ลำดับตอนที่ #6
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : ค่ายกลธงสามสี
ไม่นานนักสนธยายามค่ำก็มาเยือนดินแดนอันรกร้างนอกขอบเมืองหลวงแห่งกาเลเทีย สองผู้หลบหนีตั้งแคมป์ไฟกันบนเนินดินเพื่อพักผ่อนก่อนออกเดินทางต่อในวันรุ่งขึ้น โชคดีที่ระหว่างทางริวจินตาไวไล่จับงูและกิ้งก่าทะเลทรายได้ จึงนำมาเสียบไม้ย่างบนกองไฟที่ก่อขึ้นอย่างลวก ๆ เป็นอาหารค่ำ ทีแรกมาเรียทำหน้ายี้เพราะไม่เคยกินพวกสัตว์ชั้นต่ำเยี่ยงนี้มาก่อน เพราะตามปกติแล้วบนโต๊ะอาหารในวังของนางมักจะอุดมไปด้วยเนื้อและผักชั้นเลิศที่หาได้จากในราชอาณาจักรเสมอ ทว่าด้วยความหิวองค์หญิงจึงจำต้องลองลิ้มชิมรสวิถีแห่งความป่าเถื่อนเป็นครั้งแรกในชีวิต และค้นพบว่ามันก็ไม่เลยเลยทีเดียว
"เจ้านี่ไม่เลวเลยนะ อร่อยไม่แพ้เนื้อย่างในวังเชียว!"
มาเรียจัดการกลืนเนื้องูย่างลงไปอย่างสำราญใจ บนกองไฟยังมีเนื้อกิ้งก่าเสียบไม้เหลืออยู่อีกซึ่งเป็นหน้าที่ของริวจินในการจัดการเติมพื้นที่ว่างในท้อง เมื่อได้เติมพลังหลังจากไม่ได้สัมผัสกับอาหารสด ๆ มายาวนานสภาพร่างกายของริวจินก็ฟื้นคืนขึ้นเล็กน้อย จบมื้ออาหารแล้วทั้งคู่ก็นอนหงายมองทะเลดาวระยิบระยับที่ฟากฟ้าเบื้องบน คืนนี้ฟ้าโปร่งไร้ซึ่งเมฆหมอกบดบังรัศมีความงดงามของธรรมชาติ เปิดโอกาสให้องค์หญิงได้รับชมความมหัศจรรย์อันรังสรรค์มาด้วยฝีมือของพระผู้เป็นเจ้าได้อย่างถนัดถนี่
"หลังจากนี้เจ้าคิดจะทำอะไรต่อรึ ริวจิน?"
นางนอนถามเพื่อนร่วมทาง ริวจินผุดลุกขึ้นนั่งก่อนจะตอบอย่างไม่ใส่ใจว่า
"ข้าเองก็ไม่รู้เช่นกันเพราะจำเหตุการณ์ที่ผ่านมาไม่ได้เลย ในหัวมันขาวโพลนไปหมด บางทีถ้าออกเดินทางเร่ร่อนไปเรื่อยอาจจะมีใครที่ไหนสักที่พอจะจดจำตัวข้าในอดีตได้กระมัง?"
ชายหนุ่มกับปริศนาแห่งอดีตอันรางเลือน ริวจินจำอะไรไม่ได้เลยว่าทำไมตนถึงถูกคุมขังอยู่ที่ชั้นใต้ดินในปราสาท จำบ้านเกิดหรือแม้แต่ครอบครัวคนรอบข้างไม่ได้ ที่พอจะนึกออกก็มีเพียงแค่ชื่อของตนเท่านั้น และแน่นอนว่ามันรู้สึกซาบซึ้งใจยิ่งที่มาเรียได้ช่วยปลดปล่อยตนออกมาจากพันธนาการเหล็กนั่น ดังนั้นจึงอาสาจะเดินทางไปด้วยจนกว่าจะถึงซึ่งจุดหมายของนาง
"ส่วนข้าน่ะไม่ว่ายังไงก็ต้องจัดการกับฟาเรียพี่สาวของข้าให้จงได้ เพื่อฮอร์นด้วย!"
