ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เทพเซียนเกรียนยุทธภพ!

    ลำดับตอนที่ #3 : ไอ้ชิงหมาเกิด!

    • อัปเดตล่าสุด 1 ก.ย. 60



         "ว๊ากกก...!"

         ผมร้องตะโกนสุดเสียงในระหว่างที่ร่างกลายเป็นลำแสงสีฟ้าพุ่งทะยานไปในห้วงอากาศด้วยความเร็วสูง  รอบข้างมีแต่แสงสีละลานตากระทั่งมองเห็นจุดหมายนั่นคือบนยอดเขาที่ไหนสักแห่ง  ร่างของผมพุ่งชนจนเกิดเป็นเสียงดังสนั่นลั่นทุ่ง  ฝุ่นควันปลิวกระจายเต็มไปหมด  รู้สึกตัวอีกทีก็มายืนเปลือยกายโทงเทงต่อหน้าธารกำนัลเสียแล้ว...

         "สำเร็จบ้าอะไรเล่า! พวกเจ้าเอาตาไปไว้ที่ไหนกันหา!!!"

         ใกล้กับจุดที่ผมยืนงงอยู่นั้น  มีน้องหมาขนสีน้ำตาลน่ารักน่าชังตัวหนึ่งกำลังด่าเป็นภาษามนุษย์ใส่ทุก ๆ คน  ถัดจากน้องหมาก็มีชายชราอายุร่วมร้อยปีได้มั้งกำลังก้มลงคลานสี่ขาและส่งเสียงเห่าหอนดังลั่น 

         "อืมม... อะไรยังไงกันล่ะเนี่ย  หรือว่าตรูกำลังหลับฝันอยู่หว่า?"

         ผมบ่นพึมพำเบา ๆ พลางนึกย้อนไล่เรียงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไปตามลำดับ  นึกถึงตอนที่ตัวเองนั่งร้องไห้ฟูมฟายเพราะตายจากอุกกาบาต  นึกถึงพี่สาวคนสวยเดมิก๊อดกระโปรงสั้นสุดวาบหวิว  เออใช่! ยัยนั่นรู้สึกจะชื่ออาธีน่าหรืออะไรสักอย่างนี่แหละ! จู่ ๆ ก็ดันพูดพล่อย ๆ ว่าจะส่งเรามาเกิดเป็นหมานี่หว่า...  ฮึ่ม ถ้าหาทางกลับไปที่สำนักงานตรวจคนตายนั่นได้เมื่อไหร่จะไปอาละวาดให้หนำใจเลย  แต่ตอนนี้ต้องลองดูรอบ ๆ เสียก่อนว่าตัวเองหล่นมาอยู่ที่ไหนกันแล้วเนี่ย?

         "ท่านประมุข  นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?"

         "ข้าจะไปรู้เรอะ! ระหว่างที่ทำพิธีย้ายวิญญาณ  จู่ ๆ ไอ้ผีพุ่งใต้นี่ดันวิ่งเข้ามาชนกับวิญญาณของข้าจนกระเด็นไปคนละทิศละทาง  รู้สึกตัวอีกทีข้าก็ติดอยู่ในร่างสุนัขเวรนี่เสียแล้ว!"

         ระหว่างที่ผมมองสำรวจไปรอบ ๆ เจ้าหมาน้อยก็ร้องตะโกนใส่พวกชายฉกรรจ์ที่ยืนอยู่ตรงนั้น  ก่อนที่มันจะหันมาทางนี้ด้วยแววตาอันโกรธขึ้ง

         "แล้วแกเป็นใคร! บังอาจมาขัดขวางพิธีเทียบร่างเชิญวิญญาณของข้าได้  นับว่าใจกล้าไม่เบา  สินหุ่ย! เจ้าจงสั่งสอนไอ้จัญไรตัวนี้ให้มันได้สำนึกซะ"

         "เอ่อ... ไม่ใช่นะ  ผมแค่โดนแม่สาวเดมิก๊อดเสกให้กลายเป็นลำแสงบินมาลงที่นี่เฉย ๆ"

         ผมพยายามแก้ตัวแต่ไม่ได้ผล  ชายวัยกลางคนร่างสูงใหญ่แต่งตัวด้วยชุดดูรุ่มร่ามอย่างกับหลุดมาจากในหนังจีนกำลังภายใน  หนวดเครารุงรังเหมือนหมีจ้องมองมาทางนี้ด้วยความอาฆาตแค้น

         "พูดอะไรฟังไม่รู้เรื่อง  แต่ช่างเถอะร่างนั้นเป็นของเจ้านายข้า  แกจงคืนมันมาแต่โดยดีซะ!"

