ลำดับตอนที่ #9
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : เจ้าขุนพลเริ่มเคลื่อนไหว
หลังจากเสร็จศึกกับพวกอาชาสวรรค์แล้ว มาเรียและริวจินก็ควบทะยานม้าไปยังจุดนัดหมายตามที่ขุนพลบลูนัดแนะไว้ทันที ตามลายแทงที่อีกฝ่ายให้มานั้นสถานที่คือซากปรักของตัวอาคารขนาดใหญ่ซึ่งตั้งโดดเด่นมาตั้งแต่อารยธรรมในยุคก่อน แต่กว่าทั้งสองจะเดินทางมาถึงก็เป็นช่วงพลบค่ำเสียแล้วบริเวณโดยรอบจึงค่อนข้างเงียบและเปลี่ยวร้างผู้คน องค์หญิงพยายามมองหาไปรอบสถานที่ว่าขุนพลบลูแอบอยู่ตรงไหน
"องค์หญิง! องค์หญิง!"
เสียงทุ้มต่ำดังมาจากด้านหลังโขดหินขนาดใหญ่ มาเรียรีบตามเสียงนั้นไปจนได้พบกับดอน ข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์จากในวังนั่นเอง ที่แท้บลูได้ออกคำสั่งให้เขารีบบึ่งมารอยังจุดนัดพบก่อนโดยไม่ให้พวกฟาเรียทันรู้ตัว
"ดอน! เจ้าปลอดภัยดีนะ แล้วขุนพลบลูล่ะ?"
"ตอนนี้ท่านขุนพลถูกจับไปลงโทษอยู่บนหอคอยขอรับ โทษฐานที่บังอาจทำตัวกระด้างกระเดื่องต่อคำสั่งขององค์หญิงฟาเรีย!"
มาเรียได้ฟังก็กัดฟันกรอด ไม่นึกว่ากระทั่งขุนพลบลูผู้ให้การรับใช้ข้างกายพี่สาวมาตลอดยังไม่มีละเว้น ฟาเรีย... หรือว่าเจ้าถูกปิศาจร้ายเข้าสิงสู่จนละทิ้งวิถีความเป็นมนุษย์ไปแล้วจริง ๆ กันนะ? เห็นทีว่าตอนนี้คนที่พอจะขอความช่วยเหลือได้ก็คงมีแต่ขุนพลเรดเสียแล้ว ทว่าเขาเองก็อยู่ไกลถึงชายแดนแถมยังรบติดพันกับพวกศัตรูอีกด้วย จะว่าไปเสด็จพ่อเป็นอย่างไรบ้างนะ
"ฝ่าบาทยังปลอดภัยดีขอรับ เพียงแต่สุขภาพทรุดโทรมลงจนไม่สามารถปรากฎตัวต่อสาธารณชนได้อีก"
ได้ยินดังนั้นนางก็โล่งอกไปหนึ่งเปลาะ ท่าทางว่าฟาเรียคงไม่กล้าเล่นงานพ่อแท้ ๆ ของตนเองเป็นแน่ แต่ปัญหาในปัจจุบันก็ยังไม่คลี่คลายอยู่ดี มาเรียต้องหาวิธีกลับเข้าไปในวังเพื่อช่วยเหลือบลูและหาทางพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเองให้จงได้
"องค์หญิง! ข้าได้รับคำสั่งจากขุนพลบลูว่าให้ท่านคอยอยู่ที่นี่ก่อน แม้ว่าตอนนี้ตัวขุนพลอาจจะออกมาพบท่านไม่ได้ แต่อย่างน้อยข้าว่าบลูเองคงเตรียมแผนการอื่นไว้บ้างแหละขอรับ!"