มาเรียไม่มีวันลืมความแค้นที่มีต่อพี่สาวแท้ ๆ ของนางแน่นอน เพราะฟาเรียยอดองค์รักษ์ผู้ซื่อสัตย์อย่างฮอร์นจึงต้องสิ้นชีพ แม้แต่ขุนพลบลูที่นางเคยเคารพนับถือเสมอขุนพลเรดเองก็ยังกล้าหักหลังกันเช่นนี้ ดูท่าว่ามันอาจจะมีเบื้องลึกเบื้องหลังอะไรที่ซับซ้อนเป็นแน่ ฉะนั้นจึงต้องคว้าเบาะแสที่เจ้าขุนพลทิ้งไว้ให้ได้เสียก่อนเป็นอันดับแรก
"อุ๊บบ!"
"เป็นอะไรไปรึ?"
จู่ ๆ ริวจินก็ร้องออกมาพร้อมกับกุมขมับทั้งสองข้างแน่น ทำเอามาเรียตกใจทำอะไรไม่ถูกไปด้วยเช่นกัน เมื่ออาการทุเลาลงมันจึงนอนลงหอบหนักพร้อมกับยกข้อศอกขึ้นมาก่ายหน้าผากและบอกว่า
"เมื่อสักครู่ดูเหมือนในหัวของข้ามีแสงสว่างขึ้นมาแวบหนึ่ง ข้าไม่รู้ว่ามันคืออะไรแต่เท่าที่จำได้ก็มีแค่สัญลักษณ์ ๆ หนึ่งเท่านั้น..."
"มันคืออะไรรึ?"
ริวจินหยิบกิ่งไม้แห้งขึ้นมาวาดสัญลักษณ์รูปกางเขนขนาดใหญ่บนพื้นทราย ท่ามกลางคลื่นในแสงสว่างอันรุนแรงจนตาพร่านั้นมันเห็นรูปลักษณ์แห่งกางเขนขนาดมหึมาลอยอยู่กลางอากาศ คล้ายกับเป็นพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์บางอย่าง รอบข้างนั้นยังมองเห็นคล้ายกับเงาของผู้คนในชุดคลุมสีขาวห้อมล้อมเต็มไปหมด
"กางเขนงั้นหรือ มันคืออะไรกันแน่นะ?"
"ข้าไม่รู้... แต่ที่แน่ ๆ มันต้องมาจากเศษเสี้ยวแห่งความทรงจำในอดีตของตัวเองแน่ ๆ ข้ามั่นใจในเรื่องนั้น!"
แม้จะจดจำรายละเอียดอื่น ๆ ไม่ได้เลยแต่อย่างน้อยริวจินก็เชื่อหมดใจว่าสัญลักษณ์กางเขนนั่นจะต้องมีส่วนเกี่ยวพันกับความลับในอดีตที่ไม่เปิดเผยของตนแน่ ๆ และตอนนี้ก็มีเบาะแสให้มันได้เสาะหาเพิ่มมาอีกหนึ่งแล้ว แต่นั่นต้องหลังจากที่พาองค์หญิงไปส่งยังจุดหมายปลายทางให้เรียบร้อยเสียก่อน เพราะท่ามกลางทะเลทรายอันเวิ้งว้างนี้ยังไม่รู้ว่าจะมีอันตรายใดรออยู่อีกหรือไม่?
@@@@@@@@@@@@
และแล้วนักเดินทางลี้ภัยทั้งสองก็มาจนถึงหมู่บ้านชายขอบเมืองหลวงในช่วงเที่ยงวันตามคาดของใครบางคนซึ่งแอบซ่อนอยู่ในสถานที่แห่งนี้ มาเรียและริวจินตัดสินใจหาที่หลบแดดและหาเสบียงอาหารตุนไว้ก่อนออกเดินทางต่อ โดยทางเดียวที่พวกนางจะได้สิ่งของอันต้องการก็คือการแลกเปลี่ยนกับเครื่องประดับชิ้นเล็ก ๆ ติดตัวมาตั้งแต่หนีออกจากในวังนั่นเอง
"เนื้อน่องกับเนื้อซี่โครง นี่แล้วก็นี่!"