         ชายที่น่าจะชื่อสินหุ่ยพุ่งเข้าจู่โจมด้วยความรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ  แต่น่าแปลกที่เขาเคลื่อนไหวเร็วขนาดนั้นสายตาของผมก็ยังมองตามทันอีก  มิหนำซ้ำยังยกแขนขึ้นปัดป้องฝ่ามือของอีกฝ่ายได้ก่อนที่สมองจะสั่งการด้วยซ้ำ  สินหุ่ยมีสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อยก่อนจะเปลี่ยนกระบวนท่าใช้เท้าเตะแทน  แต่ก็เหมือนเดิมคือผมรับมือไปตามสัญชาตญาณ  ก่อนจะใช้อุ้งมือผลักเบา ๆ แถวหน้าอกให้อีกฝ่ายถอยออกไปก่อน  นี่ขนาดเบาแรงสุดแล้วนะแต่ชายคนนั้นเล่นกระเด็นลอยข้ามไปยังอีกฟากของภูเขานู่นเลย

         "บดเมฆ สลายวารี  งั้นรึ  ไม่เบานี่ที่ใช้กระบวนท่านั้นได้!"

         น้องหมาตัวเดิมยืนพากษ์ความเป็นไปจนผมเริ่มรำคาญ  นอกจากจะรำคาญที่หมาพูดได้แล้วยังหงุดหงิดที่ไม่มีใครสนใจฟังสิ่งที่ผมพูดเลย  เพราะนอกจากสินหุ่ยแล้ว  อีกเจ็ดคนที่เหลือก็ตั้งท่าจะพุ่งเข้ามาตะลุมบอนกันอีก

         "ช้าก่อนเจ็ดองค์รักษ์!  เจ้านี่มันใช้วิชาของข้าได้  พวกแกเข้าไปก็เท่ากับรนหาที่เท่านั้น!"

         ดูท่าว่าน้องหมาจะสงบสติอารมณ์ลงได้แล้ว  น้ำเสียงก็ฟังดูเยือกเย็นขึ้น  มันออกคำสั่งให้พวกลูกน้องตามจับชายชราที่คลานอยู่เมื่อครู่เอาไว้และเดินอาด ๆ มาทางผมก่อนจะถามว่า

         "เจ้าเป็นใครกันแน่?  หนึ่งในมือสังหารจากห้าพรรคใหญ่รึ?  หรือฮ่องเต้ส่งเจ้ามา..."

         "คือผมไม่ใช่ใครอะไรทั้งนั้นแหละ  เอางี้ผมจะเล่าให้ฟังตั้งแต่ต้นละกันจะได้ไม่งงนะ"

         แล้วผมก็ไล่ยาวไปตั้งแต่เรื่องที่อุกกาบาตพุ่งชนกรุงเทพฯ  เรื่องที่สำนักงานตรวจคนตายและเรื่องของอาธีน่า  กระทั่งตัวเองกลายเป็นผีพุ่งใต้มาลงยังภูเขาแห่งนี้ด้วย  ซึ่งน้องหมาก็นั่งฟังอย่างตั้งใจผิดกับเมื่อครู่  ระหว่างนั้นผมยังสังเกตด้วยว่าตัวเองไม่ได้ใช้ภาษาไทย  แต่เป็นภาษาอะไรไม่รู้ออกแนวจีนหน่อย ๆ มั้ง?  แถมยังพูดออกไปโดยไม่รู้ตัวเหมือนเป็นภาษาบ้านเกิดอีกด้วย  สงสัยว่าจะเป็นฝีมือของยัยอาธีน่าอีกแล้วแน่ ๆ  

         "อืมม  ดูจากการที่วิญญาณของเจ้าพุ่งเข้ามาขัดขวางพิธีกรรมของข้า  คงต้องบอกว่ามันเป็นชะตากรรมที่สวรรค์กลั่นแกล้งข้าผู้นี้เป็นแน่  แต่ที่สำคัญยิ่งกว่านั้น..."

