8
การกลับบ้านพร้อมกับร่างกายที่ผิดปกติในวันแรกตั้งแต่เข้าโรงเรียนสร้างความตื่นตระหนกให้กับบุคคลที่เรียกว่าแม่ได้เป็นอย่างดีและหลังจากวันนั้นตามร่างกายของผมก็มักจะมีแผลเล็กแผลน้อยตามมาเรื่อยๆ ทุกวันๆ
ผมก็ต้องสร้างเรื่องโกหกมากมายเกี่ยวกับหลักฐานที่ปรากฏอยู่บนร่างกายเพื่อให้คนที่ถามนั้นได้เห็นว่าผมไม่เป็นไร ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงอย่างที่คิดทั้งนี้ก็เพื่อความสบายใจของพวกเค้า
แม้ตัวผมจะเป็นอะไร แต่ใจผมโอเค ไม่เป็นไรจริงๆ
3 เดือน.... เรายังคงรักกันดีแม้จะมีอุปสรรคมากมายที่ (ผมคนเดียว) ต้องเผชิญแต่เราก็ผ่านมันมาได้ และคำพูดของแบคฮยอนมักจะจริงเสมอ ยิ่งผมอยู่เฉยๆไม่พูดอะไรคนก็ยิ่งมองผมไม่ดี ยิ่งคบกับเค้าตัวผมมีแต่เสียกับเสีย ถ้าเป็นแต่ก่อนผมจะแคร์สายตาความรู้สึกของคนอื่นเสมอ แต่ตอนนี้สถานการณ์มันเปลี่ยนไป ผมยอมเห็นแก่ตัว ปิดหูปิดตาไม่รับรู้สิ่งที่คนอื่นจะมอง จะพูดยังไงตามที่เค้าได้เคยบอกผม
เราสองคนคบกันมันไม่ได้เดือนร้อนใคร คนที่เดือดร้อนคือคนที่อยากรู้เรื่องของเราเอง ความอดทนของผมยังคงเต็มร้อยเหมือนเดิมและมันก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆเพราะมีกำลังใจจากคนที่ทำให้ผมอดทนมาได้ขนาดนี้
เพราะความน่ารัก เป็นสุภาพบุรษ(?) เอาใจใส่ของเค้าผมถึงทนต่อแรงกดดันจากคนที่ชื่นชอบในตัวเค้าและตั้งแง่รังเกียจผมได้มาเนิ่นนาน
แค่ได้เห็นหน้า
ได้ยินเสียง
ได้จับมือให้กำลังใจ
ได้อยู่ข้างๆกัน
ต่อให้โดนสาปแช่งโดนทำร้ายมากขนาดไหนผมก็พร้อมจะยอมแลกเพื่อให้ได้อยู่เคียงข้างกับเค้า
ผมไม่เคยคิดว่าการขึ้นม.ปลายแล้วมันจะเหนื่อยขนาดนี้ กิจกรรมของโรงเรียนไม่ว่าจะข้างนอกหรือในโรงเรียนทุกกิจกรรมการใช้แรงงานตกมาอยู่ที่ม.ปลายปีแรก เหตุผลเพราะปี2ต้องเตรียมความพร้อมกับการเลือกสิ่งที่จะเรียนต่อในอนาคต - - ส่วนปี3ก็ต้องอ่านหนังสือเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัย
การบ้านก็เยอะกิจกรรมก็มีมาไม่ได้ให้พักหายใจได้คล่องและนี่ก็เป็นสาเหตุที่เราไม่ค่อยมีเวลาได้เจอกันเหมือนช่วงแรกๆ แต่เราก็ยังโทรคุยแชทไนล์หากันตลอด ผมชอบในความเอาใจใส่ของเค้าแม้ตัวเองจะยุ่งมากขนาดไหนเค้าก็มักจะเจียดเวลาโทรหาผมได้ตลอด ไม่ก็จะมีขนมของฝากเล็กๆน้อยๆมาให้ผม สร้างความอิจฉาริษยาหรือหมั่นไส้จากเพื่อนๆได้เสมอ เหมือนเช่นวันนี้....
