ลำดับตอนที่ #3
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ไอ้ชิงหมาเกิด!
"ว๊ากกก...!"
ผมร้องตะโกนสุดเสียงในระหว่างที่ร่างกลายเป็นลำแสงสีฟ้าพุ่งทะยานไปในห้วงอากาศด้วยความเร็วสูง รอบข้างมีแต่แสงสีละลานตากระทั่งมองเห็นจุดหมายนั่นคือบนยอดเขาที่ไหนสักแห่ง ร่างของผมพุ่งชนจนเกิดเป็นเสียงดังสนั่นลั่นทุ่ง ฝุ่นควันปลิวกระจายเต็มไปหมด รู้สึกตัวอีกทีก็มายืนเปลือยกายโทงเทงต่อหน้าธารกำนัลเสียแล้ว...
"สำเร็จบ้าอะไรเล่า! พวกเจ้าเอาตาไปไว้ที่ไหนกันหา!!!"
ใกล้กับจุดที่ผมยืนงงอยู่นั้น มีน้องหมาขนสีน้ำตาลน่ารักน่าชังตัวหนึ่งกำลังด่าเป็นภาษามนุษย์ใส่ทุก ๆ คน ถัดจากน้องหมาก็มีชายชราอายุร่วมร้อยปีได้มั้งกำลังก้มลงคลานสี่ขาและส่งเสียงเห่าหอนดังลั่น
"อืมม... อะไรยังไงกันล่ะเนี่ย หรือว่าตรูกำลังหลับฝันอยู่หว่า?"
ผมบ่นพึมพำเบา ๆ พลางนึกย้อนไล่เรียงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไปตามลำดับ นึกถึงตอนที่ตัวเองนั่งร้องไห้ฟูมฟายเพราะตายจากอุกกาบาต นึกถึงพี่สาวคนสวยเดมิก๊อดกระโปรงสั้นสุดวาบหวิว เออใช่! ยัยนั่นรู้สึกจะชื่ออาธีน่าหรืออะไรสักอย่างนี่แหละ! จู่ ๆ ก็ดันพูดพล่อย ๆ ว่าจะส่งเรามาเกิดเป็นหมานี่หว่า... ฮึ่ม ถ้าหาทางกลับไปที่สำนักงานตรวจคนตายนั่นได้เมื่อไหร่จะไปอาละวาดให้หนำใจเลย แต่ตอนนี้ต้องลองดูรอบ ๆ เสียก่อนว่าตัวเองหล่นมาอยู่ที่ไหนกันแล้วเนี่ย?
"ท่านประมุข นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?"
"ข้าจะไปรู้เรอะ! ระหว่างที่ทำพิธีย้ายวิญญาณ จู่ ๆ ไอ้ผีพุ่งใต้นี่ดันวิ่งเข้ามาชนกับวิญญาณของข้าจนกระเด็นไปคนละทิศละทาง รู้สึกตัวอีกทีข้าก็ติดอยู่ในร่างสุนัขเวรนี่เสียแล้ว!"
ระหว่างที่ผมมองสำรวจไปรอบ ๆ เจ้าหมาน้อยก็ร้องตะโกนใส่พวกชายฉกรรจ์ที่ยืนอยู่ตรงนั้น ก่อนที่มันจะหันมาทางนี้ด้วยแววตาอันโกรธขึ้ง
"แล้วแกเป็นใคร! บังอาจมาขัดขวางพิธีเทียบร่างเชิญวิญญาณของข้าได้ นับว่าใจกล้าไม่เบา สินหุ่ย! เจ้าจงสั่งสอนไอ้จัญไรตัวนี้ให้มันได้สำนึกซะ"
"เอ่อ... ไม่ใช่นะ ผมแค่โดนแม่สาวเดมิก๊อดเสกให้กลายเป็นลำแสงบินมาลงที่นี่เฉย ๆ"
ผมพยายามแก้ตัวแต่ไม่ได้ผล ชายวัยกลางคนร่างสูงใหญ่แต่งตัวด้วยชุดดูรุ่มร่ามอย่างกับหลุดมาจากในหนังจีนกำลังภายใน หนวดเครารุงรังเหมือนหมีจ้องมองมาทางนี้ด้วยความอาฆาตแค้น
"พูดอะไรฟังไม่รู้เรื่อง แต่ช่างเถอะร่างนั้นเป็นของเจ้านายข้า แกจงคืนมันมาแต่โดยดีซะ!"