พ่อค้าหน้าตาบอกบุญไม่รับที่ร้านรีบยื่นห่อผ้าพันชิ้นเนื้อตามที่นางสั่งให้อย่างว่องไว องค์หญิงถึงกับขมวดคิ้วด้วยความฉงนว่าจะไม่ไถ่ถามที่ไปที่มาของพวกเครื่องประดับพวกนี้เลยหรือ? แถมของที่แลกมาแต่ละอย่างล้วนเป็นของชั้นดีเท่าที่หมู่บ้านเล็ก ๆ แบบนี้จะจัดหาได้ด้วยซ้ำ ราวกับว่าเจ้าพวกนี้รู้ราคาค่างวดของติดตัวนางเป็นอย่างดี?
"ริวจินพวกเราไปนั่งพักที่เพิงตรงนั้นดีกว่า"
เมื่อได้ของที่ต้องการครบแล้วทั้งสองก็เดินไปนั่งลงที่เพิงพักเดินทางซึ่งเป็นอาคารก่ออิฐขนาดเล็กไม่มีหลังคา ใช้เพียงเศษผ้าใบที่พอหาได้แถวนี้คลุมบังแดดไว้เท่านั้น และมีกลุ่มนักเดินทางสองสามคนนั่งจองที่ไว้ก่อนแล้ว
"คุณหนูคนสวยคิดจะเดินทางไปที่ไหนต่อหรือ?"
หนึ่งในนักเดินทางแกล้งกระเซ้ามาเรียแต่อีกฝ่ายไม่เล่นด้วยแถมยังเบือนหน้าหนี ทำเอาคนอื่น ๆ หัวเราะครืนกับความไม่เอาไหนของมัน แต่เจ้านั่นยังไม่ยอมแพ้เข้ามาตื้อขอคุยด้วยอย่างไม่ลดละความพยายาม
"น่า ๆ อย่าทำเป็นเมินกันสิ! ข้าก็แค่อยากหาเรื่องคุยระหว่างพักคอยพรรคพวกของเข้าเดินทางมาถึงเท่านั้นเอง"
ทีแรกนางก็ไม่คิดจะเล่นด้วย แต่อีกทางนี่ก็เป็นโอกาสอันดีที่จะได้รับข้อมูลข่าวสารภายนอกหลังจากที่หลบหนีออกจากวังด้วย มาเรียจึงยอมพูดคุยกับพวกนักเดินทางเหล่านั้นและได้รู้เรื่องสถานการณ์การศึกกับอาณาจักรข้างเคียงรวมถึงข่าวคราวทั่วไปอีกหลายเรื่อง แต่กลับไม่มีข่าวเกี่ยวกับเรื่องที่องค์หญิงรองแห่งกาเลเทียคิดคดทุรยศและหลบหนีออกจากราชวังเลยแม้แต่นิดเดียว หรือบางทีอาจจะเพราะเรื่องเพิ่งจะผ่านไปได้ไม่กี่วันกระมัง?
"ดูท่าว่าบัลวินด์เองก็คงเลี่ยงสงครามไปไม่ได้ล่ะนะ"
หนึ่งในบุรุษซึ่งแต่งตัวเหมือนพ่อค้าเอ่ยขึ้น แต่มาเรียแย้งขึ้นว่าทางอาณาจักรบัลวินด์นั้นเป็นพวกรักสงบและไม่ประสงค์ซึ่งสงคราม อีกอย่างนางยังรู้จักกับผู้ปกครองที่นั่นดีจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดการปะทะกันในเร็ววันนี้
"ฮ่า ๆ ท่านคงอยู่แต่ในรั้วในวังจนไม่รู้ว่าตอนนี้ที่เขตชายแดนแถวนั้นน่ะใกล้จะปะทะกันอยู่รอมร่อแล้วนา!"