หลังจากเปิดภาคเรียนได้3เดือนทางโรงเรียนก็มีกิจกรรมกีฬาสีประจำปีซึ่งทุกคนต้องเข้าร่วมกิจกรรมไม่เว้นแม้แต่ปี3ที่วุ่นวายกับการอ่านหนังสือเตรียมสอบหาที่เรียนต่อก็ตาม
'เฮ้ออออออ ~ เหนื่อยชะมัดเลย นี่ต้องรอพวกปี3มาซ้อมแสตนด์เชียร์อีก งานการไม่ต้องได้ทำมันละสูญเสียรายได้หมด'
แบคฮยอนบ่นงุ้งงิ้งพร้อมกับล้มตัวลงนอนแผ่หลาลงบนพื้นสนามบาสในอาคารเอนกประสงค์ที่ทุกคณะสีจะใช้แข่งแสตนด์เชียร์ในที่แห่งนี้ หลังจากที่พวกเราช่วยกันตกแต่งสแตนด์ของสีเราร่วมกันกับเพื่อนๆในชั้นปีที่อยู่กันตามคณะสีของตัวเองหลังเลิกเรียนในช่วงเช้า โชคดีที่ผมกับแบคฮยอนอยู่สีเดียวกันตั้งแต่ม.ต้น ผมจึงมีเพื่อนให้ได้คุย
'ก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ ระหว่างที่รอพวกรุ่นพี่เราก็ได้พักกันไง'
พวกรุ่นพี่ปี3จะมาซ้อมแสตนด์ให้เราทุกๆวันซึ่งเป็นเรื่องที่ผมเห็นใจเพราะเหนื่อยจากการเตรียมตัวสอบแล้วยังต้องแบ่งสมองมาคิดคอนเซ็ปแสตนด์เชียร์เพื่อให้คณะสีของตนได้มาประลองแข่งกับสีอื่นๆ และรุ่นพี่หลายคนก็เลือกที่จะขอความช่วยเหลือจากรุ่นพี่เทคที่จบไปแล้วที่เคยอยู่คณะสีเดียวกัน เช่นคณะสีเขียวของดงอูที่ได้ พี่จงอิน กับเพื่อนๆเค้ามาช่วยดูแลซ้อมให้
'สีเขียวนี่โชคดีจัง ได้คนอย่างรุ่นพี่จงอินมาช่วย ถึงจะเหนื่อยแค่ไหนก็คุ้มค่ากับการได้เห็นรอยยิ้มอบอุ่นนั่นละนะ ฮร้าาา ~ '
'แต่พูดละก็หมั่นไส้ไอ้เพนกวินตาโปนนั่น ยังอุตส่าห์หอบร่างจะล้มแหล่ไม่ล้มแหล่มาเรียกร้องความสนใจได้ เด็กพิเศษคนอื่นเค้าไม่เห็นมากันเรอะ' ผมหันไปมองดูผู้ชายที่มีรอยยิ้มอบอุ่นของแบคฮยอนกำลังประคอง คยองซู ด้วยสายตาอ่อนโยน
'เค้าอาจจะอยากมาร่วมกิจกรรมก็ได้'
'หรือมันไม่จริงล่ะ.. เดี๋ยวได้มาชักเป็นลมเป็นแล้งเดือดร้อนคนอื่นเสียการเสียงานกันหมด นี่ดีไม่ดีโรงเรียนได้โดนคุณหญิงแม่ของพวกเธอๆฟ้องว่าจะฆ่าลูกเต้าเค้าอีก'
'แบคก็พูดเกินไป..'
'หยุดโลกสวยก่อน ยังพูดไม่จบ.. คือทรงเหมือนคนจะตายวันตายพรุ่งขนาดนี้ทำไมยังอุตส่าห์มาโรงเรียน รวยขนาดนั้นนอนเรียนอยู่บ้านไม่ดีกว่าเหรอจะพาตัวเองออกมาให้คนอื่นเค้าลำบากทำไมไม่เข้าใจ'
'ก็คงเหงา อยากมีเพื่อน มีสังคมใหม่ๆเหมือนกันกับเด็กคนอื่นๆ.. ถ้าให้แบคเรียนที่บ้านคนเดียวแบคจะเอาเหรอ'
'เอาสิไม่น่าถาม นอนเรียนอยู่บ้านสบายจะตายไม่ต้องคอยไปแข่งขันกับคนอื่น เผลอๆนี่เรียนรู้เรื่องกว่านั่งเรียนกับหลายๆคนอีก'
'เฮ้!! คิมมินซอกกี้ ~~'
เสียงสดใสเช่นเดียวกับรอยยิ้มบนใบหน้าของดงอูเพื่อนที่อยู่คณะสีเดียวกันกับที่แบคฮยอนกำลังอิจฉาและหมั่นไส้อยู่วิ่งเข้ามาทักผม
'แฟนรุ่นพี่ของนายฝากนี่มาให้น่ะ'
ผมเขินหน้าที่แดงจากอากาศและความเหนื่อยขึ้นสีเข้มขึ้นอีกจากการเขินอายกับประโยคของคนที่ยืนยิ้มร่าอยู่
'ขอบคุณนะ'
ผมลุกขึ้นหยิบถุงขนมพร้อมกับเครื่องดื่มมาจากมือของคนที่ถูกวานเอามาให้ถือไว้ข้างตัวก่อนจะถูกอีกคนที่นอนแผ่หลาอยู่ลุกขึ้นมาแย่งถุงขนมนั่นไป
'อุ๊ย!? มีโพสอิทด้วย' ผมคว้ามืออีกคนที่กำลังจะอ่านแต่เค้ากลับชักมือหนีเอาไปอ่านออกเสียงเผื่อแผ่คนทั้งยิมให้ได้ยิน
'เหนื่อยก็พัก ถ้าอยากฟังคำว่า 'รัก' ให้โทรหาผู้ชายที่ชื่อ 'ลู่หาน' Ps. วันนี้จะเข้าไปซ่อมแสตนด์..แล้วเจอกันนะครับ (:'
