ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รวมเรื่องสั้น ความทรงจำ รอยยิ้มและน้ำตา

    ลำดับตอนที่ #1 : เด็กสาวใต้ต้นซากุระ

    • อัปเดตล่าสุด 2 ต.ค. 61




    *** เป็นผลงานเรื่องสั้นที่ส่งเข้าประกวดในโครงการร้อยเรียงเพลงรักให้เป็นตัวอักษร ครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 5 ส.ค. 2553 โดยใช้นามแฝง BIGBALL (มายไอดีเก่า) ***


    ................................................................................................................................


    เด็กสาวใต้ต้นซากุระ


    ...บางครั้งคนเราก็ต้องการแค่ความกล้าเล็ก ๆ ที่จะก้าวผ่านขั้นบันไดไปสู่การเป็นผู้ใหญ่ให้ได้ในสักวันหนึ่ง...

         สภาพอันโคลงเคลงภายในรถด่วนไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการงีบหลับของผมแต่อย่างใด  ไม่ว่าจะเป้นเสียงพูดคุยกันเซ็งแซ่ของเด็ก ๆ ที่มาเที่ยวกับครอบครัวซึ่งดังมาจากที่นั่งทางด้านหลัง  หรือแม้แต่เสียงกรนสนั่นโลกของชายวัยเกษียณกินบำนาญในชุดนักตกปลาที่ด้านหน้านั่นก็ด้วย  แต่ถ้าจะมีอะไรมารบกวนความสุขเล็ก ๆ ในขณะนี้ได้ล่ะก็  นั่นคงจะเป็นห่อผ้าเล็ก ๆ สีม่วงที่ผมบรรจงวางลงบนตักตั้งแต่เริ่มออกขบวนมานั่นล่ะ

    กึง... กึง... กึง...

         ล้อรถไฟยังคงหมุนต่อไป  ผมปล่อยให้ร่างกายขยับขึ้นลงไปมาเป็นจังหวะตามการเคลื่อนไหวของมันโดยไม่สนใจที่จะลืมตามองมิวทัศน์รอบข้าง  ถ้าเป็นไปได้ผมเองก็ไม่ได้อยากจะกลับมาที่นี่ในลักษณะเช่นนี้เลยจริง ๆ

    สถานีต่อไปคุโรอิซาวะ... คุโรอิซาวะ...

         มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ใกล้จะถึงจุดหมายแล้ว  ผมรีบหิ้วสัมภาระซึ่งมีทั้งย่ามใส่ของ  เป้สะพายข้างสีขาวใบใหญ่และแน่นอนว่าต้องไม่ลืมห่อผ้าของสำคัญด้วยความกระวีกระวาด  เดินสะเปะสะปะชนนู่นนี่มายืนรออยู่ที่ประตูทางออก  หลังจากที่ล้อหยุดสนิทแล้วประตูอัตโนมัติก็เลื่อนเปิดออกช้า ๆ  ผมยืดตัวสูดอากาศที่ภายนอกอย่างหิวกระหาย  อากาศอันบริสุทธิ์ของบ้านเกิด

         "โย่ว...!"  ใครบางคนร้องทักขึ้น

         เมื่อเหลียวไปมองก็พบกับ จูมนจิ อากิระ เพื่อนสนิทที่ไม่ได้พบหน้ากันเป็นเวลานานนั่นเอง  แม้ว่าผมจะออกจากที่นี่ไปอาศัยอยู่ที่ตัวเมืองหลวงได้หลายปีแล้วแต่ก็ยังมีการติดต่อกันทางโทรศัพท์อยู่เสมอ  ดังนั้นเจ้าจูมนจิจึงรับอาสาเป็นผู้มารับตัวผมถึงหน้าสถานีด้วยตนเอง

         "ไงจูมนจิ  ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ"  ผมทักกลับด้วยรอยยิ้ม

         "ฮะ ๆ ไม่ได้เจอกันนานจริง ๆ ด้วย  นี่สูงขึ้นเยอะเลยนี่หว่า?"

         เจ้าเพื่อนรักเอื้อมมือมาทำท่าวัดความสูงกับผม  ส่วนสูงของเราตอนนี้แทบจะเท่ากันโดยที่ผมเป็นฝ่ายสูงกว่านิดหน่อย  ก็นับว่าไม่เลวเท่าไหร่สำหรับคนที่เคยถูกตั้งฉายาว่าเจ้าเตี้ยจอมขี้แย  ผมคิดในใจ

         เมื่อออกมาจากสถานีแล้วพวกเราก็เดินไปตามทางเดินเลียบลำธารไปพลางคุยสัพเพเหระถึงเหตุการณ์ต่าง ๆ ในช่วงสิบปีที่ผ่านมาของที่นี่  ดูเหมือนว่าคุโรอิซาวะนี้แทบจะไม่เปลี่ยนไปเลย  ทั้งถนนหนทางตลอดจนบ้านเรือน  ร้านค้าและผู้คน  ทุกสิ่งทุกอย่างช่างคุ้นตาผมเสียเหลือเกินจนเผลอกอดห่อผ้าสีม่วงในวงแขนไว้แน่น

    พี่ครับ... กลับมาถึงบ้านแล้วนะครับ...

    ที่สุดทางเดินเลียบลำธารเป็นเนินอันลาดชันขึ้นสู่พื้นที่ซึ่งสูงกว่าทำให้ทั้งผมและจูมนจิต้องออกแรงหิ้วสัมภาระเดินขึ้นไปจนสุดทางเนิน  แต่ผลตอบแทนของความพยายามนั้นก็ช่างล้ำค่ายิ่งนัก  เพราะจากบนนี้เราสามารถมองเห็นภูมิทัศน์ทั้งหมดของเมืองได้โดยถ้วนทั่ว  ลำธารเล็ก ๆ ที่เราเดินขนาบมาเมื่อสักครู่ไหลคดเคี้ยวไปตามสภาพของผังเมืองและยังแตกแขนงออกเป็นเส้นทางน้ำยิบย่อยมากมาย  แล้วยังสะพานไม้สีแดงเข้มเหนือธารเหล่านั้นที่ชาวเมืองสร้างขึ้นเพื่อความสะดวกในการสัญจรจนกลายเป้นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของเมืองไปโดยปริยาย  กลุ่มบ้านไม้สองชั้นที่ปลูกติดกันเป็นระแวกเดียว  สนามเด็กเล่นที่เต็มไปด้วยเด็ก ๆ ซึ่งกำลังวิ่งเล่นไล่จับกันอย่างสนุกสนาน  ผมไล่สายตามองดูทิวทัศน์อย่างเพลิดเพลินใจ  แต่ลึกลงไปข้างในจิตใจนั้นกลับรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยวเหงา  ความว้าเหว่และหดหู่ของบางสิ่งกำลังร้องเรียกออกมาจากในส่วนลึกนั่น  บางสิ่งที่ผมหลงลืมไปนาน  และมันก็กำลังจะกลับมาเเตือนความทรงจำของผมในไม่ช้านี้...

         "เฮ้... นั่นมัน!"

         ที่อยู่ตรงหน้าของผมในขณะนี้คือต้นซากุระขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมา  กิ่งก้านของมันแผ่ขยายไปทั่วบริเวณ  ถ้าเป็นในยามใบไม้ผลิมันคงจะเต็มไปด้วยดอกสีชมพูสวยสดและก็คงจะเป็นจุดชมซากุระที่ยอดเยี่ยมที่สุด  แต่น่าเสียดายว่าในฤดูกนาวเช่นนี้มีเพียงผ้ากระสอบที่ใช้พันโอบลำต้นเอาไว้เพื่อไม่ให้ซากุระหนาวตายเท่านั้นเอง

         "อ้อ... ก็ต้นซากุระไง  อยู่ที่เมืองหลวงไม่เคยเห็นรึไง?"  เจ้าจูมนจิพูดแกมประชด

         "เฮ้ยไม่ใช่ยังงั้น  ดูตรงนั้นสิ!"

