ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เทพเซียนเกรียนยุทธภพ!

    ลำดับตอนที่ #63 : Balance of Power

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 559
      24
      31 ธ.ค. 60



    *** เอ่อ... ตอนเข้าเฝ้าฮ่องเต้นี่อันที่จริงผมก็ไม่ค่อยมีข้อมูลในเรื่องนี้เยอะนักหรอกนะครับ  เพราะฉะนั้นมันก็จะออกมั่ว ๆ หน่อย (แล้วจะเขียนทำไมฟะ!) 555  ก็อ่านแล้วอย่าไปคิดหาเหตุผลอะไรเลยเพราะเรื่องนี้มันก็ไม่มีมาตั้งแต่แรกแล้ว (ฮา) ***



    @@@@@@@@@@@@


         และแล้วพวกผมก็ลอบเข้ามาสู่เขตชั้นในอันเป็นสถานที่หวงห้ามและมีการเฝ้าระวังขั้นสูงสุดในต้าหลง  เพื่อเข้าเฝ้าฮ่องเต้ผู้ปกครองดินแดนแห่งนี้เป็นการลับ  ไม่รู้เหมือนกันว่าจอมมารคิดจะเจรจาต่อรองอะไรกับราชา  แต่ที่แน่ ๆ คือมันต้องเกี่ยวเนื่องกับเหตุการณ์ที่มีมนุษย์ต่างดาวมาบุกโลกแหง ๆ

         "จากนี้ไปเวรยามจะยิ่งเข้มงวดขึ้น  แต่ไม่ต้องเป็นห่วงเพราะข้าล่วงรู้เส้นทางลัดเป็นอย่างดี!"

         น้องหมาพาผมลัดเลาะไปตามโถงทางเดิน  บางจังหวะก็เหาะขึ้นไปบนฝ้าเพดานเพื่อหลีกเลี่ยงสายตาของพวกองค์รักษ์  ไม่นานนักพวกเราก็มาจนถึงด้านในสุดอันเป็นที่พำนักของฮ่องเต้จนได้  จากภายนอกยังมองเห็นเงาแสงเทียนวูบไหวผ่านม่านประตู  ปรากฏเงาของมหาบุรุษนั่งอย่างองอาจอยู่ภายใน

         "เส้าเทียนอิ้ง... ไม่นึกว่าเจ้าจะมา  เข้ามาสิ!"

         เสียงเรียกจากคนที่อยู่ข้างในทำให้ผมสะดุ้ง  แต่น้องหมากลับไม่แสดงอาการหวั่นไหวอะไรเหมือนพอจะคาดเดาได้ล่วงหน้าแล้ว  และเมื่อจ้าวผู้ครองแผ่นดินเอ่ยปากเองเช่นนี้พวกเราจึงรีบเปิดประตูเข้าไปในทันที

         "ไม่ได้พบกันนานเท่าไรแล้วนะ? สักสามสิบปีได้กระมัง?"

         มหาบุรุษที่นั่งทรงงานอยู่บนที่ประทับเอ่ยทักโดยไม่ได้ละสายตาจากงานที่วางอยู่  ฮ่องเต้องค์นี้แม้จะลุเข้าสู่วัยสี่สิบกว่าแล้วแต่ยังคงความน่าเกรงขามและแววตาอันร้อนแรงไม่แพ้พวกคนวัยหนุ่มฉกรรจ์ 

         "เจ้าเองก็ดูแข็งแรงดีนี่นะ  ว่าง ๆ น่าจะไปเที่ยวเล่นที่เทียนซานบ้าง!"

         ฮ่องเต้หัวเราะหึหึ ๆ ออกมาแต่ก็ยังคงไม่ละสายตาจากงานเลย  เฮ้ยนี่จะชิลไปหน่อยรึเปล่าฟะ! ตอนนี้จอมมารศัตรูตัวฉกาจมายืนอยู่ตรงหน้าและนะ  ตามปกติมันต้องร้องตะโกนเรียกองค์รักษ์ให้แห่เข้ามาจัดการแล้วไม่ใช่เรอะ??? 

