ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ฤทธิ์หมัดมังกรราชันสยบฟ้า

    ลำดับตอนที่ #11 : เพลงหมัดมังกรราชัน

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 119
      3
      11 ต.ค. 62


         ในห้วงวิกฤตนั้นริวจินทำได้เพียงนั่งมองความตายค่อย ๆ คืบคลานเข้าหามาเรียและตนเองด้วย  บาดแผลใหญ่ที่กลางหน้าอกฉุดรั้งไม่ให้เขาคิดตอบโต้อะไรได้  สุดท้ายแล้วตนก็เป็นแค่เพียงบุคคลที่ไร้คุณค่า  ไร้ความสามารถที่จะปกป้องใครสักคน  เฉกเช่นฉากแห่งโศกนาฎกรรมในอดีตอันเลือนรางที่ย้อนกลับเข้ามาในความทรงจำเพื่อหลอกหลอนเขาอีกครั้ง

    ไม่มีวันเสียล่ะ...

         ริวจินลุกขึ้น  หากแต่มันไม่ใช่การเคลื่อนไหวตามเจตจำนงค์ของตัว  แต่เป็นเพราะแรงผลักดันจากจิตใต้สำนึกที่มิอาจทนเห็นใครต้องมาเดือดร้อนล้มตายต่อหน้าต่อตาอีกแล้วนั่นเอง  เขาตั้งท่าต่อสู้โดยไม่สนอาการบาดเจ็บและนั่นก็ทำให้พวกศัตรูต่างตกตะลึงเป็นอันมาก

         "นี่แกยังไม่ตายอีกเหรอวะไอ้เดนคุก! ได้เลยเดี๋ยวพวกข้าจะช่วยจัดการกลบฝังให้เอง!"

         สององค์รักษ์เมื่อเห็นเขายังไม่ยอมสิ้นลมก็ทำท่าจองหองอวดดีเตรียมจะตรงเข้าไปเผด็จศึกโดยไม่ฟังเสียงทัดทานจากขุนพลบลูเลยสักนิด  พวกมันประสานมือทั้งสองข้างเข้าที่กลางหน้าอก  ก่อนจะผนึกพลังต่อสู้ (โทวคิ) แล้วเปล่งมันออกมาในรูปแบบคลื่นจู่โจมในแนวนอน 

         "นี่มัน วิหคสวรรค์บรรพตไร้สำเนียง นี่นา!"

         บลูรู้สึกตกใจที่สององค์รักษ์แกร่งกล้าขนาดร่ำเรียนวิชาสายปฐพีขั้นสูงแบบนี้แถมสำเร็จผลเอามาใช้งานได้อย่างคล่องแคล่ว  ซึ่งบรรพตไร้สำเนียงนั้นเป็นท่วงท่าที่ใช้จู่โจมศัตรูจากระยะไกล  ด้วยการอัดพลังต่อสู้เข้ากับฝ่ามือทั้งสองข้างที่ประกบติดกันแล้วปลดปล่อยออกมาในคราวเดียว  คลื่นพลังที่ยิงออกมาไร้รูปไร้เสียงทำให้อีกฝ่ายมองไม่เห็นและไม่ได้ยินเสียงการเคลื่อนที่ของมันด้วย  จนเป็นที่มาของการบัญญัติชื่อดังกล่าวนั่นเอง

         "ฮึ่มม!"

         แต่ถึงจะไม่ได้ยินได้ยลกระบวนท่า  ริวจินก็ยังตอบโต้ได้อย่างชำนาญด้วยการใช้ส่วนหลังฝ่ามือปัดคลื่นโจมตีให้กระเด็นออกไปทั้งซ้ายขวาก่อนจะพุ่งมาถึงตัวในเสี้ยววินาที  แรงระเบิดที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นรุนแรงจนมันแทบจะยืนหยัดไม่ไหว  สององค์รักษ์เห็นเช่นนั้นก็ไม่ยอมพลาดโอกาสทองพุ่งเข้าจู่โจมซ้ำเติมในทันที

         "ฮ่าห์!"