         ผมชี้ให้เพื่อนมองไปที่เด็กสาวผมยาวในชุดกระโปรงยาวสีขาวคนหนึ่งซึ่งกำลังยืนอยู่ที่ใต้ต้นซากุระนั่น  มันช่างเป็นภาพที่ดูแปลกตาเหลือเกิน  ทั้ง ๆ ที่เวลานี้เป็นช่วงกลางเดือนหนึ่ง (มกราคม) อันหนาวเย็นแบบนี้  แต่เธอกลับสวมชุดที่ไม่ว่าดูยังไงก็น่าจะเหมาะกับฤดูร้อนในเดือนแปด (สิงหาคม) มากกว่า  ผมรู้สึกได้ถึงความผิดปกติบางอย่างและพยายามเดินเข้าไปหาสาวน้อยคนนั้น  ทว่าจู่ ๆ ก็เกิดอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรงจนลืมลงหมดสติไปในที่สุด   


    @@@@@@@@@@@@


         "ฮะ ๆ ส่งบอลมาทางนี้เร็ว!"

         ผมวิ่งแซงกองหลังขึ้นไปรับลูกฟุตบอลจากพี่ ซาดาเมะ  ผู้เล่นฝ่ายตรงข้ามก็รีบเร่งฝีเท้าวิ่งขึ้นมาหมายจะตัดบอลไปจากเท้า  แต่ด้วยความว่องไวผมพลิกตัวหลบและซัดลูกให้เข้าไปนอนในตาข่ายได้อย่างง่ายดาย  เทคนิคระดับนี้ไม่ใช่ง่ายเลยสำหรับเด็กสิบเอ็ดขวบอย่างผม  ซึ่งใคร ๆ ต่างก็ชมว่ามันคือพรสวรรค์และทำให้ผมรู้สึกภูมิใจที่สามารถทำในสิ่งที่เด็กวัยเดียวกันทำไม่ได้...

         "เอาอีกแล้วนะเจ้าบ้านี่! วันหลังไม่ต้องมาเล่นกันอีกเลยนะ!"

         จู่ ๆ เด็กผู้หญิงซึ่งเล่นอยู่ฝ่ายตรงข้ามก็เกิดวีนแตกขึ้นมา  เธอเดินมาผลักอย่างแรงจนผมล้มลงไปกองกับพื้น  จนจูมนจิต้องรีบเข้ามาช่วยพยุงผมลุกขึ้นยืน  ส่วนพี่ซาดาเมะก็เดินเข้าไปเอาเรื่องกับเด็กคนนั้นในทันที

         "ไอ้บ้านี่  ฝั่งตัวเองเล่นห่วยเองแล้วจะมาโทษคนอื่นได้ไงวะ!"  พี่ชายตะคอกใส่

         "อะไร? อ้อนี่คิดจะมาเล่นบทพี่ชายที่คอยปกป้องน้องผู้อ่อนแออีกแล้วเหรอ!"

         ทั้งคู่ต่างก็โต้เถียงกันไปมาอย่างไม่ยอมลดราวาศอก  สุดท้ายก็จบลงโดยที่ใครบางคนไปตามตัวอาจารย์มาทำหน้าที่ห้ามปราม  เวลาที่ผมมาเล่นฟุตบอลหลังเลิกเรียนกับเพื่อน ๆ และพี่ซาดาเมะมักจะเป็นเช่นนี้เสมอ  โดยเฉพาะเธอคนนั้นดูจะรังเกียจผมแบบออกหน้าออกตาเป้นพิเศษ  ผมเดินเข้าไปหาเธอพยายามที่จะพูดอะไรบางอย่าง  แต่น่าแปลกที่ไม่ว่าผมจะพยายามนึกเท่าไหร่ก็นึกชื่อของเด็กผู้หญิงคนนั้นไม่ออก...


         ผมสะดุ้งพรวดขึ้นสุดตัว  เหงื่อกาฬผุดขึ้นประปรายตามหน้าผกาและแขนขา  อาการปวดศีรษะอย่างรุนแรงย้อนกลับมาอีกครั้งจนผมต้องใช้ทั้งสองมือกุมเอาไว้  เมื่อค่อยยังชั่วขึ้นแล้วจึงเริ่มสอดส่ายสายตาไปรอบ ๆ เพื่อที่จะพบว่ากำลังนอนอยู่บนฟูกที่นอนในบ้านของตัวเอง  ที่ใกล้ ๆ มีขันและอ่างล้างหน้าใบเล็กพร้อมผ้าขนหนูสีขาววางทิ้งเอาไว้  สัมภาระต่าง ๆ ที่ผมนำมาด้วยถูกวางกองไว้ที่มุมห้อง

         "อ้าวฟื้นแล้วรึ  เฮ้อ... แกนี่นะทำเอาทุกคนเป็นห่วงกันแทบแย่เลยนะเฟ้ย!"

         จูมนจิเปิดประตูเข้ามาในห้องพร้อมกับผู้หญิงในวัยกลางคนซึ่งผมจำได้ว่าเธอคือ อิซึมิ มาริ แม่บ้านที่คอยดูแลบ้านหลังนี้เรื่อยมาแม้ว่าทุกวันนี้ผมจะไม่ได้อาศัยอยู่ที่นี่แล้วก็ตาม

         "ฟื้นแล้วเหรอคะคุณหนู  อิฉันกังวลใจแทบแย่แน่ะค่ะ!"

         คุณอิซึมิโผตัวเข้ามากอดผมที่ยังคงนั่งอยู่บนฟูกที่นอน  ส่วนเจ้าจูมนจิก็แตะที่หัวไหล่เบา ๆ ก่อนจะบอกว่า

         "นายสลบไปหนึ่งวันเต็มเลยนะรู้ตัวรึเปล่า  นี่ฉันกับคุณอิซึมิกำลังปรึกษากันอยู่เลยว่าจะเรียกรถพยาบาลมารับตัวนายไปโรงพยาบาลกลางดีไหมน่ะ"

         ทั้งสองโล่งอกที่เห็นผมยังดูแข็งแรงดีอยู่  แม่บ้านอิซึมิจึงขอตัวกลับไปทำอาหารต่อในครัวที่อยู่ชั้นล่าง  จูมนจิเองก็ยังคงอยู่รอทานข้าวเย็นด้วยกันตามคำเชิญของผม  เมื่อจัดข้าวของทั้งหมดเรียบร้อยแล้วผมก็ลงบันไดมาชั้นล่าง  กลิ่นอาหารอันหอมกรุ่นลอยมาแตะจมูกจากในห้องครัว  ดูเหมือนว่าสำรับจะถูกจัดเตรียมไว้พร้อมสรรพแล้ว  แต่ก่อนหน้านั้นตัวผมยังมีบางสิ่งที่ต้องกระทำให้เรียบร้อยก่อน

         หิ้งประดับสีดำซึ่งทำด้วยไม้อย่างประนีตที่ห้องนั่งเล่นเป็นที่ใช้เก็บรักษาป้ายวิญญาณและเถ้ากระดูกของพ่อแม่ผมเอง  และการกลับบ้านมาหนนี้ก็มีป้ายวิญญาณและเถ้ากระดูกเพิ่มขึ้นอีกหนึ่ง  ผมบรรจงวางเถ้ากระดูกที่อยู่ในห่อผ้าสีม่วงซึ่งนำติดตัวมาจากเมืองหลวงไว้ข้าง ๆ พวกท่าน  เถ้ากระดูกของพี่ซาดาเมะ...  ผมจุดธูปบูชาแล้วนำไปปักในกระถางธูป  กลิ่นหอมของมันมีผลช่วยให้จิตใจสงบเยือกเย็นลง  เมื่อหลับตาภาพเก่า ๆ ย้อนกลับมาอีกครั้ง  ผมจากบ้านนี้ไปตั้งแต่เมื่อสิบปีที่แล้วเพื่อไปเรียนต่อยังเมืองหลวงกับพี่ชาย  หลังจากนั้นสองปีพ่อและแม่ก็เสียชีวิตลงที่บ้านหลังนี้ด้วยโรคร้าย  พี่ซาดาเมะเองก็ประสบอุบัติเหตุทางจราจรจนต้องจบชีวิตลงเมื่อช่วงปลายปีที่แล้ว  จึงเป็นหน้าที่ของผมซึ่งเหลือเป็นคนสุดท้ายของครอบครัวที่จะพาพี่ชายกลับมาพักผ่อนยังบ้านเกิดของตัวเอง  ตลอดไป