ชายที่น่าจะชื่อสินหุ่ยพุ่งเข้าจู่โจมด้วยความรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ แต่น่าแปลกที่เขาเคลื่อนไหวเร็วขนาดนั้นสายตาของผมก็ยังมองตามทันอีก มิหนำซ้ำยังยกแขนขึ้นปัดป้องฝ่ามือของอีกฝ่ายได้ก่อนที่สมองจะสั่งการด้วยซ้ำ สินหุ่ยมีสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อยก่อนจะเปลี่ยนกระบวนท่าใช้เท้าเตะแทน แต่ก็เหมือนเดิมคือผมรับมือไปตามสัญชาตญาณ ก่อนจะใช้อุ้งมือผลักเบา ๆ แถวหน้าอกให้อีกฝ่ายถอยออกไปก่อน นี่ขนาดเบาแรงสุดแล้วนะแต่ชายคนนั้นเล่นกระเด็นลอยข้ามไปยังอีกฟากของภูเขานู่นเลย
"บดเมฆ สลายวารี งั้นรึ ไม่เบานี่ที่ใช้กระบวนท่านั้นได้!"
น้องหมาตัวเดิมยืนพากษ์ความเป็นไปจนผมเริ่มรำคาญ นอกจากจะรำคาญที่หมาพูดได้แล้วยังหงุดหงิดที่ไม่มีใครสนใจฟังสิ่งที่ผมพูดเลย เพราะนอกจากสินหุ่ยแล้ว อีกเจ็ดคนที่เหลือก็ตั้งท่าจะพุ่งเข้ามาตะลุมบอนกันอีก
"ช้าก่อนเจ็ดองค์รักษ์! เจ้านี่มันใช้วิชาของข้าได้ พวกแกเข้าไปก็เท่ากับรนหาที่เท่านั้น!"
ดูท่าว่าน้องหมาจะสงบสติอารมณ์ลงได้แล้ว น้ำเสียงก็ฟังดูเยือกเย็นขึ้น มันออกคำสั่งให้พวกลูกน้องตามจับชายชราที่คลานอยู่เมื่อครู่เอาไว้และเดินอาด ๆ มาทางผมก่อนจะถามว่า
"เจ้าเป็นใครกันแน่? หนึ่งในมือสังหารจากห้าพรรคใหญ่รึ? หรือฮ่องเต้ส่งเจ้ามา..."
"คือผมไม่ใช่ใครอะไรทั้งนั้นแหละ เอางี้ผมจะเล่าให้ฟังตั้งแต่ต้นละกันจะได้ไม่งงนะ"
แล้วผมก็ไล่ยาวไปตั้งแต่เรื่องที่อุกกาบาตพุ่งชนกรุงเทพฯ เรื่องที่สำนักงานตรวจคนตายและเรื่องของอาธีน่า กระทั่งตัวเองกลายเป็นผีพุ่งใต้มาลงยังภูเขาแห่งนี้ด้วย ซึ่งน้องหมาก็นั่งฟังอย่างตั้งใจผิดกับเมื่อครู่ ระหว่างนั้นผมยังสังเกตด้วยว่าตัวเองไม่ได้ใช้ภาษาไทย แต่เป็นภาษาอะไรไม่รู้ออกแนวจีนหน่อย ๆ มั้ง? แถมยังพูดออกไปโดยไม่รู้ตัวเหมือนเป็นภาษาบ้านเกิดอีกด้วย สงสัยว่าจะเป็นฝีมือของยัยอาธีน่าอีกแล้วแน่ ๆ
"อืมม ดูจากการที่วิญญาณของเจ้าพุ่งเข้ามาขัดขวางพิธีกรรมของข้า คงต้องบอกว่ามันเป็นชะตากรรมที่สวรรค์กลั่นแกล้งข้าผู้นี้เป็นแน่ แต่ที่สำคัญยิ่งกว่านั้น..."
