ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รวมเรื่องสั้น ความทรงจำ รอยยิ้มและน้ำตา

    ลำดับตอนที่ #2 : หมื่นกระบี่สยบวิญญาณ

    • อัปเดตล่าสุด 7 ส.ค. 63




          ***อันนี้เป็นเรื่องสั้นที่ผมแต่งแล้วส่งเข้าประกวดในบอร์ดนักเขียนของท่าน Polarbee ครับผม (ประกวดเรื่องสั้นแนวกำลังภายใน) ลงไว้ตั้งแต่เมื่อวันที่ 30 ก.ย. 2554 ครับ... ***


    @@@@@@@@@@@@



    หมื่นกระบี่สยบวิญญาณ

    1.

         กาลหนึ่งเมื่อครั้งที่ใต้หล้าเต็มไปด้วยความวุ่นวายสับสน  ราชสำนักในหลายแคว้นถูกชักจูงโดยเหล่าขุนนางกังฉินผู้ฉ้อฉล  ข้าวยากหมากแพงแล้วยังขูดรีดภาษีจนพสกนิกรต่างเดือดร้อนไปทั่วทุกหย่อมหญ้า  มิหนำซ้ำเหล่าชาวยุทธทั้งหลายยังมิอาจสะกดคำว่าคุณธรรม  ก้มหัวรับใช้ขุนนางแลกกับทรัพย์ศฤงคารแลชื่อเสียงจอมปลอม  กลายเป็นกุลีรับใช้นายไม่เลือกหน้า  ขอเพียงแค่ได้ในสิ่งที่ตนต้องการเป็นพอ...

    2.

    พันกระบี่พิฆาตใจ

         คราหนึ่งในงานชุมนุมชาวยุทธ  เหล่ายอดฝีมือผู้เข้าร่วมทั้งหลายล้วนมุ่งหมายเป็นสุดยอดแห่งยุทธภพ  มีบ้างที่มาเพื่อเงินทองลาภยศ  นอกนั้นก็แทบไม่แตกต่างกัน  เวที ณ ลานกว้างบริเวณจวนของอ๋องบูรพาแห่งแคว้นเหลียวกลายเป็นสนามชิงชัยอันแปดเปือนไปด้วยความละโมบและไฟริษยาโหมกระหน่ำภายในใจ  พวกมันหาได้รู้ว่ายิ่งตนอวดสำแดงแฝงถ้อยคำเสียดสีออกมามากเท่าไหร่  ความโสมมบัดซบในใจก็ยิ่งแสดงออกเด่นชัดขึ้นเป็นร้อยเท่าทวีคูณ  จะมีบ้างหรือไม่ที่ชาวยุทธได้สำเหนียกถึงธาตุแท้ของตนเข้าสักวัน?

         การประลองดำเนินไปจงบจนใกล้สิ้นแสงตะวัน  ยามเมื่ออาทิตย์กำลังจะลาลับจู่ ๆ ก็ปรากฏร่างของบุรุษชุดขาวผู้หนึ่งเยื้องย่างผ่านทางเข้ามาแบบเงียบเชียบไร้แม้แต่เสียงลมหายใจ  อนิจจาเหล่ายอดยุทธคนอื่น ๆ ต่างก็ง่วนอยู่กับการประลองบนเวทีจนหาได้เฉลียวใจไม่ว่า  บัดนี้ได้มียอดฝีมือรายใหม่ย่างกรายเข้าสู่สนามรบอีกหนึ่งผู้เสียแล้ว  มันจ้องมองการต่อสู้อันร้อนแรงบนเวทีแล้วถึงกับกลั้นหัวเราะในความไม่เอาไหนไว้ไม่อยู่  ชาวยุทธที่อยู่ใกล้พลันรู้สึกเสื่อมเสียเกียรติจนต้องชักอาวุธออกมาขู่ไล่เจ้าคนไร้มารยาทนั่น  หารู้ไม่ว่าเปรียบดังแมงเม่าบินเข้ากองไฟแท้ ๆ แม้แต่สายตาที่จะมองทะลุถึงเนื้อแท้ของยอดฝีมือตรงหน้าก็ยังไม่มี  ไฉนเลยจักรักษาชีวิตไว้ชื่นชมวันข้างหน้าได้  เพียงแค่ชายชุดขาวขยับมือเบา ๆ บริเวณโดยรอบก็นองไปด้วยเลือดในทันที  ชาวยุทธที่เหลือเห็นดังนั้นก็กรูกันเข้ามาราวกับเขื่อนทะลักทลาย  น่าสมเพชพวกมันที่อวดอ้างว่าเป็นยอดฝีมือผู้เชี่ยวชาญ  เวลานี้กลับไม่ได้ต่างไปจากฝูงสุนัขที่ไล่รุมเหยื่อเพียงคนเดียวเสียเท่าไหร่

    3.

