ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ฤทธิ์หมัดมังกรราชันสยบฟ้า

    ลำดับตอนที่ #24 : ความรัก ดอกหญ้า น้ำตาของเด็กน้อย ตอนที่03

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 42
      3
      4 พ.ค. 63


         ไฟสงครามใกล้เข้ามาทุกขณะ  เมื่ออาณาจักรรอบข้างต่างคิดปองร้ายกาเลเทียอันอุดมสมบูรณ์และเป็นปึกแผ่น  ทั้งกับอาณาจักรเอลมอร์และเจ้าพวกสัตว์ร้ายทางเหนือ  ไหนจะข่าวลืออันน่ากลัวเรื่องที่มีพวกไส้ศึกแอบลักลอบปะปนเข้ามากับพลเมืองด้านหลังกำแพงอันเกรียงไกรนี้อีก  ทำให้ทุกฝ่ายต่างไม่สบายใจและจัดเตรียมกำลังป้องกันอย่างพรักพร้อม  เพื่อรับมือกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันได้ทันท่วงที  ทั้งเรดและกรีนต่างก็ถูกจับฝึกฝนอย่างหนักหน่วงในทุกวัน  เป็นสัญญาณว่าอาจเกิดการต่อสู้ขึ้นได้ในเร็ว ๆ นี้

         "โอย...  วันนี้ก็เจอชุดใหญ่อีกแล้วสิ!"

         เรดกับกรีนประสานเสียงพลางทิ้งตัวลงบนเตียงอันนุ่มนิ่มโดยมีบลูนั่งอ่านหนังสืออยู่บนโต๊ะไม่ไกล  บ้านหลังนี้เป็นมรดกตกทอดจากพวกทหารในรุ่นก่อนที่ออกสงครามแล้วไม่ได้โชคดีกลับมาบ้านเกิดอีก  องค์ชายเครโต้จึงยอมมอบให้เป็นแหล่งพักอาศัยของพวกเด็ก ๆ ที่ไร้ญาติขาดมิตรและพวกทหารเด็กในรุ่นถัดไปได้ใช้สอยตามใจชอบ  แม้จะไม่ใหญ่โตอะไรแต่ก็เพียงพอแล้วสำหรับพวกบลูและเด็กคนอื่น ๆ อีกห้าหกคน  ซึ่งทั้งสามก็สมัครใจอยู่ร่วมห้องเดียวกันเนื่องจากความสนิทเป็นทุนเดิม

         "ฮะ ๆ ดูเหมือนว่าสงครามใกล้เข้ามาแล้วสินะ?"

         บลูหัวเราะแห้ง ๆ  รู้ดีว่าหากเกิดการสู้รบขึ้น  เพื่อนสนิททั้งสองของตนก็คงไม่พ้นถูกเกณฑ์ไปรบด้วยแน่นอน  ท่ามกลางไฟสงครามอันแสนอันตรายนี้  พวกเด็ก ๆ จะมีโอกาสรอดกลับมาบ้านสักกี่มากน้อยกันเชียว?  ได้ยินว่าพวกทหารที่ขี้ขลาดมักจะเรียกใช้ทหารเด็กเพื่อเป็นตัวหมากล่อศัตรู  เรียกง่าย ๆ ว่าส่งไปตายแทนตัวเองก็ได้  นับว่าชั่วช้าสิ้นดีแต่จะทำอะไรได้ในเมื่อองค์เหนือหัวทรงอนุญาต  เพราะมันช่วยลดอัตราการสูญเสียกองกำลังทหารอันล้ำค่าของอาณาจักรไปได้โขทีเดียว

         "เฮอะ! ถ้าข้าได้ลงสนามเมื่อไหร่จะกัดหูพวกมันให้ขาดสะบั้นเลยเชียว!!!"

