ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เทพเซียนเกรียนยุทธภพ!

    ลำดับตอนที่ #2 : พิธีเทียบร่างเชิญวิญญาณ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 8.62K
      305
      31 ส.ค. 60


         พรรคมารเทียนซาน  คือแหล่งรวมเหล่ายอดฝีมือแห่งโลกอธรรมที่เต็มไปด้วยความโหดเหี้ยมเลือดเย็น  กระทำการโดยไร้ปรานีและปกครองผู้ใต้บัญชาอย่างกดขี่ข่มเหงมาตลอดระยะเวลายาวนานร่วมหกร้อยปี  ทั้งนี้เป็นเพราะประมุขพรรค เส้าเทียนอิ้ง ผู้สำเร็จวิชาต้องห้ามมารประสานจิต เทพประสานใจ  สามารถเคลื่อนย้ายวิญญาณของตนไปยังร่างใหม่เพื่อต่ออายุขัยของตนออกไปเรื่อย ๆ ราวกับเป็นอมตะ  ยิ่งมีชีวิตอยู่นานวิชาก็ยิ่งกล้าแข็งไร้ซึ่งผู้ต่อกร  และบัดนี้มันก็พร้อมที่จะทำพิธีเทียบร่างเชิญวิญญาณเพื่อย้ายจิตไปสู่ร่างใหม่แล้ว!   

         "สินหุ่ย  เจ้าเตรียมการพร้อมหรือยัง?"

         ประมุขพรรคสอบถามลูกสมุนคนสนิทด้วยน้ำเสียงอันแหบแห้ง  บัดนี้ร่างในปัจจุบันของมันชราภาพมากแล้วด้วยวัยถึงร้อยสิบสองปีเศษ  หากไม่ทำพิธีย้ายจิตเกรงว่าอาจถึงฆาตเสียก่อนก็เป็นได้  จึงต้องรีบดำเนินการเสียแต่เนิ่น ๆ

         "เรียนประมุข  ตามที่ท่านมีรับสั่งเรื่องภาชนะชิ้นใหม่  พวกข้าจึงได้ทำการเลือกเฟ้นเป็นอย่างดี  จนพบกับเด็กหนุ่มผู้นี้"

         ร่างเปลือยของเด็กหนุ่มผู้หนึ่งถูกนำเข้ามายังห้องโถงใหญ่ที่ทำการพรรค  พิจารณาจากภายนอกแล้วนับว่าเป็นชายสุขภาพดี  รูปร่างกำยำสมส่วน  ใบหน้าหล่อเหลาผมดกดำ  ดูแล้วช่างมีสเน่ห์เย้ายวนทางเพศ  ร่างนั้นนอนนิ่งอยู่บนแคร่ไม้หาม  ดวงตาปิดสนิทไม่มีทั้งลมหายใจและชีพจร  ดูคล้ายกับคนตายทั้งเป็น

         "เจ้านี่เป็นลูกชาวนาผู้ขยันขันแข็ง  ตรากตรำงานหนักไม่เว้นแต่ละวันเพื่อชดใช้หนี้ของบิดา    พวกข้ารู้สึกเห็นใจจึงอยากช่วยปลดบ่วงทุกข์ด้วยการยกเลิกงานประจำของมันเสีย"

         สินหุ่ยยิ้มที่มุมปาก

         "และกลายมาเป็นร่างสถิตของราชาแห่งโลกอธรรมอันยิ่งใหญ่!"

         ลูกสมุนได้ตระเตรียมแผนการด้วยความรัดกุม  พิธีเทียบร่างเชิญวิญญาณมีจุดสำคัญสามจุด  นั่นคือหนึ่งต้องจัดเตรียมร่างที่จะใช้โอนเปลี่ยนด้วยความพิถีพิถัน  วันเดือนเกิดรวมถึงเพศต้องตรงกันกับเจ้าของร่างเดิม  อายุไม่เด็กไม่แก่จนเกินไป  สองต้องทำพิธีล้างวิญญาณเดิมให้สิ้น  ทิ้งร่างให้อยู่ในสภาพกึ่งตายและเก็บรักษาอย่างดีไม่ต่ำกว่าสามวัน  สามต้องทำพิธีในคืนที่พระจันทร์เต็มดวง  ท้องฟ้าปลอดโปร่งไร้มวลหมู่เมฆบดบังรัศมี... 