    10 ปีผ่านพ้น...

         เมื่อนามสงบนักรบใฝ่หาชื่อเสียงในสนามรบ  ประชาชนใฝ่หาความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ ประทังท้อง  สงครามผลาญชีวิตผู้คนเสียมากมายเหลือเกิน  หลังจบศึกสองแคว้นระหว่างแคว้นเหลียวและแคว้นต้าชิง  บรรดาแว่นแคว้นอื่น ๆ ต่างก็สะสมกำลังทหารและกำลังทรัพย์เพื่อเตรียมรับมือกับสงครามในวันข้างหน้า  และเพื่อการนั้นชาวบ้านต่างถูกรีดเค้นภาษีอย่างหนัก  ตกเป็นเชลยข้าทาสในบ้านเกิดตนเอง  ในโลกหล้ายังจะมีเรื่องใดที่น่าเวทนากว่านี้อีก?

         เด็กน้อยท่าทางมอมแมมชุดขาดวิ่นคนหนึ่งเดินโซเซอ่อนระโหยโรยแรงไปตามทางสายหลักมุ่งสู่ตัวเมืองของแคว้นสี่  สองมือโอบอุ้มหม้อดินสีดำสนิทใบเล็กไว้แน่นประหนึ่งสมบัติอันล้ำค่า  ยามสองคนในชุดทหารตรงประตูเมืองเห็นสภาพสุดเวทนาของเด็กน้อยก็เรียกให้หยุดทันที

         "ช้าก่อนไอ้หนู  เจ้าคิดจะไปที่ไหนกัน"

         "ข้าน้อยแค่อยากจะอาศัยผ่านแคว้นสี่เพื่อไปต่อยังแคว้นเหลียวที่อยู่ถัดไป"

         เด็กน้อยบอกด้วยแววตาเศร้า ๆ ทีแรกเจ้ายามทั้งสองก็ไม่ได้คิดอะไร  กะว่าจะปล่อยเด็กคนนี้ให้เดินผ่านไปอยู่แล้ว  กระทั่งหนึ่งคนนึกสงสัยขึ้นว่ามีอะไรอยู่ในหม้อดินใบนั้น  หรือว่าเจ้าเด็กนี่จะแอบซ่อนแก้วแหวนเงินทองไว้ในนั้นเพื่อเล็ดลอดผ่านการตรวจภาษีผ่านเมืองกันแน่นะ?

         "ประเดี๋ยวก่อนเจ้าหนู!"

         ทั้งสองพลันฉุดรั้งตัวเด็กน้อยคนนั้นเอาไว้  ทหารนายหนึ่งพยายามจะฉวยคว้าเจ้าหม้อใบนั้นขึ้นมาดู  แต่เด็กน้อยกลับกอดมันแน่นยิ่งกว่าเดิมจนทั้งสองปักใจเชื่อว่า  อย่างน้อย ๆ ข้างในต้องมีของมีค่าซ่อนอยู่ไม่มากก็น้อยเป็นแน่

         "เจ้าซ่อนสิ่งใดไว้ในนั้น  จงแสดงออกมาซะดี ๆ"

         "ข้าน้อยหาได้ซ่อนสิ่งใดไม่  ที่อยู่ข้างในเป็นแค่เถ้ากระดูกของบิดาข้าเอง!"

         เด็กน้อยตอบพลางกลั้นน้ำตา  อันที่จริงมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกในยุคสมัยที่ไฟสงครามคุโชนเยี่ยงนี้  เหล่านักรบทั้งหลายเมื่อยามรบก็พร่ำคำสาบานว่าจะกลับมาพร้อมชัย  สุดท้ายกลายเป็นเพียงเศษซากธุลีดิน  ภาพเช่นนี้พบเห็นได้บ่อยจนชินตาทว่าเพลานี้ทหารทั้งสองกลับมองไม่เห็น  อันเนื่องมาจากความโลภได้ครอบงำดวงตาของมันเสียแล้ว  คิดแต่เพียงว่าถ้าหากมันยึดเอาทรัพย์สินข้างในมาเป็นของตน  คืนนี้ก็จักมีเหล้ากรอกปาก  ภรรยาที่บ้านจักมีชุดสวย ๆ ใส่  จึงพากันแย่งยุดฉุดกระชากลากไถล้มกลิ้งไปมา  เป็นที่อุจาดตาแก่ผู้พบเห็นยิ่งนัก

         "ได้โปรดเถิด! ข้างในนี้คือเถ้ากระดูกบิดาข้าจริง ๆ บ้านเกิดข้าอยู่แคว้นเหลียว  พ่อข้าเดิมเป็นทหารหาญแต่เมื่อเสร็จศึกไม่กลับบ้าน  ข้าจึงออกตามหาสุดท้ายได้กลับมาเพียงเท่านี้!"