         อาหารเย็นวันนี้ดำเนินไปอย่างเงียบเชียบ  ที่จริงผมหวังไว้ว่ามันน่าจะสนุกกว่านี้แต่เมื่อลองคิดถึงเหตุผลที่กลับบ้านเกิดในคราวนี้แล้วก็ทำให้ทุกคนต่างก็พูดอะไรไม่ออก  รสมือของคุณอิซึมิยังคงอร่อยเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนไปเลย  เมื่อสองปีที่แล้วลุงของผมคิดที่จะขายบ้านหลังนี้ซึ่งพี่ซาดาเมะก็ขอร้องไว้เพราะตอนที่พ่อและแม่ยังมีชีวิตอยู่นั้นพวกท่านรักบ้านหลังนี้มาก  ลุงเองก็รู้สึกเห็นใจและยอมว่าจ้างให้แม่บ้านอยู่ดูแลบ้านหลังนี้ต่อไปถึงแม้ว่าจะไม่มีใครอาศัยอยู่แล้วก็ตาม

         "แล้วนี่นายคิดจะอยู่ที่นี่ไปถึงเมื่อไหร่ล่ะ  ช่วงนี้ก็ยังปิดเทอมอยู่ใช่ไหม"  จูมนจิถามขณะป้อนอาหารเข้าปาก

         "นั่นสินะ... ก็คงสักสองวันได้ละมั้ง?"  ผมตอบห้วน ๆ

         "อะไรกันน่ะ! อุตส่าห์กลับมาทั้งทีก็อยู่ให้นาน ๆ กว่านี้หน่อยสิ  ถึงสิบปีที่ผ่านมาที่นี่จะไม่ค่อยเปลี่ยนไปเท่าไหร่ก็เถอะ  แต่ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว  ไปเดินเล่นรำลึกความหลังมันก็ไม่เลวนักใช่ไหมล่ะ"

         เจ้าจูมนจิพยายามตื้อให้ผมอยู่ต่อ  ซึ่งอันที่จริงก็อยากจะตอบรับน้ำใจมันอยู่เหมือนกันแต่ตัวผมเองก็ยังมีการฝึกซ้อมเพื่อลงแข่งฟุตบอลระดับมหาวิทยาลัยรอคอยอยู่  อีกทั้งผมรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูกตั้งแต่ที่ได้กลับมาที่นี่  ทั้งเรื่องความตายของพี่ชาย  แล้วยังเด็กสาวใต้ต้นซากุระนั่นอีก... จริงสิ! เด็กสาวคนนั้นเธอเป็นใครกันนะ?

         "เฮ้ จูมนจิ  นายจำเด็กผู้หญิงที่ฉันชี้ให้นายดูได้ไหม?"  ผมถาม

         "เด็กผู้หญิง? เด็กผู้หญิงที่ไหนกัน"

         จูมนจิทำหน้างง ๆ พร้อมทั้งขมวดคิ้วเข้าหากัน  ผมเลยอธิบายให้ฟังถึงเด็กผู้หญิงที่ผมเห็นยืนอยู่ใต้ต้นซากุระก่อนที่ตัวเองจะเป็นลมสลบไป  ครั้นได้ฟังดังนั้นเจ้านั่นยิ่งตีหน้าเครียดเข้าไปใหญ่

         "ฉันไม่เห็นมีเด็กผู้หญิงที่ไหนเลยนะ  ตอนนั้นที่นั่นก็มีแค่ฉันกับนายสองคนเท่านั้นนะเฮ้ย!"

         ทีแรกผมรู้สึกหัวเสียที่โดนอำเล่นเอาแบบนั้น  แต่เมื่อได้เห็นท่าทีอันจริงจังของเพื่อนสนิทแล้วก็รู้สึกถึงบางสิ่งที่ผิดปกติขึ้นมาอีกครั้ง  ก่อนที่จะหมดสติไปนั้นผมจำได้อย่างแม่นยำว่าเธอยืนอยู่ตรงนั้นแน่ ๆ และด้วยความสงสัยบางอย่างผมจึงคิดที่จะเดินเข้าไปใกล้แต่ก็ล้มลงเสียก่อน  นี่มันเรื่องอะไรกันแน่นะ... ผมนอนกระสับกระส่ายก่ายหน้าผากอยู่ในฟูกที่นอนเพียงลำพัง  บรรยากาศยามค่ำคืนของที่นี่ทำให้ผมขนลุก  สาวน้อยที่มีผมเห็นแค่คนเดียวงั้นรึ?  บ้าชัด ๆ ผมพยายามสลัดความคิดฟุ้งซ่านต่าง ๆ ออกไปและข่มตาหลับลงให้จงได้...


    @@@@@@@@@@@@


         สายลมหอบเอาน้ำฝนยามค่ำคืนสาดซัดเข้าใส่ใบหน้าของผมอย่างไม่หยุดยั้ง  มือทั้งสองข้างจับกำท่อนไม้เรียวยาวไว้แน่นและพยายามใช้มันขุดหลุมที่พื้นดินตรงหน้าอย่างเอาเป็นเอาตาย  ข้าง ๆ ตัวผมนั้นคือพี่ซาดาเมะที่กำลังกระทำในสิ่งเดียวกันกับผม  พวกเราขุดลากเอาดินจำนวนมากขึ้นมากองไว้ด้านบนอย่างไม่ย่อท้อต่อความเหน็ดเหนื่อยและสายฝน  จนในที่สุดก็ขุดหลุมลึกประมาณสองเมตรครึ่งได้สำเร็จ  ผมหยุดมองดูมันพร้อมทั้งหอบหายใจด้วยความอ่อนล้า

         "เอ้าเร็ว ๆ เข้าสิ!  มาช่วยกันหน่อย  จะได้จบ ๆ ไปเสียที!"  พี่ซาดาเมะตะโกนเร่ง

         แม้จะเหนื่อยจนแทบขาดใจแต่ผมก็ยังกัดฟันช่วยพี่อย่างสุดความสามารถ  ในค่ำคืนอันเลวร้ายนั้นมีอะไรบางอย่างถูกกลบฝังเอาไว้ที่นั่น  อะไรบางอย่างที่ทำให้ผมรู้สึกเสียใจและอยากจะลืมมันมากที่สุด

    ที่ใต้ต้นซากุระใหญ่นั่น...


         ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาในตอนเช้าอีกครั้งพร้อมกับความรู้สึกเสียวแปลบที่แล่นเข้าสู่ใจกลางอก  เม็ดเหงื่อผุดขึ้นประปรายตามหน้าผาก  ผมนอนแหงนหน้ามองฝ้าเพดานห้องอย่างเลื่อนลอย  อาการปวดศีรษะมันตามมาหลอกหลอนอีกคราและดูเหมือนว่าจะหนักหนากว่าเดิมเสียด้วย  ผมพยายามเค้นสมองทบทวนความฝันที่ได้เห็นเมื่อคืนว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ในคืนวันพายุฝนกระหน่ำนั่น  เท่าที่พอจะนึกออกก็มีเพียงแค่วันนั้นผมแอบออกไปข้างนอกยามวิกาลกับพี่ซาดาเมะเพื่อทำอะไรบางอย่าง  และอีกหนึ่งสัปดาห์ให้หลังผมกับพี่ก็ย้ายไปอยู่ที่เมืองหลวงโดยไม่ได้กลับมาที่นี่อีกเลยนานถึงสิบปี...  เพราะอะไรกันนะ?

