ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ฤทธิ์หมัดมังกรราชันสยบฟ้า

    ลำดับตอนที่ #9 : เจ้าขุนพลเริ่มเคลื่อนไหว

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 98
      5
      1 ต.ค. 62


         หลังจากเสร็จศึกกับพวกอาชาสวรรค์แล้ว  มาเรียและริวจินก็ควบทะยานม้าไปยังจุดนัดหมายตามที่ขุนพลบลูนัดแนะไว้ทันที  ตามลายแทงที่อีกฝ่ายให้มานั้นสถานที่คือซากปรักของตัวอาคารขนาดใหญ่ซึ่งตั้งโดดเด่นมาตั้งแต่อารยธรรมในยุคก่อน  แต่กว่าทั้งสองจะเดินทางมาถึงก็เป็นช่วงพลบค่ำเสียแล้วบริเวณโดยรอบจึงค่อนข้างเงียบและเปลี่ยวร้างผู้คน  องค์หญิงพยายามมองหาไปรอบสถานที่ว่าขุนพลบลูแอบอยู่ตรงไหน

         "องค์หญิง! องค์หญิง!"

         เสียงทุ้มต่ำดังมาจากด้านหลังโขดหินขนาดใหญ่  มาเรียรีบตามเสียงนั้นไปจนได้พบกับดอน ข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์จากในวังนั่นเอง  ที่แท้บลูได้ออกคำสั่งให้เขารีบบึ่งมารอยังจุดนัดพบก่อนโดยไม่ให้พวกฟาเรียทันรู้ตัว

         "ดอน! เจ้าปลอดภัยดีนะ  แล้วขุนพลบลูล่ะ?"

         "ตอนนี้ท่านขุนพลถูกจับไปลงโทษอยู่บนหอคอยขอรับ  โทษฐานที่บังอาจทำตัวกระด้างกระเดื่องต่อคำสั่งขององค์หญิงฟาเรีย!"

         มาเรียได้ฟังก็กัดฟันกรอด  ไม่นึกว่ากระทั่งขุนพลบลูผู้ให้การรับใช้ข้างกายพี่สาวมาตลอดยังไม่มีละเว้น  ฟาเรีย... หรือว่าเจ้าถูกปิศาจร้ายเข้าสิงสู่จนละทิ้งวิถีความเป็นมนุษย์ไปแล้วจริง ๆ กันนะ?  เห็นทีว่าตอนนี้คนที่พอจะขอความช่วยเหลือได้ก็คงมีแต่ขุนพลเรดเสียแล้ว  ทว่าเขาเองก็อยู่ไกลถึงชายแดนแถมยังรบติดพันกับพวกศัตรูอีกด้วย  จะว่าไปเสด็จพ่อเป็นอย่างไรบ้างนะ

         "ฝ่าบาทยังปลอดภัยดีขอรับ  เพียงแต่สุขภาพทรุดโทรมลงจนไม่สามารถปรากฎตัวต่อสาธารณชนได้อีก"

         ได้ยินดังนั้นนางก็โล่งอกไปหนึ่งเปลาะ  ท่าทางว่าฟาเรียคงไม่กล้าเล่นงานพ่อแท้ ๆ ของตนเองเป็นแน่  แต่ปัญหาในปัจจุบันก็ยังไม่คลี่คลายอยู่ดี  มาเรียต้องหาวิธีกลับเข้าไปในวังเพื่อช่วยเหลือบลูและหาทางพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเองให้จงได้

         "องค์หญิง! ข้าได้รับคำสั่งจากขุนพลบลูว่าให้ท่านคอยอยู่ที่นี่ก่อน  แม้ว่าตอนนี้ตัวขุนพลอาจจะออกมาพบท่านไม่ได้  แต่อย่างน้อยข้าว่าบลูเองคงเตรียมแผนการอื่นไว้บ้างแหละขอรับ!" 