'หู้ยยยย ~ เอาเข้าไป บางทีฉันน่าจะเข้าร่วมเพจแอนตี้คู่นี้นะ หมั่นไส้'
ผมได้แต่ก้มหน้าก้มตาซ่อนความเขินอายบนใบหน้าไร่มะเขือเทศสุกหลังจากที่แบคฮยอนอ่านโน๊ตในโพสอิทนั่นจบ
คณะสีโรงเรียนเรามีทั้งหมด7คณะสี คือ ม่วง น้ำเงิน ชมพู เขียว เหลือง แสด แดง ผมกับแบคฮยอนอยู่สีชมพู ส่วนพี่ลู่อยู่สีเหลือง
และบังเอิญรุ่นพี่ที่ผมเดินชนเค้าตอนจะไปทำแผลที่ห้องพยาบาลเมื่อคราวก่อนก็อยู่สีเดียวกันกับผม ในตอนนั้นผมไม่ได้มองหน้าอีกคนเพราะความรีบร้อน มารู้ทีหลังตอนรวมสีและเค้าเป็นประธานของคณะสีชมพู เค้าเดินเข้ามาทักผมพร้อมกับเสียงกรีดร้องของคนรอบข้าง ผมถึงรู้ว่ารุ่นพี่ไม่ได้เป็นแค่ประธานคณะสีแต่เป็น ประธานนักเรียนฝ่ายปกครอง ที่ร่ำลือกันทั้งโรงเรียนว่า โหด ดิบ เถื่อน
ที่แปลกคือเค้าอยู่กลุ่มเดียวกับพี่ลู่ แต่ผมไม่ค่อยเห็นหน้าเค้าเท่าไหร่ สงสัยฝ่ายปกครองจะมีงานเยอะ
พี่เค้าเป็นคนสูง ผิวสีแทนทำให้ดูเซ็กซี่เข้ากันดีในร่างโปร่งนั่น ท่าท่างนิ่งขรึม ดูเงียบสงบแผ่รังสีเย็นยะเยือกทุกย่างก้าวที่ก้าวเดิน สมกับเป็นประธานฝ่ายปกครอง
ชเว มิน โฮ
เค้าจะเข้ามาคอยดูแลช่วยเหลือให้คำปรึกษาเกี่ยวกับงานที่กำลังจะเกิดขึ้นในอาทิตย์ข้างหน้าทุกวัน แม้จะเหนื่อยจากภารกิจของปี3ไหนจะภารกิจฝ่ายปกครองดูแลความเรียบร้อยทั้งโรงเรียน เพราะบุคลิกของเค้าทำให้ทุกคนเกรงใจและนับถือเค้าไม่ใช่แค่ในฐานะประธานคณะสีหรือประธานนักเรียนฝ่ายปกครองแต่เป็นในฐานะรุ่นพี่ที่น่าเคารพคนหนึ่ง
ขนาดผมที่เป็นคนเก็บตัวและไม่ค่อยสุงสิงกับใครและก็ไม่ค่อยมีใครอยากเข้ามาวุ่นวายด้วยแล้วอย่างผมเค้ายังมาทักทายพูดคุยกับผมแม้หลายๆคนจะไม่ค่อยชอบผมก็ตาม ด้วยเหตุนี้ผมจึงยอมเปิดใจให้เค้าได้เข้ามาทำความรู้จักโดยที่ไม่รู้ตัวว่ามีศัตรูเพิ่มขึ้นด้วย
ช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมาเราจึงสนิท(?)กันในระดับหนึ่ง เค้าเป็นเหมือนพี่ชายผมอีกหนึ่งคน ผมรู้สึกไว้ใจเค้าได้ในทุกเรื่อง อย่างน้อยในโรงเรียนนี้ก็มีคนที่เข้าใจและรู้จักตัวตนของผมจริงๆที่ไม่ใช่ฟังจากปากต่อปากของคนอื่นมา ถึงจะเหมือนผมพูดอยู่คนเดียวก็เถอะ พี่มินโฮเป็นคนพูดน้อยเหมือนผม แต่ไม่คิดว่าจะน้อยจนผมกลายเป็นคนพูดมากอย่างแบคฮยอนแทน
'แบค เดี๋ยวเราไปเอาสีมาช่วยกันทานะ จะได้เสร็จเร็วๆ'
'แหมๆ พอได้กำลังใจหน่อยละดีดเลยนะ ไปเอากะโจวโจวตรงนู้นนะ ฉันเหนื่อยยังไม่พร้อมปะทะกับใครทั้งนั้น'
'อื้อ'
ผมบอกไปรึยังว่าโรงเรียนผมเป็นโรงเรียนนานาชาติ ซึ่งส่วนใหญ่นักเรียนที่เรียนที่นี่30%เปอร์เซนต์เป็นคนจีนแบบพี่ลู่ รุ่นพี่โจวมี่ และโจวโจวที่แบคพูดถึง
ผ่านไป 20นาที หลังจากที่ผมไปช่วยเอากระดาษจากโจวโจวมาทาสีเพื่อจะเอาไปตกแต่งแสตนด์โดยมีแบคฮยอนลุกขึ้นมาช่วยอีกแรง ทำให้ตอนนี้ทุกอย่างเสร็จหมดแล้วเหลือแต่รอพวกรุ่นพี่มาดูว่าจะให้เอาอะไรไว้ตรงไหนตกแต่งเพิ่มเติมยังไง และซ้อมแสตนด์เราก็มีเวลาได้พักหายใจหายคอกันอีกรอบ
'แบคทำงานอยู่ร้านของนักร้องไอดอลนี่ ไม่เห็นเคยพูดให้ฟังเลย ใครเหรอๆ'
ผมถามอีกคนที่นอนเอามือก่ายหน้าผากหลับตาพริ้มใบหน้าจิ้มลิ้มขึ้นสีชมพูเข้มจากอากาศที่ร้อนทั้งที่ในนี้ก็เปิดแอร์เย็นแต่เพราะการใช้แรงงานอันหนักหน่วงทุกคนเลยมีสภาพอย่างที่เห็น
'ไม่ใช่ร้านของ คนๆนั้น หรอก ของพ่อแม่เค้าต่างหาก...'
