ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ฤทธิ์หมัดมังกรราชันสยบฟ้า

    ลำดับตอนที่ #6 : ค่ายกลธงสามสี

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 145
      6
      14 ก.ย. 62


         ไม่นานนักสนธยายามค่ำก็มาเยือนดินแดนอันรกร้างนอกขอบเมืองหลวงแห่งกาเลเทีย  สองผู้หลบหนีตั้งแคมป์ไฟกันบนเนินดินเพื่อพักผ่อนก่อนออกเดินทางต่อในวันรุ่งขึ้น  โชคดีที่ระหว่างทางริวจินตาไวไล่จับงูและกิ้งก่าทะเลทรายได้  จึงนำมาเสียบไม้ย่างบนกองไฟที่ก่อขึ้นอย่างลวก ๆ เป็นอาหารค่ำ  ทีแรกมาเรียทำหน้ายี้เพราะไม่เคยกินพวกสัตว์ชั้นต่ำเยี่ยงนี้มาก่อน  เพราะตามปกติแล้วบนโต๊ะอาหารในวังของนางมักจะอุดมไปด้วยเนื้อและผักชั้นเลิศที่หาได้จากในราชอาณาจักรเสมอ  ทว่าด้วยความหิวองค์หญิงจึงจำต้องลองลิ้มชิมรสวิถีแห่งความป่าเถื่อนเป็นครั้งแรกในชีวิต  และค้นพบว่ามันก็ไม่เลยเลยทีเดียว

         "เจ้านี่ไม่เลวเลยนะ  อร่อยไม่แพ้เนื้อย่างในวังเชียว!"

         มาเรียจัดการกลืนเนื้องูย่างลงไปอย่างสำราญใจ  บนกองไฟยังมีเนื้อกิ้งก่าเสียบไม้เหลืออยู่อีกซึ่งเป็นหน้าที่ของริวจินในการจัดการเติมพื้นที่ว่างในท้อง  เมื่อได้เติมพลังหลังจากไม่ได้สัมผัสกับอาหารสด ๆ มายาวนานสภาพร่างกายของริวจินก็ฟื้นคืนขึ้นเล็กน้อย  จบมื้ออาหารแล้วทั้งคู่ก็นอนหงายมองทะเลดาวระยิบระยับที่ฟากฟ้าเบื้องบน  คืนนี้ฟ้าโปร่งไร้ซึ่งเมฆหมอกบดบังรัศมีความงดงามของธรรมชาติ  เปิดโอกาสให้องค์หญิงได้รับชมความมหัศจรรย์อันรังสรรค์มาด้วยฝีมือของพระผู้เป็นเจ้าได้อย่างถนัดถนี่

         "หลังจากนี้เจ้าคิดจะทำอะไรต่อรึ ริวจิน?"

         นางนอนถามเพื่อนร่วมทาง  ริวจินผุดลุกขึ้นนั่งก่อนจะตอบอย่างไม่ใส่ใจว่า

         "ข้าเองก็ไม่รู้เช่นกันเพราะจำเหตุการณ์ที่ผ่านมาไม่ได้เลย  ในหัวมันขาวโพลนไปหมด  บางทีถ้าออกเดินทางเร่ร่อนไปเรื่อยอาจจะมีใครที่ไหนสักที่พอจะจดจำตัวข้าในอดีตได้กระมัง?" 

         ชายหนุ่มกับปริศนาแห่งอดีตอันรางเลือน  ริวจินจำอะไรไม่ได้เลยว่าทำไมตนถึงถูกคุมขังอยู่ที่ชั้นใต้ดินในปราสาท  จำบ้านเกิดหรือแม้แต่ครอบครัวคนรอบข้างไม่ได้  ที่พอจะนึกออกก็มีเพียงแค่ชื่อของตนเท่านั้น  และแน่นอนว่ามันรู้สึกซาบซึ้งใจยิ่งที่มาเรียได้ช่วยปลดปล่อยตนออกมาจากพันธนาการเหล็กนั่น  ดังนั้นจึงอาสาจะเดินทางไปด้วยจนกว่าจะถึงซึ่งจุดหมายของนาง

         "ส่วนข้าน่ะไม่ว่ายังไงก็ต้องจัดการกับฟาเรียพี่สาวของข้าให้จงได้  เพื่อฮอร์นด้วย!"