พวกนั้นพากันหัวเราะให้กับความอ่อนโลกของนาง ฉับพลันนั้นเองที่มาเรียและริวจินจับพิรุธพวกนักเดินทางและพ่อค้าเก๊ได้ในทันที ทั้งคู่ลุกพรวดขึ้นพร้อมกับบอกว่า
"โอ้! มันเป็นเช่นนี้นี่เองข้าคงอยู่ในวังมากเกินไปอย่างที่พวกเจ้าว่า แล้วรู้ได้อย่างไรว่าข้าเคยอยู่ในวังน่ะหืมม?"
เจ้าพวกนั้นเบิกตาโพลงเมื่อรู้ตัวว่าพลาดปากไปแล้ว แต่บางคนก็ยังเล่นลิ้นว่าเป็นเพราะเครื่องประดับมีค่าที่นางนำมาแลกเปลี่ยนสิ่งของเมื่อครู่ทำให้พอจะคาดเดาที่มาได้ กระนั้นก็ไม่อาจตบตาริวจินผู้เชี่ยวชาญวิชายุทธได้
"พวกเจ้านี่หน่วยก้านดีเกินกว่าจะเป็นแค่พ่อค้าเร่นะ? นอกจากกล้ามเนื้อแล้วแม้แต่ลมหายใจก็ยังไม่ปั่นป่วนหรือหอบเหนื่อยเลยแม้สักนิด ทั้งที่แต่ละคนเดินทางมาไกลแท้ ๆ"
"นอกจากนี้ข้ายังสังเกตเห็นพวกคาราวานที่ด้านนอกนั่นเดินวนรอบบริเวณนี้ไปสักสี่ถึงห้าครั้งได้แล้ว มันดูค่อนข้างผิดปกตินะเจ้าว่าไหม?"
มาเรียกล่าวเสริม เจ้าพวกพ่อค้าเร่และนักเดินทางปลอมพลันเผยธาตุแท้กระโดดเข้าโจมตีทั้งสองในทันที ทั้งดาบและมีดสั้นที่ถูกซ่อนเอาไว้พุ่งตรงเข้าหาอย่างมุ่งร้าย แต่แค่อาวุธธรรมดาแค่นี้ย่อมไม่ระคายผิวยอดฝีมืออย่างริวจิน มันสวนกลับด้วยฝ่ามือที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าเหล็กกล้าจนทั้งมีดดาบและร่างกายของพวกมันแหลกเหลวไปในพริบตา
"ยอดเยี่ยม! ยอดเยี่ยมจริง ๆ องค์หญิง!"
ไซออนเผยตัวออกมาท่ามกลางกลุ่มอาชาสวรรค์ที่ปลอมเป็นคาราวานเมื่อก่อนหน้านี้ มาเรียตระหนักดีว่านี่จะต้องเป็นศึกที่สาหัสยิ่งกว่าตอนอยู่ในชั้นใต้ดินของปราสาทแน่ ด้วยเสียงล่ำลือถึงฝีมือของหัวหน้าหน่วยลอบสังหารคนนี้ เพราะเมื่อใดที่มันยอดปรากฏตัวต่อสาธารณะย่อมหมายความว่ามันคิดจะเอาจริงแล้ว และต้องการลงมืออย่างโหดเหี้ยมเพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่กบฎคนอื่น ๆ ด้วย
"ไม่นึกเลยว่านอกจากฮอร์นจะยังมีองค์รักษ์มือดีแบบนี้อยู่ข้างกายอีกนะ แต่มันก็เท่านั้นแหละเพราะเจ้าจะต้องตายที่นี่เดี๋ยวนี้แล้ว!"