ดอนพยายามเกลี่ยกล่อมให้มาเรียคอยอยู่ที่นี่ไปก่อน ในระหว่างนี้ตนจะลอบเข้าไปในวังอีกครั้งเพื่อรวบรวมข่าวสารแล้วกลับมารายงาน ถึงยังไงพวกนางก็ไม่มีทางเลือกอื่นอยู่ดีเพราะนอกจากหน่วยอาชาสวรรค์ที่เหลือแล้วก็ยังมีกองทหารในความควบคุมของฟาเรียดักรอซุ่มโจมตีตามจุดต่าง ๆ เป็นแน่แท้
"เอาอย่างนั้นก็ได้! ดอนข้าคงต้องฝากเจ้าเป็นธุระให้แล้วล่ะ ระวังตัวด้วยนะ"
"ได้ขอรับองค์หญิง และข้ามีสิ่งนี้มอบให้ท่านไว้ด้วย"
ข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์ยื่นพลุไฟอันหนึ่งให้กับองค์หญิง พร้อมกำชับว่าในเวลาคับขันให้นางยิงพลุนี้ขึ้นฟ้าเป็นสัญญาณ แล้วเขาจะหาทางส่งกองหนุนมาช่วยเหลือโดยด่วนที่สุดเท่าที่จะทำได้ในทันที มาเรียซึ้งในน้ำใจของดอนจึงกล่าวคำอำลาและกำชับว่าให้คอยระวังรักษาตัวให้ดี อย่างให้ฝ่ายตรงข้ามจับตัวได้โดยเด็ดขาด
"ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่นี่นะ"
"ขอรับองค์หญิง ถ้าข้าไม่กลับมาภายในสามวันขอให้ท่านรีบหาที่หลบภัยอื่นโดยเร็วที่สุดเลยนะขอรับ!"
ว่าแล้วข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์ก็ควบม้าจากไป เมื่อเป็นเช่นนี้ริวจินจึงตกลงที่จะอยู่คอยเฝ้าระวังภัยให้กับมาเรียไปชั่วขณะก่อน จนกว่าทางเจ้าขุนพลจะเคลื่อนไหวเพิ่มเติม แล้วจากนั้นค่อยครุ่นคิดถึงเรื่องราวในภายภาคหน้าต่อไปว่าตนคิดจะทำอะไรต่อดี ทั้งสองจึงได้จัดที่พักค้างแรมชั่วคราวและก่อกองไฟเพื่อประกอบอาหาร จากนั้นจึงได้เข้านอนในเวลาไม่นานนัก...
@@@@@@@@@@@@
ขุนพลบลูชำระล้างคราบสกปรกตามร่างกายออกจนหมดด้วยน้ำอาบในคูหาส่วนตัว เหลือไว้แต่บาดแผลที่ถูกลูกสมุนของฟาเรียเฆี่ยนตีเป็นริ้วรอยแดงตามลำตัวและแผ่นหลัง สำหรับชายชาติบุรุษเยี่ยงเขาแล้วอาการบาดเจ็บแค่นี้ถือว่าเล็กน้อย แต่ความเจ็บปวดทางใจที่ได้รับนั้นมันหนักหนาเสียยิ่งกว่า เจ้าขุนพลเช็ดเนื้อตัวก่อนจะสวมใส่เกราะรบเต็มยศราวกับเตรียมตัวออกศึก ผ้าคลุมสีน้ำเงินที่กลางหลังปักริ้วสีทองเป็นลวดลายของวิหคสวรรค์ที่กางกรงเล็บทั้งสองข้างออกกว้าง
"ท่านขุนพล..."
ข้ารับใช้คุกเข่าส่งมอบกริชสีทองล้ำค่าให้โดยบอกว่านี่คือของกำนัลและขวัญกำลังใจจากจอมกษัตริย์ เครโต้มอบหมายให้เจ้าขุนพลใช้กริชสำคัญเล่มนี้ปลิดชีวิตลูกสาวคนรองของตน แล้วค่อยนำมาคืนเพื่อให้เป็นหลักฐานแห่งความจงรักภักดี
"จากเบาะแสในปัจจุบัน เห็นว่าองค์หญิงมาเรียเดินทางไปทิศใต้ ห่างจากเมืองหลวงสักราวสองวันขอรับ"
ตามลายแทงที่ข้าให้ไว้สินะ บลูคิดด้วยความเจ็บปวด ผีห่าซาตานตัวไหนมันดลบันดาลโชคชะตาอันโหดร้ายเยี่ยงนี้มาสู่เขากันนะ นี่ตนกำลังออกเดินทางเพื่อไปสังหารผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ที่เฝ้ารอคอยการมาของเขาตามที่สัญญาเอาไว้งั้นหรือ! แบบนี้แล้วยังจะเรียกตัวเองว่าเป็นขุนพล เป็นนักรบได้อีกหรือ?
"นี่ท่านจะเดินทางไปกำจัดองค์หญิงจริง ๆ งั้นหรือขอรับ!"