         มาเรียไม่มีวันลืมความแค้นที่มีต่อพี่สาวแท้ ๆ ของนางแน่นอน  เพราะฟาเรียยอดองค์รักษ์ผู้ซื่อสัตย์อย่างฮอร์นจึงต้องสิ้นชีพ  แม้แต่ขุนพลบลูที่นางเคยเคารพนับถือเสมอขุนพลเรดเองก็ยังกล้าหักหลังกันเช่นนี้  ดูท่าว่ามันอาจจะมีเบื้องลึกเบื้องหลังอะไรที่ซับซ้อนเป็นแน่  ฉะนั้นจึงต้องคว้าเบาะแสที่เจ้าขุนพลทิ้งไว้ให้ได้เสียก่อนเป็นอันดับแรก

         "อุ๊บบ!"

         "เป็นอะไรไปรึ?"

         จู่ ๆ ริวจินก็ร้องออกมาพร้อมกับกุมขมับทั้งสองข้างแน่น  ทำเอามาเรียตกใจทำอะไรไม่ถูกไปด้วยเช่นกัน  เมื่ออาการทุเลาลงมันจึงนอนลงหอบหนักพร้อมกับยกข้อศอกขึ้นมาก่ายหน้าผากและบอกว่า

         "เมื่อสักครู่ดูเหมือนในหัวของข้ามีแสงสว่างขึ้นมาแวบหนึ่ง  ข้าไม่รู้ว่ามันคืออะไรแต่เท่าที่จำได้ก็มีแค่สัญลักษณ์ ๆ หนึ่งเท่านั้น..."

         "มันคืออะไรรึ?"

         ริวจินหยิบกิ่งไม้แห้งขึ้นมาวาดสัญลักษณ์รูปกางเขนขนาดใหญ่บนพื้นทราย  ท่ามกลางคลื่นในแสงสว่างอันรุนแรงจนตาพร่านั้นมันเห็นรูปลักษณ์แห่งกางเขนขนาดมหึมาลอยอยู่กลางอากาศ  คล้ายกับเป็นพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์บางอย่าง  รอบข้างนั้นยังมองเห็นคล้ายกับเงาของผู้คนในชุดคลุมสีขาวห้อมล้อมเต็มไปหมด

         "กางเขนงั้นหรือ  มันคืออะไรกันแน่นะ?"

         "ข้าไม่รู้... แต่ที่แน่ ๆ มันต้องมาจากเศษเสี้ยวแห่งความทรงจำในอดีตของตัวเองแน่ ๆ ข้ามั่นใจในเรื่องนั้น!"

         แม้จะจดจำรายละเอียดอื่น ๆ ไม่ได้เลยแต่อย่างน้อยริวจินก็เชื่อหมดใจว่าสัญลักษณ์กางเขนนั่นจะต้องมีส่วนเกี่ยวพันกับความลับในอดีตที่ไม่เปิดเผยของตนแน่ ๆ  และตอนนี้ก็มีเบาะแสให้มันได้เสาะหาเพิ่มมาอีกหนึ่งแล้ว  แต่นั่นต้องหลังจากที่พาองค์หญิงไปส่งยังจุดหมายปลายทางให้เรียบร้อยเสียก่อน  เพราะท่ามกลางทะเลทรายอันเวิ้งว้างนี้ยังไม่รู้ว่าจะมีอันตรายใดรออยู่อีกหรือไม่?


    @@@@@@@@@@@@


         และแล้วนักเดินทางลี้ภัยทั้งสองก็มาจนถึงหมู่บ้านชายขอบเมืองหลวงในช่วงเที่ยงวันตามคาดของใครบางคนซึ่งแอบซ่อนอยู่ในสถานที่แห่งนี้  มาเรียและริวจินตัดสินใจหาที่หลบแดดและหาเสบียงอาหารตุนไว้ก่อนออกเดินทางต่อ  โดยทางเดียวที่พวกนางจะได้สิ่งของอันต้องการก็คือการแลกเปลี่ยนกับเครื่องประดับชิ้นเล็ก ๆ ติดตัวมาตั้งแต่หนีออกจากในวังนั่นเอง

         "เนื้อน่องกับเนื้อซี่โครง นี่แล้วก็นี่!"