         ริวจินในร่างภวังค์เริ่มร่ายรำด้วยท่วงท่าอันแปลกตา  ด้านซ้ายบิดข้อมือแล้วหมุนวนช่วงท้องแขนเป็นรูปลักษณ์วงกลมแบบทวนเข็มนาฬิกาในขณะที่อีกด้านนั้นบิดข้อมือแล้วหมุนวนไปตามเข็มนาฬิกา  เพียงเท่านี้สององค์รักษ์ที่พุ่งเข้ามาต่างก็เจอเล่นงานไปตาม ๆ กัน  องค์รักษ์เงินถูกแรงหมุนลึกลับฟาดให้กลิ้งลงไปคลุกดิน  ส่วนองค์รักษ์ทองเจอแรงหมุนยกขว้างกลางอากาศตีวงหลายตลบ  ทั้งมาเรียและบลูต่างตกตะลึงกับวิชาพิสดารซึ่งไม่เคยพบเคยเห็นที่ไหนมาก่อน

    ถ้ายังรักชีวิตก็จงไสหัวไปซะ! อย่าได้คิดยืนหยัดต่อต้านข้าอีกเป็นคำรบที่สอง!

         เสียงประหลาดดังมาจากริมฝีปากของริวจิน  แต่นั่นฟังไม่เหมือนน้ำเสียงตามปกติของเจ้าตัวเลยสักนิด  ความหยาบกร้านและทุ้มต่ำแหบแห้งนั้นราวกับเป็นสุรเสียงจากเทพปิศาจใต้พิภพผู้อำมหิตไร้ซึ่งความปรานีใด ๆ  กระนั้นเจ้าสององค์รักษ์กลับไม่ยอมจำนนโดยง่าย  พวกมันฝืนลุกขึ้นยืนและเตรียมตัวเล่นงานอีกฝ่ายอีกครั้ง

    ช่างโง่เขลาเสียจริง!

         ริวจินเพียงยกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้นเหนือระดับหน้าอก  ก่อนจะส่งพลังงานบางอย่างพุ่งตรงเข้าหาศัตรูอย่างรวดเร็วทว่ากลับเงียบเชียบไร้ซึ่งแรงปะทะใด ๆ  กว่าที่ทั้งสองจะทันรู้ตัวยมฑูตก็กวักมือเรียกเสียแล้ว  เพราะร่างขององค์รักษ์เงินทองต่างถูกจับบิดข้อต่อไปมาราวกับตุ๊กตาชักใยจนกระดูกและกล้ามเนื้อแตกสะบั้น  ไม่ผิดไปจากเมื่อคราวของราฟาเลยสักนิด  พวกมันต่างส่งเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดก่อนจะทิ้งร่างลงกระแทกพื้นนอนตายเหมือนหมาข้างถนนก็มิปาน  เป็นที่น่าสมเพชแก่สายตาขององค์หญิงและเจ้าขุนพลยิ่งนัก

         "นี่ก็คือเพลงหมัดมังกรราชันที่แท้จริงอย่างนั้นหรือ...?"

         ขุนพลบลูถึงกับเหงื่อซึม  การศึกเมื่อครู่ตนนึกว่าได้ปะทะกับเพลงยุทธลึกลับโบราณและหาทางโค่นมันลงได้แล้วเสียอีก  ที่ไหนได้นั่นเป็นแค่เศษเสี้ยวหรือกระผีกเดียวหาใช่แก่นแท้ของวิชาไม่  หากว่าตอนนี้เข้าโรมรันกันอีกครั้งตนอาจเป็นฝ่ายเอาชีวิตไม่รอดแทน 

         "ริวจิน!"