ทหารหนุ่มที่คอยเฝ้าติดตามขุนพลแอบกระซิบเบา ๆ ในระหว่างที่เดินทางไปส่งเจ้าขุนพลออกนอกเมือง บลูถอนหายใจก่อนจะตอบรับ ยิ่งทำให้พวกทหารคนอื่น ๆ ที่ตามมาด้วยออกอาการหงุดหงิดไม่พอใจเป็นอันมาก บางคนถึงขั้นออกปากอยากก่อกบฎเลยด้วยซ้ำ นั่นเพราะมาเรียมีบุคลิคร่าเริงแจ่มใส เข้ากับคนง่ายและไม่ถือตัวเหมือนฟาเรีย ทำให้ได้รับคะแนนนิยมที่ดีกว่าในหมู่ทหารบางกลุ่ม เมื่อมีการใส่ร้ายป้ายสีองค์หญิงคนรองจึงเกิดคลื่นใต้น้ำขึ้นมาเช่นนี้ กระนั้นด้วยความที่กองกำลังของฟาเรียมีมากกว่าทำให้อีกฝ่ายไม่กล้าตอบโต้อะไร
"ระวังคำพูดของพวกเจ้าหน่อย นี่เป็นคำสั่งโดยตรงจากองค์ราชาเชียวนะ!"
แม้ว่าจะเข้าใจในสิ่งที่พวกทหารทั้งหลายรู้สึกอยู่ แต่เมื่อสวมชุดนักรบแห่งกาเลเทียแล้วหน้าที่และชาติบ้านเมืองย่อมต้องมาก่อนอารมณ์ส่วนตัว ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิตบลูก็จะไม่ยอมให้ใครทำเรื่องเสื่อมเสียแก่ราชสำนักเป็นแน่ แม้ว่าอีกฝ่ายเองก็สืบสายเลือดขัตติยะมาเช่นกัน เจ้าขุนพลกำหมัดแน่นก่อนจะกระโดดขึ้นหลังม้าคู่ใจ
"พวกเจ้าคอยเฝ้าระวังอยู่ที่นี่ หากมีใครวางแผนบ่อนทำลายราชวงศ์ล่ะก็จงรีบรายงานแก่ผู้สำเร็จราชการในทันที เข้าใจนะทุกคน!"
เมื่อกล่าวเสร็จเจ้าขุนพลก็บึ่งทะยานจากไปในทันที ทิ้งให้เหล่าทหารยืนมองหน้ากันพลางกังวลถึงอนาคตของราชอาณาจักรแห่งนี้ว่ามันกำลังมุ่งไปสู่ทิศทางที่ถูกที่ควรแล้วหรือเปล่า?
...
บลูควบม้าอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยถึงหนึ่งวันเต็มจึงเดินทางมาถึงยังจุดนัดพบกับองค์หญิงในที่สุด ทว่าเจ้าขุนพลหยุดดูเชิงห่างจากพื้นที่ค้างแรมของทั้งสองพอสมควร มือของเขาเผลอล้วงเข้าไปกำด้ามกริชสำคัญที่ซ่อนเอาไว้แน่น หน้าที่ความรับผิดชอบต้องมาก่อนความรู้สึกส่วนตัว! บลูรู้สึกได้ว่าร่างของตนกำลังสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว กระนั้นด้วยเลือดนักสู้ก็สะกดข่มให้หยุดสั่นสะท้านลงได้
"มาช้าไปหน่อยนะบลู..."
จู่ ๆ ชายร่างกำยำสองคนก็ปรากฎตัวขึ้นที่ด้านหลังของเจ้าขุนพลอย่างเงียบเชียบราวกับวิญญาณ แต่บลูก็หาได้ออกอาการตกใจหรือหวาดหวั่นไม่ นั่นเพราะตนรู้จักมักจี่กับบุรุษเหล่านี้ดีอยู่แล้วนั่นเอง
"องค์รักษ์เงินกับองค์รักษ์ทองงั้นรึ? หึ! นี่คิดว่าคนอย่างข้าไม่มีน้ำยาจะกำจัดพวกมันรึไง"
ทั้งสองก็คือยอดฝีมือที่ถวายตัวรับใช้องค์กษัตริย์มานานนับปี แน่นอนว่าเรื่องพละกำลังหรือฝีมือนั้นอาจจะไม่เด่นเท่ายอดขุนพลทั้งสาม แต่ด้วยความที่ไม่เคยวัดฝีมือกันจริงจังจึงยากจะตัดสินว่าฝ่ายไหนอยู่เหนือกว่ากันแน่ ทั้งนี้ถ้าวัดเฉพาะความภักดีล่ะก็ทั้งสองเองไม่แพ้ใครหน้าไหนแน่
"อย่าเข้าใจผิดสิบลู!"