'อ่าาา อย่างนั้นหรอกเหรอ แล้ว... คนๆนั้น นั่นใครเหรอ?'
'ก็ใครซักคนนั่นแหละ'
'ไม่บอกงี้แสดงว่าหน้าตาดีใช่มั๊ยล่าาา ปกติแบคต้องพูดให้เราฟังบ่นนั่นนู่นนี่ แต่นี่ไม่ปกตินะ จะกั้กไว้คนเดียวรึเปล่าน้าาาาา ~' ผมแกล้แหย่อีกคนเล่นดูปฏิกิริยาและก็ได้ผลอย่างที่คิด
'ไม่เถียงเรื่องหน้าตา เพราะหน้าตาดีจริงๆ ส่วนเรื่องกั้กนั่น ฉันจะกั้กเพื่อ?'
'เพื่อให้เค้าเป็นของแบคคนเดียวไง'
'ฉันไม่เอาตัวเองไปสร้างเรื่องแบบนั้นให้คนนับหมื่นนับแสนมาเกลียดเพียงเพราะชอบคนๆเดียวหรอกนะ ตัวอย่างก็มีให้เห็น' คนพูดเหล่ตามองผมเรียวปากสวยคว่ำลงอย่างน่าหมั่นไส้
'ทำไมต้องวกมาเรื่องเราตลอด เค้าดังมากเลยเหรอ?'
'นี่ยัยหนูเอาเวลาที่มาสนใจฉันไปดูผู้ชายของหล่อนก่อนดีกว่ามั๊ย โน่น ชะนีรุมยังกะแร้งลงแล้วนั่น'
ผมหันไปตามที่แบคฮยอนมองตามด้วยเสียงกรีดร้องระงมของผู้คนในอาคารเอนกประสงค์แห่งนี้ ผู้ชายหน้าหวานเดินยิ้มสวยเข้ามาพร้อมกับรุ่นพี่ปี3คนอื่นๆที่คาดว่าน่าจะมาช่วยดูคณะสีของแต่ละคน และหนึ่งในนั้นก็มีประธานสีของผมอยู่ด้วย
และรองประธานนักเรียนทั้งสองคน รุ่นพี่ชาฮักยอนที่ผมชอบเรียกสั้นๆว่า รุ่นพี่ฮัก หรือ พี่ฮัก ซึ่งพี่เค้าไม่ชอบเพราะมันฟังดูเหมือน The Hulk ตัวการ์ตูนสีเขียวตัวใหญ่ชอบใช้แต่กำลังตัวนั้น แต่ที่ผมหมายถึงคือ Hug ที่แปลว่ากอดต่างหาก และอีกคนที่ผมรู้จักดี พี่อูฮยอน
ฮักฮยอง น่ารักจะตายไป
พี่ลู่มองเห็นผมแล้ว เค้ายิ้มพร้อมกับโบกมือทักทาย ผมยิ้มตามก่อนจะหันหน้าและยกมือขึ้นโบกให้กับอีกคนข้างๆที่โบกมือให้ผมก่อน พี่ฮักกับพี่อูฮยอนนั่นเอง ส่วนประธานฝ่ายปกครองยังตีหน้านิ่งเหมือนเดิม
ทั้งพี่ลู่ พี่ฮัก ประธานฝ่ายปกครองและพี่อูฮยอนต่างเดินมาทางผม การที่ผมได้รู้จักคนที่รู้จักตัวตนของผมไม่ตั้งแง่รังเกียจผมเพิ่มขึ้นนั้นก็มีกลุ่มคนอีกนับไม่ถ้วนที่ไม่ชอบผมเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน ฟังดูไม่ยุติธรรมเลยเนอะว่ามั๊ย
ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองจะเข้ามารู้จักแต่กับบุคคลที่ทุกคนให้ความสนใจขนาดนี้ จะเรียกว่าพรหมลิขิต โชคชะตา หรือเป็นเวรเป็นกรรมดี ฮ่าๆๆ เพราะไม่ว่าผมจะรู้จักใครเพิ่มขึ้นอีกซักคนผลที่ตามมาคือผมโดนเกลียดขี้หน้าทุกที ขนาดอยู่เฉยๆสงบๆก็ยังไม่ถูกใจพวกเค้าเลยคิดดูสิ
'ไงเรา วันนี้เหนื่อยมั๊ย?'
