิวเห็นแล้วก็ถอยออกมาให้อีกฝ่ายได้ซึมซับพลังของคริสตัลและรักษาอาการบาดเจ็บ เขายืนเฝ้าอยู่นานหลายชั่วโมงจนกระทั่งท้องฟ้าสว่าง กู่หนิวเหลือบมอง เห็นเด็กหนุ่มลืมตาแล้วจึงโบกมือจากมา

    และแล้วในที่สุดก็ได้กลับมาที่เตียง... กู่หนิวคิดขณะแนบใบหน้าลงบนเตียงเดี่ยวที่มีสภาพกลางๆ กึ่งเก่ากึ่งใหม่ วันนี้เขากลับช้าเพราะเหตุสุดวิสัย ทำให้ตอนไปรับรายได้วันนี้ถูกฝ่ายบัญชีค่อนแคะว่าอู้งาน แต่คำพูดพวกนั้นก็ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรนัก กู่หนิวหันหน้าไปทางซ้าย เขามองดูคริสตัลสีแดงกับอาหารกระป๋องที่ตั้งอยู่บนโต๊ะแล้วค่อยๆหลับตา...

    ตื่นมาอีกทีตอนบ่ายแก่ๆ กู่หนิวอ้าปากหาวหนึ่งรอบ ก่อนเขาจะล้วงเข้าไปในกางเกงผ้าเนื้อหนาตัวเก่งที่สวมอยู่ แล้วคลำไปที่ต้นขาซ้ายจนเจอเข้ากับของที่ต้องการ ชายหนุ่มหยิบถุงผ้าสีฟ้าขนาดประมาณสองฝ่ามือจากกระเป๋าลับด้านในออกมาคลี่เปิดดู คริสตัลในนั้นมีสีแดงอยู่ยี่สิบและสีเหลืองอยู่ห้า หลังชั่งใจคิดเล็กน้อยเขาก็หยิบเอาคริสตัลสีแดงสิบอันออกมาวางบนเตียง แล้วประกบมือเข้าหากัน เพียงครู่เดียวคริสตัลสีแดงทั้งสิบก็หายไป เหลือไว้แค่คริสตัลสีเขียวใสสองอัน

    กู่หนิวหยิบคริสตัลทั้งสองอันใส่ปากอย่างรวดเร็ว ก่อนจะจัดการเก็บถุงผ้ากลับไว้ตามเดิม เขาหลับตาอีกครู่ก็ออกไปวิ่งรอบสนามสิบรอบพลางจับเวลา ผลที่ได้คือความเร็วรอบนี้ดีกว่าเมื่ออาทิตย์ก่อนอยู่ 0.2วิฯ เขาหาวอีกรอบแล้วตัดสินใจใช้คริสตัลสีแดงสองอันไปแลกตั๋วอาบน้ำสำหรับเดือนนี้

    ร่างหนาใช้เวลาห้านาทีสำหรับการอาบน้ำหกขันด้วยสบู่ที่ใกล้หมดสภาพและยาสระผมที่ผ่านการเจือจางจนแทบกลายเป็นน้ำเปล่า หลังจัดการตัวเองเสร็จ กู่หนิวก็เดินกลับห้องเพื่อไปนอนรอเอาแรงก่อนถึงเวลางาน แต่คิดไม่ถึงว่าเวลานอนอันแสนมีค่าของเขาจะถูกรบกวน

    กู่หนิวถูกหัวหน้าป้อมผู้ควบคุมพื้นที่โซนแถบนี้เรียกตัวไปพบ เขาสาวเท้าไปยังที่หมายพลางคิดทบทวนถามตัวเองว่าได้ไปโผล่หน้าหรือกระตุ้นต่อมโมโหอะไรของคุณชายประจำป้อมเหลียงตี้อีกหรือเปล่า แต่คิดไปคิดมา หลังจากเป็นกระสอบทรายให้อีกฝ่ายจนถึงสามเดือนก่อนแล้ว เขาก็เหมือนจะไม่ได้ไปล่วงเกินราชาประจำค่ายอีก

    หรืออีกฝ่ายจะเบื่อเลยอยากเรียกเขาไปเป็นกระสอบทรายฆ่าเวลาเล่น? อ้า ดูท่าเดือนแห่งความเหน็ดเหนื่อยจะมาถึงอีกแล้วสิ...