         "คุณหนูคะ  อาหารเช้าเสร็จแล้วนะคะ"

         เสียงแม่บ้านเคาะประตูช่วยเรียกสติผมกลับมาจากห้วงภวังค์  หลังจากที่ล้างหน้าแปรงฟันเสร็จเรียบร้อยผมก็ลงไปทานอาหารเช้าที่คุณอิซึมิจัดเตรียมไว้ให้  ผมลองสอบถามเรื่องราวเกี่ยวกับต้นซากุระนั่นดูจากเธอจึงได้รู้ว่ามันเป็นต้นซากุระที่ท่านผู้ว่าประจำจังหวัดอุตส่าห์ลงทุนไปขอมาจากจังหวัดข้างเคียงเพื่อสร้างจุดชมวิวอันสวยงามให้แก่เมืองนี้  ซึ่งมันจะออกดอกงามสะพรั่งทุกครั้งเมื่อถึงฤดูกาลแห่งดอกไม้ที่จะผลิบานให้เหล่าผู้คนได้ชื่นชม

         เมื่อทานอาหารเช้าเรียบร้อยแล้วผมก็กลับมายังถนนเลียบลำธารซึ่งนำไปสู่เนินอันเป็นแหล่งแห่งที่ตั้งของต้นซากุระใหญ่นั่นอีกครั้ง  ผมลากขาหนัก ๆ ทั้งสองข้างเดินไปตามทาง  ยิ่งเข้าใกล้มันมากเท่าใด  ความรู้สึกคลื่นเหียนเวียนศีรษะก็ค่อย ๆ ทวีความรุนแรงมากขึ้นตามลำดับ  วันนี้ต้องรู้ให้ได้ว่าต้นซากุระนี้เก็บซ่อนความทรงจำอะไรของผมเอาไว้กันแน่

         "แฮ่ก... แฮ่ก..."

         มาได้แค่ครึ่งทางของเนินเท่านั้นร่างกายของผมก็ออกอาการว่าจะไปต่อไม่ไหวเสียแล้ว  กระนั้นก็ยังฝืนกัดฟันสู้ทนเดินต่อ  เด็กผู้หญิงที่ผมเห็นเมื่อวานกับต้นซากุระมีความเกี่ยวข้องกับตัวผมยังไงกันแน่  แม้ว่าภายในจิตใจของผมจะพยายามปิดบังมันสักเท่าใด  แต่มีเพียงเรื่องนี้เท่านั้นที่จะต้องรู้ให้ได้  ในหัวของผมคิดวนเวียนอยู่แค่เรื่อง ๆ เดียวนี้จนกระทั่งเท้าสะดุดล้มลงไปกองกับพื้นจนได้  บังเอิญกับที่มีคนเดินผ่านมาแถวนั้นพอดี

         "เฮ้ย เป็นอะไรไปน่ะพ่อหนุ่ม... หืมม?"

         ชายคนนั้นเดินเข้ามาใกล้ผม  ใกล้จนพอที่จะได้กลิ่นเหม็นสาบโชยหึ่งออกมา  ชายวัยกลางคนผมเผ้าหนวดเครารุงรังแต่งตัวแสนสกปรกมอมแมม  ที่หลังของเขามีข้าวของแบกไว้เต็มหลังจนเดินตัวงอกำลังเอาไม้เขี่ย ๆ ตัวผมที่ล้มอยู่อย่างหยาบคาย  เมื่อหันไปมองก็รู้สึกคุ้น ๆ คับคล้ายคับคลาราวกับว่าเคยเห็นใบหน้านี้ที่ไหนมาก่อนกันนะ?

         "เฮ้... ไอ้หนุ่ม! ข้าถามเอ็งอยู่นะ"

         ชายคนนั้นเอียงคอถาม  ลมหายใจที่ปล่อยออกมาเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเหม็นตลบอบอวลจนผมทนแทบไม่ไหวต้องกลั้นหายใจเอาไว้  ก่อนจะโบกมือเป็นเชิงว่าตัวเองไม่เป็นอะไร  จะไปไหนก็ไปซะให้พ้น ๆ ได้ไหม...

         "นี่ลุง! อยู่ให้ห่าง ๆ เพื่อนผมเลยนะ  อย่าให้เรื่องต้องถึงตำรวจนะเฮ้ย!"

         เคราะห์ดีที่จูมนจิเข้ามาช่วยไว้ได้ทันพอดี  เขาจัดการไล่ตะเพิดตาแก่สกปรกนั่นไปให้พ้นทางก่อนที่จะช่วยพยุงให้ผมลุกขึ้นยืน  ผมถอนหายใจยาวหนึ่งครั้งก่อนจะกล่าวขอบใจเพื่อนรัก

         "จริง ๆ เลยนะ  ไอ้ตาแก่ทานาเบะนั่น! เนื้อตัวก็สกปรกโสโครกแล้วยังชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านเขาอีก"

         เจ้าจูมนจิยังเคืองชายจรจัดคนนั้นไม่หาย  เมื่อเช้านี้เขาแวะไปที่บ้านจึงได้รู้จากแม่บ้านว่าผมออกมาข้างนอกและออกตามหาจนมาเจอกันที่นี่  และแม้ว่าผมจะคะยั้นคะยอให้ช่วยพาไปที่บนเนินซากุระนั่นแต่ก็ได้รับการปฎิเสธเพราะสีหน้าผมดูไม่ดีเลย  จูมนจิจึงจัดการลากผมกลับมาที่บ้านอย่างไม่เต็มใจเท่าไรนัก

         "จะไปทำไมที่นั่นน่ะ  ยังไม่ถึงหน้าซากุระสักหน่อย  เดี๋ยวก็ไปเจอกับตาแก่นั่นอีกหรอก เฮ้อ... ให้ตายสิ  เจ้าบ้านั่นก็นะ... เพี้ยนทั้งพ่อทั้งลูกสาวเลย!"

         ทั้งพ่อทั้งลูกสาว!  ในหัวของผมราวกับมีสายฟ้าฟาดเข้ามาสายหนึ่งอย่างเต็มแรง  อา... ผมรู้สึกได้ถึงกระแสไฟฟ้าที่วิ่งพล่านไปทั่วสมอง  มันวิ่งทะลุทะลวงกำแพงแห่งความทรงจำให้พังครืนลงมาได้ส่วนหนึ่ง  นำมาซึ่งเศษจิ๊กซอว์จำนวนหนึ่งจากปริศนาในความทรงจำของผม  คุณทานาเบะที่อยู่บ้านหัวมุมซอยสอง  เขามีลูกสาวอยู่คนหนึ่ง  ผมจำได้แล้ว  และรีบยืนยันเรื่องนี้กับจูมนจิในทันที

         "ตาแก่ทานาเบะนั่นน่ะเหรอ เชอะ... มันมีลูกสาวจริงน่ะแหละ  แต่ก็หนีออกจากบ้านไปตั้งสิบปีได้แล้วมั้ง  ก็ดูพ่อมันสิ  วัน ๆ ไม่ทำงานเอาแต่เก็บสะสมขยะจนล้นบ้านแบบนั้นแล้วใครจะไปอยู่ด้วยได้ล่ะ"