         องค์หญิงวิ่งเข้าไปหาชายหนุ่มด้วยความเป็นห่วง  ทว่าบลูกลับฉุดรั้งแขนนางเอาไว้ไม่ให้เข้าใกล้  นั่นเพราะในชั่วพริบตานั้นอีกฝ่ายได้ออกกระบวนท่าซัดเข้าหาในทันทีโดยไม่คำนึงว่านางอาจได้รับอันตราย  ดูท่าว่าตอนนี้ริวจินคงจะไร้สติจำอะไรเกี่ยวกับมาเรียและบลูไม่ได้เลย  เขาประสานฝ่ามือเข้าหากันตรงแถวหน้าอกก่อนจะส่งคลื่นพลังโจมตีอันรุนแรงออกมา

         "นี่มันวิหคสวรรค์บรรพตไร้สำเนียงนี่นา!!!"

         ไม่นึกว่าแค่ได้เห็นเพียงครั้งเดียวเจ้านี่ก็สามารถลอกเลียนกระบวนท่าชั้นสูงที่ต้องใช้เวลาฝึกฝนนานแรมปีได้  เจ้าขุนพลรวบตัวองค์หญิงไว้ในอ้อมกอดแล้วกระโจนหลบการโจมตีอย่างรวดเร็ว  กระนั้นด้วยรัศมีทำลายล้างอันทรงพลังยังส่งผลถึงทั้งคู่ที่กำลังลอยตัวกลางอากาศ  ทำให้บลูและมาเรียต่างกระเด็นกระดอนร่วงลงไปคนละทิศทาง  ริวจินพลันรุกเข้าประชิดตัวองค์หญิงพร้อมกับชูฝ่ามือขึ้นสูงดั่งกระบวนท่าสังหาร

    เจ้าพวกโง่เขลาทั้งหลาย  จงสลายไปด้วยฝ่ามือของข้าเสียเถิด!

         บลูตรงเข้าปะทะจากทางด้านข้างแต่ไม่เป็นผล  เพียงริวจินซัดฝ่ามือเบา ๆ ร่างของเขาก็เสียการทรงตัวลอยละลิ่วขึ้นกลางเวหาในทันที  เจ้าขุนพลขืนตัวรักษาสมดุลได้ก่อนจะทะยานลงพื้นอย่างนิ่มนวล  ด้านมาเรียเองก็ไม่ยอมอยู่เฉยหาทางตอบโต้ด้วยกระบวนท่าวิหคสวรรค์สายนภาของถนัดในทันที  เจ้าขุนพลเห็นเช่นนั้นก็ตกใจจนต้องร้องห้ามเป็นการใหญ่

         "องค์หญิง! อย่าโจมตีใส่เจ้านั่นเชียวนะ!!!"

         แต่ช้าไปแล้ว  เสี้ยววินาทีที่นางซัดฝ่ามือเข้าหาริวจินก็หันกลับมาเล่นงานอย่างมุ่งร้าย  ฝ่ามือของมันหมุนวนอย่างน่าฉงนอีกครั้งก่อนที่ร่างของมาเรียจะโดนจับบิดอย่างรุนแรงไม่ต่างไปจากเหยื่อก่อนหน้านี้เลย

         "กรี๊ดด!"

         "องค์หญิง!!!!"

         เจ้าขุนพลเค้นพลังที่มีทั้งหมดตรงเข้าปะทะกับอีกฝ่ายในทันที  ริวจินจำต้องปล่อยมือจากมาเรียก่อนแล้วหันมาตั้งรับทางนี้แทน  เลือดในกายบลูเดือดพล่านด้วยความโกรธาเมื่อเห็นสายเลือดราชวงศ์กาเลเทียตกอยู่ในอันตรายและลงมือตอบโต้อย่างดุดันราวกับอสูรร้าย  แม้แต่ริวจินในร่างภวังค์ยังโดนกดดันให้ล่าถอยไปสองถึงสามก้าว

         "ฮ่าห์!"