องค์รักษ์เงินก้าวเข้ามาใกล้เจ้าขุนพลด้วยท่าทางถือดีเย่อหยิ่ง
"พวกข้าแค่ได้รับคำสั่งให้จับตาดูเจ้าเอาไว้ให้ดี หากเห็นว่าคิดจะทำอะไรไม่เข้าท่าล่ะก็ ถึงตอนนั้นคงรู้นะว่า..."
"ถ้าคิดว่าคนอย่างข้ามันโลเลเหยาะแหยะนักล่ะก็ ใยพวกเจ้าไม่ลองเข้ามาพิสูจน์ดูเสียเลยตอนนี้เล่า!!!"
ลูกผู้ชายฆ่าได้หยามไม่ได้ เมื่ออีกฝ่ายพูดจาดูถูกโดยเฉพาะเรื่องความภักดีต่อราชสกุลจึงทำให้บลูขัดเคืองใจยิ่งนัก เจ้าขุนพลตั้งท่าเตรียมโจมตีทั้งสองในทันที ทว่าพวกองค์รักษ์กลับแสยะยิ้มก่อนจะอันตรธานหายไปในความมืดเสียแล้ว
"แล้วพวกข้าจะคอยดู..."
เจอแบบนี้บลูถึงกับสกัดกั้นอารมณ์ไว้ไม่อยู่ ต้องใช้พลังฝ่ามือซัดใส่โขดหินใหญ่ข้างตัวจนป่นเป็นผุยผงเพื่อระบายแค้น แต่นั่นกลับกลายเป็นการกระทำที่ส่งผลลบกับเจ้าตัว เพราะเสียงพลังทำลายนั้นลอยไปถึงหูของริวจินซึ่งระแวดระวังภัยอยู่แล้ว เขาจึงมุ่งตรงมาทางนี้ในทันทีพร้อมกับตั้งท่าเตรียมรับมืออีกฝ่ายด้วยความไม่แน่ใจ
"...หรือว่าท่านก็คือขุนพลบลู?"
"ใช่แล้วข้าคือขุนพลบลู ผู้เสนอให้องค์หญิงมาเรียเดินทางมายังจุดนัดพบแห่งนี้"
เมื่อได้ยินเช่นนั้นริวจินจึงลดมือที่ตั้งท่าลงและแสดงท่าทีเป็นมิตรมากขึ้น นั่นเพราะอีกฝ่ายคือบุคคลที่มาเรียไว้ใจดั้นด้นเดินทางมาตามที่นัดหมายเอาไว้ หากแต่เวลานี้ขุนพลบลูกลับตั้งกระบวนท่าพร้อมรบแถมยังแผ่รังสีการฆ่าฟันออกมาอีกด้วย
"ประเดี๋ยวก่อน! ท่านคือขุนพลบลูมิใช่หรือ? แล้วทำไมถึง..."
"ขออภัยด้วย ไม่ว่ายังไงหน้าที่ความรับผิดชอบก็ต้องมาก่อนความรู้สึกส่วนตัว... รับมือ!"
ริวจินเองก็ตั้งกระบวนท่าเตรียมพร้อมรับการโจมตีด้วยสีหน้าประหลาดใจ ด้วยว่าขุนพลบลูที่ตนจินตนาการตามความเห็นที่ได้ยินจากองค์หญิงก็คือยอดนักรบผู้สูงศักดิ์ซึ่งยืนหยัดปกป้องราชวงศ์กาเลเทียมานานนับทศวรรษ แล้วใยครานี้จึงหมายปองร้ายองค์หญิงมาเรียเสียเองเล่า?
"สุดท้ายแล้วก็เป็นแค่สุนัขรับใช้คนโฉดสินะ"
เมื่อประจักษ์ถึงจุดประสงค์ในการเดินทางมาของอีกฝ่ายแล้ว ริวจินย่อมไม่อาจนิ่งดูดายได้อีกต่อไปเพราะหากเขาพลาดท่านั่นหมายถึงชีวิตของผู้มีพระคุณจักต้องสูญสิ้นไปด้วย ชายหนุ่มตั้งท่าสัประยุทธ์ตามสัญชาตญาณในทันที ด้านขุนพลบลูเองก็ไม่รอช้า โถมเข้าจู่โจมอีกฝ่ายอย่างสุดกำลังเช่นกัน
"เจ้าจะเรียกยังไงก็ตามใจเถิด ถึงยังไงก็คงไม่มีชีวิตไว้อยู่ดูอรุณรุ่งอีกต่อไปแล้ว!"