         ใช่แล้ว... ใช่จริง ๆ ด้วย  เมื่อได้ยินดังนั้นผมก็พุ่งออกจากบ้านไปในทันที  จุดหมายก็คือบ้านของตาแก่คนนั้นที่หัวมุมซอยสอง  โชคดีที่ถนนหนทางของเมืองไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก  ทำให้ผมไม่ต้องเสียเวลารื้อฟื้นความทรงจำ  แป๊บเดียวก็มาหยุดยืนอยู่ที่หน้าบ้านของเขาอย่างง่ายดาย  เป็นอย่างที่จูมนจิพูดจริง ๆ ทั้งตัวบ้านและบริเวณรอบ ๆ เต็มไปด้วยขยะมากมายหลายประเภท  ไล่ไปตั้งแต่เครื่องใช้ไฟฟ้าแทบทุกชนิด  เก้าอี้  ตู้และโต๊ะจำนวนมากที่วางซ้อนกันจนสูงท่วมหัว  แล้วยังมีหนังสือในลังกระดาษที่วางกองระเกะระกะไปทั่วทางเดิน  แค่เห็นบริเวณหน้าบ้านแบบนี้ก็คงไม่มีใครคิดที่จะเข้าไปข้างในแล้ว  แต่ไม่ใช่กับตัวผมในตอนนี้

         "ขอโทษนะครับ  มีใครอยู่ไหมครับ!"  ผมลุยกองขยะเข้าไปทุบประตูทางเข้าเพราะไม่มีกริ่งที่หน้าบ้าน

         รอสักพักแล้วก็ยังไม่มีใครออกมา  คงจะไม่มีใครอยู่กระมัง  ในขณะที่ผมหันหลังกลับอย่างผิดหวังก็พบเข้ากับชายวัยกลางคนพร้อมทั้งขยะเต็มหลังที่เพิ่งกลับมาพอดี...


    @@@@@@@@@@@@


         "ข้าวของเกะกะหน่อยนะ  เดินระวัง ๆ อย่าไปทำอะไรแตกหักเสียหายเข้าล่ะ"  เขาเตือน
        
         ผมเดินตามเขาเข้าไปในตัวบ้านอย่างลำบากลำบน  ถ้าคิดว่าทางเดินด้านนอกเดินยากแล้วล่ะก็  ด้านในนี้ยิ่งเดินยากหนักกว่าเสียอีก... แปลกดีมีการเตือนไม่ให้เหยียบโดนขยะเสียหายซะด้วย  ก็ของพวกนี้น่ะเพราะทุกคนเขาไม่ต้องการจึงได้โยนทิ้งไม่ใช่รึไง  แล้วใยต้องกลัวมันจะเสียของอีก?  เมื่อลุยผ่านกองขยะจนเข้ามาถึงส่วนที่ผมอนุมานว่ามันน่าจะเป็นห้องนั่งเล่น  ตาแก่ทานาเบะก็หายเข้าไปในกองขยะทางด้านหลังบ้าน  สักพักก็ออกมาพร้อมกับกระติกเก่าสีซีดจางสองใบ  จมูกของผมได้กลิ่นใบชาลอยมาจากในนั้น

         "เอ้าลองดื่มนี่ดูสิ  ข้าลงมือปรุงเองกับมือเลยนะ"  เขายื่นกระติกให้

         ผมทำหน้าเหยเกเล็กน้อย  บอกตามตรงว่าแค่เจอภูเขาขยะนี่ก็ทำเอาแทบลมจับแล้ว  แต่ถ้าไม่ดื่มก็คงเป็นการเสียมารยาท  ผมจึงยอมหลับตากลั้นใจดื่มดู  ปรากฏว่ารสชาติไม่เลวเลยผิดกับที่คาดเอาไว้มาก  ความหอมของใบชาและความอบอุ่นแทรกซึมเข้าสู่ร่างกายของผมราวกับหมอกควันจาง ๆ  ช่วยคลายความหนาวจากด้านนอกได้มากทีเดียว

         "เป็นไงอร่อยใช่ไหมล่ะ  นี่ใบชาชั้นยอดที่ข้าไปคุ้ยได้จากกองขยะของบ้านเศรษฐีที่ซอยหนึ่งเชียวนะ"

         ได้ยินดังนั้นผมก็ถึงกับสำลักพรวดออกมาในทันที  ใบชานี่มาจากกองขยะงั้นรึ  ตาแก่เห็นดังนั้นก็หัวเราะชอบใจก่อนจะตบไหล่เบา ๆ แล้วจึงบอกว่า

         "ว่างใจได้หน้าไอ้หนุ่ม  ตอนที่ข้าเก็บมามันยังไม่ทันได้เปิดซองเลย  คนเรามันก็แบบนี้แหละ  ชอบตัดสินทุกสิ่งเอาจากสภาพแวดล้อม  พอบอกว่ามันคือขยะก็พากันรังเกียจ  โดยที่ไม่คิดจะสำรวจดูข้างในของมันเลยสักนิด..."

         ผมส่งสายตาไปสำรวจรอบห้อง  อ้อ... งั้นขยะที่ชายคนนี้รวบรวมมาทั้งหมดนี่ก็เพราะมันไม่ใช่ขยะ  มันยังมีค่าในตัวของมันเองเพียงแต่คนอื่น ๆ มองไม่เห็นสินะ  ไร้สาระสิ้นดี  ผมมองว่ามันเป็นแค่ข้ออ้างสำหรับคนที่ไม่มีปัญญาหาของดี ๆ มาใช้เสียมากกว่า  เลยต้องไปเก็บตกของเหลือจากชาวบ้านแบบนี้

         "ว่าแต่... แล้วเอ็งมาหาข้านี่มีเรื่องอะไรรึ  นานเท่าไหร่แล้วนะที่ไม่มีคนมาหาข้าแบบนี้"

         ในที่สุดก็ได้เข้าประเด็นเสียที  ผมแนะนำตัวเองและถามถึงเรื่องลูกสาวของเขาโดยบอกว่าเป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่สมัยเด็ก ๆ ก่อนจะย้ายออกจากเมืองนี้ไปถึงสิบปี

         "อ้อ... เป็นเพื่อนของ ฮารุนะ เองเหรอ มิน่าล่ะ ยังว่าทำไมข้าถึงคุ้น ๆ หน้าเอ็งอยู่"

         เขาเดินไปหยิบกรอบรูปเล็ก ๆ อันหนึ่งมาจากชั้นวางของ  เมื่อลองสังเกตดี ๆ กรอบรูปนั่นแลดูสะอาดสะอ้านกว่าข้างของอื่น ๆ บนชั้นมาก  ทานาเบะยื่นมันให้ผมดู  ในรูปเป็นเด็กผู้หญิงอายุราวสิบสองขวบ  ผมสีดำขลับยาวสยาย  ไม่ผิดแน่... ฮารุนะคือคน ๆ เดียวกับหญิงสาวที่ผมเห็นใต้ต้นซากุระนั่นอย่างแน่นอน

         "ใคร ๆ ก็บอกว่าเจ้านั่นหนีออกจากบ้านไป  ข้าไม่เข้าใจ... ทำไมเด็กดี ๆ อย่างฮารุนะถึงต้องหนีออกจากบ้านกันนะ  เขาไม่รักพ่อคนนี้แล้วรึยังไง"

         คนเป็นพ่อพูดด้วยสายตาอันเปี่ยมไปด้วยความเศร้าโศก  สิบปีที่ผ่านมานี้คงจะทุกข์ทรมานมากสำหรับเขา  ถ้าฮารุนะหนีออกจากบ้านจริงแล้วเรื่องนี้มันมีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับผม  แล้วในคืนวันนั้นผมช่วยพี่ชายฝังอะไรเอาไว้ที่ใต้ต้นซากุระนั่นกันแน่  ผมจำเป็นต้องหาข้อมูลให้ได้มากกว่านี้