หัวหน้าอาชาสวรค์ดีดนิ้วออกคำสั่ง พริบตาถัดจากนั้นพวกลูกสมุนพร้อมด้วยผ้าคลุมหลากสีก็ปรากฏตัวขึ้นรายล้อมทั้งสองพร้อมด้วยแววตาอำมหิต ทุกคนต่างได้ยินเรื่องที่พอกพ้องถูกฆ่าไปเมื่อวันก่อนจึงหมายมั่นปั้นมือจะล้างแค้นแทนให้จงได้
"ขอดูหน่อยเถอะว่าพวกแกจะรอดจากค่ายกลนี้ไปได้ยังไง ฮ่า ๆ"
เพียงออกคำสั่ง ลูกสมุนที่ล้อมอยู่ทุกคนก็ชูผ้าคลุมขึ้นเหนือศีรษะแล้วเริ่มวิ่งวนเป็นวงกลม โดยแบ่งเป็นสามแถววิ่งวนสลับฟันปลากันอย่างซับซ้อน สองแถววิ่งตามเข็มนาฬิกาในขณะที่อีกแถววิ่งทวนเข็ม เมื่อดูจากความเร็วในการเคลื่อนที่แล้วจะมองเห็นเป็นแค่ผ้าคลุมสีจัดจ้านพุ่งผ่านไปมาชวนให้ตาลายยิ่งนัก และในเมื่อวิ่งสลับแถวกันแบบนี้ก็ทำให้คาดเดาการโจมตีได้ยาก เพราะเมื่อคิดจะโจมตีก็จะเจอการป้องกันด้วยโล่ขนาดเล็ก แล้วเจอสวนด้วยดาบสั้นที่ซ่อนไว้หลับผ้าคลุมในทันที มาเรียไม่ทันระวังจึงได้ไปสามแผลแถมจู่โจมพลาดเป้าไปอีก ขนาดริวจินยังยืนนิ่งไม่เคลื่อนไหว
"ฮ่า ๆ เอ้าขอดูสีหน้าที่สิ้นหวังของพวกแกหน่อยเถอะ! แล้วพรุ่งนี้ข้าจะนำหัวไปฝากองค์หญิงฟาเรียให้เองนะ..."
ไซออนหัวเราะชอบใจเมื่อได้เห็นทั้งสองตกอยู่ในห้วงวิกฤต ที่ผ่านมามีน้อยคนนักที่จะรอดไปจากค่ายกลธงสามสีของหน่วยอาชาสวรรค์นี้ โดนเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้เห็นเหยื่อที่น่าสงสารตกอยู่ท่ามกลางวงล้อมไร้ทางออกและถูกรุมเสียบนองเลือดเช่นนี้ยังความปิติสุขให้กับมันมากนัก จึงเป็นหนึ่งในวิธีโปรดของไซออนในการทรมานและฆาตกรรมศัตรูให้ตายอย่างช้า ๆ
"สิ้นหวัง? ด้วยกลหลอกเด็กพรรค์นี้เนี่ยนะ?"
ริวจินเริ่มได้ประสาทสัมผัสแห่งการต่อสู้กลับคืนมาทีละน้อยเมื่อผ่านการปะทะมาสองสามครั้ง และในห้วงความทรงจำอันรางเลือนนั้นยังมีค่ายกลที่โหดเหี้ยมอำมหิตยิ่งกว่านี้อีกมาก นับประสาอะไรกับยุทธวิธีพื้น ๆ โดยการพรางตาเยี่ยงนี้เล่า? เพียงแค่เขาเตะกวาดพัดพาเอาฝุ่นที่ใต้เท้าฟุ้งขึ้นมาบดบังรัศมีการมองเห็น บวกกับความเร็วของการเคลื่อนที่เป็นวงกลมยิ่งช่วยดูดฝุ่นให้ฟุ้งกระจายหนักขึ้นไปอีก ไม่ทันไรค่ายกลก็แตกเพราะต่ายฝ่ายต่างมองไม่เห็นซึ่งกันและกัน
"กลหลอกเด็กพรรค์นี้ดูแว่บเดียวก็รู้แล้ว! สองแถวแรกวิ่งตามเข็มนาฬิกาเป็นฝ่ายป้องกันด้วยโล่ ในขณะที่แถวสุดท้ายวิ่งทวนเข็มนาฬิกาเตรียมดาบสั้นพร้อมจู่โจม!"