         ดอนพยายามเกลี่ยกล่อมให้มาเรียคอยอยู่ที่นี่ไปก่อน  ในระหว่างนี้ตนจะลอบเข้าไปในวังอีกครั้งเพื่อรวบรวมข่าวสารแล้วกลับมารายงาน  ถึงยังไงพวกนางก็ไม่มีทางเลือกอื่นอยู่ดีเพราะนอกจากหน่วยอาชาสวรรค์ที่เหลือแล้วก็ยังมีกองทหารในความควบคุมของฟาเรียดักรอซุ่มโจมตีตามจุดต่าง ๆ เป็นแน่แท้

         "เอาอย่างนั้นก็ได้! ดอนข้าคงต้องฝากเจ้าเป็นธุระให้แล้วล่ะ  ระวังตัวด้วยนะ"

         "ได้ขอรับองค์หญิง  และข้ามีสิ่งนี้มอบให้ท่านไว้ด้วย"

         ข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์ยื่นพลุไฟอันหนึ่งให้กับองค์หญิง  พร้อมกำชับว่าในเวลาคับขันให้นางยิงพลุนี้ขึ้นฟ้าเป็นสัญญาณ  แล้วเขาจะหาทางส่งกองหนุนมาช่วยเหลือโดยด่วนที่สุดเท่าที่จะทำได้ในทันที  มาเรียซึ้งในน้ำใจของดอนจึงกล่าวคำอำลาและกำชับว่าให้คอยระวังรักษาตัวให้ดี  อย่างให้ฝ่ายตรงข้ามจับตัวได้โดยเด็ดขาด

         "ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่นี่นะ"

         "ขอรับองค์หญิง ถ้าข้าไม่กลับมาภายในสามวันขอให้ท่านรีบหาที่หลบภัยอื่นโดยเร็วที่สุดเลยนะขอรับ!"    

         ว่าแล้วข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์ก็ควบม้าจากไป  เมื่อเป็นเช่นนี้ริวจินจึงตกลงที่จะอยู่คอยเฝ้าระวังภัยให้กับมาเรียไปชั่วขณะก่อน  จนกว่าทางเจ้าขุนพลจะเคลื่อนไหวเพิ่มเติม  แล้วจากนั้นค่อยครุ่นคิดถึงเรื่องราวในภายภาคหน้าต่อไปว่าตนคิดจะทำอะไรต่อดี  ทั้งสองจึงได้จัดที่พักค้างแรมชั่วคราวและก่อกองไฟเพื่อประกอบอาหาร  จากนั้นจึงได้เข้านอนในเวลาไม่นานนัก...


    @@@@@@@@@@@@


         ขุนพลบลูชำระล้างคราบสกปรกตามร่างกายออกจนหมดด้วยน้ำอาบในคูหาส่วนตัว  เหลือไว้แต่บาดแผลที่ถูกลูกสมุนของฟาเรียเฆี่ยนตีเป็นริ้วรอยแดงตามลำตัวและแผ่นหลัง  สำหรับชายชาติบุรุษเยี่ยงเขาแล้วอาการบาดเจ็บแค่นี้ถือว่าเล็กน้อย  แต่ความเจ็บปวดทางใจที่ได้รับนั้นมันหนักหนาเสียยิ่งกว่า  เจ้าขุนพลเช็ดเนื้อตัวก่อนจะสวมใส่เกราะรบเต็มยศราวกับเตรียมตัวออกศึก  ผ้าคลุมสีน้ำเงินที่กลางหลังปักริ้วสีทองเป็นลวดลายของวิหคสวรรค์ที่กางกรงเล็บทั้งสองข้างออกกว้าง 

         "ท่านขุนพล..."

         ข้ารับใช้คุกเข่าส่งมอบกริชสีทองล้ำค่าให้โดยบอกว่านี่คือของกำนัลและขวัญกำลังใจจากจอมกษัตริย์  เครโต้มอบหมายให้เจ้าขุนพลใช้กริชสำคัญเล่มนี้ปลิดชีวิตลูกสาวคนรองของตน  แล้วค่อยนำมาคืนเพื่อให้เป็นหลักฐานแห่งความจงรักภักดี

         "จากเบาะแสในปัจจุบัน  เห็นว่าองค์หญิงมาเรียเดินทางไปทิศใต้  ห่างจากเมืองหลวงสักราวสองวันขอรับ"

         ตามลายแทงที่ข้าให้ไว้สินะ  บลูคิดด้วยความเจ็บปวด  ผีห่าซาตานตัวไหนมันดลบันดาลโชคชะตาอันโหดร้ายเยี่ยงนี้มาสู่เขากันนะ  นี่ตนกำลังออกเดินทางเพื่อไปสังหารผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ที่เฝ้ารอคอยการมาของเขาตามที่สัญญาเอาไว้งั้นหรือ!  แบบนี้แล้วยังจะเรียกตัวเองว่าเป็นขุนพล เป็นนักรบได้อีกหรือ?

         "นี่ท่านจะเดินทางไปกำจัดองค์หญิงจริง ๆ งั้นหรือขอรับ!"