         "แล้วมีอะไรรึ?  หรือว่าเบื่อที่จะเล่นบทจอมมารแห่งเทียนซาน  อยากจะกลับไปนั่งฝึกวิชาเซียนบนเขาอีกรอบหรือไง?  หรืออยากจะหาร่างใหม่มาสิงสู่แทนร่างสุนัขตัวนั้น???"

         เฮ้ย! ผมนี่ยืนหน้าซีดเหงื่อเย็นเลยเมื่อได้ยินฮ่องเต้พูดถึงเรื่องน้องหมาออกมา  นี่องค์ราชารู้เรื่องนี้ได้ยังไงทั้ง ๆ ที่ปกปิดเป็นความลับสุดยอดขนาดพวกห้าพรรคใหญ่ยังไม่มีใครระแคะระคายเลยสักนิด!  แถมทั้งที่รู้อยู่แก่ใจก็ยังปล่อยให้เส้าเทียนอิ้งและพรรคเทียนซานอยู่เย็นเป็นสุขไม่ยอมส่งกองทหารมาถล่มพรรคเสียอีก  ตกลงว่านี่เป็นศัตรูกันจริง ๆ เรอะ?

         "ถ้าล่วงรู้ถึงขนาดนั้น  ข้าคงไม่ต้องเสียเวลาอธิบายถึงเหตุผลที่ต้องอุตส่าห์ดั้นด้นมาหาเจ้าถึงที่นี่แล้วสิท่า?" 

         "คงเป็นเรื่องของเกาะลอยได้ที่บนฟ้าสินะ?  ข้าเพิ่งได้ยินเมื่อวันก่อนนี้เช่นกัน  ดูท่าว่าพวกคนทั่วไปและพวกห้าพรรคใหญ่จะยังไม่รู้เรื่องหรอก"

         "นั่นขึ้นอยู่กับเวลา  และเจ้ากับข้า... บางทีอาจรวมถึงพรรคอื่น ๆ ก็คงจะอยู่นิ่งเฉยอยู่อีกไม่ได้แล้ว!"

         น้องหมาตีหน้าเข้มทันทีในขณะที่ผมยังคงเหวอแดรก  ในสมองมันกำลังสับสนจับต้นชนปลายไม่ถูกเลยสักนิด  ไหนว่าจะมาเจรจาต่อรองกับฮ่องเต้ไง  ไอ้เราก็นึกว่าจะมาตกลงกันเรื่องค่าไถ่ของยัยนั่นเสียอีก  นี่กลายเป็นมานั่งคุยอะไรก็ไม่รู้แถมฮ่องเต้ยังรู้เรื่องสลับวิญญาณกันด้วย!  เฮ้ยแล้วแบบนี้มันจะไม่แย่เหรอฟะขืนเรื่องนี้แพร่งพรายออกไปเมื่อไหร่ได้เกิดศึกระหว่างเทียนซานกับห้าพรรคใหญ่อีกรอบแน่!

         "...ดูท่าสหายน้อยของเจ้าจะยังไม่เข้าใจสถานการณ์ที่เป็นอยู่นะ?  นี่ยังไม่ได้เล่าเรื่องข้อตกลงลับไปหรอกหรือ?"

         ในที่สุดฮ่องเต้ก็เงยหน้าขึ้นมา  และเมื่อมองเห็นความงงงวยที่แปะอยู่บนใบหน้าของทางนี้ก็คงพอเดาได้ว่าอะไรเป็นอะไร  จึงได้หันไปถามทางเส้าเทียนอิ้งในทันที  ซึ่งเจ้าหมาตัวแสบก็ส่ายหน้าก่อนจะตอบกลับว่า

         "ไม่ใช่กงการอะไรของข้าที่จะต้องมานั่งอธิบายให้ไอ้หัวขี้เลื่อยนี่ฟัง! สำคัญกว่านั้นคือศัตรูมันจ่อประชิดเขตแดนถึงขนาดนี้แล้ว  เจ้าในฐานะจ้าวผู้ครองแผ่นดินไม่คิดจะวางแผนตอบโต้อะไรหน่อยหรือ?"