         พ่อค้าหน้าตาบอกบุญไม่รับที่ร้านรีบยื่นห่อผ้าพันชิ้นเนื้อตามที่นางสั่งให้อย่างว่องไว  องค์หญิงถึงกับขมวดคิ้วด้วยความฉงนว่าจะไม่ไถ่ถามที่ไปที่มาของพวกเครื่องประดับพวกนี้เลยหรือ?  แถมของที่แลกมาแต่ละอย่างล้วนเป็นของชั้นดีเท่าที่หมู่บ้านเล็ก ๆ แบบนี้จะจัดหาได้ด้วยซ้ำ  ราวกับว่าเจ้าพวกนี้รู้ราคาค่างวดของติดตัวนางเป็นอย่างดี?

         "ริวจินพวกเราไปนั่งพักที่เพิงตรงนั้นดีกว่า"

         เมื่อได้ของที่ต้องการครบแล้วทั้งสองก็เดินไปนั่งลงที่เพิงพักเดินทางซึ่งเป็นอาคารก่ออิฐขนาดเล็กไม่มีหลังคา  ใช้เพียงเศษผ้าใบที่พอหาได้แถวนี้คลุมบังแดดไว้เท่านั้น  และมีกลุ่มนักเดินทางสองสามคนนั่งจองที่ไว้ก่อนแล้ว

         "คุณหนูคนสวยคิดจะเดินทางไปที่ไหนต่อหรือ?"

         หนึ่งในนักเดินทางแกล้งกระเซ้ามาเรียแต่อีกฝ่ายไม่เล่นด้วยแถมยังเบือนหน้าหนี  ทำเอาคนอื่น ๆ หัวเราะครืนกับความไม่เอาไหนของมัน  แต่เจ้านั่นยังไม่ยอมแพ้เข้ามาตื้อขอคุยด้วยอย่างไม่ลดละความพยายาม

         "น่า ๆ อย่าทำเป็นเมินกันสิ! ข้าก็แค่อยากหาเรื่องคุยระหว่างพักคอยพรรคพวกของเข้าเดินทางมาถึงเท่านั้นเอง"

         ทีแรกนางก็ไม่คิดจะเล่นด้วย  แต่อีกทางนี่ก็เป็นโอกาสอันดีที่จะได้รับข้อมูลข่าวสารภายนอกหลังจากที่หลบหนีออกจากวังด้วย  มาเรียจึงยอมพูดคุยกับพวกนักเดินทางเหล่านั้นและได้รู้เรื่องสถานการณ์การศึกกับอาณาจักรข้างเคียงรวมถึงข่าวคราวทั่วไปอีกหลายเรื่อง  แต่กลับไม่มีข่าวเกี่ยวกับเรื่องที่องค์หญิงรองแห่งกาเลเทียคิดคดทุรยศและหลบหนีออกจากราชวังเลยแม้แต่นิดเดียว  หรือบางทีอาจจะเพราะเรื่องเพิ่งจะผ่านไปได้ไม่กี่วันกระมัง?    

         "ดูท่าว่าบัลวินด์เองก็คงเลี่ยงสงครามไปไม่ได้ล่ะนะ"

         หนึ่งในบุรุษซึ่งแต่งตัวเหมือนพ่อค้าเอ่ยขึ้น  แต่มาเรียแย้งขึ้นว่าทางอาณาจักรบัลวินด์นั้นเป็นพวกรักสงบและไม่ประสงค์ซึ่งสงคราม  อีกอย่างนางยังรู้จักกับผู้ปกครองที่นั่นดีจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดการปะทะกันในเร็ววันนี้

         "ฮ่า ๆ ท่านคงอยู่แต่ในรั้วในวังจนไม่รู้ว่าตอนนี้ที่เขตชายแดนแถวนั้นน่ะใกล้จะปะทะกันอยู่รอมร่อแล้วนา!"

