ลำดับตอนที่ #37
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #37 : ริวจิน มุ่งสู่ตะวันตก ตอนที่03
ความแข็งแกร่งคือภาพลวงตา ชราภาพและโรยราคือความเป็นจริง นั่นคือสิ่งที่ริวจินกำลังเผชิญหน้าอยู่ในเวลานี้ แม้ว่าเขาจะได้เป็นผู้สืบทอดวิชาหมัดมังกรราชันจนเก่งกาจขนาดหาคู่ประลองไม่ได้ แต่ความหยิ่งทระนงในวัยหนุ่มฉกรรจ์ก็ทำให้ตนตัดสินใจแยกตัวออกจากหนทางคำสอนของผู้เป็นอาจารย์ในที่สุด
"ไม่ว่าอย่างไรก็จะไปให้ได้รึ? ริวจิน..."
นิรนามเอ่ยถามเสียงเรียบในขณะที่มองดูหนึ่งในศิษย์รักหันหลังเตรียมตัวเดินออกจากสำนักของตน สิ่งที่ริวจินทำก็มีแค่เพียงยักไหล่หนึ่งครั้งแล้วตอบผู้เป็นอาจารย์กลับไปว่า
"อา... ข้าไม่มีธุระอะไรกับสถานที่แห่งนี้แล้ว!"
บนเทือกเขาสูงเสียดฟ้า ผู้คนต่างขนานนามสำนักนี้ว่าเป็นวิหารแห่งเทพเซียน อันเนื่องมาจากกิตติศัพท์ร่ำลือถึงฝีมือและความร้ายกาจปานเทพจำแลงของนิรนาม ชายผู้ยืนอยู่บนจุดสูงสุดแห่งพื้นพิภพ มากล้นทั้งประสบการณ์และวิชาแกร่งกล้าหามีใครเทียบเทียมไม่ แต่มาบัดนี้กลับไม่มีปัญญาแม้จะฉุดรั้งลูกศิษย์ของตนเอาไว้ได้
"เพราะเหตุใดเล่า เจ้าจึงอยากจะออกไปยังโลกภายนอกนัก?"
"ก็ลองมองดูตัวของท่านให้ดี ๆ ซิ!"
ศิษย์ชี้ไปยังอาจารย์ผู้นั่งในท่ากรรมฐานบนแท่นหินสีดำ นิรนามในวัยที่ล่วงเลยร้อยขวบปีไปแล้วหายใจอย่างแผ่วเบาเป็นจังหวะ ก้มหน้าเล็กน้อยเปลือกตาปิดสนิททั้งสองข้าง กล้ามเนื้อที่เคยเต่งตึงงดงามมาบัดนี้ถูกโจมตีด้วยสังขารและกาลเวลาจนเหี่ยวย่นซูบผอม ลำตัวลีบจนมองเห็นชั้นซี่โครงปรากฎอย่างชัดเจน
"แม้จะเก่งกาจเพียงไหน แต่หากเอาชนะสังขารและโรคร้ายไม่ได้มันก็เท่านั้น!"
ริวจินรู้สึกชิงชังและโกรธเกรี้ยวต่อเงื่อนไขการเสื่อมสภาพของร่างกายลงตามกาลเวลายิ่งนัก เหตุใดกันเล่าร่างเนื้อที่แข็งแกร่งอัดแน่นไปด้วยความเต่งตึงเยาว์วัยจึงต้องแห้งเหี่ยวถดถอยเช่นนี้? แม้แต่ท่านอาจารย์ผู้ที่ตนเคยหลงใหลให้ความเคารพเทิดทูนในพละกำลังและฝีมือยังมิอาจหลีกเลี่ยงจากวัฐจักรสังขารดังกล่าว ยิ่งเขามองดูนิรนามก็ยิ่งหงุดหงิดใจ ไฉนท่านจึงไม่คิดจะต่อต้านต่อเงื่อนไขไร้แก่นสารเช่นนี้บ้างเล่า? แก่ตายไปทั้ง ๆ อย่างนี้แล้วโลกจะได้อะไร? วิชายุทธที่อุตส่าห์ทุ่มเทฝึกฝนมาค่อนชีวิตตายแล้วเอาไปใช้ที่เมืองผีได้มั้ย?
"นั่นเพราะเจ้าสำเร็จเพียงวิชายุทธในทางโลก หาได้เข้าถึงสัจธรรมแห่งชีวิตที่แท้จริงไม่..."