         "เจ้าชาติชั่วโกหกชัด ๆ มีอย่างที่ไหนถึงออกตามหาจนได้เป็นเถ้ากระดูกกลับมา  นี่เจ้าเที่ยวไล่รื้อค้นกองซากศพจนเจอบิดาเจ้าเองหรืออย่างไร!"

         อันที่จริงเด็กน้อยหาได้โป้ปดแม้เพียงครึ่งคำ  บิดาของมันเป็นถึงยอดแม่ทัพนายหนึ่งแต่อนิจจาต้องเคราะห์กระหน่ำถูกขุนนางชั่วช้าใส่ร้ายจนย้ายไปอยู่แนวหน้า  ครั้นแลกชีวิตยังมิสู้น้ำคำคนโฉด  ครอบครัวผู้กล้าถึงคราวระส่ำ  ถูกยึดทรัพย์ปลดฐานะกลายเป็นสามัญชน  ยามเมื่อสิ้นไร้ไม้ตอกไม่มีแม้แต่ข้าวสารกรอกหม้อ  สิ่งเดียวที่ทายาทตัวน้อยพอจะทำได้คือเดินทางไปรับเถ้ากระดูกของบิดาจากนายทหารคนสนิทที่เคียงข้างจนวาระสุดท้ายไกลถึงสมรภูมิชายแดน...

    4.

    หมื่นกระบี่สยบวิญญาณ

         ความฮึกเหิมลำพองนั้นจัดได้ว่าเป็นเสมือนปิศาจร้ายในวัยหนุ่มฉกรรจ์  หนึ่งยอดฝีมือเผชิญหน้ากับอีกนับร้อยยอดฝีมือในสายวิชาเดียวกัน  กระนั้นชายในชุดขาวหาได้ตื่นตกใจไม่  เพียงมันสำแดงเดชออกมาให้ได้ประจักษ์  เหล่าศัตรูจำต้องเสียค่าลองวิชาด้วยชีวิต  ลานประลองกลับกลายเป็นลานสังหารภายในพริบตาเดียว  วิชาที่ชายชุดขาวใช้ภายหลังจึงสืบทราบว่ามันคือสุดยอดเคล็ดวิชา "พันกระบี่พิฆาตใจ  หมื่นกระบี่สยบวิญญาณ" กายใจเป็นเช่นดังกระบี่ชั้นยอด  ว่ากันว่าเมื่อแสดงหนึ่งกระบวนท่าจักต้องมีตายหนึ่ง  สิบกระบวนท่า... ตายยกสำนัก  และเมื่อถึงร้อยกระบวนท่า... ตายทั้งตำบล!   ดังที่ได้กล่าวไว้แล้วข้างต้น  ว่าความจองหองลำพองตนนั้นนับเป็นปิศาจร้ายสิงใจตัวฉกาจ  คราเมื่อมีสุดยอดวิชาติดตัวเช่นนี้  เป็นใครจะไม่ร้อนวิชาอยากลองของกันบ้างเล่า?  เหล่ายอดยุทธผู้โลภโมโทสันจึงต้องรับเคราะห็กันพร้อมเพรียงถ้วนหน้า  บุรุษชุดขาวยังคงฆ่าฟันอย่างบ้าคลั่งไม่สนใจผู้ใด  กระทั่งมันได้ลงมือกระทำบางสิ่งที่จะฝังตรึงในจิตใจของมันจวบจนวันตาย...

    5.

    โรงเตี๊ยมม้าศึก...

         บนชั้นสองของโรงเตี๊ยมที่พลุกพล่านไปด้วยผู้คนยามบ่ายแก่  ชายผู้หนึ่งนั่งติดริมชานระเบียง  จิบน้ำชาพลางสังเกตความเป็นไปของผู้คนที่เบื้องล่างอย่างสราญใจ  กระทั่งสายตาพานพบเข้ากับเรื่องไม่พึงประสงค์อย่างหนึ่ง  เด็กน้อยเนื้อตัวสกปรกราวกับขอทานกำำลังล้มลุกคลุกคลานปลุกปล้ำอยู่กับทหารยามอีกสองคนแบบอุตลุต  เห็นดังนั้นก็ร้อนรนจนคิดยื่นมือเข้าช่วยเหลือ  ทว่ากลับปรากฎร่างบอบบางของดรุณีนางหนึ่งวิ่งพรวดเข้ามาช่วยเหลือเด็กน้อยไว้เสียก่อน

         "ช้าก่อนพวกท่าน!"