         บลูโจมตีต่อเนื่องไม่เว้นช่องว่างแม้จะสูญเสียกำลังกายไปมากมายในชั่วพริบตา  ด้วยรู้ดีว่าหากผ่อนมือเมื่อไหร่เป็นได้โดนเล่นงานแน่  ไอระเหยจากเหงื่อของเจ้าขุนพลกระจายไปในวงกว้าง  ออร่าสีฟ้าอ่อนเปล่งประกายเจิดจ้าในทุกฝ่ามือและกำปั้นที่ถูกปล่อยออกไป  กระนั้นเมื่อริวจินตั้งหลักได้ก็รุกกลับทันควัน  กระบวนท่าประหลาดของมันฉุดให้การเคลื่อนไหวของเจ้าขุนพลหยุดชะงัก  รับรู้ได้ว่าแขนทั้งสองข้างของตนกำลังเจอแรงปริศนาจับบิดในไปทิศทางตรงกันข้ามอย่างรุนแรง  แต่บลูยังฝืนกัดฟันกระทืบเท้าลงไปที่พื้นดินอย่างรวดเร็ว  ก่อเกิดเป็นคลื่นโจมตีวิ่งไปในแนวนอนเข้าเล่นงานส่วนขาของอีกฝ่ายในทันที  และนี่ก็คือวิชาวิหคสวรรค์ปฐพีคำรามกึกก้องที่ใช้จู่โจมศัตรูจากทางเบื้องล่างนั่นเอง

         "จบกันเพียงเท่านี้ล่ะ!!!"

         เจ้าขุนพลเล็งโจมตีเข้าหาบาดแผลใหญ่ที่กลางหน้าอกของริวจินซ้ำรอยเก่าอย่างแม่นยำ  แน่นอนว่าหากเข้าเป้าย่อมเป็นการปิดฉากการต่อสู้ในค่ำคืนนี้  หากแต่น่าเสียดายที่ฝ่ามือของบลูไปไม่ถึงเป้าหมายเพราะเจอฝ่ายตรงข้ามคว้าจับไว้ได้เสียก่อน  ริวจินซัดหนึ่งหมัดกระแทกเข้าที่ชายโครงอย่างจังจนเขาทรุดลงคุกเข่าด้วยความเจ็บปวด  และเสี้ยววินาทีที่มันเตรียมจะเจาะกะโหลกของเจ้าขุนพลด้วยปลายนิ้วนั้นเองที่มีการโจมตีสอดแทรกมาจากมือของบุคคลที่สามเสียก่อน

         "เจ้ามังกรผลัดถิ่นเอย  ช่างน่าเวทนายิ่งนักที่ได้พบเจอแกในสภาพเช่นนี้..."
        
         ชายลึกลับบนหลังม้าที่เข้ามาขัดขวางกระบวนท่าพิฆาตของริวจินเอ่ยขึ้น  บลูหันไปมองอีกฝ่ายด้วยแววตาสนเท่ห์  บุรุษปริศนาผู้นี้ปรากฎตัวในร่างของนักรบสวมชุดเกราะเหล็กหนาทั้งตัวราวกับอัศวิน  ทว่าเครื่องสวมศรีษะนั้นกลับเป็นรูปร่างของโครงกระดูกที่ดูคล้ายมังกรผสมกับเขาสัตว์อย่างเช่นวัวกระทิงที่ยืดโง้งออกด้านข้าง  ไม่ใช่หมวกโลหะดังเช่นปกตินิยม  ส่วนม้าร่างยักษ์สีดำทมิฬแม้ในยามวิกาลก็มีแววตาดุร้ายราวกับสัตว์กินเนื้อที่จ้องมองเหยื่ออย่างไม่วางตา  ที่ด้านหลังของบุรุษผู้นั้นมีผ้าคลุมสีขาวพร้อมด้วยสัญลักษณ์รูปศีรษะมังกรหันข้างขวาสีเขียวสดใส  เขาไม่เคยเห็นหรือได้ยินเกี่ยวกับสัญลักษณืเช่นนี้จากที่ไหนมาก่อน  แต่ในเมื่อเป็นรูปลักษณ์ของมังกรสัตว์เทวะแห่งตำนาน  บางทีอาจจะมีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับชายที่ชื่อริวจินนี้ก็ได้กระมัง? 