         ทหารหนุ่มที่คอยเฝ้าติดตามขุนพลแอบกระซิบเบา ๆ ในระหว่างที่เดินทางไปส่งเจ้าขุนพลออกนอกเมือง  บลูถอนหายใจก่อนจะตอบรับ  ยิ่งทำให้พวกทหารคนอื่น ๆ ที่ตามมาด้วยออกอาการหงุดหงิดไม่พอใจเป็นอันมาก  บางคนถึงขั้นออกปากอยากก่อกบฎเลยด้วยซ้ำ  นั่นเพราะมาเรียมีบุคลิคร่าเริงแจ่มใส  เข้ากับคนง่ายและไม่ถือตัวเหมือนฟาเรีย  ทำให้ได้รับคะแนนนิยมที่ดีกว่าในหมู่ทหารบางกลุ่ม  เมื่อมีการใส่ร้ายป้ายสีองค์หญิงคนรองจึงเกิดคลื่นใต้น้ำขึ้นมาเช่นนี้  กระนั้นด้วยความที่กองกำลังของฟาเรียมีมากกว่าทำให้อีกฝ่ายไม่กล้าตอบโต้อะไร

         "ระวังคำพูดของพวกเจ้าหน่อย  นี่เป็นคำสั่งโดยตรงจากองค์ราชาเชียวนะ!" 

         แม้ว่าจะเข้าใจในสิ่งที่พวกทหารทั้งหลายรู้สึกอยู่  แต่เมื่อสวมชุดนักรบแห่งกาเลเทียแล้วหน้าที่และชาติบ้านเมืองย่อมต้องมาก่อนอารมณ์ส่วนตัว  ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิตบลูก็จะไม่ยอมให้ใครทำเรื่องเสื่อมเสียแก่ราชสำนักเป็นแน่  แม้ว่าอีกฝ่ายเองก็สืบสายเลือดขัตติยะมาเช่นกัน  เจ้าขุนพลกำหมัดแน่นก่อนจะกระโดดขึ้นหลังม้าคู่ใจ

         "พวกเจ้าคอยเฝ้าระวังอยู่ที่นี่  หากมีใครวางแผนบ่อนทำลายราชวงศ์ล่ะก็จงรีบรายงานแก่ผู้สำเร็จราชการในทันที  เข้าใจนะทุกคน!" 

         เมื่อกล่าวเสร็จเจ้าขุนพลก็บึ่งทะยานจากไปในทันที  ทิ้งให้เหล่าทหารยืนมองหน้ากันพลางกังวลถึงอนาคตของราชอาณาจักรแห่งนี้ว่ามันกำลังมุ่งไปสู่ทิศทางที่ถูกที่ควรแล้วหรือเปล่า?

    ...

         บลูควบม้าอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยถึงหนึ่งวันเต็มจึงเดินทางมาถึงยังจุดนัดพบกับองค์หญิงในที่สุด  ทว่าเจ้าขุนพลหยุดดูเชิงห่างจากพื้นที่ค้างแรมของทั้งสองพอสมควร  มือของเขาเผลอล้วงเข้าไปกำด้ามกริชสำคัญที่ซ่อนเอาไว้แน่น  หน้าที่ความรับผิดชอบต้องมาก่อนความรู้สึกส่วนตัว!  บลูรู้สึกได้ว่าร่างของตนกำลังสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว  กระนั้นด้วยเลือดนักสู้ก็สะกดข่มให้หยุดสั่นสะท้านลงได้

         "มาช้าไปหน่อยนะบลู..."

         จู่ ๆ ชายร่างกำยำสองคนก็ปรากฎตัวขึ้นที่ด้านหลังของเจ้าขุนพลอย่างเงียบเชียบราวกับวิญญาณ  แต่บลูก็หาได้ออกอาการตกใจหรือหวาดหวั่นไม่  นั่นเพราะตนรู้จักมักจี่กับบุรุษเหล่านี้ดีอยู่แล้วนั่นเอง

         "องค์รักษ์เงินกับองค์รักษ์ทองงั้นรึ?  หึ! นี่คิดว่าคนอย่างข้าไม่มีน้ำยาจะกำจัดพวกมันรึไง"

         ทั้งสองก็คือยอดฝีมือที่ถวายตัวรับใช้องค์กษัตริย์มานานนับปี  แน่นอนว่าเรื่องพละกำลังหรือฝีมือนั้นอาจจะไม่เด่นเท่ายอดขุนพลทั้งสาม  แต่ด้วยความที่ไม่เคยวัดฝีมือกันจริงจังจึงยากจะตัดสินว่าฝ่ายไหนอยู่เหนือกว่ากันแน่  ทั้งนี้ถ้าวัดเฉพาะความภักดีล่ะก็ทั้งสองเองไม่แพ้ใครหน้าไหนแน่

         "อย่าเข้าใจผิดสิบลู!"