'ไม่เหนื่อยฮะ ร้อนมากกว่า'
'อีก 5นาทีเตรียมขึ้นแสตนด์นะ พี่ไปละ ก่อนที่คนแถวนี้จะกระชากหัวพี่หลุด'
คนที่ถูกกล่าวหายกขาขึ้นเตรียมจะเตะอีกฝ่ายที่เดินจ้ำอ้าวออกไปก่อนจะหันมาขมวดคิ้วยู่หน้าหางตายับใส่ผม
'อย่าทำให้คนอื่นเสียงการเสียงาน' คนหน้านิ่งพูดก่อนจะเดินตามเพื่อนอีกคนที่วิ่งออกไปก่อน
'ไปสนิทกับไอ้เขียวนั่นตอนไหน ไม่ได้อยู่ด้วยอาทิตย์เดียวมีคนมาวอแวซะแล้ว'
'แหมมมม ~ มันก็คงไม่แปลกเท่าไหร่หรอกม้างงง เพื่อนผมก็ใช่ว่าจะขี้ริ้วขี้เหร่ อีกอย่างสองคนก็ใช่ว่าจะคบกันได้นานโดยเฉพาะมีอุปสรรคมากมายขนาดนี้ รุ่นพี่ฮักยอนก็เป็นตัวเลือกที่ดีนะ หรือจะประธานฝ่ายปกครองก็ท่าทางจะแซ่บ ฮ่าๆๆๆ'
'แบค เรากำลังแช่งพี่อยู่รึเปล่า'
'โอ๊ยย คนแช่งเยอะแยะพี่ แต่ไม่ได้แช่งพี่ละกัน พวกสักแต่มาเรียนแต่ไม่พกสติมาด้วยพวกนั้นมันแช่งแต่เพื่อ....(น)'
ผมรีบเอามือปิดปากคนพูดมากก่อนจะรีบเบนความสนใจของอีกคน
'พี่ลู่..เหนื่อยแย่เลย ต้องมาซ้อมนี่อีก'
'นั่นสิ ใจจริงก็อยากกลับบ้านไปพักเลย แต่อยากเห็นหน้าใครบางคน เหนื่อยอีกหน่อยก็คุ้ม จะได้กลับพร้อมกันด้วย'
ได้ผล.. อย่างที่บอกช่วงหลังๆเราไม่ค่อยได้เจอกันเท่าไหร่ ยิ่งกลับบ้านด้วยกันยิ่งไม่ได้ใหญ่ อีกทั้งผมก็ไม่อยากโดนเกลียดขี้หน้าไปมากกว่านี้จึงไม่ค่อยอยากกลับกับเค้าเท่าไหร่ ได้แต่หาข้ออ้างนั่นนี่ไปยกเว้นก็ตอนที่มาโรงเรียนเพราะต้องมาพร้อมกันตลอด
'แต่จะว่าไป..ไอ้บ้าการแข่งนั่นมันเป็นประธานฝ่ายปกครองได้ไง ตัวแทน อู๋อี้ฝาน ที่วันๆเอาแต่นั่งวาดรูปกับเดินรอบโรงเรียนให้หมดวันเล่นแล้วเนี่ยนะ' (ฮัดเชร้ยยยยย!!! เป็นหวัดหรอวะ :: อู๋เอง)
'ทำไมไปว่าคนอื่นแบบนั้นล่ะฮะ' ผมยกมือขึ้นตีไหล่คนพูดจาไม่ดีเบาๆ
'นี่เราปกป้องมันหรอ'
'เปล่าซักหน่อย ก็พี่เค้าเป็นคนดีจะตาย ใครๆก็ชื่นชมกันทั้งนั้น ไม่งั้นไม่ได้รับเลือกจากคนทั้งโรงเรียนหรอก...'
ผมยังพูดไม่ทันจะจบดีอีกคนก็พูดแทรกเข้ามาซะก่อน
'นี่ๆๆ พูดอะไรเกรงใจคนเป็นแฟนที่ยืนหล่ออยู่ตรงนี้หน่อยก็ดีนะครับคุณคิมมินซอก ที่พูดมานั่นตัวผมเองก็ไม่ได้ต่างจากไอ้คุณบ้าการแข่งนั่นเลยไม่ใช่หรอครับ ก็ถูกเลือกจากคนทั้งโรงเรียนเหมือนกัน ชื่นชมผู้ชายคนอื่นต่อหน้าแฟนเป็นเรื่องที่ดีหรอครับ หื้ม?'
คนตรงหน้าพูดยาวเหยียดจนคนฟังอย่างผมเริ่มรู้สึกร้อนหน้าขึ้นมาอีกครั้งหลังจากที่พักพอหายร้อนไปบ้างแล้ว ชาวไร่ชาวสวนข้างๆแก้มของผมกำลังเริ่มจะเก็บผมผลิตมะเขือเทศที่กำลังจะแดงสุกในอีกไม่ช้าเพราะปุ๋ยลู่หาน799
'หู้ยยย ~ หวานจนฉี่มีมดมาตอม ไปรอที่แสตนด์นะ รีบๆตามมาล่ะ เดี๋ยว ชู้รักชเวมินโฮ จะน้อยใจ'
'แบคว่างๆก็ไปโรงพยาบาลตรวจดูนะ ฉี่มีมดมาตอมนี่น่าจะเบาหวาน พึ่งสังเกตนะเนี่ยว่าอ้วนขึ้น'
'อิพี่ลู่บ้า!!!'