         "เจ้าขุนพลบลูเจ้าต่อสู้ได้ยอดเยี่ยมมาก  หากไม่เพราะชายผู้นี้ได้รับบาดเจ็บสาหัสเสียก่อนล่ะก็ค่ำคืนนี้เจ้าคงไปพบกับยมบาลนานแล้วแน่ ๆ" 

         มันกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่ยินดียินร้ายใด ๆ  อีกทั้งเส้นเสียงของมันก็ดูทุ้มเปร่งเหมือนกับเสียงของริวจินเมื่อครู่นี้ด้วย  ด้านมังกรผลัดถิ่นที่พูดถึงเมื่อครู่เมื่อถูกขัดจังหวะก็โกรธเกรี้ยวยิ่งนัก  มันตรงเข้ามาหมายเล่นงานผู้มาใหม่ในทันที  ทว่ากลับถูกซัดกระเด็นกลิ้งไม่เป็นท่าไปแทน  ทั้งบลูและมาเรียต่างตกตะลึงกับภาพที่เห็นเบื้องหน้า  เพราะริวจินผู้ไร้เทียมทานคนนั้นโดนเล่นงานเสียเชิงเหมือนเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ ได้อย่างไรกัน?  แล้วชายลึกลับผู้นี้มีจุดประสงค์อะไรในการปรากฎตัวอย่างกะทันหันเช่นนี้?

         "มังกรผู้หลงทางในค่ำคืนอันอบอ้าวเอย  ออร์ฟิน่า เจ้าจงขับกล่อมดวงวิญญาณที่สับสนดวงนี้ด้วยเถิด!"

         แว่วเสียงพิณลอยมาตามสายลม  ทั้งมาเรียและบลูต่างมองหาที่มาของเสียงดนตรีลึกลับนี้จนถ้วนทั่วทิศแต่ก็ไม่พบเจอใคร  ด้านริวจินที่ได้ยินเสียงบทเพลงขับกล่อมอันอ่อนโยนก็ผ่อนคลายท่าทีอันก้าวร้าวลง  มันทรุดลงนั่งกับพื้นก่อนจะล้มลงสลบใสลไม่ได้สติไปในเวลาไม่นาน 

         "เจ้า... เป็น... ใครกัน...?"

         เจ้าขุนพลพยายามฝืนสติไม่ยอมโอนอ่อนไปตามท่วงทำนองที่อ่อนช้อยทว่าออกฤทธิ์รุนแรงจนแทบทำให้ตนตกสู่ห้วงนิทรา  ส่วนมาเรียที่อ่อนแอกว่านั้นทนไม่ไหวร่วงลงสลบกับพื้นไปก่อนหน้านั้นแล้ว  บลูคืบคลานไปตามพื้นดินพยายามเข้าใกล้ชายบนหลังม้านั่นพร้อมกับประคองสติเอาไว้ด้วย  หากแต่สุดท้ายก็มิอาจต้านทานแรงดึงดูดจากโลกแห่งความฝันได้

         "เจ้าขุนพลบลู  เจ้าไม่ได้รับสิทธิ์ในการล่วงรู้ชื่อและตำแหน่งของข้าหรอก  จงคืบคลานและดิ้นรนไปตามชะตากรรมแสนเศร้าและน่าสมเพชนั่นต่อไปเถิด  จวบจนวาระสุดท้ายของชีวิตจะมาถึง..." 

         ท่ามกลางบรรยากาศอันอบอวลไปด้วยความพิศวง  ชายลึกลับกล่าวก่อนจะหันหลังควบม้าจากไป  ทิ้งไว้แต่บุคคลทั้งสามผู้นอนหลับใหลไม่ได้สติไว้กับฉากหลังแห่งท้องทะเลดวงดาวอันสุกสกาวบนฟากฟ้าและเสียงดนตรีขับกล่อมในห้วงแห่งรัตติกาลนั้น...



    จบตอน



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×