         นางร้องห้ามพวกทหารยามที่กำลังยื้อแย่งหม้อดินนั่นมาเป็นของตนอย่างเอาเป็นเอาตาย  ท่ามกลางสายตานับสิบของชาวบ้านที่มุงดูเหตุการณ์อยู่ใกล้ ๆ สาวน้อยในชุดสีฟ้าอ่อนท่าทางเป็นผู้ดีมีสกุลพยายามปกป้องเด็กน้อยที่ถูกรังแกจนคนอื่น ๆ รวมถึงชายที่บนโรงเตี๊ยมยังลอบแสดงความชื่นชมในใจ

         "เหตุใดพวกท่านจึงต้องรุมรังแกคนไร้ทางสู้เช่นนี้!"

         นางถามด้วยแววตาขุ่นเคือง  กระนั้นทั้งสองก็ยังทำเฉยตอบไปว่า

         "เจ้าเด็กโสโครกนี่นี่มันบังอาจละเมิดกฎการจ่ายภาษีผ่านเมืองของแคว้น  มันซ่อนสิ่งมีค่าไว้ในหม้อดำนั่นเพื่อหลบหนีการตรวจค้นยังไงล่ะ"

         "ไม่จริง  นี่คือเถ้ากระดูกบิดาข้า!"

         ประจวบเหมาะเคราะห์ร้ายเมื่อขณะถกเถียงกันอยู่นั้นพวกทหารลาดตระเวนอีกหกคนเดินผ่านมาพอดี  เมื่อเห็นเหตุวุ่นวายจึงไต่ถามเรื่องราวจากปากของทั้งสอง  ครั้นเมื่อได้ฟังเรื่องเล่าจนหมด  หนึ่งในนั้นซึ่งดูคล้ายตัวหัวหน้าถึงกับหน้าขมึงทึงขึ้นมาทันที  มันหันขวับไปทางเด็กน้อยก่อนจะตะโกนถามว่า

         "ไอ้หนู  จริงหรือไม่ที่เจ้าบังอาจลอบเอาของมีค่าหนีภาษีเข้ามาถึงในด่านนี้!"

         เด็กน้อยพยายามแก้ตัวแต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ฟัง  หัวหน้าชุดลาดตระเวนรู้สีกขายหน้าที่เด็กตัวเล็ก ๆ เช่นนี้ยังไม่รู้จักเคารพกฎ  มันออกคำสั่งให้ทหารที่มาด้วยกันอีกสองคนชักอาวุธออกมา  คมดาบต้องแสงแดดยามบ่ายเป็นประกายคมปลาบ  สาวน้อยเห็นสัญญาณอันตรายจึงปรี่เข้ามาขวางทางดาบไว้เสียก่อน

         "พวกท่านจะทำอะไรน่ะ!"

         "หลีกไปนังหนู! ในฐานที่ข้าเป็นผู้ดูแลที่นี่  ข้าจำต้องทำให้ทุกคนเคารพและอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์เดียวกันให้ได้เสียก่อน"

         เรื่องราวชักจะวุ่นวายบานปลายไปกันใหญ่  ทีแรกเจ้าทหารยามทั้งสองแค่อยากได้เงินไว้ใช้สอยสักเล็กน้อยเท่านั้นเอง  ไม่นึกว่าจะกลายเป็นสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคลายไม่ออกเช่นนี้  ทว่าพวกมันต่างก็ไม่กล้าพูดออกไปเพราะเกรงอาญาจะมาลงที่พวกตนแทน  มนุษย์ก็มักเป็นเช่นนี้  เมื่อยามคับขันตนย่อมสำคัญกว่าทุกสิ่งอยู่แล้ว  ด้านสาวน้อยเห็นท่าไม่ดีจึงรีบขัดจังหวะเสียก่อน

         "ช้าก่อนท่าน  อีกฝ่ายยังเป็นเด็กตัวน้อยอยู่เลยนะได้โปรดไว้เมตตาด้วยเถิด  ถ้ายังไงข้าขอจ่ายในส่วนของภาษีแทนก็แล้วกัน  เอ้านี่สามตำลึงทองน่าจะพอนะ"

         นางรีบควักเงินออกมาจากในผ้า  ในปรารถนาอยากช่วยเหลือเด็กน้อยท่าทางน่าสงสารนั่น  เจ้าทาหรยามเห็นจำนวนเงินก็ตาลุกวาวผิดกับหัวหน้าชุดลาดตระเวนที่ไม่คิดเช่นนั้น  มันโกรธจัดจนหน้าแดงก่ำ  จ้องมองหน้าดรุณีสาวก่อนจะตะคอกว่า

         "หนอยแน่ะ  นี่เจ้าคิดติดสินบนเจ้าหน้าที่เชียวรึ!"