นิรนามกล่าวอย่างแผ่วเบา ความหนาวเย็นบนยอดเขาได้กัดกร่อนลดทอนกำลังวังชาของผู้เป็นอาจารย์ไปมากโข กระนั้นสายตาของปรมาจารย์สายยุทธ์ท่านนี้ก็ยังคงแกล้วกล้าดุจดั่งอดีตที่เคยเป็นมา
"ไร้สาระ! ที่ผ่านมาท่านก็มีแต่สอนวิชายุทธให้กับข้า ไม่เห็นจะมีไอ้สัจธรรมบ้าบออะไรนั่นแทรกอยู่ในวิชาบทไหนเลยสักนิด!!!"
ริวจินเกร็งพลังไปที่ฝ่ามือทั้งสองข้าง แค่เขาขยับเบา ๆ โขดหินที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงปากทางเข้าสำนักก็แหลกสลายกลายเป็นเศษเล็กเศษน้อยในพริบตา โดยที่เจ้าตัวไม่ได้สัมผัสโดนมันเลยสักนิด เพลงหมัดวิชามังกรราชันของเขาในขณะนี้อาจกล่าวได้ว่าเข้มแข็งสมบูรณ์แบบเท่าที่จะเป็นไปได้แล้ว
"จงดู! กำปั้นของข้าสามารถสลายได้ทุกสิ่งที่ขวางหน้า ก็ท่านเป็นคนสอนบทเพลงนี้ให้เองมิใช่หรือ? ใด ๆ ในโลกหล้าล้วนวัดกันที่กำลัง อ่อนแอย่อมพ่ายแพ้ แข็งแกร่งจึงเป็นใหญ่ ไฉนจึงต้องศิโรราบต่อความชราด้วย!!!"
เจ้ามังกรน้อยกัดฟันด้วยความโกรธ หากว่านิรนามใช้ปัญญาพิจารณาดูสักหน่อยจักเห็นได้ว่าการแก่เฒ่านั้นแหละคือตัวฉุดรั้งพลังและความยิ่งใหญ่ เสมือนศัตรูตัวฉกาจที่สุดต่อมนุษย์ผู้เข้มแข็งไร้เทียมทานเยี่ยงนี้ และการแก้ปัญหามันก็ง่ายนิดเดียวขอแค่หาวิธีหยุดยั้งโรคชราได้ก็เพียงพอแล้วมิใช่หรือ? แต่ตนกลับถูกคัดค้านเสียนี่จึงต้องเลือกแยกทางกันอย่างช่วยไม่ได้
"เพลงหมัดของเจ้าอาจร้ายกาจที่สุดในแดนดินก็จริงอยู่ ทว่ามันสามารถตัดแยกท้องฟ้าที่เบื้องบนได้หรือไม่? ใช้มันหยุดยั้งสายน้ำมิให้ไหลจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำได้หรือเปล่า? ใด ๆ ในโลกหล้าล้วนอยู่ใต้กฏแห่งสังสารวัฏ หาใช่กำลังไม่... ตัวเจ้าก็เปรียบได้กับคนเจ็บที่หูหนวกตาบอด ไล่โจมตีเงาหลอนของศัตรูที่ไม่มีอยู่จริงเพื่อบรรเทาอาการเพียงเท่านั้น"
นิรนามกล่าวพลางยิ้มเหมือนจะเย้ยลูกศิษย์ ริวจินยิ่งหัวเสียเป็นทวีคูณจึงเดินจากมาโดยไม่หันกลับไปมองผู้เป็นอาจารย์อีก และการเดินแยกทางออกจากสำนักในคราวนี้เขาได้ปฎิญาณตนไว้แล้วว่าหากยังมิอาจเอาชนะโรคร้ายที่ชื่อว่าชราภาพได้ ก็จะไม่ขอออกหน้าเป็นสุดยอดฝีมือในยุทธภพอย่างเด็ดขาด เพราะอย่างไรเสียคำว่าสุดยอดนั้นจำต้องได้มาเมื่อตนไร้เทียมทานไร้ซึ่งอุปสรรคขวางกั้นอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นยอดฝีมือคนอื่น ๆ ในโลกนี้หรือแม้กระทั่งความตาย!
แล้วกาลเวลาก็ผ่านไปเนิ่นนานนับร้อยปี...
@@@@@@@@@@@@
"อุ... อืออ..."
