ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ฤทธิ์หมัดมังกรราชันสยบฟ้า

    ลำดับตอนที่ #37 : ริวจิน มุ่งสู่ตะวันตก ตอนที่03

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 26
      1
      27 ก.ย. 63


         ความแข็งแกร่งคือภาพลวงตา  ชราภาพและโรยราคือความเป็นจริง  นั่นคือสิ่งที่ริวจินกำลังเผชิญหน้าอยู่ในเวลานี้  แม้ว่าเขาจะได้เป็นผู้สืบทอดวิชาหมัดมังกรราชันจนเก่งกาจขนาดหาคู่ประลองไม่ได้  แต่ความหยิ่งทระนงในวัยหนุ่มฉกรรจ์ก็ทำให้ตนตัดสินใจแยกตัวออกจากหนทางคำสอนของผู้เป็นอาจารย์ในที่สุด

         "ไม่ว่าอย่างไรก็จะไปให้ได้รึ?  ริวจิน..."

         นิรนามเอ่ยถามเสียงเรียบในขณะที่มองดูหนึ่งในศิษย์รักหันหลังเตรียมตัวเดินออกจากสำนักของตน  สิ่งที่ริวจินทำก็มีแค่เพียงยักไหล่หนึ่งครั้งแล้วตอบผู้เป็นอาจารย์กลับไปว่า

         "อา... ข้าไม่มีธุระอะไรกับสถานที่แห่งนี้แล้ว!"

         บนเทือกเขาสูงเสียดฟ้า  ผู้คนต่างขนานนามสำนักนี้ว่าเป็นวิหารแห่งเทพเซียน  อันเนื่องมาจากกิตติศัพท์ร่ำลือถึงฝีมือและความร้ายกาจปานเทพจำแลงของนิรนาม  ชายผู้ยืนอยู่บนจุดสูงสุดแห่งพื้นพิภพ  มากล้นทั้งประสบการณ์และวิชาแกร่งกล้าหามีใครเทียบเทียมไม่  แต่มาบัดนี้กลับไม่มีปัญญาแม้จะฉุดรั้งลูกศิษย์ของตนเอาไว้ได้

         "เพราะเหตุใดเล่า  เจ้าจึงอยากจะออกไปยังโลกภายนอกนัก?"

         "ก็ลองมองดูตัวของท่านให้ดี ๆ ซิ!"

         ศิษย์ชี้ไปยังอาจารย์ผู้นั่งในท่ากรรมฐานบนแท่นหินสีดำ  นิรนามในวัยที่ล่วงเลยร้อยขวบปีไปแล้วหายใจอย่างแผ่วเบาเป็นจังหวะ  ก้มหน้าเล็กน้อยเปลือกตาปิดสนิททั้งสองข้าง  กล้ามเนื้อที่เคยเต่งตึงงดงามมาบัดนี้ถูกโจมตีด้วยสังขารและกาลเวลาจนเหี่ยวย่นซูบผอม  ลำตัวลีบจนมองเห็นชั้นซี่โครงปรากฎอย่างชัดเจน

         "แม้จะเก่งกาจเพียงไหน  แต่หากเอาชนะสังขารและโรคร้ายไม่ได้มันก็เท่านั้น!"

         ริวจินรู้สึกชิงชังและโกรธเกรี้ยวต่อเงื่อนไขการเสื่อมสภาพของร่างกายลงตามกาลเวลายิ่งนัก  เหตุใดกันเล่าร่างเนื้อที่แข็งแกร่งอัดแน่นไปด้วยความเต่งตึงเยาว์วัยจึงต้องแห้งเหี่ยวถดถอยเช่นนี้?  แม้แต่ท่านอาจารย์ผู้ที่ตนเคยหลงใหลให้ความเคารพเทิดทูนในพละกำลังและฝีมือยังมิอาจหลีกเลี่ยงจากวัฐจักรสังขารดังกล่าว  ยิ่งเขามองดูนิรนามก็ยิ่งหงุดหงิดใจ  ไฉนท่านจึงไม่คิดจะต่อต้านต่อเงื่อนไขไร้แก่นสารเช่นนี้บ้างเล่า?  แก่ตายไปทั้ง ๆ อย่างนี้แล้วโลกจะได้อะไร?  วิชายุทธที่อุตส่าห์ทุ่มเทฝึกฝนมาค่อนชีวิตตายแล้วเอาไปใช้ที่เมืองผีได้มั้ย? 

         "นั่นเพราะเจ้าสำเร็จเพียงวิชายุทธในทางโลก  หาได้เข้าถึงสัจธรรมแห่งชีวิตที่แท้จริงไม่..."