         ยิ่งแก้ก็ยิ่งวุ่น  ยิ่งวุ่นก็ยิ่งลุกลามใหญ่โต  คราวนี้เจ้าหัวหน้าหันมาหมายเล่นงานสาวน้อยเสียด้วย  ผู้คนต่างก็พากันโจษจันเสียงเซ็งแซ่  ส่วนใหญ่มักมองด้วยอคติว่าทหารนี้ชอบเอาเปรียบอ้างสิทธิ์นั่นนี่ขูดรีดพวกตนเป็นประจำ  แม้แต่กับเด็กตัวเล็ก ๆ ก็ยังไม่ละเว้น  จนมันกวาดสายตามองบรรดาชาวบ้านที่กำลังมุงดูด้วยสายตาชิงชัง

         "เชอะ  พวกเจ้ามันก็เป็นซะอย่างนี้! ไม่เคยสำนึกบุญคุณที่พวกทหารอย่างข้าสู้ปกป้องแผ่นดินอย่างสุดชีวิต  หลั่งเลือดเสียเนื้อมากแค่ไหนไม่เคยสน  ซ้ำร้ายยังเอาแต่ว่าร้ายพวกข้าต่าง ๆ นานา บัดซบเอ๊ย!"

    ปึ๊ก...!

         จู่ ๆ ก้อนหินขนาดเหมาะมือหนึ่งก้อนก็ลอยละลิ่วเข้าเป้าที่ตรงกลางหลังศีรษะของเจ้าหัวหน้านั่นทันที  มันหันขวับมองหาตัวต้นเหตุลอบทำร้ายเจ้าหน้าที่ด้วยความเดือดดาล  ทั้งสบถด่าหยาบคายแต่ก็ไม่มีใครกล้าเผยตัว  เมื่อความตึงเครียดถึงขีดสุด  มันชักดาบเล่มโตประจำตัวออกมากวัดแกว่งไปมาบนอากาศ  ก่อนจะชี้ไปยังชาวบ้านคนหนึ่ง

         "แก... เป็นแกใช่มั้ยที่ขว้างไอ้หินก้อนนี้มาน่ะหา!"

         เพียงสิ้นคำมันฟันฉับลงที่ชายผู้นั้นทันที  โลหิตแดงฉานพวยพุ่งออกจากแขนครึ่งท่อนที่ห้อยต่องแต่งอยู่  ส่วนที่เหลือลงไปกลิ้งกับพื้นตามความคมของดาบ  พริบตาเดียวชาวบ้านแตกตื่นวิ่งกระเจิดกระเจิงไม่เป็นระบบ  ไม่คาดคิด  แค่มุงดูเฉย ๆ ยังมีสิทธิ์ชะตาขาดได้  เจ้าทหารคลั่งเหวี่ยงดาบไปมาด้วยเพลิงโทสะ  ความคับแค้นใจที่ต้องทำงานรับใช้ชาติเกิดภายใต้คำก่นด่าของผู้คนในสังคมนับสิบปีมันช่างเกินทานทน  เป็นข้าราชสุจริตแล้วยังไง? มีแต่ต้องทนทำงานรองมือเท้าผู้อื่น  และยังสายตาเกลียดชังนั่นอีก  เมื่อทั้งหลายทั้งปวงที่เก็บกดไว้มันระเบิดออกมาใครเล่าจะกล้าขวาง? 

    6.

    หมื่นพันกระบี่  แสนล้านกระบวนท่า  มิเทียบหนึ่งชีวิต...

         ใต้แสงสนธยายามค่ำ  บนลานกว้างหน้าจวนท่านอ๋องบูรพา  ท่ามกลางซากศพมากมายที่เมื่อครู่ยังชิงดีจะเป็นเจ้ายุทธภพอยู่นั้น  ปรากฎร่างเด็กน้อยคนหนึ่งนอนกอดมารดาของตนไว้แนบแน่น  นางแน่นิ่งไร้ซึ่งลมหายใจ  เลือดสด ๆ ไหลจากปากแผลเป็นจำนวนมาก  เลอะเทอะเต็มร่างของลูกน้อย  ใกล้กันนั้นคือมือสังหารที่เพิ่งได้รับฉายาเจ้ายุทธภพไปหมาด ๆ มันยืนมองภาพผลงานของตนด้วยสายตาที่ยากจะคาดเดาความรู้สึกได้  เจ้าปิศาจร้ายอันมีนามว่าความลำพองหายไปจากในดวงตาแล้ว  เหลือไว้เพียงผลลัพธ์เท่านั้น  ย้อนกลับไปก่อนหน้า  เมื่อมันได้ใจสำแดงฝีมืออวดศักดาให้เหล่าชาวยุทธได้ประจักษ์  คนแล้วคนเล่าล้วนตกเป็นเหยื่อท่วงท่าอันร้ายกาจนั่น  รวดเร็วปานอัสนีบาต  ร้ายกาจดุจดังพสุธากัมปนาท  และเหี้ยมโหดยิ่งกว่ามารร้ายตนใด  โชคร้าย  เมื่อฮูหยินของจอมยุทธคนหนึ่งพุ่งขวางทางร่างของสามีนางจนต้องจบชีวิตลง  ชั่วชีวิตของชายชุดขาวนั้น  มันฆ่ามานับไม่ถ้วน  ฆ่าไม่เลือกหน้า  แต่มีสิ่งเดียวที่มันยังไม่เคยสังหารนั่นคือ ผู้บริสุทธิ์... 