         พวกนั้นพากันหัวเราะให้กับความอ่อนโลกของนาง  ฉับพลันนั้นเองที่มาเรียและริวจินจับพิรุธพวกนักเดินทางและพ่อค้าเก๊ได้ในทันที  ทั้งคู่ลุกพรวดขึ้นพร้อมกับบอกว่า

         "โอ้! มันเป็นเช่นนี้นี่เองข้าคงอยู่ในวังมากเกินไปอย่างที่พวกเจ้าว่า  แล้วรู้ได้อย่างไรว่าข้าเคยอยู่ในวังน่ะหืมม?"

         เจ้าพวกนั้นเบิกตาโพลงเมื่อรู้ตัวว่าพลาดปากไปแล้ว  แต่บางคนก็ยังเล่นลิ้นว่าเป็นเพราะเครื่องประดับมีค่าที่นางนำมาแลกเปลี่ยนสิ่งของเมื่อครู่ทำให้พอจะคาดเดาที่มาได้  กระนั้นก็ไม่อาจตบตาริวจินผู้เชี่ยวชาญวิชายุทธได้

         "พวกเจ้านี่หน่วยก้านดีเกินกว่าจะเป็นแค่พ่อค้าเร่นะ?  นอกจากกล้ามเนื้อแล้วแม้แต่ลมหายใจก็ยังไม่ปั่นป่วนหรือหอบเหนื่อยเลยแม้สักนิด  ทั้งที่แต่ละคนเดินทางมาไกลแท้ ๆ"

         "นอกจากนี้ข้ายังสังเกตเห็นพวกคาราวานที่ด้านนอกนั่นเดินวนรอบบริเวณนี้ไปสักสี่ถึงห้าครั้งได้แล้ว  มันดูค่อนข้างผิดปกตินะเจ้าว่าไหม?"

         มาเรียกล่าวเสริม  เจ้าพวกพ่อค้าเร่และนักเดินทางปลอมพลันเผยธาตุแท้กระโดดเข้าโจมตีทั้งสองในทันที  ทั้งดาบและมีดสั้นที่ถูกซ่อนเอาไว้พุ่งตรงเข้าหาอย่างมุ่งร้าย  แต่แค่อาวุธธรรมดาแค่นี้ย่อมไม่ระคายผิวยอดฝีมืออย่างริวจิน  มันสวนกลับด้วยฝ่ามือที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าเหล็กกล้าจนทั้งมีดดาบและร่างกายของพวกมันแหลกเหลวไปในพริบตา

         "ยอดเยี่ยม! ยอดเยี่ยมจริง ๆ องค์หญิง!"

         ไซออนเผยตัวออกมาท่ามกลางกลุ่มอาชาสวรรค์ที่ปลอมเป็นคาราวานเมื่อก่อนหน้านี้  มาเรียตระหนักดีว่านี่จะต้องเป็นศึกที่สาหัสยิ่งกว่าตอนอยู่ในชั้นใต้ดินของปราสาทแน่  ด้วยเสียงล่ำลือถึงฝีมือของหัวหน้าหน่วยลอบสังหารคนนี้  เพราะเมื่อใดที่มันยอดปรากฏตัวต่อสาธารณะย่อมหมายความว่ามันคิดจะเอาจริงแล้ว  และต้องการลงมืออย่างโหดเหี้ยมเพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่กบฎคนอื่น ๆ ด้วย

         "ไม่นึกเลยว่านอกจากฮอร์นจะยังมีองค์รักษ์มือดีแบบนี้อยู่ข้างกายอีกนะ  แต่มันก็เท่านั้นแหละเพราะเจ้าจะต้องตายที่นี่เดี๋ยวนี้แล้ว!"