         "ฮารุนะเขาเป็นคนยังไงครับลุงทานาเบะ"  ผมแกล้งถาม

         "เธอเป็นเด็กนิสัยดี  น่ารักมากเลยล่ะ  ชอบมานวดไหล่นวดเอวแล้วก็อ้อนพ่ออยู่เสมอ  เพียงแต่แกน่ะเป็นเด็กที่ปากไม่ตรงกับใจ  ชอบก็บอกไม่ชอบ  อยากกินก็บอกไม่อยากกิน  เลยทำให้เด็กคนอื่น ๆ ไม่ค่อยชอบขี้หน้าน่ะ"

         เขาลุกไปหยิบอัลบั้มภาพจากชั้นวางของอันเดิมมาให้ดูอีก  ชวนให้ผมสงสัยจริง ๆ ว่าเขาจำได้ยังไงว่าของอันไหนอยู่ตรงไหน  เมื่อลองเปิดดูถึงได้รู้ว่ามันเป็นรวมรูปเก่า ๆ สมัยประถม  มีรูปฮารุนะที่กำลังแข่งกีฬาสี  งานปีใหม่ของโรงเรียน  มีแม้กระทั่งรูปของผม  พี่ซาดาเมะและจูมนจิ  โดยเฉพาะรูปถ่ายเวลาที่พวกเราแข่งฟุตบอลกันจะมีมากเป็นพิเศษ  ฮารุนะในรูปนั้นดูท่าทางขึงขังเอาจริงเอาจัง  โดยเฉพาะแววตาของเธอนั้นแลดูมีความมุ่งมั่น  ผมตั้งใจดูรูปเหล่านั้นทุกรูปเพื่อรื้อฟื้นความทรงจำ  แต่เจ้ากรรมอาการปวดหัวมันย้อนกลับมาเล่นงานผมอีกแล้ว

    ทำไมกันนะฮารุนะ... ทำไมพอคิดถึงเรื่องของเธอทีไรต้องปวดขมับแบบนี้ทุกที...

         "เอ๊ะ... เดี๋ยวก่อนนะ  ข้าจำเอ็งได้แล้ว! เอ็งคือไอ้เด็กที่เล่นบอลเก่ง ๆ คนนั้นใช่มั้ย  เอ็งย้ายไปอยู่เมืองหลวงสินะ  แล้วเอ็งเคยได้ยินข่าวคราวของฮารุนะบ้างมั้ย  รู้ไหมว่าตอนนี้เขาไปอยู่ที่ไหนแล้ว"

         ดูเหมือนว่าทานาเบะจะจำผมได้จากรูปถ่ายในอัลบั้มนั่นเลยพยายามจะถามหาข่าวคราวของเธอเอาจากผม  ซึ่งแน่นอนว่าผมต้องปฎิเสธ  อันที่จริง  สิบปีที่ผ่านมาผมไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าเธอยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า?

         "งั้นเหรอ... โธ่ฮารุนะ  ตอนนี้ลูกไปอยู่ที่ไหนแล้วนะ  ทำไมถึงต้องหนีออกจากบ้านไปด้วย  ไม่คิดถึงพ่อคนนี้แล้วหรืออย่างไร"

         ผมขอตัวลาลุงทานาเบะออกมาก่อน  ดูเหมือนว่าผมจะไปกระตุ้นอดีตอันปวดร้าวของเขาขึ้นมาเสียแล้ว  แม้แต่ตอนที่ผมแหวกกองขยะออกมาจากในตัวบ้าน  ตัวเขาก็ยังคงนั่งนิ่งเงียบ  เฝ้ามองแต่บุคคลในรูปถ่ายอย่างไม่แม้แต่จะกะพริบตา  เมื่อเห็นดังนั้นแล้วก็อดเศร้าใจตามไม่ได้  ลึก ๆ ในใจผมรู้สึกว่าจริง ๆ แล้วตัวลุงเองก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรอย่างที่คนอื่น ๆ เข้าใจกัน  เสี้ยวขณะหนึ่งผมคิดไปว่าตัวเองเข้าใจเป็นอย่างดีถึงความอ้างว้างเดียวดายที่เขาต้องเผชิญมาถึงสิบปีด้วยซ้ำ

         หลังจากที่ออกจากบ้านหลังนั้นแล้วผมก็ตรงกลับไปที่บ้านของตัวเองและเข้านอนโดยที่ไม่ทานข้าวเย็น  เมื่อหลับตาลงภาพในอดีตก็ย้อนเข้ามาในหัวราวกับฉายวิดีโอซ้ำ  ความทรงจำต่าง ๆ ที่หลั่งไหลเข้ามาอย่างไม่ขาดสายนี้กำลังจะเผยความลับที่ใจผมพยายามปิดมันเอาไว้...


    @@@@@@@@@@@@


         "ทำได้ดีมากลูก  พ่อกับแม่ภูมิใจในตัวลูกมากนะ"

         ในฝันผมมองเห็นตัวเองกำลังโชว์เหรียญรางวัลชนะเลิศในการแข่งขันฟุตบอลระดับประถมให้พ่อกับแม่ดู  พวกท่านดูปลาบปลื้มและดีอกดีใจกันมาก  แม้แต่อาจารย์ประจำชั้นก็ยังชมอย่างออกหน้าพร้อมทั้งบอกด้วยว่าเขาได้ทำการติดต่อกับโรงเรียนในเมืองหลวงซึ่งขึ้นชื่อเรื่องทีมฟุตบอลเอาไว้แล้ว  เพื่อน ๆ ทุกคนต่างร่วมชื่นชมยินดีกับผม  ยกเว้นอยู่เพียงคนเดียว  ฮารุนะนั่นเอง...

         "เชอะ สมัยนี้น่ะเขาไม่ได้วัดกันที่ความสามารถทางกีฬาหรอกนะ  มองไม่ได้เรื่องล่ะก็  อย่าว่าแต่จะหางานทำเลย  แค่จะเรียนให้จบจากโรงเรียนในตัวเมืองยังยากกว่าฝันเสียอีก!"  เธอตะโกนใส่ผม

         "ตัวเองไม่มีปัญญาทำได้เลยหาเรื่องมาว่าชาวบ้านเขามากกว่ามั้งยัยงั่ง!"  จูมนจิสวนไปบ้าง

         และแล้วทั้งสองคนก็โดดเข้าใส่กันในทันที  เพื่อนคนอื่น ๆ ก็ผสมโรงตามเข้าไปด้วย  แต่ไม่มีใครยอมเข้าฝ่ายกับฮารุนะเลย  เธอจึงโดนคนอื่น ๆ รุมเล่นงานจนล้มลงไปนอนหมดสภาพอยู่ที่พื้น  พอตัวผมซึ่งกำลังจะเข้าไปดูอกาการของเธอก็ถูกเพื่อนคนอื่นร้องห้าม

         "อย่าไปสนอีบ้านี่เลย  วัน ๆ ดีแต่ปากเก่งหาเรื่องชาวบ้านเขา  โดนซะบ้างก็ดีจะได้สำนึก!"