         เรดกล่าวอย่างคึกคะนอง  ตรงข้ามกับกรีนที่มีท่าทีกระวนกระวายอย่างเห็นได้ชัด  ส่วนบลูก็ได้แต่ทอดถอนใจเพราะเพื่อนของตนก็เป็นซะแบบนี้  แต่ไหนแต่ไรเรดไม่เคยแสดงท่าทีอ่อนแอออกมา  ด้วยความที่เขาทำตัวเหมือนพี่ใหญ่ในกลุ่มเสมอจึงพยายามเก็บซ่อนความสับสนวุ่นวายไว้ภายใน  ถึงจะไม่พูดแต่บลูก็รู้ดีเพราะสนิทกันมานาน

         "จะว่าไป... ก่อนหน้านี้ท่านอาจารย์ถามข้าว่าโลกนี้คืออะไร? พวกเจ้าพอจะเข้าใจความหมายของมันไหม?"

         บลูนึกขึ้นได้ว่าอาจารย์สาวของตนเคยถามเรื่องนี้ตอนที่อยู่ในสวนดอกไม้  เขาพยายามขบคิดเรื่อยมาคนเดียวแต่ด้วยสมองน้อย ๆ ของตนก็ไม่อาจตีความออก  จึงได้ลองปรึกษาเพื่อน ๆ เผื่อว่าจะมีใครเข้าใจในความหมายของมันบ้าง

         "ฉลาดอย่างแกยังนึกไม่ออก  หน้าโง่อย่างข้าจะไปรู้ไหม?"

         เรดขมวดคิ้ว  พวกตนจะไปรู้คำตอบได้ยังไงในเมื่อวัน ๆ ก็ง่วนอยู่แต่การฝึกวิชาเพื่อทำสงคราม  ขัดเกลาก็แต่กล้ามเนื้อและประสาทสัมผัส  โลกของตนจึงมีแต่การต่อสู้และความรุนแรง  มีแต่บลูนี่แหละที่สติปัญญาดูจะดีกว่าคนอื่นในขณะที่พละกำลังแทบจะไม่มีเลย  จึงต้องนั่งอ่านหนังสือร่ำเรียนวิชาทางโลกแบบนี้ทุกวันไม่ใช่รึไง

         "นั่นสินะ  ข้าลืมไปสนิทเลย"

         บลูเปรยขึ้นมาลอย ๆ ด้วยแววตาอันเศร้าสร้อย  แล้วบทสนทนาก็จบลงเพียงเท่านั้น  หลังจากจบมื้อเย็นแล้วพวกเขาก็รีบเข้านอนแต่หัววัน  เพราะพรุ่งนี้ก็ยังมีเมนูการฝึกอันหฤโหดรอคอยเรดและกรีนอยู่  ส่วนบลูนั้นมีนัดเรียนหนังสือกับท่านอาจารย์เช่นเคย  และเขาก็ตั้งหน้าตั้งตารอที่จะได้พบบุคคลสำคัญของตนเช่นกัน


    @@@@@@@@@@@@      


         บรรดาเด็กน้อยรวมถึงบลูนั่งฟังอาจารย์สาธยายวิชาในหอสมุดประจำกาเลเทียอย่างตั้งอกตั้งใจ  แม้ว่าช่วงนี้จะมีข่าวลือเรื่องสายลับจากอาณาจักรอื่นจนองค์ชายไม่อนุญาตให้นางออกไปไหนมาไหนคนเดียวได้ตามปกติ  แต่ด้วยความรั้นของอาจารย์สาวก็ทำให้เปิดห้องเรียนสอนวิชาจนได้  และแน่นอนว่าต้องมีผู้ติดตามใบหน้าบอกบุญไม่รับสองคนมายืนประกบตลอดเวลา  ทำราวกับพวกตนจะคิดปองร้ายท่านอาจารย์เสียอย่างนั้น? 