    แต่ความคาดหวังของเขากลับพลิกผิดไปไกล เมื่อครั้งนี้ราชาประจำค่ายที่หน้าตาไม่ถือว่าดีหรือร้าย แต่มักทำตัวหยิ่งและวางท่ากร่างเพราะถือดีว่ามีพลังไฟที่สามารถต่อกรกับผู้ล่า ได้เข้ามาตบไหล่พูดนับพี่นับน้องก็พาให้ขนลุก กู่หนิวพยายามคิดหาสาเหตุว่าตกลงแล้วอีกฝ่ายกินยาไม่เขย่าขวดมาหรือว่าถูกพวกผู้ล่าโจมตีจนสมองกลับกันแน่ แต่ไม่นานเขาก็รู้คำตอบ

    เขาถูกพาไปพบกับชายหนุ่มสวมแว่นคนหนึ่งที่แม้หน้าตาจะไม่ถือว่าหล่อมากนัก แต่อีกฝ่ายมีรัศมี ทวงท่าและความสง่าอย่างที่คนโง่ก็พอจะรู้ว่าเป็นพวกชนชั้นสูง กู่หนิวก้มหัวทักทายอย่างเงอะงะ แล้วยืนสงบเสงี่ยมรอฟังถึงเหตุผลที่ถูกเรียกตัวมาพบ

    “ผมชื่อหลงคุน มาจากป้อมไป่เหอ(ลิลลี่) วันนี้ผมเป็นตัวแทนมาเจรจา ทางเราต้องการให้คุณผู้ชายท่านนี้ย้ายมาอยู่ที่ป้อมของเรา ทางคุณสามารถเรียกราคาได้ตามต้องการ”หลังแนะนำตัวสั้นๆ คนพูดก็ว่าเข้าประเด็นสำคัญ โดยไม่สนใจเลยว่าคนฟังจะตกตะลึงกับคำพูดนั้นแค่ไหน

    “ครับ?”

    กู่หนิวแปลกใจกับสิ่งที่ได้ยิน ไม่เพียงเขา เหลียงฟาง หัวหน้าป้อมเหลียงตี้เองยังแสดงสีหน้าคาดไม่ถึง แต่ดูจากใบหน้าขรึมจริงจังของคนพูดจึงไม่มีใครคิดว่านี่เป็นการล้อเล่น สำหรับกู่หนิวที่ไม่เคยยึดติดกับอะไรหลังตั้งสติได้ก็เพียงกะพริบตาสามที แล้วเอ่ยข้อเรียกร้องเป็นงานที่สามารถได้อาหารกระป๋องมากินอย่างน้อย1มื้อต่อวัน กับคริสตัลสีแดงกับเหลืองอย่างละอัน กู่หนิวไม่รู้ว่าตัวเองจะถูกพาไปยังป้อมอื่นเพราะอะไร แต่ไม่ว่ายังไงเขาก็ต้องหาหลักประกันให้กับตัวเองไว้ก่อน

    พอได้ยินคำขอ คนฟังก็เพียงแสดงแววตาประหลาดก่อนตอบตกลง อีกฝ่ายจ่ายค่าตัวเขาให้กับเหลียงฟางเป็นคริสตัลสีแดงจำนวนสองกระเป๋า ซึ่งเมื่อทุกอย่างเรียบร้อยดี กู่หนิวก็ได้ย้ายสำมะโนครัวไปยังป้อมไป่เหอที่อยู่เยื้องๆ กับป้อมเหลียงตี้ไปประมาณสามสี่ซอยด้วยรถกันกระสุนสีเงินคันงาม พอเห็นตึกที่เป็นที่อยู่ป้อมไป่เหอกู่หนิวก็เลิกคิ้ว นึกย้อนกลับไปยังป้อมเหลียงตี้แล้ว ช่างให้ความรู้สึกเหมือนเอาอพาร์ทเม้นท์ถูกๆ ไปเทียบกับโรงแรมห้าดาวยังไงยังงั้น

    ชายหนุ่มส่ายหัว และด้วยความขี้เกียจใส่ใจ หลังลงจากรถเขาจึงไม่ได้สังเกตอะไรรอบด้านมากมาย เพียงเดินตามหลังคุณหลงไปอย่างเงียบๆ ตัวลิฟต์ทะยานขึ้นไปชั้นบนสุด คุณหลงเดินนำเขาไปยังห้องหนึ่ง