ริวจินฟื้นจากห้วงภวังค์และความฝันเมื่อครั้งอดีตอันไกลโพ้น มันขยับศีรษะช้า ๆ เพื่อไล่อาการมึนงงที่ยังเหลือตกค้างอยู่ออกไป ก่อนจะลุกขึ้นมาสำรวจโดยรอบเพื่อจะพบว่าตนได้ถูกใครบางคนหอบร่างมานอนบนเตียงภายในกระท่อมหลังเล็กแห่งหนึ่งที่ดูทรุดโทรมและเก่าสกปรกซอมซ่อ ทว่ากลับได้กลิ่นจาง ๆ ของอาหารที่ปรุงเสร็จใหม่ ๆ และกลิ่นยาปรุงลอยโชยมาแตะปลายจมูกด้วย
"อ้าวได้สติแล้วหรือ?"
เสียงใส ๆ ดังมาจากอีกห้องหนึ่ง ก่อนที่เจ้าของเสียงจะเดินออกมาพร้อมกับหม้อใบเล็กซึ่งต้มข้าวและผักป่าเท่าที่พอจะหาได้มาวางไว้ข้างเตียงของเขา เป็นสตรีผมยาวร่างกายบอบบางในชุดเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งท่าทางไม่มีพิษภัย และที่สำคัญคือนางเป็นคนพิการตาบอดไร้ซึ่งแสงสว่างในดวงตา ริวจินรู้สึกน้ำลายสอเมื่อได้กลิ่นอาหารแต่ยังคงสงวนท่าทีด้วยไม่รู้ว่านางผู้นี้มาดีหรือร้ายกันแน่?
"เจ้าเป็นคนพาข้ามานอนบนเตียงนี่หรือ? ดูยังไงก็ไม่น่าจะ..."
"ไม่ใช่ข้าหรอก เป็น ทาม่อน ต่างหากล่ะ!"
นางกล่าวพลางบุ้ยใบ้ไปที่ด้านนอกกระท่อม ประจวบเหมาะกับที่ชายร่างใหญ่คนหนึ่งเปิดประตูเดินเข้ามาพอดี ชายคนนี้รูปร่างสูงใหญ่กำยำท่าทางคล้ายกับหมียักษ์ ผมเผ้ายาวรุงรังคิ้วหนาหน้าตาดุดันไม่เป็นมิตร สวมเสื้อคลุมที่ทำจากหนังหมีดำทำให้ดูน่าเกรงขามไม่น้อย
"เฮอะ! ข้าเตือนเจ้าแล้วนะว่าอย่าพาไอ้หมอนี่เข้ามาจะดีกว่า"
"แต่เขาบาดเจ็บสาหัสนอนไม่ได้สติอยู่มิใช่หรือ อย่างน้อยก็เป็นคนเดียวที่รอดชีวิตจากการจู่โจรของพวกโจรนั่น"
ทาม่อนนั่งลงบนเก้าอี้ตัวเล็กก่อนจะถอนหายใจยาว ดูจากท่าทางแล้วเจ้าหมอนี่ก็น่าจะเป็นผู้ที่ฝึกวิชายุทธเช่นกันเพียงแต่ยังไม่รู้ว่าเป็นกระบวนท่าแบบไหนกันแน่ ริวจินพยายามลุกขึ้นจากเตียงทว่ากลับวิงเวียนศีรษะคลื่นไส้จนต้องนั่งลงอีกรอบ
"อ้าวไม่ได้นะ ในตัวท่านยังมีฤทธิ์ของยาพิษหลงเหลืออยู่เลย!"
สตรีตาบอดกล่าวพลางบอกให้เขาเอนตัวลงนอนพักเสียก่อน ในขณะที่ทาม่อนนั่งกอดอกมองมาทางนี้อย่างไม่พอใจเท่าไรนักที่นางนำตัวปัญหาเช่นนี้เข้ามายังที่พัก
"ช่างมันเถอะน่า! ข้าให้เวลาแค่ไม่เกินสามวัน รีบ ๆ ไล่มันออกไปจากที่นี่ซะไม่งั้นเจ้าพวกโจรนั่นมันจะย้อนกลับมาทำร้ายพวกเราแน่ ๆ"
"ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก ข้ารบกวนพวกเจ้าอีกไม่เกินครึ่งวันนี้เท่านั้น"
ริวจินกล่าว เขายอมนอนลงอย่างว่าง่าย พยายามสะสมพละกำลังในร่างให้พร้อมสำหรับการออกเดินทางทันทีที่ฤทธิ์ยาตกค้างของฤาษีสนธยาในตัวสลายไปจนหมด เพราะตนก็ไม่ต้องการรบกวนหรือเป็นภาระให้ใครต้องมาตกอยู่ในอันตรายเช่นกัน หากว่าเจ้าพวกโจรนั่นยังคงป้วนเปี้ยนอยู่ข้างนอก อีกไม่นานเขาจะเป็นฝ่ายเข้าไปเคาะประตูหาพวกมันถึงที่เองพร้อมคิดบัญชีแบบทบต้นทบดอกเลยทีเดียว
"ว่าแต่... เมื่อครู่เห็นพูดถึงยาพิษ หรือว่าพวกเจ้าจะรู้จักกับฤาษีสนธยาเช่นกัน?"