เสียงหัวเราะชอบใจของคนที่โดนแบคฮยอนด่าดังขึ้นหลังจากที่ได้พูดหยอกล้อคนตัวเล็กได้สำเร็จก่อนที่จะหันมาเล่นงานผมต่อ
'เอาไงเรา ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่.. ชอบใจอะดิ'
'ชอบฮะ แต่ชอบคนตรงหน้านี้มากกว่า'
'ถ้าไม่อยากหน้าแดงไปมากกว่านี้อย่าพูดอย่างเมื่อกี๊อีก'
ผมก็ไม่รู้ว่าอะไรเข้าสิงให้ผมพูดแบบนั้นเพราะตั้งแต่เค้าบอกชอบผมจนเราได้คบและเป็นแฟนกันตัวเค้าปลุกอะไรบางอย่างในตัวผมให้กล้าพูดกล้าทำอะไรเกินขีดจำกัดของตัวผมเองตลอดซึ่งบางทีผมก็ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ากำลังพูดอะไรกำลังทำอะไรอยู่ แต่ก่อนผมจะคิดก่อนทำเสมอ แต่เดี๋ยวนี้คำพูดมันออกไปก่อนความคิดตลอด
คนที่พูดว่าไม่อยากให้ผมหน้าแดงกลับทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับคำพูดโดยการจับไหล่ทั้งสองข้างของผมพลางโน้มหน้าลงมาใกล้ๆจนผมไม่ได้ยินเสียงอีกคนพูดอะไรจึงเงยหน้าขึ้นถึงเห็นว่าหน้าของคนตรงหน้าจะเลื่อนมาจะถึงหน้าของผมอยู่แล้ว ผมตกใจผละออกถอยหลังพร้อมกับมือทั้งสองข้างที่ดันหน้าอกอีกฝ่ายให้ถอยออกไป
'มะ ไม่ได้นะ'
'ทำไมจะไม่ได้..คนที่เค้ารักกันเค้าก็ทำกันทั้งนั้น'
'แต่ไม่ใช่ที่สาธารณะและคนเยอะแยะอย่างนี้..'
ผมพูดแล้วทำหน้าตาจริงจังถึงจะไม่ค่อยแคร์กลุ่มคนที่ชื่นชอบเค้าแต่การจะทำอะไรประเจิดประเจ้อต่อหน้าของพวกเธอๆก็ออกจะเกินไปหน่อยโดยเฉพาะในสถานที่ที่เป็นโรงเรียนอย่างนี้ด้วย
'โห่ววว อะไรกัน คิดถึงแก้มนิ่มๆนี่จะแย่'
คนหน้าหวานทำหน้างอแงมือซุกซนของเค้าเปลี่ยนจากการจับไหล่ของผมมายืดแก้มทั้งสองข้างแทน
'ปล่อยเลย เจ็บนะ คนฉวยโอกาส'
'ก็เพราะโอกาสมันไม่ได้มีมาง่ายๆไง อะไรทำได้ก็ต้องรีบทำสิครับ'
'คนขี้โกง..'
'เค้าเรียกว่าฉลาด'
'คนเห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้'
'นี่หลอกด่าปะเนี่ย'
'ไหนบอกว่าฉลาด ไม่เห็นจะฉลาดเลย'
ผมพูดเสร็จก็รีบวิ่งไปแสตนด์ทันทีเพราะได้ยินเสียงนกหวีดจากประธานสีและเสียงของแบคฮยอนที่เรียกผมอยู่
'เก่งขึ้นเยอะนะเรา เก่งให้ได้ตลอดละกันตัวแสบ'
ผมหันหลังกลับไปทำหน้าทำตาล้อเลียนให้คนที่อยู่เบื้องหลัง เสียงของเค้ายังคงพูดกับผมอยู่ไม่หยุด
'เดี๋ยวก็ได้ล้มหรอก'
'ไม่ต้องห่วงเว้ย ถ้าล้มเดี๋ยวทางนี้ดูแลให้เอง โด้นวอรี่เพื่อน' เสียงพี่ฮักตอบกลับอีกคนที่ทำหน้ายู่จนคิ้วจะชนกัน
'แกก็ระวังตัวไว้ให้ดีไอ้เขียว'
'แฟนเพื่อนก็เหมือนแฟนเราไม่เคยได้ยินเหรอวะ ชิวๆเว้ยเพื่อนหาน ฮ่าๆๆๆ โอ๊ยย ไอ้โหด เป็นบ้าอะไรของแกฟะ?!'
คนหน้านิ่งประธานคณะสีโยนพู่ที่จะใช้ประกอบแสตนด์ใส่เพื่อนที่พูดไม่หยุดปากเรียกเสียงหัวเราะขำขันให้กับรุ่นน้องที่นั่งอยู่
เสียงของคนดังประจำโรงเรียนเถียงกันไปมาสร้างทั้งเสียงหัวเราะและเสียงซุบซิบนินทาจากทุกคนในที่แห่งนี้ได้เป็นอย่างดี
เกือบ7ชั่วโมง
คุณอ่านไม่ผิดหรอกครับ ตั้งแต่บ่ายจนมาถึงตอนนี้ท้องฟ้าที่สว่างในตอนกลางวันถูกความสว่างของดวงไฟที่เปิดอยู่แต่ก่อนแล้วแทนที่ ทำให้คนข้างในไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน พระอาทิตย์ตกไปเมื่อไหร่
เราพักกินข้าวเย็นที่มีผู้สนับสนุนแสนใจดีอย่างรุ่นพี่จงอินที่เหมาเซทอาหารที่อุดมไปด้วยของบำรุงร่างกายที่เหนื่อยล้ามาหลายชั่วโมงของนักเรียนในอาคารแห่งนี้
'ดูก็รู้ว่าอาหารพวกนี้จงใจให้โดคยองซูโดยเฉพาะ'
คนตัวเล็กดวงตาเรียวรีที่นัยตาตอนนี้ดูเหนื่อยล้าพูดขึ้นแม้จะดีใจที่ได้กินอาหารจากรุ่นพี่อดีตประธานนักเรียนก็ตาม
'คิดมากไปรึเปล่า'
'เหนื่อย! จะพาลมีไรปะ?'