         ผมไม่เข้าใจเลยว่าทำไมฮารุนะถึงต้องทำตัวเป็นเด็กมีปัญหาแบบนี้เสมอ  ทุก ๆ วันเธอจะใช้เวลาไปกับการทะเลาะกับเพื่อนคนอื่น ๆ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับตัวผม  จนทุกคนต่างเหม็นหน้าและพากันเดินหนีเธอไปจนหมด  แม้แต่พี่ซาดาเมะก็ยังห้ามไม่ให้ผมไปพูดคุยกับตัวซวยอย่างเธอ  มันเป็นอย่างนี้ไปจากระทั่งถึงวันที่ผมและพี่ชายกำลังเตรียมตัวจะไปเรียนต่อที่โรงเรียนในตัวเมือง  จู่ ๆ เธอก็มาหาผมในช่วงกลางดึกก่อนวันที่จะออกเดินทางเพียงสามวัน  แล้วก็ลากถูลู่ถูกังผมออกจากบ้านมายังเนินต้นซากุระนั่น

         "ตกลงนายจะไปจากเมืองนี้จริง ๆ เหรอ"  เธอถาม

         สายลมยามค่ำพัดไล้ผ่านเสื้อผ้าและเรือนผมของเธอ  ความหนาวเย็นแห่งรัตติกาลทำให้ผมต้องใช้สองแขนกอดตัวเองเอาไว้  ที่ด้านล่างนั่นมองเห็นเป็นแสงไฟราง ๆ ตามบ้านเรือน  ตรงจุดอันเป็นที่ตั้งของต้นซากุระใหญ่นั่นในตอนนั้นยังคงเป็นแค่หลุมดินที่เตรียมไว้สำหรับต้นอ่อนที่จะนำมาปลูกในภายหลัง  สาวน้อยฮารุนะในชุดกระโปรงยาวสีขาวกำลังจ้องเขม็งมาทางนี้  แสงไฟข้างทางช่วยให้เห็นใบหน้าของเธอแค่เศษเสี้ยว  มีแค่แววตาเท่านั้นที่สามารถเห็นได้ชัดเจนแววตาอันแฝงความมุ่งมั่นดังเช่นที่เห็นในรูปถ่าย

         "นี่ฉันถามเธออยู่นะเจ้าบ้า!"

         เธอใช้มือผลักหน้าอกผมเบา ๆ ชั่วขณะที่ผิวของเราสัมผัสกันผมรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่ผิดแปลกไปจากปกติ    ฮารุนะในค่ำคืนนี้ช่างดูต่างไปจากเวลาปกติจริง ๆ แต่ตัวผมเองก็บอกไม่ถูกว่ามันคืออะไรกันแน่

         "เฮ้ มาอยู่ที่นี่เองเหรอ  พ่อกับแม่กำลังตามหาตัวให้ขวักเลยนะ..."

         พี่ซาดาเมะวิ่งกระหืดกระหอบขึ้นเนินมา  เขาออกมาตามหาตัวผมที่จู่ ๆ ก็หายไปและก็ได้มาเจอผมกำลังยืนอยู่กับฮารุนะที่นี่เอง...


         กลุ่มเมฆสีดำเริ่มตั้งเค้า  พายุฝนกำลังใกล้เข้ามาทุกขณะแล้ว  ผมเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนักแต่ตอนนี้เหตุการร์ที่ตรงหน้าดูท่าจะรุนแรงยิ่งกว่าเมื่อพี่ชายและฮารุนะกำลังเปิดศึกวิวาทะกัน

         "ยายบ้านี่ เลิกมายุ่งกับน้องชายฉันสักทีได้มั้ย! รู้นะว่าอิจฉาความสามารถของเขาใช่ไหมล่ะ"

         "ไอ้บ้านี่!"  เธอตะโกน  "ฉันจะทำอะไรมันก็เรื่องของฉัน  แล้วแกมายุ่งอะไรด้วย!"

         ดธอใช้ฝ่ามือตบเข้าที่ใบหน้าของพี่ซาดาเมะเข้าอย่างจัง  ทำเอาพี่ชายฉันจัดสวนกลับไปที่ท้องน้อยในทันที  เล่นเอาฮารุนะร้องไม่ออก  ได้แต่ส่งเสียงครางเล็ก ๆ ออกมาแล้วล้มลงนอนร้องไห้กับลานดิน

         "เชอะ สมน้ำหน้ายายม้าดีดกะโหลก! อย่างแกน่ะไม่มีใครเขาอยากได้ไปทำพันธุ์หรอก!"

         ได้ฟังดังนั้นฮารุนะถึงกับเลือดขึ้นหน้า  เธอรวบรวมแรงทั้งหมดลุกขึ้นแล้วพุ่งเข้าใส่พี่ชายในฉับพลัน  จนทั้งสองคนไถลกลิ้งลงจากบนเนินนั่น  พี่ชายยังดีที่หล่นลงไปบนพื้นหญ้าที่ด้านล่าง  แต่ว่าฮารุนะนั้น...

         "เฮ้ย! ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้วะ!"

         พี่ซาดาเมะร้องเสียงหลงเมื่อได้เห็นภาพที่ตรงหน้า  ฮารุนะนอนคว่ำหน้านิ่งอยู่บนโขดหินของลำธาร  เลือดสด ๆ จำนวนมากหลังไหลออกมาจากบริเวณศีรษะของเธอแล้วผสมรวมไปกับน้ำในลำธารกลายเป็นสีดำสนิทน่าสยดสยอง  ผมกับพี่เดินเข้าไปหาเธออย่างกล้า ๆ กลัว ๆ ลมหายใจของเธอสงบนิ่งและหัวใจก็หยุดเต้นลงอย่างสิ้นเชิง  ผมร้องไห้ออกมาด้วยความกลัวสุดขีด  เลือดในกายเย็นเฉียบราวกับน้ำแข็ง  ทางด้านพี่ชายเองก็ทำอะไรไม่ถูกได้แต่นั่งกุมหัวอยู่อย่างนั้น  ถ้ามีใครมาเห็นเข้าล่ะก็อนาคตของเราจบสิ้นแน่ ๆ

         "เอาไปฝังซะ..."  พี่ซาดาเมะพูดเบาจนเหมือนกับเป็นเสียงกระซิบ

         "ต้องเอายายนี่ไปฝังซะ  อย่าให้ใครรู้  จะให้ใครล่วงรู้ไม่ได้อย่างเด็ดขาด  ฉันไม่อยากจะหมดอนาคตเพราะเรื่องบ้า ๆ แบบนี้หรอกนะ!"

         ด้วยความกลัวและความเขลา  พวกเราสองพี่น้องได้กระทำเรื่องอันเลวร้ายยิ่งในค่ำคืนนั้น  ท่ามกลางสายฝนโหมกระหน่ำ  ผมกับพี่ชายแบกร่างของเธอขึ้นเนินมายังหลุมดินที่เตรียมไว้สำหรับต้นซากุระนั่น  พี่ชายหยิบพลั่วคนงานที่วางทิ้งไว้แถว ๆ นั้นขึ้นมาขุดหลุมให้ลึกลงไปอีก  ก่อนจะหย่อนร่างของเธอเอาไว้ใต้นั้นแล้วหาเศษไม้มารองไว้รอบ ๆ เสร็จแล้วจึงกลบดินฝังให้เรียบร้อย  สายฝนที่ตกลงมานั้นช่วยทำลายหลักฐานอื่น ๆ จนหมดสิ้น  และในเช้าวันรุ่งขึ้นพวกเราก็ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นกับเหตุการณ์เมื่อคืน  ทางด้านพี่ซาดาเมะยังปล่อยข่าวลือเกี่ยวกับการหนีออกจากบ้านของฮารุนะให้คนอื่น ๆ ฟังอีกด้วย  แน่นอนว่าไม่ได้มีใครสนใจที่จะตามหาตัวเธอเท่าไหร่เพราะไม่มีใครชอบเธอ  ด้านตำรวจเองก็ไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องนี้เพราะพ่อของเธอก็ออกแนวเพี้ยน ๆ บ้าบอแบบนั้น  คดีจึงถูกปิดลงว่าเป็นการหนีออกจากบ้านของเด็กประถมปลายคนหนึ่ง  ทว่าผมรู้ดี  พี่ชายก็รู้ดี  พวกเราไม่เคยปริปากพูดถึงเรื่องนี้กันอีกเลย  ในใจผมเหมือนกับมีรอยแผลที่ถูกสลักไว้แน่นเป็นเหมือนกับตราบาปไปตลอดชีวิต  สิ่งเดียวที่พอจะเยียวยาจิตใจผมได้นั่นก็คือการลืมเรื่องนี้ซะ... ในค่ำคืนนั้น  ในหลุมลึกที่พวกเราได้กลบฝังเธอไว้ที่นั่น  ตัวผมก็ทิ้งทุกอย่างที่เกี่ยวกับตัวเธอลงไปในนั้นด้วย  และรอเวลาที่จะได้กลับมาค้นพบมันอีกครั้งเหมือนดั่งกล่องย้อนเวลาอย่างหนึ่งที่คนอื่น ๆ ชอบทำกัน...