    ทันทีที่ประตูเปิดออกก็เผยให้เห็นห้องกว้างสไตล์เรียบง่ายแต่ให้กลิ่นอายหรูหรา และอาจด้วยประสาทสัมผัสที่พัฒนาขึ้นหลังวันสิ้นโลก จมูกของเขาจึงได้กลิ่นของดอกไม้ชนิดหนึ่งอบอวลไปทั่วห้อง

    ขณะกำลังนึกว่าเป็นกลิ่นของดอกไม้อะไร ร่างเด็กหนุ่มชุดขาวก็ปรากฏสู่สายตา กู่หนิวนิ่งค้างไปเมื่อเห็นได้ใบหน้าที่งดงาม อ่อนเยาว์ และบริสุทธิ์ราวกับเทวดาใกล้ๆ ก่อนชายหนุ่มจะระลึกได้ว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าเป็นคนเดียวกับที่เขาได้ช่วยเหลือไว้เมื่อเช้ามืดวันนี้

    งานนี้เขาพอจะเข้าใจถึงเหตุผลที่ถูกพามารางๆแล้ว

    “เชิญนั่ง”เสียงคุณหลงว่าขึ้นอย่างราบเรียบ กู่หนิวรีบนั่งลงตามคำเชิญอย่างรวดเร็ว

    “ท่านนี้คือคุณชายเซียงเว่ย จากนี้ไปจะเป็นเจ้านายของคุณ”คุณหลงพูดแนะนำเสร็จก็กล่าวทบทวนข้อเรียกร้องของเขาให้เด็กหนุ่มฟัง ซึ่งตั้งแต่จนจบสีหน้าผู้ฟังมีเพียงความเรียบเฉย นัยน์ตาสีฟ้าที่ไม่มีใครคาดเดาความลับที่ซุกซ่อนอยู่ออกหลุบลงต่ำ หลังคุณหลงพูดจบเด็กหนุ่มก็กระดิกนิ้วเรียก

    กู่หนิวลอบแปลกใจขณะมองภาพหลงคุนโค้งตัวลงไปฟังถ้อยคำกระซิบ หลังผ่านไปครู่หนึ่งชายหนุ่มก็ผละออกมา แผ่นหลังที่โค้งลงเมื่อครู่กลับมาเหยียดตรง มือที่สวมถุงมือขาวดันแว่นเบาๆ แล้วกล่าวแนะนำอาชีพที่ตรงกับข้อเรียกร้องของเขา

    “คนคุ้มกัน?” กู่หนิวทำสีหน้าประหลาด ซึ่งคนมองก็เข้าใจความหมาย

    “จากข้อมูล ทางเราทราบดีว่าพลังของคุณคือความเร็ว พวกเราจึงคาดหวังว่าคุณจะสามารถใช้พลังนั้นพาคุณชายเซียงหลบหนีไปยังสถานที่ปลอดภัยในยามคับขัน”ชายหนุ่มดันแว่นอีกครั้งพลางชี้แจง กู่หนิวถึงได้โล่งใจ เพราะในใบประวัติ พลังพิเศษของเขา ถูกระบุ ว่าเป็นความเร็ว เขาคิดแล้วพยักหน้า เมื่องานดูจะไม่ยากและไม่ได้เสี่ยงอันตรายมากนัก

    ต่อมาก็ถึงเรื่องที่พัก ชายหนุ่มถูกจัดให้อยู่ชั้นถัดลงไป โดยอยู่ใกล้กับบันไดหนีไฟ งานนี้คาดว่าคงเตรียมไว้พร้อมรับสถานการณ์ฉุกเฉิน กู่หนิวถูกสั่งว่าให้คอยคุ้มกันเฉพาะตอนออกไปปฏิบัติภารกิจ ส่วนในเวลาว่างสามารถไปไหนก็ได้ แต่ก็ต้องอยู่ในระยะที่สามารถเรียกใช้ได้ตลอดเวลา เรื่องวันหยุดมีให้7วันต่อปี ส่วนเงื่อนไขเงินเดือนก็ได้ตามที่เขาเรียกร้องเอาไว้