ผมยิ้มขำกับอารมณ์คนที่นั่งข้างๆแล้วหยิบน้ำสีสวยขึ้นจิบเพื่อดับความกระหายหลังจากที่แหกปากร้องเพลงมาร่วมหลายชั่วโมงโดยมีประธานสีสุดโหดที่ไม่ปล่อยให้ได้หายใจหายคอซ้อมอยู่อย่างเอาเป็นเอาตายจนประธานของสีอื่นๆต่างยอมแพ้ให้ประธานหน้านิ่งฝ่ายปกครองคนนี้
'แบคคิดว่ารุ่นพี่จงอินเป็นคนยังไงหรอ?'
'ก็...หล่อ ดูดี อบอุ่น รวย'
'แบคชอบ?'
'ใครบ้างจะไม่ชอบ'
'ชอบแบบคนรักเลยหรอ'
'ก็.. แปปนะ อืม..' คู่สนทนาของผมหยุดคำตอบชั่วขณะแล้วหยิบเจ้าเครื่องที่สั่นครืนอยู่ข้างตัวมากดรับ
'เมื่อกี๊คุยถึงไหนแล้วนะ'
'คุยได้หรอ?' ผมกระซิบถามเพราะเห็นว่าอีกคนยังอยู่ในสายอยู่
'ได้ดิ'
'ค่อยคุยก็ได้ แบคคุยกับคนในสายก่อนเถอะ'
'ไม่เป็นไรหรอก ถึงที่ว่าอะไรนะ ชอบแบบคนรักรึเปล่าอ่ะหรอ?' คนพูดเน้นคำว่าคนรักไม่รู้จงใจหรือมีเหตุผลอะไร
'อื้อ'
'ก็อาจจะ เพราะเราชอบเค้ามาก่อนอยู่แล้วเปลี่ยนแตีคำแต่ความรู้สึกก็ยังเหมือนเดิม'
'มันเหมือนกันหรอ ชอบกับรัก'
'เหมือนสิ ขึ้นอยู่กับว่าเราจะ ชอบพอ หรือ ชอบใจ' นิ้วสวยกดวางโทรศัพท์หลังจากพูดจบประโยค ผมไม่เห็นเค้าพูดอะไรนอกจากตอบรับสายในตอนแรกแล้วก็คุยกับผมซะงั้น
'นี่ๆ ใครหรอ? ไม่เห็นนายพูดอะไรเลย'
'คนที่ร้านน่ะ อย่าไปใสใจเลย'
'เค้าจะไม่โกรธเอาหรอ'
'นั่นมันก็เรื่องของเค้า'
'ขอนั่งกินข้าวด้วยนะ..'
'...พี่มินโฮ'
'ขอตัวแปปนึงนะ'
แบคฮยอนส่งยิ้มตาปิดไปให้พี่หน้านิ่งที่พึ่งเดินเข้ามานั่งและเอ่ยบอกผมหลังจากที่มองดูข้อความในโทรศัพท์
'ไม่ต้องมองหาหรอก มันออกไปธุระข้างนอก'
ผมยิ้มเจื่อนให้คนรู้ทันตักน่องไก่ส่งไปให้ที่นั่งตรงหน้ากลบเกลื่อนความเขินอาย
'เหนื่อยมั้ย?'
'ก็.. นิดหน่อยฮะ เห็นทุกคนตั้งใจกันขนาดนี้ก็แอบรู้สึกดีแทนประธานคณะสี'
'เรานั่นแหละควรกินเยอะๆ ตัวกระจึ๋งนึงเดี๋ยวได้เป็นลมเป็นแล้ง ไอ้หานได้มาเล่นงานพี่แน่'
'อ่าา..'