         เมื่อทำครบตามเงื่อนไขทั้งสามประการแล้ว  พิธีเทียบร่างเชิญวิญญาณจึงจัดขึ้นบนยอดเขาเซียนหมื่นลี้ในคืนเดือนเพ็ญ  ร่างของเด็กหนุ่มถูกวางลงบนแท่นหินดำขนาดใหญ่สำหรับประกอบพิธี  รอบล้อมไปด้วยเสาหินขนาดยักษ์ทั้งสี่ด้าน  บนยอดเสาหินแต่ละต้นคือมังกรสลักสีดำคาบลูกแก้วทองคำ  เส้าเทียนอิ้งนั่งลงบนบัลลังก์ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามแท่นหิน  ด้านหน้าคือสินหุ่ยและบรรดาองค์รักษ์จอมมารทั้งเจ็ดตน  ส่วนบรรดาลูกพรรคคนอื่นต่างไม่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นมาบนนี้  เนื่องด้วยจอมมารนั้นไม่ไว้วางใจคนมากนัก  แม้นจะเป็นลูกน้องของตนก็ตาม  ยิ่งเก่งกาจก็ยิ่งมีศัตรูและผู้ปองร้ายมากขึ้นเป็นเงาตามตัว  ไม่เว้นแม้แต่ลูกสมุนในพรรค

         "และบัดนี้ก็ถึงควรแก่เวลาในการเริ่มพิธี... ขอเชิญท่านประมุข"

         สินหุ่ยหลีกทางให้เส้าเทียนอิ้งเดินเข้าไปหาร่างของเด็กหนุ่ม  จอมมารวางมือข้างหนึ่งบนหน้าอกของภาชนะไร้วิญญาณ  ครู่เดียวพลังปราณที่สั่งสมบ่มเพาะอยู่ในร่างของประมุขพรรคก็เริ่มถ่ายเทไปยังร่างใหม่  ก่อเกิดคลื่นประกายแสงสีทองสั่นสะเทือนเลือนลั่นไปทั่วทั้งปะรำพิธี  พวกองค์รักษ์ต่างต้องหาสิ่งยึดเกาะไว้มิให้โดนพัดกระเด็นไปเสียก่อน  พลังอันเกรี้ยวกราดดุจดั่งอัสนีบาตทลายสิ้นแม้แต่แท่นหินดำและสิ่งรอบข้าง  แรงสั่นสะเทือนรับรู้ไปได้กระทั่งผู้คนที่อาศัยอยู่ใต้หุบเขานั้น

         "ท่านประมุข!"

         สินหุ่ยกล่าวด้วยความตกใจเมื่อได้เห็นร่างของจอมมารที่เหี่ยวแห้งเหลือเพียงหนังหุ้มกระดูก  ไม่มีเค้าแววของประมุขพรรคมารที่เปล่งบารมีอย่างเช่นที่แล้วมา  ตอนนี้เส้าเทียนอิ้งกลายเป็นเพียงแค่ตาแก่หงำเหงือกยืนหอบแฮ่ก ๆ ใกล้ลงโลงเต็มที

         "อย่าได้ตื่นตกใจ  ข้าเพียงถ่ายทอดพลังวิชาทั้งหมดไปไว้ในร่างใหม่เท่านั้น  ที่เหลือก็แค่ย้ายวิญญาณตามไป..."