         "...ด้วยเหตุนี้ปฐมกษัตริย์แห่งกาเลเทียจึงริเริ่มการฟื้นฟูบ้านเมืองที่ล่มสลายลง"

         แสงแดดยามบ่ายเคลื่อนคล้อยไต่ระดับลงมาตามมุมของหน้าต่าง  ช่วยขับเน้นเรือนร่างอันอวบตึงของสาวงามให้เด่นชัดยิ่งขึ้น  บลูคอยสังเกตริมฝีปากอันอวบอิ่มของท่านอาจารย์ที่ขยับลื่นไหลไปกับจังหวะการเล่าเรื่องตำนานแห่งกาเลเทีย  มันช่างดูมีสเน่ห์ยั่วยวนอย่างประหลาดจนเด็กน้อยอดใจไม่อยู่  สายตาของมันเริ่มเลื่อนจากตัวอักษรบนกระดาษไปที่ส่วนโค้งเว้าของผู้เป็นอาจารย์แทน  หากว่ามันมีเส้นกั้นบาง ๆ ระหว่างความนับถือกับความใคร่ในอิสตรี  ไม่ต้องสงสัยเลยว่าบลูกำลังจะก้าวข้ามเส้นแบ่งนั้นอยู่รอมร่อแล้ว

         "ท่านหญิงขอรับ  ได้เวลาแล้ว"

         ผุ้ติดตามทั้งสองไม่ยอมให้นางได้สอนจบจนบทเรียนประจำวัน  เนื่องด้วยอาทิตย์คล้อยต่ำจนแทบจะลับฟ้าไปแล้ว  การเดินทางในยามพลบค่ำอาจเป็นอันตรายร้ายแรงได้  จึงต้องรีบกลับเข้าสู่วังโดยเร็วที่สุด  พวกเด็ก ๆ ต่างทำสีหน้าผิดหวังรวมถึงบลูด้วย  หากแต่หน่วยองค์รักษ์ก็หาได้ใส่ใจไม่  หน้าที่ของพวกมันมีเพียงดูแลบุคคลสำคัญขององค์ชายแห่งกาเลเทียเท่านั้น  อย่างอื่นไม่จำเป็นต้องสน

         "ท่านอาจารย์ครับ"

         บลูพยายามจะรั้งตัวอาจารย์ไว้  แต่ก็ต้องเจอการขัดขวางจากผู้ติดตามในทันที  นางจึงค้อมตัวลงไปกระซิบบางอย่างที่ข้างหูของเด็กน้อยก่อนจะยอมจากไปแต่โดยดี  ซึ่งเด็กน้อยก็ไม่คิดขัดขวางอะไรอีก

    ......

    ...


         เช้าวันรุ่งขึ้น  บลูรีบออกจากบ้านมาอย่างไวด้วยว่าอาจารย์สาวได้แอบกระซิบบอกตั้งแต่เมื่อวานถึงการนัดพบกับพวกเด็ก ๆ เพื่อเปิดชั่วโมงเรียนพิเศษในทุ่งดอกไม้  แน่นอนว่าเมื่อไปถึงได้มีพวกเด็กบางคนมารออยู่ก่อนแล้ว  และบลูยังไม่ลืมที่จะเดินหาเด็ดดอกไม้สวย ๆ เพื่อมอบให้แก่คนสำคัญของตนอีกด้วย  ทว่าเมื่อถึงเวลานัดพบคนที่ปรากฎตัวนั้นกลับไม่ใช่สาวสวยที่ทุกคนรอคอย  แต่มันคือชายฉกรรจ์สองคนที่มีใบหน้ามุ่งร้ายและอาวุธเป็นมีดสั้นในมือ

         "ฮี่ ๆ อะไรกันวะ! ไหนเอ็งว่านังนั่นจะมาที่นี่ไง  แล้วทำไมถึงมีแต่ไอ้เด็กเปรตพวกนี้เล่า?"

         "เฮ้ยข้าจะไปรู้ได้ยังไง! ก็สายข่าวมันรายงานมาแบบนี้นี่หว่า!"