    @@@@@@@@@@@@


         ผมตื่นขึ้นมาในตอนเช้าพร้อมทั้งน้ำตานองหน้า  ร้องไห้ให้กับความขี้ขลาดของตนเอง  ตราบาปมันไม่เคยจางหายไปไหน  รอยแผลจากในอดีตมันยังคงอยู่กับเราเสมอไม่ว่ากาลเวลาจะผ่านไปนานสักเท่าใด  ผมตัดสินใจที่จะไม่พูดเรื่องนี้กับใคร  ไม่มีประโยชน์ที่จะรื้อฟื้นความหลัง  ในเมื่ออนาคตรอคอยผมอยู่ตรงหน้า  ผมยังมีความฝัน  ยังมีเรื่องต้องทำอีกมากมายนัก  จะยอมให้เรื่องแบบนี้มาทำลายสิ่งที่ผมสร้างขึ้นมาจนถึงทุกวันนี้ได้อย่างไรกัน  คิดได้ดังนั้นผมจึงตัดสินใจที่จะเดินทางกลับเมืองหลวงให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

         เส้นทางเลียบลำธาร  เนินสูงที่ตรงหน้า  และต้นซากุระบนนั้นกำลังจ้องมองแผ่นหลังของผมที่เดินห่างออกไปเรื่อย ๆ ผมกำลังจะกลับไปยังสถานที่ ๆ ผมควรจะอยู่  ผมไม่ควรกลับมาที่นี่เลย  ไม่ควรเดินขึ้นไปบนเนินนั่น  ไม่ควรรื้อฟื้นความหลัง  อาการปวดหัวของผมหายเป้นปลิดทิ้งแล้ว  แต่รอยแผลและความเจ็บปวดนั้นกลับมากมายกว่าที่คิดนัก  ผมนึกถึงลุงทานาเบะ  แกจะรู้ไหมว่าลูกสาวของแกไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้อีกแล้ว  นึกถึงรสชาติน้ำชาที่ได้กินวันนั้น  มันช่างอบอุ่นเหลือเกิน  สายลมหวนเบา ๆ พัดพาเอาเสียงกระซิบลอยมาเข้าหูผมว่า


    ...คนเราบางครั้งก็ต้องการแค่ความกล้าเล็ก ๆ ที่จะก้าวผ่านขั้นบันไดไปสู่การเป็นผู้ใหญ่ให้ได้ในสักวันหนึ่ง...


         ผมจดจำถ้อยคำเหล่านี้ได้  มันเป้นคำที่พ่อกับแม่มักจะพร่ำบอกผมอยู่เสมอตั้งแต่เด็ก ๆ กลับบ้านมาครั้งนี้ช่างมีเรื่องราวต่าง ๆ ให้ระลึกถึงเหลือเกิน  ผมหันหลังและออกวิ่งอย่างสุดตัว  เป้าหมายคือบ้านของลุงทานาเบะ

         "โอ้! ไอ้หนุ่มคนเมื่อวานน่ะเอง  เข้ามาสิ ๆ"  เขาเชื้อเชิญอย่างเป็นมิตรต่างกับเมื่อวาน

         ผมนั่งลงที่โซฟาเก่า ๆ ขาดปุปะ  รูปถ่ายของฮารุนะยังคงวางอยู่ที่เดิมของมัน  จ้องมองมาทางผมด้วยสายตาอันมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวไม่เปลี่ยนแปลง  ลุงเทชาอย่างดีใส่ในกระติกเก่า ๆ ให้ผมเช่นเคย  แต่ครั้งนี้ผมยกซดอย่างเต็มใจ

         "แล้วเอ็งมีธุระอะไรอีกล่ะ หืมมม?"  เขาถามหลังจากที่ผมดื่มชาจนหมดแล้ว

         "คือ... ผม...!"

         ผมมาที่นี่ทำไมกันนะ?  ทั้ง ๆ ที่ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่พูดเรื่องนี้กับใคร  ทั้ง ๆ ที่ตัดสินใจเลือกอนาคตอันสดใสแล้วแท้ ๆ ทำไมกันนะ

         "จริงสิ! ข้านึกเรื่องสำคัญออกแล้วล่ะ  เอ็งน่ะเคยถูกสูกสาวข้าแกล้งเอาบ่อย ๆ ใช่ไหมล่ะ?"

         จู่ ๆ ลุงทานาเบะก็พูดออกมาแบบนั้น  แม้ว่าจะตกใจนิด ๆ แต่ผมก็พยักหน้าเป็นเชิงตอบรับ  เห็นดันนั้นลุงแกก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาแล้วบอกด้วยว่า

         "ว่าแล้วเชียว! รู้ไหมว่ามันเคยแอบชอบแกอยู่นะ  ก็อย่างที่บอกไปเมื่อวานลูกสาวข้าน่ะมันไม่เหมือนชาวบ้าน  ปากมันไม่ตรงกับใจ  ถึงจะชอบใครมันก็ไม่พูดออกมาตรง ๆ หรอก!"

         ราวกับมีสายฟ้าฟาดลงที่กลางกระหม่อมของผม  อย่างนี้นี่เอง!  ที่ฮารุนะชอบว่าร้ายผม  ที่เธอเรียกผมออกไปในคืนนั้น  เพราะเธอไม่อยากให้ผมต้องจากเมืองนี้ไปอยู่ที่เมืองหลวงนั่นเอง  ตอนนี้ผมรู้แล้ว  ผมได้รับรู้ถึงความรู้สึกทั้งหมดของเธอเมื่อเวลาผ่านไปถึงสิบปี!  น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าหลั่งไหลออกจากเบ้าตาของผมอย่างไม่ขาดสาย  สุดแรงจะหักห้ามมันได้  ผมปล่อยให้ตัวเองร้องไห้สะอึกสะอื้นราวกับเด็กสองขวบ

         "อ้าวไอ้หนุ่ม เป็นอะไรไปน่ะ?"  ลุงถามเมื่อเห็นสภาพผมเป็นแบบนั้น

         "ลุงทานาเบะครับ  ผมมีเรื่องบางอย่างอยากจะบอกกับลุงครับ  มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับลูกสาวของลุง..."

         ผมเล่าเรื่องทั้งหมดให้พ่อของฮารุนะฟังทั้งน้ำตา  เรื่องราวทั้งหมดของความทรงจำที่ถูกปิดตายมานานสิบปีกำลังหลั่งไหลพรั่งพรูออกมาจากปากของผู้รู้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด  จากคนที่ถูกความหลังสลักรอยแผลเอาไว้ในใจ


    @@@@@@@@@@@@



         สายลมกำลังเปลี่ยนทิศแล้ว  ผมไม่รู้หรอกว่านับจากนี้ไปสายลมแห่งโชคชะตาจะพัดพาให้ผมไปตกลงที่ตรงไหน  ทว่านั่นไม่สำคัญหรอก...  ผมเตรียมหอบหิ้วสัมภาระทั้งหมดขึ้นรถไฟ  เด็กผู้หญิงที่เคยอยู่ใต้ต้นซากุระนั่นบัดนี้ผมมองไม่เห็นตัวเธออีกแล้ว  ฮารุนะไม่ได้หายไปไหน  เธอแค่กลับมายืนอยู่ในความทรงจำของผมอีกครั้ง  และตลอดไป  ผมจมอยู่กับความคิดนี้จวบจนกระทั่งรถไฟพาผมไปจนถึงซึ่งจุดหมายที่อยู่เบื้องหน้า...
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×