    เจ้าของกระบวนท่าไร้เทียมทาน  หมื่นกระบี่สยบวิญญาณ  มาบัดนี้ยืนหลั่งน้ำตาเงียบ ๆ ภายใต้อาทิตย์อัสดง...

    7.

    ไร้กระบี่  สังหารสิ้นทั้งวิญญาณ...

         ย้อนกลับมาที่เหตุนองเลือดหน้าโรงเตี๊ยมม้าศึก  เมื่อถึงคราวขับคันทุกคนต่างเร่งฝีเท้าเอาตัวให้รอดไว้ก่อน  เจ้าหัวหน้าทหารคลั่งยังคงอาละวาดอย่างต่อเนื่อง  ดาบของมันไล่ฟันข้าวของชาวบ้านพังทลายเสียหายเป็นแถบ  เกินกำลังเหล่าทหารชั้นผู้น้อยที่เหลือจะเข้าไปห้ามได้  กระทั่งมันเข้าใกล้ดรุณีสาวและเด็กน้อยที่กำลังขวัญเสียอยู่นั้น  เจ้าหัวหน้าหายใจหอบดวงตาแดงก่ำ  มันชูดาบขึ้นเหนือศีรษะพร้อมที่จะฟาดฟันลงปลิดชีวิตได้ทุกเมื่อ  นางคว้าร่างของเด็กน้อยมากอดไว้แน่นหลับตากลั้นหายใจ  จะมีใครบ้างหนอในปฐพีนี้ที่ช่วยเหลือสองชีวิตนี้ได้?

    ฟ้าว...!

         คมดาบตวัดลงมา  รวดเร็วรุนแรงเหลือเกิน  ทว่ากลับพลาดเป้าหมายอย่างไม่น่าเชื่อ  เพียงเสี้ยวกะพริบตาแห่งความเป็นตาย  สายลมวูบหนึ่งหอบเอาร่างของทั้งสองลอยละลิ่วหลบปลายดาบได้อย่างเฉียดฉิว  ไม่ใช่ใครที่ไหน  ชายที่นั่งจิบชาบนเรือนชานชั้นสองของโรงเตี๊ยมไม่อยู่แล้ว  มันเหินลงมาช่วยหนึ่งหญิงหนึ่งเด็กได้ทันท่วงที  อาภรณ์สีขาวพัดปลิวตามแรงลมในช่วงบ่ายพร้อมด้วยพัดในมือ...

         ไม่ว่าจะเก่งฉกาจสักเพียงใด  สำเร็จเพลงยุทธได้ถึงขั้นไหน  ไม่มีใครฟื้นลมหายใจ  คืนชีวิตให้คนตายได้  เจ้ายุทธภพหมื่นกระบี่สยบวิญญาณเรียนรู้ด้วยบทเรียนอันแสนเจ็บปวด  แววตาคลั่งแค้นของเด็กน้อยที่สูญเสียมารดาในวันนั้นยังคงตามมาหลอกหลอนมันจนถึงทุกวันนี้  ในเมื่อคนเราไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขอดีตได้  คงมีแต่ต้องแก้ไขอนาคตกระมัง  และตอนนี้ก็เป็นโอกาสของมันแล้วที่จะช่วยชีวิตใครสักคน  สร้างบุญกุศลลบล้างความผิดแต่หนหลังสักหนึ่งเสี้ยว

         "เจ้าเข้ามาขวางทำไม!"

         เจ้าหัวหน้าคลั่งจัดหมายเล่นงานชายชุดขาวนั่นให้ตายตกไปซะ  มันตวัดดาบเข้าใส่อย่างรวดเร็วดุจฟ้าผ่า  แต่มีหรือที่จะมาถึงตัวได้  ชายชุดขาวเพียงวาดพัดเบา ๆ ดาบของมันภึงกับแตกกระจายเป็นเสี่ยง

         "ฮึ่ม! ยังหรอก!"