         ไอ้เราก็นึกเคืองที่โดนเรียกว่าหัวขี้เลื่อย  แต่ตอนนี้คงไม่ใช่เวลามานั่งเถียงกันเรื่องนั้นผมจึงทำนิ่งเงียบไว้ก่อน  ด้านฮ่องเต้ได้ยินเช่นนั้นก็ถอนหายใจยาวแล้วทำท่าเหมือนครุ่นคิดอะไรบางอย่าง  ก่อนจะตอบทางนี้กลับมาว่า

         "เจ้าเกาะลอยฟ้านั่นยังคงนิ่งเฉยไม่มีการเคลื่อนไหวใดตลอดหนึ่งวันเต็ม  และข้าเองก็ไร้ซึ่งหนทางที่จะขึ้นไปบนนั้นได้  ระหว่างนี้คงต้องรอดูท่าทีไปก่อน..."

         ซึ่งนั่นก็เป็นการตัดสินใจที่น่าจะถูกต้องที่สุด  เพราะด้วยวิทยาการเท่าที่ดินแดนต้าหลงมี  หรือแม้กระทั่งวิชากำลังภายในทั้งหลายแหล่ของพวกจอมยุทธก็คงไม่มีใครเก่งกล้าขนาดเหาะเหินทะลุชั้นบรรยากาศเข้าใกล้ยานอวกาศลำนั้นได้แน่  ที่สำคัญขืนลอยเข้าไปใกล้ ๆ มีหวังเจอระดมยิงจนพรุนก่อนจะเข้าถึงตัวยานก็เป็นได้? 

         "แต่ข้าทำได้! และข้าก็สำรวจภายในเกาะปริศนานั้นเรียบร้อยแล้วด้วย!!!"

         จอมมารทำชูคอผยองเดชเต็มที่  ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้คือพลาดท่าโดนจับตัวไปขังไว้ในยานต่างหากเล่า  ฮ่องเต้มีสีหน้าแปลกใจเล็กน้อยก่อนจะเผยรอยยิ้มออกมา

         "นี่เองที่ทำให้เจ้าดั้นด้นมาถึงที่นี่  ต้องการต่อรองเรื่องอะไรเพื่อแลกเปลี่ยนกับเบาะแสของเจ้ากันเล่าหืมม?"

         อา... ในที่สุดก็เข้าเรื่องกันสักที  จอมมารอุตส่าห์มาที่นี่ก็เพื่อต่อรองอะไรบางอย่างเพื่อแลกเปลี่ยนกับข้อมูลของฝ่ายศัตรูที่ทางฮ่องเต้ไม่มีวันหามาได้ด้วยตัวเองสินะ?  ตอนนี้ผมเริ่มมองภาพรวมของสถานการณ์ได้เด่นชัดขึ้นบ้างแล้ว  ฮ่องเต้กับจอมมาร  เทียนซานกับห้าพรรคใหญ่  มันคือการถ่วงดุลอำนาจกันเหมือนที่ผมเคยอ่านเจอในหนังสือประวัติศาสตร์โลกเลย  เพราะแบบนี้เองทางการจึงไม่เคยลงไปยุ่งวุ่นวายกับเหตุบ้านการเมืองที่เกิดจากพฤติกรรมของพวกจอมยุทธแม้แต่ครั้งเดียว  นั่นเพราะการคอยสังเกตการณ์อยู่ห่าง ๆ ย่อมปลอดภัยที่สุดแถมทางนี้ก็แบ่งพรรคแบ่งพวกกันเรียบร้อยทำให้ไม่ต้องกังวลเรื่องการร่วมแรงกันโค่นล้มราชบัลลังก์  ไม่สิ... เพราะยังงี้ไงฮ่องเต้จึงสานสัมพันธ์กับพวกระดับหัวหน้าอย่างเส้าเทียนอิ้งเป็นการลับ  เพื่อใช้การเจรจาต่อรองในกรณีที่สถานการณ์ไม่เป็นใจให้กับตนเอง  และจอมมารก็เข้าใจดีในจุดนี้ถึงได้ทำตัวตามน้ำไปเพื่อเก็บเงื่อนไขที่เป็นประโยชน์ไว้ตั้งโต๊ะเจรจาได้ (เช่นครั้งนี้เป็นต้น)


    จบตอน
     
        

        
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×