         นิรนามกล่าวอย่างแผ่วเบา  ความหนาวเย็นบนยอดเขาได้กัดกร่อนลดทอนกำลังวังชาของผู้เป็นอาจารย์ไปมากโข  กระนั้นสายตาของปรมาจารย์สายยุทธ์ท่านนี้ก็ยังคงแกล้วกล้าดุจดั่งอดีตที่เคยเป็นมา 

         "ไร้สาระ! ที่ผ่านมาท่านก็มีแต่สอนวิชายุทธให้กับข้า  ไม่เห็นจะมีไอ้สัจธรรมบ้าบออะไรนั่นแทรกอยู่ในวิชาบทไหนเลยสักนิด!!!"

         ริวจินเกร็งพลังไปที่ฝ่ามือทั้งสองข้าง  แค่เขาขยับเบา ๆ โขดหินที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงปากทางเข้าสำนักก็แหลกสลายกลายเป็นเศษเล็กเศษน้อยในพริบตา  โดยที่เจ้าตัวไม่ได้สัมผัสโดนมันเลยสักนิด  เพลงหมัดวิชามังกรราชันของเขาในขณะนี้อาจกล่าวได้ว่าเข้มแข็งสมบูรณ์แบบเท่าที่จะเป็นไปได้แล้ว

         "จงดู! กำปั้นของข้าสามารถสลายได้ทุกสิ่งที่ขวางหน้า  ก็ท่านเป็นคนสอนบทเพลงนี้ให้เองมิใช่หรือ?  ใด ๆ ในโลกหล้าล้วนวัดกันที่กำลัง  อ่อนแอย่อมพ่ายแพ้  แข็งแกร่งจึงเป็นใหญ่  ไฉนจึงต้องศิโรราบต่อความชราด้วย!!!"

         เจ้ามังกรน้อยกัดฟันด้วยความโกรธ  หากว่านิรนามใช้ปัญญาพิจารณาดูสักหน่อยจักเห็นได้ว่าการแก่เฒ่านั้นแหละคือตัวฉุดรั้งพลังและความยิ่งใหญ่  เสมือนศัตรูตัวฉกาจที่สุดต่อมนุษย์ผู้เข้มแข็งไร้เทียมทานเยี่ยงนี้  และการแก้ปัญหามันก็ง่ายนิดเดียวขอแค่หาวิธีหยุดยั้งโรคชราได้ก็เพียงพอแล้วมิใช่หรือ?  แต่ตนกลับถูกคัดค้านเสียนี่จึงต้องเลือกแยกทางกันอย่างช่วยไม่ได้

         "เพลงหมัดของเจ้าอาจร้ายกาจที่สุดในแดนดินก็จริงอยู่  ทว่ามันสามารถตัดแยกท้องฟ้าที่เบื้องบนได้หรือไม่?  ใช้มันหยุดยั้งสายน้ำมิให้ไหลจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำได้หรือเปล่า?  ใด ๆ ในโลกหล้าล้วนอยู่ใต้กฏแห่งสังสารวัฏ  หาใช่กำลังไม่... ตัวเจ้าก็เปรียบได้กับคนเจ็บที่หูหนวกตาบอด  ไล่โจมตีเงาหลอนของศัตรูที่ไม่มีอยู่จริงเพื่อบรรเทาอาการเพียงเท่านั้น"

         นิรนามกล่าวพลางยิ้มเหมือนจะเย้ยลูกศิษย์  ริวจินยิ่งหัวเสียเป็นทวีคูณจึงเดินจากมาโดยไม่หันกลับไปมองผู้เป็นอาจารย์อีก  และการเดินแยกทางออกจากสำนักในคราวนี้เขาได้ปฎิญาณตนไว้แล้วว่าหากยังมิอาจเอาชนะโรคร้ายที่ชื่อว่าชราภาพได้  ก็จะไม่ขอออกหน้าเป็นสุดยอดฝีมือในยุทธภพอย่างเด็ดขาด  เพราะอย่างไรเสียคำว่าสุดยอดนั้นจำต้องได้มาเมื่อตนไร้เทียมทานไร้ซึ่งอุปสรรคขวางกั้นอย่างแท้จริง  ไม่ว่าจะเป็นยอดฝีมือคนอื่น ๆ ในโลกนี้หรือแม้กระทั่งความตาย!

    แล้วกาลเวลาก็ผ่านไปเนิ่นนานนับร้อยปี...


    @@@@@@@@@@@@


         "อุ... อืออ..."
        