         แม้สูญเสียอาวุธคู่ใจ  แต่ยังไม่เสียไฟสู้  เจ้าหัวหน้าเดินพลังลมปราณเข้าประจัน  ดูเหมือนมันพอจะรู้วิชายุทธอยู่บ้างบวกกับพลังวัตรทสะสมอีกนิดหน่อย  เพียงแค่เกร็งพลังก็พอจะขู่ผู้อื่นได้บ้าง  แต่ไม่ใช่กับชายตรงหน้า  เพราะมันกำลังหัวร่องอหายกับท่าทางเก้ง ๆ กัง ๆ นั่น  ยิ่งทำให้มันหัวเสียเป็นเท่าตัว  พุ่งพรวดเข้าไปหมายจะจัดการให้อยู่มือ  ที่ไหนได้  กลับกลายเป็นตนโดนซัดหมอบเสียเอง...  ชาวบ้านเห็นดังนั้นก็ส่งเสียงร้องยินดีเป็นการใหญ่

         "ขอบคุณท่านจอมยุทธที่ช่วยชีวิต"

         สาวน้อยกล่าวขอบคุณชายในชุดขาวเป็นการใหญ่  มันพับเก็บพัดก่อนจะปรายตามองไปที่หม้อดินเมื่อครู่ของเด็กน้อย  ยิ้มให้ทั้งสองแล้วจึงกระทำในสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดนั่นคือตรงเข้าช่วงชิงเจ้าหม้อดำนั่นไปเสียเอง!

         "ฮ่า ๆ ข้าขอเจ้านี่เป็นค่าตอบแทนที่ช่วยพวกเจ้าไว้ก็แล้วกันนะ!"

         ที่แท้มันลอบมองเหตุการณ์ทั้งหมดมาตั้งแต่ต้น  ถ้าไม่เป็นเพราะคำนวณอย่างดีแล้วว่าฝีมือกระจอกอย่างเจ้าหัวหน้าทหารนั่นไม่ใช่คู่มือมัน  มีหรือจะยื่นมือลงมาช่วยให้เช่นนี้  อนิจจาโลกใบนี้  แม้แต่ยอดยุทธพิทักษ์ธรรมยังหดหายไปตามกาลเวลา  หลงเหลือไว้เพียงแต่ชั้นสวะที่ทำทุกอย่างเพื่อเงินหรือนี่?

         "ท่านจอมยุทธ  ได้โปรดคืนเถ้ากระดูกบิดาข้าด้วยเถิด!"

         เด็กน้อยตกใจร่ำไห้คร่ำครวญขอสมบัติดั่งดวงใจคืน  แต่มีหรือที่มันจะยอม  เจ้าชุดขาวกระโจนขึ้นไปนั่งบนชั้นสองโรงเตี๊ยมที่นั่งเมื่อสักครู่ก่อนจะเปิดออกดูภายใน  น่าขันใช่ไหมของที่ทุกคนต่างแย่งชิงเมื่อสักครู่กลับเป็นแค่เศษฝุ่นสีเทาสกปรก  มันทั้งตกใจทั้งโกรธาจนไม่อาจบรรยายได้  ขว้างทั้งหม้อลงบนพื้นแตกกระจาย  แล้วร่างของวีรบุรุษเลือดรักชาติก็ปลิวหายไปกับสายลม

         "ไม่... โฮวว!"

         เด็กน้อยคุกเข่าลงร่ำไห้แทบสิ้นสติ  เจ้าชุดขาวเห็นดังนั้นก็กระโดดลงมายืนตรงหน้า  มันตบหน้าสาวน้อยเสียกระเด็นไปอีกทางก่อนจะกระชากคอของเด็กน้อยขึ้นมาด้วยความเดือดดาล

         "ไอ้เด็กบ้า  นี่แกเสียสติหอบหิ้วเอาเถ้ากระดูกเดินทางรอนแรมข้ามสองแคว้นจริงเหรอวะ  โง่เง่าแท้ ๆ นี่กลายเป็นว่าข้าลงมือเสียเปล่าเลยสิ"

         ในยุคแห่งความมืดมน  ผู้คนต่างใฝ่หาแสงสว่าง  ไม่ทันระวังว่าตนจะร่วงลงไปยังขุมนรกที่มืดมิดยิ่งกว่า  เมื่อความดีสูญเสีย  คนดีสูญสิ้น  แล้วโลกนี้จะเหลืออะไร?  เจ้าชุดขาวถ่มน้ำลายใส่หน้าเด็กน้อยก่อนจะเกร็งพลังหมายซัดให้กะโหลกป่นปี้ตายตกตามบิดา  ชั่วขณะนั้นเองมันสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายด้วยถ้อยคำได้  มันกระโดดถอยห่างออกมาสองสามช่วงก้าว  บรรยากาศอันน่าสะพรึงบางอย่างกำลังเข้าคุกคามจิตใจของมัน  เกาะกุมเข้าไปที่แก่นกลางใจ  เจ้าชุดขาวเหินไปอยู่เหนือยอดหลังคาโรงเตี๊ยม  กวาดสายตามองไปรอบทิศ

         "มะ ไม่น่าเชื่อ...!"