น้องหมาหรี่ตาลงคล้ายบังเกิดความคิดชั่วร้ายบางอย่าง หลังจากฟังเรื่องเล่าของมันจึงได้รู้ข้อมูลคร่าว ๆ เกี่ยวกับสถานที่และวันเวลาที่ผมเด้งมา นั่นคือแผ่นดินเมือง ต้าหลง ในปีศักราชที่ 500 แน่นอนว่าผมไม่แม่นประวัติศาสตร์ก็จริง แต่แผ่นดินจีนที่ชื่อต้าหลงนี่ไม่เคยได้ยินผ่านหูมาก่อนเลยสักนิด ไม่ยักรู้ว่ามันเคยมีในโลกนี้ด้วย อย่างน้อย ๆ ที่แน่ใจก็คือมันเป็นยุคแห่งอดีตเพราะภาษาที่ทุกคนพูดกันนั้นมันออกแนวลิเกหน่อย ๆ แถมเครื่องแต่งกายแต่ละคนก็ยังออกแนวหนังจีนกำลังภายในนั่นเอง
"เอาเถอะ จะอย่างไรเสียข้ากับเจ้าก็คงต้องติดอยู่ในร่างนี้ไปจนกว่าจะถึงเดือนเพ็ญคราวหน้า ระหว่างนั้นเจ้าจงเก็บตัวอยู่ที่พรรคของข้าเสียก่อนแล้วกัน!"
เส้าเทียนอิ้งบอกกับผม พร้อมออกคำสั่งให้หนึ่งในองค์รักษ์ถอดอาภรณ์มาสวมปิดอุจาดด้วย แต่เอาจริง ๆ นะ ใจผมไม่อยากเปลี่ยนวิญญาณเป็นน้องหมาเลย อุตส่าห์ฟลุ๊คได้เข้าร่างใหม่เป็นเด็กหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันกับร่างเดิม แถมยังหน้าตาค่อนข้างดีอีกด้วยแบบนี้แล้วใครจะอยากไปเกิดเป็นน้องหมาอีกล่ะ
"เอ่อ คือผมขออยู่ในร่างนี้ตลอดเลยได้มั้ยครับ? แบบไม่อยากเกิดใหม่เป็นน้องหมาน่ะ แฮะ ๆ"
"เจ้าว่าอะไรนะ!"
ผมพยายามอธิบายว่าการแย่งร่างของคนอื่นแบบนี้มันดูไม่ดีก็จริง แต่มันไม่ได้มาจากความต้องการของตัวเองสักนิด ทั้งหมดมันเป็นอุบัติเหตุและความผิดพลาดของยัยอาธีน่านั่นต่างหากเล่า แล้วเรื่องอะไรที่ผมต้องรับผิดชอบด้วยการไปเกิดเป็นหมากันล่ะ?
"อ้ายโง่! ถึงเจ้าจะบ่ายเบี่ยงเช่นไร พอถึงวันเพ็ญคราวหน้าข้าก็จักทำพิธีขับไล่วิญญาณของเจ้าออกจากร่างนั้นอยู่ดี ไอ้ชิงหมาเกิด!"
"หา นายว่าอะไรนะ?"
ผมชักเดือดปุด ๆ เมื่ออีกฝ่ายด่าว่าชิงหมาเกิด คือก็อธิบายไปแล้วไงว่าตรูไม่ได้อยากมาที่นี่ ไม่ได้อยากซี้ซั้วย้ายวิญญาณไปสิงร่างคนนู้นคนนี้เล่นสักหน่อย ก็แค่ไม่อยากเป็นสัมภเวสีลอยไปลอยมาหมื่นปีเท่านั้นเองเฟ้ย! ทำไมถึงเข้าใจอะไรยากเย็นขนาดนี้นะเนี่ย
"แกน่ะสิเป็นหมา! ไอ้หมาบ้านี่!"
"แง่งง..."
ว่าแล้วผมก็ฟัดกับหมาอย่างเอาเป็นเอาตาย องค์รักษ์ต่างตกใจรีบตรงเข้ามาแยกพวกผมออกจากกันก่อนที่ประมุขของตัวเองจะโดนตบลอยข้ามภูเขาตามสินหุ่ยไป
จบตอน
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น