         ริวจินฟื้นจากห้วงภวังค์และความฝันเมื่อครั้งอดีตอันไกลโพ้น  มันขยับศีรษะช้า ๆ เพื่อไล่อาการมึนงงที่ยังเหลือตกค้างอยู่ออกไป  ก่อนจะลุกขึ้นมาสำรวจโดยรอบเพื่อจะพบว่าตนได้ถูกใครบางคนหอบร่างมานอนบนเตียงภายในกระท่อมหลังเล็กแห่งหนึ่งที่ดูทรุดโทรมและเก่าสกปรกซอมซ่อ  ทว่ากลับได้กลิ่นจาง ๆ ของอาหารที่ปรุงเสร็จใหม่ ๆ และกลิ่นยาปรุงลอยโชยมาแตะปลายจมูกด้วย

         "อ้าวได้สติแล้วหรือ?"

         เสียงใส ๆ ดังมาจากอีกห้องหนึ่ง  ก่อนที่เจ้าของเสียงจะเดินออกมาพร้อมกับหม้อใบเล็กซึ่งต้มข้าวและผักป่าเท่าที่พอจะหาได้มาวางไว้ข้างเตียงของเขา  เป็นสตรีผมยาวร่างกายบอบบางในชุดเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งท่าทางไม่มีพิษภัย  และที่สำคัญคือนางเป็นคนพิการตาบอดไร้ซึ่งแสงสว่างในดวงตา  ริวจินรู้สึกน้ำลายสอเมื่อได้กลิ่นอาหารแต่ยังคงสงวนท่าทีด้วยไม่รู้ว่านางผู้นี้มาดีหรือร้ายกันแน่?

         "เจ้าเป็นคนพาข้ามานอนบนเตียงนี่หรือ?  ดูยังไงก็ไม่น่าจะ..."

         "ไม่ใช่ข้าหรอก  เป็น ทาม่อน ต่างหากล่ะ!"

         นางกล่าวพลางบุ้ยใบ้ไปที่ด้านนอกกระท่อม  ประจวบเหมาะกับที่ชายร่างใหญ่คนหนึ่งเปิดประตูเดินเข้ามาพอดี  ชายคนนี้รูปร่างสูงใหญ่กำยำท่าทางคล้ายกับหมียักษ์  ผมเผ้ายาวรุงรังคิ้วหนาหน้าตาดุดันไม่เป็นมิตร  สวมเสื้อคลุมที่ทำจากหนังหมีดำทำให้ดูน่าเกรงขามไม่น้อย 

         "เฮอะ! ข้าเตือนเจ้าแล้วนะว่าอย่าพาไอ้หมอนี่เข้ามาจะดีกว่า"

         "แต่เขาบาดเจ็บสาหัสนอนไม่ได้สติอยู่มิใช่หรือ  อย่างน้อยก็เป็นคนเดียวที่รอดชีวิตจากการจู่โจรของพวกโจรนั่น"

         ทาม่อนนั่งลงบนเก้าอี้ตัวเล็กก่อนจะถอนหายใจยาว  ดูจากท่าทางแล้วเจ้าหมอนี่ก็น่าจะเป็นผู้ที่ฝึกวิชายุทธเช่นกันเพียงแต่ยังไม่รู้ว่าเป็นกระบวนท่าแบบไหนกันแน่  ริวจินพยายามลุกขึ้นจากเตียงทว่ากลับวิงเวียนศีรษะคลื่นไส้จนต้องนั่งลงอีกรอบ

         "อ้าวไม่ได้นะ  ในตัวท่านยังมีฤทธิ์ของยาพิษหลงเหลืออยู่เลย!"

         สตรีตาบอดกล่าวพลางบอกให้เขาเอนตัวลงนอนพักเสียก่อน  ในขณะที่ทาม่อนนั่งกอดอกมองมาทางนี้อย่างไม่พอใจเท่าไรนักที่นางนำตัวปัญหาเช่นนี้เข้ามายังที่พัก

         "ช่างมันเถอะน่า! ข้าให้เวลาแค่ไม่เกินสามวัน  รีบ ๆ ไล่มันออกไปจากที่นี่ซะไม่งั้นเจ้าพวกโจรนั่นมันจะย้อนกลับมาทำร้ายพวกเราแน่ ๆ"

         "ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก  ข้ารบกวนพวกเจ้าอีกไม่เกินครึ่งวันนี้เท่านั้น"

         ริวจินกล่าว  เขายอมนอนลงอย่างว่าง่าย  พยายามสะสมพละกำลังในร่างให้พร้อมสำหรับการออกเดินทางทันทีที่ฤทธิ์ยาตกค้างของฤาษีสนธยาในตัวสลายไปจนหมด  เพราะตนก็ไม่ต้องการรบกวนหรือเป็นภาระให้ใครต้องมาตกอยู่ในอันตรายเช่นกัน  หากว่าเจ้าพวกโจรนั่นยังคงป้วนเปี้ยนอยู่ข้างนอก  อีกไม่นานเขาจะเป็นฝ่ายเข้าไปเคาะประตูหาพวกมันถึงที่เองพร้อมคิดบัญชีแบบทบต้นทบดอกเลยทีเดียว

         "ว่าแต่... เมื่อครู่เห็นพูดถึงยาพิษ  หรือว่าพวกเจ้าจะรู้จักกับฤาษีสนธยาเช่นกัน?"