ริวจินอาศัยประสบการณ์อันเหนือชั้นกว่าแม้ตนเองจะจำไม่ได้ก็ตาม มองทะลุเล่ห์ที่ซ่อนไว้หลังค่ายกลจนปรุโปร่ง ผ้าคลุมสามแถวเรียงสีนั้นถูกจัดวางไว้เพื่อตบตาให้คนสับสน สองแถวแรกวิ่งนำพร้อมกับตั้งโล่ใต้ผ้าคลุม เมื่อใดที่อีกฝ่ายหลงกลจู่โจมก็จะเจอกับการป้องกัน ฉับพลันนั้นแถวสุดท้ายที่วิ่งทวนมาจากอีกทิศก็จะเล็งจู่โจมช่องว่างนั้นในทันที นับว่าในการต่อสู้กับบุคคลทั่วไปย่อมเป็นดั่งกับดักนรกแน่นอน แต่ไม่ใช่กับพวกนักสู้ระดับสูงที่ผ่านศึกมาอย่างโชกโชน จึงมองออกในแค่พริบตาที่เห็น
"อะต๊าา!"
เมื่อค่ายกลหยุดเคลื่อนไหวก็ไม่ต่างอะไรกับเป้านิ่ง ริวจินซัดฝ่าเท้าเข้าใส่พวกมันจนกระเด็นกลิ้งไม่เป็นท่า สารรูปหน่วยอาชาสวรรค์ผู้ไร้เทียมทานดูไม่จืดไปเลยในเวลานี้ ขนาดไซออนเองก็ยังมีสีหน้าโกรธาอย่างเห็นได้ชัด
"หนอยแน่ะไอ้กร๊วกนี่!"
มันรีบสั่งพวกลูกน้องเข้ารุมโจมตีเพื่อกู้ชื่อเสียงของหน่วยกลับคืนมา ทว่าอีกฝ่ายก็จัดการใช้เท้าขีดเส้นตรงยาวบนพื้นเพื่อแบ่งเขตระหว่างทั้งสองฝ่าย ริวจินเงยหน้าขึ้นก่อนจะบอกกับพวกอาชาสวรรค์ทุกคนว่า
"พวกเจ้ามีความสามัคคีร่วมแรงร่วมใจกันดีนักข้าขอชมเชย แต่ตัวข้าเองก็มีหน้าที่จะต้องพาองค์หญิงไปยังจุดหมายให้จงได้ เพราะฉะนั้นใครที่บังอาจข้ามเส้นนี้มาข้าจะไม่ปรานีมัน!"
น้ำเสียงของมันแข็งกร้าวองอาจจนแม้แต่พวกอาชาสวรรค์ยังคร้ามเกรง อย่างไรก็ดีไซออนยิ่งเกรี้ยวกราดกว่า มันออกคำสั่งอีกครั้งโดยสำทับว่าหากใครคิดหนีย่อมต้องโทษเช่นเดียวกับศัตรูในทันที ลูกน้องที่เหลือจึงอับจนทางเลือกต้องกระโดดเข้าต่อสู้เพียงสถานเดียว
"น่าสมเพชยิ่งนัก..."
และด้วยระดับที่ต่างกันเกินไป เพียงไม่นานเหล่าอาชาสวรรค์ผู้ห้าวหาญทั้งหลายก็ล้มตายเป็นใบไม้ร่วง ริวจินกัดฟันกรอดชี้นิ้วไปที่ไซออนด้วยแรงอาฆาต ไอ้คนที่บังอาจใช้พรรคพวกตัวเองไม่ต่างจากเบี้ย
"ต่อไปก็ตาแกแล้ว! คนที่ไม่คุณค่าของลูกน้องไม่สมควรมีชีวิตอยู่ดูโลกอีกต่อไป!!!"
จบตอน
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น