    พูดตามตรงกู่หนิวคิดว่างานนี้ค่อนข้างสบายไปหน่อย เขาลำบากมาจนชิน พออยู่ว่างนานๆ เลยรู้สึกไม่สบายตัว ทนไปได้สองวันจึงบากหน้าไปถามคุณหลงว่านอกจากงานนี้แล้วเขาสามารถหางานอย่างอื่นทำได้รึเปล่า สุดท้ายเลยถูกไล่มาปลูกดอกไม้ในเรือนกระจกที่อยู่ชั้นดาดฟ้า โดยค่าแรงเป็นคริสตัลสีแดงหนึ่งอันต่อวัน

    หลังได้รับงานใหม่มา คนที่ไม่ชอบว่างงานก็เป็นอันได้วิ่งวุ่นหาข้อมูลวิธีการดูแลดอกไม้ใบหญ้าที่แต่ก่อนไม่เคยใส่ใจ เขาคอยทะนุถนอมดูแลดอกไม้อยู่นับเดือนก็เริ่มรู้สึกผูกพัน พอจะเข้าใจความรู้สึกของคนสวนที่โมโหเวลามีคนมือบอนไปเด็ดดอกไม้ใบไม้เล่นหน่อยๆ แล้ว

    กู่หนิวที่อาศัยในป้อมไป่เหอมาเป็นเดือนยังคงรักษานิสัยเอื่อยเฉื่อยของตัวเองเอาไว้อย่างดี ทำให้นอกจากตอนไปรับค่าจ้างกับตอนทำงานเป็นคนสวนบนดาดฟ้าแล้ว เขาแทบจะไม่เจอผู้คนเลย คนในป้อมที่เขาเคยเจอเห็นจะมีแต่คุณหลงคุนที่เป็นคนจ่ายค่าจ้างกับคุณชายเซียงเว่ยที่ขึ้นมาชมผลงานในเรือนกระจกวันละครั้งหลังอาหารเที่ยง แต่ตั้งแต่ได้พบกัน เขากับคุณชายเซียงก็ไม่เคยพูดจากันสักประโยค

    คิดแล้วกู่หนิวก็พลันระลึกได้ว่าเด็กหนุ่มไม่เคยพูดกับเขาโดยตรง แต่มักจะพูดผ่านคุณหลงคุนที่เป็นเหมือนพ่อบ้านควบตำแหน่งเลขาอีกที ซึ่งเรื่องนี้กู่หนิวไม่แน่ใจนักว่าเด็กหนุ่มแค่เขินอายหรือรังเกียจที่จะพูดคุยกับคนแปลกหน้ากันแน่ แต่เขาก็ทำตัวสมเป็นลูกจ้างที่ดีโดยการไม่อู้งาน ไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้านาย และไม่บ่นจู้จี้เรื่องเงินเดือน

    กู่หนิวที่ได้ศึกษาเรื่องดอกไม้มาพอสมควรในที่สุดก็นึกออกว่ากลิ่นดอกไม้ในห้องของคุณชายเซียงเว่ยเป็นกลิ่นของดอกลิลลี่ นั่นทำให้เขานึกสงสัยว่าชื่อป้อมนี่ตั้งตามความชอบของอีกฝ่ายรึเปล่า แต่พอได้รู้ว่าเจ้านายชอบดอกลิลลี่ เขาในฐานะลูกจ้างที่ดีจึงยอมตัดใจส่งลูกๆ ไปให้อีกฝ่ายทุกสามวัน โดยสีของลิลลี่ในแต่ละครั้งก็เลือกสุ่มเอาจากสีผ้าเช็ดหน้าที่คุณหลงเสียบไว้ที่อกเสื้อในวันนั้นๆ

    เขาอยู่ทำหน้าที่เป็นคนสวนได้สามเดือนกว่า ในที่สุดก็มีโอกาสได้ทำหน้าที่หลักของตัวเอง

    ได้ยินจากคุณหลงมาว่ามีการจัดประชุมรวมของป้อมต่างๆในแถบเมืองS โดยการประชุมนี้มักจัดทุกๆครึ่งปี แต่จะมีบางครั้งที่เลื่อนการประชุมเข้ามาเนื่องด้วยเหตุสุดวิสัย ซึ่งงานนี้การประชุมถูกจัดขึ้นอย่างกะทันหัน

    กู่หนิวขึ้นไปนั่งรถกันกระสุนสีเงินคันเดิม โดยที่นั่งของเขาถูกจัดให้นั่งทางด้านซ้ายของคุณชายเซียง พอถามถึงเหตุผล คุณหลงก็บอกว่าเผื่อเกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน เขาจึงได้แต่นั่งอย่างแอบเกร็งๆ อยู่ข้างกายเจ้านายตัวน้อย