ริวจินเอ่ยถามเมื่อนึกขึ้นได้ว่าสตรีตาบอดเอ่ยถึงมัน แต่ทาม่อนกลับเป็นฝ่ายตอบกลับมาว่า
"ข้าไม่รู้หรอกว่ามันมีชื่อเรียกว่าอะไร รู้เพียงแต่ว่าพวกมันใช้ยาพิษชนิดนี้ผสมไปในสายหมอกเพื่อวางยาเหยื่อแล้วลอบสังหารหรือไม่ก็ปลดทรัพย์ เป็นวิธีที่โหดร้ายทารุณชะมัด!"
ทาม่อนพูดถึงแค่นี้ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าไม่ควรให้ข้อมูลอะไรเพิ่มเติมแก่คนจรที่ไม่น่าไว้ใจนี่จึงเลือกที่จะนั่งหุบปากเงียบแทน ด้านสตรีผู้ใจดีก็กล่าวเสริมว่า
"พวกข้าอาศัยอยู่ที่นี่มานานแล้ว ตั้งแต่ก่อนที่พวกมันจะมาดักปล้นคนแถวนี้เสียอีก โชคดีที่ทาม่อนพอจะมีฝีมือต่อสู้ได้บ้างจึงเจรจาหย่าศึกกับพวกมันโดยมีข้อเสนอว่าพวกเราจะไม่ยุ่งเกี่ยวซึ่งกันและกันน่ะ..."
นอกจากริวจินแล้ว ยังมีนักเดินทางหรือผู้ฝึกยุทธคนอื่น ๆ ที่รอดจากฤทธิ์ของยาและนางได้ให้การช่วยเหลือเป็นระยะเวลาสั้น ๆ แต่ก็โดนทาม่อนไล่ออกไปแทบจะในทันทีที่ได้สติเช่นกัน และหลังจากนั้นก็ไม่รู้ข่าวคราวชะตากรรมของคนกลุ่มนั้นอีกเลย
"งั้นหรือ... ขอบใจเจ้ามาก"
"แฮะ ๆ อ้อจริงสิข้าชื่อว่า ทาเลีย นะ ไม่ทราบว่าท่านชื่อ..."
ทาเลียนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้แนะนำตัวเองจึงบอกชื่อออกมา ในขณะที่ทาม่อนไม่พอใจตะโกนลั่นบ้านอีกหนว่า
"จะไปถามชื่อมันทำไม! อีกประเดี๋ยวมันก็จะต้องย้ายตูดออกจากที่นี่แล้วนะ!"
หลังจากนั้นมันก็บ่นเป็นหมีกินผึ้งถึงเรื่องที่ทาเลียใจดีชอบช่วยเหลือคนจนนำปัญหามาให้บ่อยครั้ง ริจินได้ฟังก็พอจะอนุมานได้ว่าสองคนนี้คงจะนับถือเป็นพี่น้องกัน แต่น่าจะไม่มีความเกี่ยวดองทางสายเลือดเพราะใบหน้าไม่มีความละม้ายคล้ายกันเท่าไรนัก อย่างไรก็ดีนั่นอาจไม่ใช่รายละเอียดที่เขาต้องใส่ใจเพราะถึงยังไงเดี๋ยวก็จะต้องลาจากสองคนนี้ในไม่ช้าอยู่แล้ว ถ้าไม่เพราะว่า...
ตึง...! ตึง...!
"เฮ้ยเปิดประตูหน่อยเว้ย!"
จู่ก็มีใครบางคนเคาะประตูพร้อมเสียงโหวกเหวกที่หน้ากระท่อม ฟังจากน้ำเสียงแล้วคงอยู่ในช่วงอารมณ์หงุดหงิดพอสมควร ทาม่อนกำชับให้ทั้งสองอยู่เฉย ๆ อย่าส่งเสียงอะไรก่อนจะเดินออกไปดูแขกผู้ไม่ได้รับเชิญคนนั้น มันแง้มประตูคุยโดยไม่ยอมให้อีกฝ่ายเดินเข้ามาข้างใน แต่แค่แว่บเดียวริวจินก็จำได้ทันทีว่าเจ้านั่นคือหนึ่งในกลุ่มโจรที่ลอบทำร้ายเขาก่อนหน้านี้นั่นเอง!
จบตอน
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น