         องค์รักษ์เงินก้าวเข้ามาใกล้เจ้าขุนพลด้วยท่าทางถือดีเย่อหยิ่ง

         "พวกข้าแค่ได้รับคำสั่งให้จับตาดูเจ้าเอาไว้ให้ดี  หากเห็นว่าคิดจะทำอะไรไม่เข้าท่าล่ะก็  ถึงตอนนั้นคงรู้นะว่า..."

         "ถ้าคิดว่าคนอย่างข้ามันโลเลเหยาะแหยะนักล่ะก็  ใยพวกเจ้าไม่ลองเข้ามาพิสูจน์ดูเสียเลยตอนนี้เล่า!!!"

         ลูกผู้ชายฆ่าได้หยามไม่ได้  เมื่ออีกฝ่ายพูดจาดูถูกโดยเฉพาะเรื่องความภักดีต่อราชสกุลจึงทำให้บลูขัดเคืองใจยิ่งนัก  เจ้าขุนพลตั้งท่าเตรียมโจมตีทั้งสองในทันที  ทว่าพวกองค์รักษ์กลับแสยะยิ้มก่อนจะอันตรธานหายไปในความมืดเสียแล้ว

         "แล้วพวกข้าจะคอยดู..."

         เจอแบบนี้บลูถึงกับสกัดกั้นอารมณ์ไว้ไม่อยู่  ต้องใช้พลังฝ่ามือซัดใส่โขดหินใหญ่ข้างตัวจนป่นเป็นผุยผงเพื่อระบายแค้น  แต่นั่นกลับกลายเป็นการกระทำที่ส่งผลลบกับเจ้าตัว  เพราะเสียงพลังทำลายนั้นลอยไปถึงหูของริวจินซึ่งระแวดระวังภัยอยู่แล้ว  เขาจึงมุ่งตรงมาทางนี้ในทันทีพร้อมกับตั้งท่าเตรียมรับมืออีกฝ่ายด้วยความไม่แน่ใจ

         "...หรือว่าท่านก็คือขุนพลบลู?"

         "ใช่แล้วข้าคือขุนพลบลู  ผู้เสนอให้องค์หญิงมาเรียเดินทางมายังจุดนัดพบแห่งนี้"

         เมื่อได้ยินเช่นนั้นริวจินจึงลดมือที่ตั้งท่าลงและแสดงท่าทีเป็นมิตรมากขึ้น  นั่นเพราะอีกฝ่ายคือบุคคลที่มาเรียไว้ใจดั้นด้นเดินทางมาตามที่นัดหมายเอาไว้  หากแต่เวลานี้ขุนพลบลูกลับตั้งกระบวนท่าพร้อมรบแถมยังแผ่รังสีการฆ่าฟันออกมาอีกด้วย

         "ประเดี๋ยวก่อน! ท่านคือขุนพลบลูมิใช่หรือ?  แล้วทำไมถึง..."

         "ขออภัยด้วย  ไม่ว่ายังไงหน้าที่ความรับผิดชอบก็ต้องมาก่อนความรู้สึกส่วนตัว... รับมือ!"

         ริวจินเองก็ตั้งกระบวนท่าเตรียมพร้อมรับการโจมตีด้วยสีหน้าประหลาดใจ  ด้วยว่าขุนพลบลูที่ตนจินตนาการตามความเห็นที่ได้ยินจากองค์หญิงก็คือยอดนักรบผู้สูงศักดิ์ซึ่งยืนหยัดปกป้องราชวงศ์กาเลเทียมานานนับทศวรรษ  แล้วใยครานี้จึงหมายปองร้ายองค์หญิงมาเรียเสียเองเล่า?