         พวกมันพูดจาหยอกล้อกันในขณะที่พวกเด็ก ๆ ต่างหวาดกลัวลนลานจนไม่กล้าขยับตัวหนีไปไหน  ในที่สุดสายลับที่ลอบแฝงตัวเข้ามาในเมืองก็ปรากฎตัวออกมาแล้ว  แถมยังเล็งเป้าหมายไปที่อาจารย์สาวของตนอีก  บลูกำหมัดแน่น  อย่างน้อย ๆ ถ้าตอนนี้เพื่อนของเขาอีกสองคนอยู่ด้วยล่ะก็...

         "แล้วจะเอายังไง?  ฆ่าทิ้งให้หมดเลยดีมั้ย  ไหน ๆ พวกมันก็เห็นหน้าเรากันแล้วด้วย!"

         ทั้งสองแสยะยิ้มให้แก่กันก่อนจะย่างสามขุมเข้าหาพวกเด็ก ๆ ที่ไม่รู้วิชาต่อสู้  มีดในมือส่องประกายวิบวับดูแล้วน่าสยดสยอง  พวกมันกระชากแขนเด็กคนหนึ่งขึ้นมาก่อนที่จะตวัดปลายมีดเข้าไปจ่อที่ลำคอ  แค่ออกแรงเล็กน้อยก็เพียงพอจะตัดเส้นเลือดบริเวณนั้นให้ขาดสะบั้นจนเลือดพุ่งเอาง่าย ๆ แล้ว

         "หะ... หยุดเดี๋ยวนี้นะ!"

         ในเสี้ยววินาทีแห่งความเป็นและความตายนั้นเอง  บลูกระโดดออกมายืนหน้าทุกคนพร้อมกับตะโกนให้คนร้ายหยุดการกระทำอันโฉดชั่วเสีย  เล่นเอาพวกมันส่งเสียงหัวเราะออกมาไม่หยุดเลยทีเดียว

         "ฮ่า ๆ อะไรของแกวะ! คิดจะเล่นบทพระเอกช่วยเหลือพวกพ้องเหรอ? ยังเร็วไปสิบปีโว้ย!!!"

         เพียงสะบัดท่อนแขนเบา ๆ ก็ส่งร่างของเด็กน้อยให้กระเด็นกลิ้งไม่เป็นท่าได้แล้ว  กระนั้นบลูยังไม่ยอมทอดใจรีบวิ่งมายกแขนทั้งสองข้างขึ้นบังพวกเพื่อน ๆ อีกรอบหนึ่ง  คราวนี้คนร้ายเริ่มรู้สึกรำคาญจึงหมายใช้มีดในมือแทงให้แดดิ้นไปซะที  จากตรงจุดนี้เองที่ความทรงจำของบลูขาดห้วงไป  เด็กน้อยรู้สึกโหวง ๆ ราวกับเดินอยู่บนก้อนเมฆที่กลางอากาศ  รู้สึกตัวอีกทีเจ้าพวกนั้นก็นอนจมกองเลือดตายคาที่ไปเสียแล้ว...


    @@@@@@@@@@@@ 


         "ทั้งหมดนี่เป็นฝีมือของเจ้างั้นหรือ?"

         เมื่อเหตุร้ายผ่านพ้นไป  พวกทหารในเมืองก็เข้ามาควบคุมสถานการณ์ที่ทุ่งดอกไม้โดยมีเด็ก ๆ ยืนตัวสั่นพูดจาไม่เป็นภาษาคนอยู่  แต่ที่สำคัญกว่านั้น  คนที่ให้เกียรติเดินเข้ามาสอบถามเรื่องราวกับบลูนั่นก็คือตัวองค์ชายเครโต้ซึ่งเขารู้สึกประหลาดใจเป็นอันมากที่เด็กตัวเล็กท่าทางไม่มีเรี่ยวแรงแบบนี้จะล้มยักษ์ถึงสองคนได้ในคราวเดียวกัน 

         "ขะ... ข้า... ไม่รู้!"