         หัวหน้าอาชาสวรค์ดีดนิ้วออกคำสั่ง  พริบตาถัดจากนั้นพวกลูกสมุนพร้อมด้วยผ้าคลุมหลากสีก็ปรากฏตัวขึ้นรายล้อมทั้งสองพร้อมด้วยแววตาอำมหิต  ทุกคนต่างได้ยินเรื่องที่พอกพ้องถูกฆ่าไปเมื่อวันก่อนจึงหมายมั่นปั้นมือจะล้างแค้นแทนให้จงได้

         "ขอดูหน่อยเถอะว่าพวกแกจะรอดจากค่ายกลนี้ไปได้ยังไง ฮ่า ๆ"

         เพียงออกคำสั่ง  ลูกสมุนที่ล้อมอยู่ทุกคนก็ชูผ้าคลุมขึ้นเหนือศีรษะแล้วเริ่มวิ่งวนเป็นวงกลม  โดยแบ่งเป็นสามแถววิ่งวนสลับฟันปลากันอย่างซับซ้อน  สองแถววิ่งตามเข็มนาฬิกาในขณะที่อีกแถววิ่งทวนเข็ม  เมื่อดูจากความเร็วในการเคลื่อนที่แล้วจะมองเห็นเป็นแค่ผ้าคลุมสีจัดจ้านพุ่งผ่านไปมาชวนให้ตาลายยิ่งนัก  และในเมื่อวิ่งสลับแถวกันแบบนี้ก็ทำให้คาดเดาการโจมตีได้ยาก  เพราะเมื่อคิดจะโจมตีก็จะเจอการป้องกันด้วยโล่ขนาดเล็ก  แล้วเจอสวนด้วยดาบสั้นที่ซ่อนไว้หลับผ้าคลุมในทันที  มาเรียไม่ทันระวังจึงได้ไปสามแผลแถมจู่โจมพลาดเป้าไปอีก  ขนาดริวจินยังยืนนิ่งไม่เคลื่อนไหว

         "ฮ่า ๆ เอ้าขอดูสีหน้าที่สิ้นหวังของพวกแกหน่อยเถอะ!  แล้วพรุ่งนี้ข้าจะนำหัวไปฝากองค์หญิงฟาเรียให้เองนะ..." 

         ไซออนหัวเราะชอบใจเมื่อได้เห็นทั้งสองตกอยู่ในห้วงวิกฤต  ที่ผ่านมามีน้อยคนนักที่จะรอดไปจากค่ายกลธงสามสีของหน่วยอาชาสวรรค์นี้  โดนเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้เห็นเหยื่อที่น่าสงสารตกอยู่ท่ามกลางวงล้อมไร้ทางออกและถูกรุมเสียบนองเลือดเช่นนี้ยังความปิติสุขให้กับมันมากนัก  จึงเป็นหนึ่งในวิธีโปรดของไซออนในการทรมานและฆาตกรรมศัตรูให้ตายอย่างช้า ๆ

         "สิ้นหวัง? ด้วยกลหลอกเด็กพรรค์นี้เนี่ยนะ?"

         ริวจินเริ่มได้ประสาทสัมผัสแห่งการต่อสู้กลับคืนมาทีละน้อยเมื่อผ่านการปะทะมาสองสามครั้ง  และในห้วงความทรงจำอันรางเลือนนั้นยังมีค่ายกลที่โหดเหี้ยมอำมหิตยิ่งกว่านี้อีกมาก  นับประสาอะไรกับยุทธวิธีพื้น ๆ โดยการพรางตาเยี่ยงนี้เล่า?  เพียงแค่เขาเตะกวาดพัดพาเอาฝุ่นที่ใต้เท้าฟุ้งขึ้นมาบดบังรัศมีการมองเห็น  บวกกับความเร็วของการเคลื่อนที่เป็นวงกลมยิ่งช่วยดูดฝุ่นให้ฟุ้งกระจายหนักขึ้นไปอีก  ไม่ทันไรค่ายกลก็แตกเพราะต่ายฝ่ายต่างมองไม่เห็นซึ่งกันและกัน 

         "กลหลอกเด็กพรรค์นี้ดูแว่บเดียวก็รู้แล้ว! สองแถวแรกวิ่งตามเข็มนาฬิกาเป็นฝ่ายป้องกันด้วยโล่  ในขณะที่แถวสุดท้ายวิ่งทวนเข็มนาฬิกาเตรียมดาบสั้นพร้อมจู่โจม!"