    แล้วก็มาถึงสถานที่ประชุม ซึ่งสถานที่ก็คือตึกหรูแห่งหนึ่งที่เคยเป็นธนาคารที่มีชื่อเสียงโด่งดังเรื่องระบบรักษาความปลอดภัย กู่หนิวที่วันนี้ถูกจัดให้ใส่สูทขยับมือจัดเนกไทด้วยความไม่สบายใจเท่าไหร่กับบรรยากาศหนักอึ้งในห้องประชุม เขายืนอยู่ด้านหลังเยื้องไปทางซ้ายของคุณชายเซียงเว่ย ตีคู่กับหลงคุนที่ยืนเยื้องไปทางขวา พอลองกวาดสายตาดูกู่หนิวก็พลันเห็นเจ้านายเก่าเดินเข้ามาในห้องประชุม โดยอีกฝ่ายเดินตามหลังชายหนุ่มผมดำหน้าตาหล่อเหลาดุจเทพบุตรเข้ามาด้วยสีหน้าตื่นเต้นกระวนกระวาย

    กู่หนิวอดขมวดคิ้วไม่ได้ เพราะถึงจะเป็นคนเฉื่อยชาไม่ค่อยสนใจอะไรนัก แต่เขาก็พอจะจำได้ว่าป้อมเหลียงตี้เป็นแค่ป้อมเล็กๆ ซึ่งไม่ควรถูกเรียกมาร่วมการประชุมครั้งนี้ และที่เขาสงสัยที่สุดคือของในมืออีกฝ่าย กล่องสีดำปิดทึบที่ใช้รักษาของมีค่า แต่แค่ราคากล่องก็ตกใบละหลายสิบล้าน ด้วยตัวกล่องดังกล่าวนั้นมีระบบรักษาความปลอดภัยแบบพิเศษที่ทำให้นอกจากตัวเจ้าของแล้วคนอื่นไม่สามารถเปิดได้

    อะไรคือเหตุผลที่ต้องใช้กล่องใบนั้นในการเก็บรักษาสิ่งของ? ของด้านในคืออะไร? คำถามเหล่านี้ไม่เพียงแต่กู่หนิวที่อยากรู้ ในสถานที่นั้น ทุกสายตาต่างจับจ้องไปยังกล่องปริศนาด้วยความสงสัยอย่างไม่มีการปิดบัง

    ชายหนุ่มที่เดินนำหน้าเหลียงฟางมากระตุกยิ้มมุมปาก ร่างสูงในชุทสูทลำลองสีดำเดินไปยังหัวโต๊ะเพื่อเปิดการประชุม

    “ผมเฉาจู้เฉิง ยินดีที่ได้พบทุกท่านอีกครั้ง ขอขอบคุณทุกท่านที่สละเวลามาร่วมการประชุมในครั้งนี้”

    “ผมอยากทราบถึงเหตุผลที่พวกคุณเรียกพวกเรามาครั้งนี้ คุณเฉา”สมาชิกที่ร่วมประชุมคนหนึ่งว่าขึ้น ซึ่งคุณเฉาหันไปยิ้มให้ผู้กล่าว ก่อนเริ่มเกริ่น

    “ผมก็ยินดีที่จะชี้แจงให้ทุกท่านทราบเช่นกัน จากการประชุมครั้งก่อนที่ทางป้อมไป๋ซิงได้รายงานถึงความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นของผู้ล่า ทุกท่านคงทราบดีกว่ากลุ่มผู้ล่าในแถบฝั่งนั้นมีความว่องไวมากจนพวกเราต้องระดมส่งกำลังคนไปช่วยปราบปราม และหนึ่งในกลุ่มที่เข้าไปช่วยเหลือในการปราบปรามครั้งนั้น...คือป้อมเหลียงตี้”พูดถึงตรงนี้ชายหนุ่มก็เบี่ยงข้างให้เหลียงฟางที่มีสีหน้าตื่นเต้นก้าวออกมา

    เหลียงฟางมองไปทางชายหนุ่มเพื่อขอคำอนุญาตก่อนจะทำการปลดล็อค และค่อยๆ เปิดกล่องที่มีวัตถุกลมกลิ้งสีเขียวใสขนาดเท่าลูกปิงปองอยู่ข้างใน...

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×