         ในการเคลื่อนย้ายร่างและวิญญาณตามวิถีของวิชามารประสานจิต เทพประสานใจนั้นต้องกระทำเป็นสองจังหวะ  นั่นคือเริ่มจากย้ายพลังปราณและวิชาความรู้ทั้งหมดไปยังเป้าหมาย  จากนั้นจึงค่อยย้ายวิญญาณของเจ้าของร่างเดิมตามไปจึงจะสำเร็จครบถ้วนสมบูรณ์  ดังนั้นจอมมารจึงต้องเรียกองค์รักษ์มาคอยคุ้มกันในระหว่างช่วงขั้นตอนที่สองเพราะร่างเดิมนั้นจะเสื่อมถอยลงตามสังขาร  หากถูกลอบโจมตีคงลำบากยิ่ง  พวกสินหุ่ยและคนอื่น ๆ ไม่เคยได้เห็นพิธีในครั้งก่อนเพราะเกิดไม่ทันจึงตกใจเช่นนั้นเอง

         "โฮ่ง! โฮ่ง!"

         จู่ ๆ เจ้าหมาน้อยขนสีน้ำตาลท่าทางปราดเปรียวตัวหนึ่งก็พุ่งเข้ามาในปะรำพิธีพร้อมกับส่งเสียงเห่าตวาดใส่ด้วยความตกใจกลัว  ชะรอยว่าพื้นที่ในละแวกนี้คงเป็นถิ่นฐานแต่เดิมของมัน  ครั้นมีคนแปลกหน้าบุกรุกเข้ามาจึงโกรธจนตัวสั่น

         "อ้ายสุนัขหน้าโง่เอ็งจงไสหัวไปให้ไกลเดี๋ยวนี้!"

         สินหุ่ยออกปากตวาดกลับในระหว่างที่จอมมารเริ่มพิธีในลำดับที่สอง  วิญญาณของมันค่อย ๆ ระเหยออกมาจากภายในร่างอันแก่ชรา  พุ่งตรงไปยังภาชนะสถิตอันใหม่ในทันที  แต่อนิจจา...  ดั่งนรกชังหรือสวรรค์แกล้ง  ประจวบเหมาะเคราะห์ร้ายที่เสี้ยววินาทีนั้นได้มีลำแสงพุ่งใต้ตกลงมายังพื้นโลก  มันดิ่งด้วยความเร็วสูงลงสู่ร่างของเจ้าหมาสีน้ำตาลตัวนั้น  แล้วก็บังเกิดแสงสว่างวาบขึ้น  สินหุ่ยและพวกองค์รักษ์ต่างยกท่อนแขนขึ้นปิดบังลำแสงนั้นไว้  และเมื่อแสงจางลงสิ่งที่ทุกคนได้เห็นก็คือร่างของเด็กหนุ่มร่างเปลือยลุกขึ้นยืนทำหน้างง ๆ 

         "โอ! ท่านประมุข  ท่านทำสำเร็จแล้ว!  ท่านได้หวนคืนสู่ความเยาว์วัยอีกครั้ง..."

         "สำเร็จบ้าอะไรเล่า! พวกเจ้าเอาตาไปไว้ที่ไหนกันหา!!!"

         บรรดาลูกสมุนจอมมารยืนมองร่างวัยหนุ่มนั่นด้วยความงุนงง  ก็เห็นอยู่ว่าประมุขของพวกตนทำพิธีเทียบร่างเชิญวิญญาณได้สำเร็จลุล่วงไปแล้วนี่นา  แต่ช้าก่อน! ที่ส่งเสียงตวาดพวกสินหุ่ยอยู่นั้นหาใช่เจ้าเด็กหนุ่มตรงหน้าไม่  หากเป็นหมาน้อยสีน้ำตาลที่ยืนเห่าอยู่เมื่อครู่ต่างหากเล่า!

         "ท่าน...  ประมุข?"

         ถัดจากน้องหมาไปคือร่างเดิมอันชราภาพของเส้าเทียนอิ้งที่กำลังคลานสี่ขาพลางโก่งคอเห่าอย่างเอาเป็นเอาตาย  ทั้งหมดนี้ล้วนสร้างความสับสนอลม่านให้แก่บรรดาลูกสมุนจอมมารยิ่งนัก


    จบตอน
        
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×