         จากบนนั้นเจ้าชุดขาวสังเกตความเปลี่ยนแปลงของเมืองด้วยสายตาประหวั่นพรั่นพรึง  กระบี่... กระบี่จำนวนมากมายมหาศาล  เงากระบี่ที่แฝงอยู่ในร่มไม้  ประกายกระบี่จากแผงลอยขายของ  กระบี่คมปลาบซ่อนเร้นใต้กระเบื้องหลังคา  หลบซ่อนอยู่ตามชายผ้าผู้คนที่สัญจรไปมา  ไม่ว่าจะมองไปทางไหน  คลื่นกระบี่มากล้นคณากำลังผสานผนึกรวมกันเป็นสายเดียว  พุ่งตรงเข้าหาเจ้าชายชุดขาวนั่นราวกับฝูงสัตว์ป่าอันบ้าคลั่ง!

         "อ๊ากกก!"

         เจ้าชุดขาวตกใจสุดชีวิต  มันพุ่งตัวเข้าไปในโรงเตี๊ยมพลันขับไล่ทุกคนให้ออกไป  ก่อนจะปิดประตูลงกลอนหน้าต่างทุกบนจนหมดสิ้น  ไม่มีใครทันสังเกตเห็นคลื่นสมุทรแห่งกระบี่ที่ถาโถมเข้ามาสู่โรงเตี๊ยมแห่งนี้แม้แต่ผู้เดียว  กระบี่เลี้อยเข้ามาทางช่องว่างใต้ประตู  ลอดผ่านช่องระบายลม  เชื่องช้าทว่าน่าสยดสยองราวกับอสรพิษที่พร้อมจะกลืนกินเหยื่อได้ทุกขณะ  พร้อมกันนั้นลำแสงนับแสนพุ่งเข้าโจมตีเจ้าชุดขาวนั่นอย่างไร้ปราณี  ครั้งแล้วครั้งเล่า  มันร้องเสียงหลงด้วยความเจ็บปวดสุดแสนพรรณา  กระทั่งทุกสิ่งจบสิ้นลง  เมื่อชาวบ้านลองเปิดประตูเข้าไปดูจึงเห็นสภาพอันน่าเวทนาของมัน  นอนแน่นิ่ง  ลมหายใจรวยริน  นอกจากชีวิตแล้ว  ทุกสิ่งทุกอย่างของมันที่เคยมีล้วนสลายหายไปสิ้นไม้เว้นแม้แต่สติสัมปชัญญะของตน...

    8.

    สานต่อกระบี่สู่อนาคต

         ที่นอกด่าน  เด็กน้อยกล่าวขอบคุณดรุณีที่อุตส่าห์มีน้ำใจมาส่งตนถึงนี่  เบื้องหน้าคือถนนสายยาวมุ่งตรงไปสู่แคว้นเหลียวบ้านเกิดของตน  เด็กน้อยมองมันด้วยสายตาเปลี่ยวเหงา  คงจะดีกว่านี้ถ้าได้กลับบ้านพร้อมกับพ่อ...

         "รักษาตัวด้วย"

         สาวน้อยกล่าวให้กำลังใจ  เด็กน้อยไม่ตอบว่าอะไรนอกจากก้มหน้าคำนับอีกครั้งเท่านั้น  นางเห็นเช่นนั้นก็ถอนหายใจออกมาก่อนจะเรียกให้เข้าไปใกล้ ๆ และกระซิบที่ข้างหูด้วยข้อความลับบางอย่าง  เด็กน้อยขมวดคิ้วด้วยไม่เข้าใจแต่นางยังกำชับว่าให้ท่องจำจนขึ้นใจและห้ามเผยแพร่แก่ผู้อื่นโดยเด็ดขาดจนกว่าจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่เสียก่อน  แล้วจึงบอกต่อแก่ผู้ที่มีคุณสมบัติคนต่อไป

         "ลาก่อน"

         สาวน้อยยืนมองอีกฝ่ายเดินจากไปจนลับตา  อาทิตย์คล้อยต่ำลงทุกที  อากาศรอบข้างก็เริ่มเย็นขึ้น  นางลอบส่งพลังปราณเบื้องต้นผ่านทางพื้นดินเพื่อรักษาตัวและกระซิบบอกเคล็ดสุดยอดวิชาให้ท่องจำ  เป็นการตอบแทนความมุ่งมั่นที่เดินทางผ่านสองแคว้นเพื่อพาบิดามุ่งสู่บ้านเกิด  เรื่องราวหลังจากนั้น  มีเพียงตัวของตัวเองเท่านั้นที่จะกำหนดได้  ผืนฟ้ากว้างใหญ่  ถนนทอดยาวไกล  นองออกเดินมุ่งตรงไป  ทอดทิ้งไว้แต่สมญาเจ้ายุทธภพไว้ยังเบื้องหลัง...




    ***  จบบริบูรณ์  ***
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×