         บลูพยายามบังคับริมฝีปากไม่ให้สั่นระรัวในขณะที่พูด  อันที่จริงตนนั้นจำอะไรไม่ได้เลยเกี่ยวกับความตายของคนชั่วพวกนั้น  รู้สึกตัวอีกทีก็เป็นภาพตามที่ทุกคนได้เห็นไปเสียแล้ว  กระนั้นพวกเด็กคนอื่น ๆ ต่างให้การตรงกันนั่นคือบลูเป็นผู้ลงมือสังหารเจ้าพวกนี้ด้วยตัวเอง  เริ่มจากใช้กระบวนท่าปัดมีดในมือของคนหนึ่งย้อนกลับไปแทงตนเอง  ส่วนอีกคนก็เจอฝ่ามือแทงทะลุกลางลำตัวในระหว่างที่ตะลึงกับศพของเพื่อนมันอยู่  ซึ่งทั้งหมดนี้ดำเนินไปในช่วงเวลาไม่ถึงวินาทีเลยด้วยซ้ำ

         "อืมมม... ช่างมหัศจรรย์เสียจริง"

         แม้แต่ชายผู้ผ่านศึกมามากอย่างเครโต้ยังถึงกับตกใจกับพรสวรรค์อันเปี่ยมล้นที่อัดแน่นอยู่ในร่างกายเล็ก ๆ ท่าทางอ่อนแอไม่สู้คนเช่นนี้  การผลักอาวุธกลับไปทำร้ายเจ้าของนั่นคือเคล็ดวิชาวิหคสวรรค์สายปฐพีชื่อคืนดาบศัตรา  ส่วนการใช้ฝ่ามือแทงทะลุร่างของศัตรูเช่นนี้คือวิชาสายนภาชื่อกระบวนท่าพยุหะผ่าเวหา  ท่าทางว่าเจ้าเด็กคนนี้คงแอบเห็นการฝึกกระบวนท่าของพวกเพื่อน ๆ ในระหว่างที่ไม่มีการเรียกรวมพลและสมองก็จดจำกระบวนท่าเหล่านั้นเอาไว้โดยไม่ได้ตั้งใจ  เมื่อถึงจังหวะวิกฤตเช่นนี้จึงเผลองัดออกมาใช้ตามสัญชาตญาณการเอาตัวรอด  แต่มันจะเป็นไปได้หรือที่เด็กน้อยคนหนึ่งซึ่งไม่มีประสบการณ์สังหารใครมาก่อนจะแสดงศักยภาพการต่อสู้สูงส่งถึงขนาดนี้?

         "บลู! เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า!!!"

         อาจารย์สาววิ่งเข้ามาถามด้วยความเป็นห่วง  ถ้าไม่เป็นเพราะเมื่อเช้านางถูกจับได้ว่ากำลังหาทางหลบหนีออกจากวังโดยมิได้รับอนุญาต  ป่านนี้ก็คงประสบชะตากรรมเดียวกับพวกเด็ก ๆ ตรงนี้เป็นแน่  และนั่นทำให้องค์ชายแห่งกาเลเทียไม่สบอารมณ์ยิ่ง  ในห้วงวิกฤตขนาดนี้ยังห่วงแต่เรื่องของตัวเองด้วยการนัดพวกเด็ก ๆ ออกมาเสี่ยงอันตรายกับเรื่องไร้สาระอย่างการเรียนหนังสืออย่างนี้หรือ?  กระนั้นในโชคร้ายก็ยังมีโชคดีนั่นคือมันทำให้ตนได้ค้นพบเพชรเม็ดงามที่ยังไม่ผ่านการเจียรไนมาก่อนเช่นนี้

         "จงถอยไปซะ! เพราะการละเมิดคำสั่งของเจ้าถึงทำให้เด็ก ๆ พวกนี้เกือบเอาชีวิตมาทิ้งโดยไม่จำเป็นเสียแล้ว  แต่ยังโชคดีที่มีเจ้าหนูคนนี้อยู่..."