         น้องหมาหรี่ตาลงคล้ายบังเกิดความคิดชั่วร้ายบางอย่าง  หลังจากฟังเรื่องเล่าของมันจึงได้รู้ข้อมูลคร่าว ๆ เกี่ยวกับสถานที่และวันเวลาที่ผมเด้งมา  นั่นคือแผ่นดินเมือง ต้าหลง  ในปีศักราชที่ 500  แน่นอนว่าผมไม่แม่นประวัติศาสตร์ก็จริง  แต่แผ่นดินจีนที่ชื่อต้าหลงนี่ไม่เคยได้ยินผ่านหูมาก่อนเลยสักนิด  ไม่ยักรู้ว่ามันเคยมีในโลกนี้ด้วย  อย่างน้อย ๆ ที่แน่ใจก็คือมันเป็นยุคแห่งอดีตเพราะภาษาที่ทุกคนพูดกันนั้นมันออกแนวลิเกหน่อย ๆ แถมเครื่องแต่งกายแต่ละคนก็ยังออกแนวหนังจีนกำลังภายในนั่นเอง

         "เอาเถอะ  จะอย่างไรเสียข้ากับเจ้าก็คงต้องติดอยู่ในร่างนี้ไปจนกว่าจะถึงเดือนเพ็ญคราวหน้า  ระหว่างนั้นเจ้าจงเก็บตัวอยู่ที่พรรคของข้าเสียก่อนแล้วกัน!" 

         เส้าเทียนอิ้งบอกกับผม  พร้อมออกคำสั่งให้หนึ่งในองค์รักษ์ถอดอาภรณ์มาสวมปิดอุจาดด้วย  แต่เอาจริง ๆ นะ  ใจผมไม่อยากเปลี่ยนวิญญาณเป็นน้องหมาเลย  อุตส่าห์ฟลุ๊คได้เข้าร่างใหม่เป็นเด็กหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันกับร่างเดิม  แถมยังหน้าตาค่อนข้างดีอีกด้วยแบบนี้แล้วใครจะอยากไปเกิดเป็นน้องหมาอีกล่ะ 

         "เอ่อ คือผมขออยู่ในร่างนี้ตลอดเลยได้มั้ยครับ?  แบบไม่อยากเกิดใหม่เป็นน้องหมาน่ะ แฮะ ๆ"

         "เจ้าว่าอะไรนะ!"     

         ผมพยายามอธิบายว่าการแย่งร่างของคนอื่นแบบนี้มันดูไม่ดีก็จริง  แต่มันไม่ได้มาจากความต้องการของตัวเองสักนิด  ทั้งหมดมันเป็นอุบัติเหตุและความผิดพลาดของยัยอาธีน่านั่นต่างหากเล่า  แล้วเรื่องอะไรที่ผมต้องรับผิดชอบด้วยการไปเกิดเป็นหมากันล่ะ? 

         "อ้ายโง่! ถึงเจ้าจะบ่ายเบี่ยงเช่นไร  พอถึงวันเพ็ญคราวหน้าข้าก็จักทำพิธีขับไล่วิญญาณของเจ้าออกจากร่างนั้นอยู่ดี  ไอ้ชิงหมาเกิด!"

         "หา นายว่าอะไรนะ?"

         ผมชักเดือดปุด ๆ เมื่ออีกฝ่ายด่าว่าชิงหมาเกิด  คือก็อธิบายไปแล้วไงว่าตรูไม่ได้อยากมาที่นี่  ไม่ได้อยากซี้ซั้วย้ายวิญญาณไปสิงร่างคนนู้นคนนี้เล่นสักหน่อย  ก็แค่ไม่อยากเป็นสัมภเวสีลอยไปลอยมาหมื่นปีเท่านั้นเองเฟ้ย!  ทำไมถึงเข้าใจอะไรยากเย็นขนาดนี้นะเนี่ย

         "แกน่ะสิเป็นหมา! ไอ้หมาบ้านี่!"

         "แง่งง..."

         ว่าแล้วผมก็ฟัดกับหมาอย่างเอาเป็นเอาตาย  องค์รักษ์ต่างตกใจรีบตรงเข้ามาแยกพวกผมออกจากกันก่อนที่ประมุขของตัวเองจะโดนตบลอยข้ามภูเขาตามสินหุ่ยไป


    จบตอน           
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×