         ริวจินเอ่ยถามเมื่อนึกขึ้นได้ว่าสตรีตาบอดเอ่ยถึงมัน  แต่ทาม่อนกลับเป็นฝ่ายตอบกลับมาว่า

         "ข้าไม่รู้หรอกว่ามันมีชื่อเรียกว่าอะไร  รู้เพียงแต่ว่าพวกมันใช้ยาพิษชนิดนี้ผสมไปในสายหมอกเพื่อวางยาเหยื่อแล้วลอบสังหารหรือไม่ก็ปลดทรัพย์  เป็นวิธีที่โหดร้ายทารุณชะมัด!"

         ทาม่อนพูดถึงแค่นี้ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าไม่ควรให้ข้อมูลอะไรเพิ่มเติมแก่คนจรที่ไม่น่าไว้ใจนี่จึงเลือกที่จะนั่งหุบปากเงียบแทน  ด้านสตรีผู้ใจดีก็กล่าวเสริมว่า

         "พวกข้าอาศัยอยู่ที่นี่มานานแล้ว  ตั้งแต่ก่อนที่พวกมันจะมาดักปล้นคนแถวนี้เสียอีก  โชคดีที่ทาม่อนพอจะมีฝีมือต่อสู้ได้บ้างจึงเจรจาหย่าศึกกับพวกมันโดยมีข้อเสนอว่าพวกเราจะไม่ยุ่งเกี่ยวซึ่งกันและกันน่ะ..."

         นอกจากริวจินแล้ว  ยังมีนักเดินทางหรือผู้ฝึกยุทธคนอื่น ๆ ที่รอดจากฤทธิ์ของยาและนางได้ให้การช่วยเหลือเป็นระยะเวลาสั้น ๆ  แต่ก็โดนทาม่อนไล่ออกไปแทบจะในทันทีที่ได้สติเช่นกัน  และหลังจากนั้นก็ไม่รู้ข่าวคราวชะตากรรมของคนกลุ่มนั้นอีกเลย

         "งั้นหรือ...  ขอบใจเจ้ามาก"

         "แฮะ ๆ อ้อจริงสิข้าชื่อว่า ทาเลีย นะ  ไม่ทราบว่าท่านชื่อ..."

         ทาเลียนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้แนะนำตัวเองจึงบอกชื่อออกมา  ในขณะที่ทาม่อนไม่พอใจตะโกนลั่นบ้านอีกหนว่า

         "จะไปถามชื่อมันทำไม!  อีกประเดี๋ยวมันก็จะต้องย้ายตูดออกจากที่นี่แล้วนะ!"

         หลังจากนั้นมันก็บ่นเป็นหมีกินผึ้งถึงเรื่องที่ทาเลียใจดีชอบช่วยเหลือคนจนนำปัญหามาให้บ่อยครั้ง  ริจินได้ฟังก็พอจะอนุมานได้ว่าสองคนนี้คงจะนับถือเป็นพี่น้องกัน  แต่น่าจะไม่มีความเกี่ยวดองทางสายเลือดเพราะใบหน้าไม่มีความละม้ายคล้ายกันเท่าไรนัก  อย่างไรก็ดีนั่นอาจไม่ใช่รายละเอียดที่เขาต้องใส่ใจเพราะถึงยังไงเดี๋ยวก็จะต้องลาจากสองคนนี้ในไม่ช้าอยู่แล้ว  ถ้าไม่เพราะว่า...

         ตึง...!  ตึง...!

         "เฮ้ยเปิดประตูหน่อยเว้ย!"

         จู่ก็มีใครบางคนเคาะประตูพร้อมเสียงโหวกเหวกที่หน้ากระท่อม  ฟังจากน้ำเสียงแล้วคงอยู่ในช่วงอารมณ์หงุดหงิดพอสมควร  ทาม่อนกำชับให้ทั้งสองอยู่เฉย ๆ อย่าส่งเสียงอะไรก่อนจะเดินออกไปดูแขกผู้ไม่ได้รับเชิญคนนั้น  มันแง้มประตูคุยโดยไม่ยอมให้อีกฝ่ายเดินเข้ามาข้างใน  แต่แค่แว่บเดียวริวจินก็จำได้ทันทีว่าเจ้านั่นคือหนึ่งในกลุ่มโจรที่ลอบทำร้ายเขาก่อนหน้านี้นั่นเอง!



    จบตอน

        

      
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×