         "สุดท้ายแล้วก็เป็นแค่สุนัขรับใช้คนโฉดสินะ"

         เมื่อประจักษ์ถึงจุดประสงค์ในการเดินทางมาของอีกฝ่ายแล้ว  ริวจินย่อมไม่อาจนิ่งดูดายได้อีกต่อไปเพราะหากเขาพลาดท่านั่นหมายถึงชีวิตของผู้มีพระคุณจักต้องสูญสิ้นไปด้วย  ชายหนุ่มตั้งท่าสัประยุทธ์ตามสัญชาตญาณในทันที  ด้านขุนพลบลูเองก็ไม่รอช้า  โถมเข้าจู่โจมอีกฝ่ายอย่างสุดกำลังเช่นกัน

         "เจ้าจะเรียกยังไงก็ตามใจเถิด  ถึงยังไงก็คงไม่มีชีวิตไว้อยู่ดูอรุณรุ่งอีกต่อไปแล้ว!"

         วิชาวิหคสวรรค์สายปฐพีของบลูนั้นเข้มแข็งไม่เป็นสองรองใคร  ปะทะกันเพียงแค่สองสามครั้งเจ้าขุนพลก็อ่านทางอีกฝ่ายได้หมดจดราวกับเขียนไว้บนฝ่ามือ  ริวจินจึงตกที่นั่งลำบากเพราะความห่างชั้นของประสบการณ์แต่ยังกัดฟันหาทางสู้อย่างไม่ย่อท้อ

         "เสียทีได้เป็นถึงผู้นำทหารในประเทศที่เข้มแข็ง  แต่กลับปาวรณาตัวไปรับใช้คนผิดเสียอย่างนั้น"

         "ข้าบอกแล้วไงว่าเจ้าจะเห่ายังไงก็ตามใจ..."

         บลูฉวยโอกาสจู่โจมเข้าที่บริเวณชายโครงของริวจินซึ่งเป็นช่องว่างระหว่างกระบวนท่า  แม้จะเอี้ยวตัวหลบได้แบบฉิวเฉียดก็ตาม  แต่บาดแผลเป็นเลือดสด ๆ ก็ยังหลั่งรินออกมา  หากโดนเข้าตรง ๆ ไม่แน่ว่าอาจต้องเตรียมใจเสียกระดูกหรืออวัยวะภายในบางแห่งไปเป็นแน่

         "และข้าก็ขอถามเจ้าคืนบ้างว่า  เพราะเหตุใดถึงต้องคอยปกป้องมาเรียด้วย  ทั้ง ๆ ที่เป็นแค่เดนคุกหลบหนีเท่านั้น  ในเมื่อได้อิสระแล้วก็จงไปตามทางของเจ้าเสียสิ!"

         เมื่อเห็นอีกฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ  เจ้าขุนพลจึงรุกต่อเนื่องไม่ยอมเปิดช่องว่างให้ศัตรูตอบโต้  เปลวเพลิงสีฟ้าเปล่งประกายจากฝ่ามือทั้งสองข้างของบลู  นี่คือสัญญาณมรณะสำหรับริวจินไม่ผิดแน่  วิชาวิหคสวรรค์สะบั้นพสุธา  คือการฟาดฝ่ามือที่ประกบเข้าหากันลงไปที่กลางกระหม่อมของคู่ต่อสู้  แม้ว่าจะหลบได้แต่ด้วยแรงทำลายยังแยกพื้นดินให้แตกเป็นสองฝั่ง  พลังทำลายของมันอัดกระแทกเข้าที่สีข้างของชายหนุ่มซ้ำเข้าบริเวณแผลเก่าอย่างรุนแรง  ริวจินกัดฟันฝืนสอดมือข้าโต้  ไม่พ้นเจอขุนพลปัดทิ้งได้อย่างง่ายดาย  ระหว่างนั้นเขาจึงฉวยจังหวะถอยหลังไปสามถึงสี่ก้าวเพื่อรักษาระยะห่าง  ทว่าอีกฝ่ายย่อมไม่ยอมปล่อยเหยื่อให้หลุดมือแน่  บลูเงื้อมือขึ้นสุดแขนพร้อมด้วยเปลวเพลิงสีฟ้าอันเจิดจ้ายิ่งกว่าแสงจันทราที่เบื้องบน   

         "จบกันเท่านี้แหละเจ้าเดนคุก!"

         "หยุดนะ!!!"

         ฝ่ามือของบลูหยุดนิ่งกลางอากาศ  ห่างจากศีรษะของริวจินแค่ไม่กี่คืบเท่านั้น  ทั้งสองฝ่ายต่างยืนแข็งทื่อในขณะที่มาเรียซึ่งรู้สึกตัววิ่งเข้ามาด้วยน้ำตานองใบหน้า  เพราะนางได้ยินบทสนทนาเมื่อครู่อย่างชัดเจนทุกถ้อยทุกคำเรียบร้อยแล้วนั่นเอง



    จบตอน


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×