         เครโต้ขึ้นเสียงใส่คู่หมั้นของตนกลางที่สาธารณะอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน  ทำให้นางตกใจกลัวจนอีกฝ่ายต้องรีบปรับน้ำเสียงลงในทันใดเพื่อไม่ให้นางเสียหน้าไปมากกว่านี้

         "ข้าจะรับเด็กคนนี้เข้ารับการฝึกพิเศษของหน่วยองค์รักษ์แห่งกาเลเทียด้วย!"

         "ดะ... เดี๋ยวก่อนค่ะ! ท่านหมายความว่าจะให้เด็กคนนี้เข้าหน่วยทหารที่ต้องออกรบด้วยเช่นนั้นหรือ?"

         แม้คู่หมั้นจะทำสีหน้าไม่เชื่อ  แต่ก็มิอาจเปลี่ยนแววตาอันแน่วแน่ขององค์ชายได้  เครโต้ประกาศให้ทุกคนในที่นั้นรวมถึงเรดและกรีนที่ตามมาสมทบทีหลังว่าจะขอรับเด็กน้อยที่ชื่อบลูคนนี้เข้าสู่ปราสาทกาเลเทียและรับการฝึกฝนอย่างหนักหน่วงเพื่อรับตำแหน่งทหารองค์รักษ์ให้จงได้

         "ข้าขอคัดค้านค่ะ! เด็กคนนี้ยังอายุไม่ถึงสิบขวบเลยด้วยซ้ำ  แขนขาก็เรียวเล็กไม่เหมือนเด็กคนอื่นแถมไม่รู้วิชาการต่อสู้อีกด้วย!"

         อาจารย์สาวพยายามอย่างเต็มที่ในการปฎิเสธการตัดสินใจนี้  แม้นทราบดีว่าการออกความเห็นในลักษณะนี้จะต้องมีโทษหนักตามมาอย่างแน่นอน  แต่นางก็พร้อมที่จะปกป้องลูกศิษย์ของตนมิให้ต้องออกไปเผชิญอันตราย  เพราะต่อให้เป็นหน่วยองค์รักษ์แต่ถ้ามีเหตุฉุกเฉินก็ต้องออกไปปฎิบัติการที่ด้านนอกกำแพงอยู่ดี

         "ขะ... ข้าจะพยายามขอรับ!"

         ในระหว่างที่ทุกคนกำลังโจษจันเกี่ยวกับการตัดสินใจขององค์ชายนั้นเอง  บลูได้เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอันหนักแน่นและมั่นคง  ก็นี่คือต่อหน้าคนสำคัญของตนนี่นา  จะมัวทำตัวขี้แยอ่อนแอได้ยังไง  และการเป็นทหารองค์รักษ์ก็หมายความว่าจะมีโอกาสได้ใกล้ชิดกับอาจารย์ยิ่งขึ้นด้วย

         "บลูแกแน่ใจแล้วเหรอ?"

         เรดถามสหายด้วยความเป็นห่วง  ด้วยรู้ดีว่าการเป็นทหารนั้นหมายถึงหนทางแห่งการฝึกฝนอันโหดร้ายและหนักหน่วงกำลังรอคอยอยู่  แล้วเพื่อนตัวเล็กคนนี้ของเขาจะสามารถผ่านบททดสอบนี้ไปได้หรือ?  แต่เมื่อได้เห็นแววตาอันแน่วแน่ของอีกฝ่ายก็ทำให้ไม่อาจเอ่ยอะไรไปได้มากกว่านี้เช่นกัน  และด้วยเหตุนี้เองที่บลูได้ก้าวเดินเข้าสู่หนทางแห่งการต่อสู้  กระทั่งเดินมาถึงจุดทางแยกของโชคชะตาอีกมากมายในอนาคตอันใกล้โดยที่เจ้าตัวก็คงไม่ทันคาดคิดมาก่อนเป็นแน่...



    จบตอน



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×