         ริวจินอาศัยประสบการณ์อันเหนือชั้นกว่าแม้ตนเองจะจำไม่ได้ก็ตาม  มองทะลุเล่ห์ที่ซ่อนไว้หลังค่ายกลจนปรุโปร่ง  ผ้าคลุมสามแถวเรียงสีนั้นถูกจัดวางไว้เพื่อตบตาให้คนสับสน  สองแถวแรกวิ่งนำพร้อมกับตั้งโล่ใต้ผ้าคลุม  เมื่อใดที่อีกฝ่ายหลงกลจู่โจมก็จะเจอกับการป้องกัน  ฉับพลันนั้นแถวสุดท้ายที่วิ่งทวนมาจากอีกทิศก็จะเล็งจู่โจมช่องว่างนั้นในทันที  นับว่าในการต่อสู้กับบุคคลทั่วไปย่อมเป็นดั่งกับดักนรกแน่นอน  แต่ไม่ใช่กับพวกนักสู้ระดับสูงที่ผ่านศึกมาอย่างโชกโชน  จึงมองออกในแค่พริบตาที่เห็น

         "อะต๊าา!"

         เมื่อค่ายกลหยุดเคลื่อนไหวก็ไม่ต่างอะไรกับเป้านิ่ง  ริวจินซัดฝ่าเท้าเข้าใส่พวกมันจนกระเด็นกลิ้งไม่เป็นท่า  สารรูปหน่วยอาชาสวรรค์ผู้ไร้เทียมทานดูไม่จืดไปเลยในเวลานี้  ขนาดไซออนเองก็ยังมีสีหน้าโกรธาอย่างเห็นได้ชัด

         "หนอยแน่ะไอ้กร๊วกนี่!"

         มันรีบสั่งพวกลูกน้องเข้ารุมโจมตีเพื่อกู้ชื่อเสียงของหน่วยกลับคืนมา  ทว่าอีกฝ่ายก็จัดการใช้เท้าขีดเส้นตรงยาวบนพื้นเพื่อแบ่งเขตระหว่างทั้งสองฝ่าย  ริวจินเงยหน้าขึ้นก่อนจะบอกกับพวกอาชาสวรรค์ทุกคนว่า

         "พวกเจ้ามีความสามัคคีร่วมแรงร่วมใจกันดีนักข้าขอชมเชย  แต่ตัวข้าเองก็มีหน้าที่จะต้องพาองค์หญิงไปยังจุดหมายให้จงได้  เพราะฉะนั้นใครที่บังอาจข้ามเส้นนี้มาข้าจะไม่ปรานีมัน!"

         น้ำเสียงของมันแข็งกร้าวองอาจจนแม้แต่พวกอาชาสวรรค์ยังคร้ามเกรง  อย่างไรก็ดีไซออนยิ่งเกรี้ยวกราดกว่า  มันออกคำสั่งอีกครั้งโดยสำทับว่าหากใครคิดหนีย่อมต้องโทษเช่นเดียวกับศัตรูในทันที  ลูกน้องที่เหลือจึงอับจนทางเลือกต้องกระโดดเข้าต่อสู้เพียงสถานเดียว

         "น่าสมเพชยิ่งนัก..."

         และด้วยระดับที่ต่างกันเกินไป  เพียงไม่นานเหล่าอาชาสวรรค์ผู้ห้าวหาญทั้งหลายก็ล้มตายเป็นใบไม้ร่วง  ริวจินกัดฟันกรอดชี้นิ้วไปที่ไซออนด้วยแรงอาฆาต  ไอ้คนที่บังอาจใช้พรรคพวกตัวเองไม่ต่างจากเบี้ย

         "ต่อไปก็ตาแกแล้ว! คนที่ไม่คุณค่าของลูกน้องไม่สมควรมีชีวิตอยู่ดูโลกอีกต่อไป!!!"


    จบตอน


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×