วิชาวิหคสวรรค์สายปฐพีของบลูนั้นเข้มแข็งไม่เป็นสองรองใคร ปะทะกันเพียงแค่สองสามครั้งเจ้าขุนพลก็อ่านทางอีกฝ่ายได้หมดจดราวกับเขียนไว้บนฝ่ามือ ริวจินจึงตกที่นั่งลำบากเพราะความห่างชั้นของประสบการณ์แต่ยังกัดฟันหาทางสู้อย่างไม่ย่อท้อ
"เสียทีได้เป็นถึงผู้นำทหารในประเทศที่เข้มแข็ง แต่กลับปาวรณาตัวไปรับใช้คนผิดเสียอย่างนั้น"
"ข้าบอกแล้วไงว่าเจ้าจะเห่ายังไงก็ตามใจ..."
บลูฉวยโอกาสจู่โจมเข้าที่บริเวณชายโครงของริวจินซึ่งเป็นช่องว่างระหว่างกระบวนท่า แม้จะเอี้ยวตัวหลบได้แบบฉิวเฉียดก็ตาม แต่บาดแผลเป็นเลือดสด ๆ ก็ยังหลั่งรินออกมา หากโดนเข้าตรง ๆ ไม่แน่ว่าอาจต้องเตรียมใจเสียกระดูกหรืออวัยวะภายในบางแห่งไปเป็นแน่
"และข้าก็ขอถามเจ้าคืนบ้างว่า เพราะเหตุใดถึงต้องคอยปกป้องมาเรียด้วย ทั้ง ๆ ที่เป็นแค่เดนคุกหลบหนีเท่านั้น ในเมื่อได้อิสระแล้วก็จงไปตามทางของเจ้าเสียสิ!"
เมื่อเห็นอีกฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ เจ้าขุนพลจึงรุกต่อเนื่องไม่ยอมเปิดช่องว่างให้ศัตรูตอบโต้ เปลวเพลิงสีฟ้าเปล่งประกายจากฝ่ามือทั้งสองข้างของบลู นี่คือสัญญาณมรณะสำหรับริวจินไม่ผิดแน่ วิชาวิหคสวรรค์สะบั้นพสุธา คือการฟาดฝ่ามือที่ประกบเข้าหากันลงไปที่กลางกระหม่อมของคู่ต่อสู้ แม้ว่าจะหลบได้แต่ด้วยแรงทำลายยังแยกพื้นดินให้แตกเป็นสองฝั่ง พลังทำลายของมันอัดกระแทกเข้าที่สีข้างของชายหนุ่มซ้ำเข้าบริเวณแผลเก่าอย่างรุนแรง ริวจินกัดฟันฝืนสอดมือข้าโต้ ไม่พ้นเจอขุนพลปัดทิ้งได้อย่างง่ายดาย ระหว่างนั้นเขาจึงฉวยจังหวะถอยหลังไปสามถึงสี่ก้าวเพื่อรักษาระยะห่าง ทว่าอีกฝ่ายย่อมไม่ยอมปล่อยเหยื่อให้หลุดมือแน่ บลูเงื้อมือขึ้นสุดแขนพร้อมด้วยเปลวเพลิงสีฟ้าอันเจิดจ้ายิ่งกว่าแสงจันทราที่เบื้องบน
"จบกันเท่านี้แหละเจ้าเดนคุก!"
"หยุดนะ!!!"
ฝ่ามือของบลูหยุดนิ่งกลางอากาศ ห่างจากศีรษะของริวจินแค่ไม่กี่คืบเท่านั้น ทั้งสองฝ่ายต่างยืนแข็งทื่อในขณะที่มาเรียซึ่งรู้สึกตัววิ่งเข้ามาด้วยน้ำตานองใบหน้า เพราะนางได้ยินบทสนทนาเมื่อครู่อย่างชัดเจนทุกถ้อยทุกคำเรียบร้อยแล้วนั่นเอง
จบตอน
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น