'มีอะไรให้ช่วยบอกได้ตลอดนะ'
'หมายถึงเรื่องในโรงเรียนหรือเรื่องส่วนตัวล่ะฮะ'
'ไม่รู้สิ'
'เอ้า!? อะไรของพี่เนี่ย'
ผมอมยิ้มกับคำพูดของคนตรงหน้ก่อนจะตักอาหารที่น่ารับประทานขึ้นมากินต่อ รสชาติถูกปากการห่อการประดับประดาบรรจุภัณฑ์อย่างปราณีตเหมาะสมกับราคาระดับโรงแรมหรูในเครือของIOY Group
เฮ้อออ ~ อย่างน้อยวันนี้ก็เหนื่อยคุ้ม แม้จะกินเวลาการนอนไปมากก็ตามทีเถอะ
---
11:17PM
เราทั้งสองกลับถึงบ้านโดยมีลุงอีทึกคนขับรถบ้านเค้ามารับ เพราะช่วงที่โรงเรียนมีกิจกรรมเค้าไม่ได้รับอนุญาตให้ขับรถไปโรงเรียนเอง ยกเว้นตอนเช้าที่ขับไปเองแต่ช่วงสายแม่ของเค้าจะให้ลุงอีทึกไปขับออกมา โดยท่านให้เหตตุผลว่าขับดึกๆมันอันตรายและทุกคนก็เป็นห่วง
ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมไม่ให้ลุงอีทึกขับไปส่ง จะลำบากขับไปเองเพื่อให้อีกคนนั่งรถไปเอารถออกมาอีกทีเพื่ออะไร
ผมพอขึ้นรถได้ก็หลับเป็นตายเลยเพราะเจอแอร์ที่เย็นๆประกอบกับความเหนื่อยล้าที่สั่งสมมาทั้งวันทั้งการเรียนในช่วงเช้าและการจัดกิจกรรมในช่วงบ่ายยาวมาจนถึงห้าทุ่มนั่นแหละ ส่วนพี่ลู่ก็มีสถานการณ์ไม่ได้แตกต่างจากผมเท่าไหร่ แม้จะพยายามเปิดปากชวนผมคุยขนาดไหนก็สู้ความอ่อนเพลียไม่ได้ หลับไปตามๆกัน ตอนแรกพี่ลู่เค้าชวนแบคกลับด้วยเพราะเห็นว่ามันดึกมากแล้ว จะแวะไปส่งก่อนแต่อีกคนบอกว่าเดี๋ยวจะมีคนมารับผมเลยแยกกับเค้าตรงนั้นเลย ใจก็อยากจะอยู่รอเป็นเพื่อนก่อน แต่สภาพร่างกายไม่ไหวจริงๆต้องการเตียงนอนมาก เลยไม่ได้อยู่รอด้วย
เราถึงบ้านต่างคนต่างแยกย้ายกันทันที ผมอาบน้ำแล้วเข้านอนเลยเพราะเพลียมากจริงๆ ใจก็อยากล้มตัวลงนอนเลยทันทีที่เห็นเตียง แต่วันนี้ร่างกายเหมือนพึ่งผ่านการรบมาประกอบกับอากาศที่อยู่ๆก็ร้อนขึ้นทั้งที่ยังไม่หมดช่วงหน้าหนาว อีกทั้งกิจกรรมเปรอะเปื้อนจะไม่อาบมันก็ดูจะสกปรกเกินไป
ครืนน ครืนน
ผมหยิบโทรศัพท์ที่สั่นอยู่มาเปิดอ่านโดยที่ไม่ได้กดเข้าไปตอบ อมยิ้มก่อนจะล้มตัวลงนอนเพราะความอ่อนเพลีย วันนี้เป็นวันที่หนักหน่วงอีกหนึ่งวันเพราะเป็นวันสุดท้ายของสัปดาห์พวกรุ่นพี่ปี3จึงซ้อมกันอย่างเอาเป็นเอาตาย
'ฝันดีครับ.. เด็กดีของลู่หาน'
ผมเด้งตัวลุกขึ้นก่อนจะเปิดแอปพิเคชั่นที่อีกคนส่งมาก่อนนี้เข้าไปถามเพื่อนสนิทที่บอกจะโทรมาถ้าถึงบ้านแล้ว
MinMin :: แบค.. ถึงบ้านรึยัง?
รอได้ไม่นานผมก็เผลอหลับไปด้วยความที่ต่อสู้กับความอ่อนเพลียไม่ไหว
วันหยุด และแล้ววันหยุดสุดสัปดาห์ที่ทุกคน (รวมถึงผม) รอคอยก็มาถึงหลังจากที่ทนทรมานร่างกายมาตลอดทั้งสัปดาห์ และการตื่นสายในรอบหลายปีของผมก็บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าผมเหนื่อยมากขนาดไหน
สิ่งแรกหลังจากลืมตาตื่นขึ้นมาผมก็ควานหาโทรศัพท์ที่วางไว้บนโต๊ะข้างหัวเตียงหลังจากเปิดอ่านข้อความของอีกคนเมื่อคืน กดดูเวลาและปลดล็อกเช็คข่าวสารเลื่อนขึ้นเลื่อนลงผ่านแอพพิเคเชั่นต่างๆ มือข้างที่ว่างก็ขยี้ตาไปที่ยังสะลึมสะลืออยู่ ก่อนจะเปิดดูตัวที่มันแจ้งเตือน
อ๊ะ! มีข้อความของพี่ชิงด้วย
'พรุ่งนี้แม่จะเข้าไปในเมืองแล้วจะแวะเอาของไปให้คุณอาด้วย กี่โมงเดี๋ยวพี่บอกอีกทีนะ'
ผมยิ้มตอบตัวหนังสือในโทรศัพท์ก่อนจะกดส่งสติ๊กเกอร์กระต่ายโอเคไป ต่อไปก็ของ เค้า เป็นข้อความอรุณสวัสดิ์พร้อมกับรูปถ้วยกาแฟที่ดูคุ้นตา
'ตื่นแล้วโทรหาพี่ด้วยนะ วันนี้เราจะพาที่มยอนไปเที่ยวกัน'
ผมตาลุกวาวหลังจากอ่านเจอคำว่า ไปเที่ยว ผมไม่ได้โทรไปบอกว่าตื่นแล้วตามที่คนในข้อความบอกแต่เลือกที่จะส่งข้อความตอบกลับไปด้วยคำสั้นๆ 'C U' ก่อนจะเจอคำตอบจากแบคฮยอนที่ถามค้างไว้ตั้งแต่เมื่อคืน
BBhyunn :: ถึงแล้วๆ ขอโทษที่เมื่อคืนไม่ได้ตอบนะ ที่ร้านมีเรื่องนิดหน่อย แต่ตอนนี้เคลียร์เรียบร้อยแล้ว
MinMin :: ok
หลังตอบกลับเพื่อนสนิทแล้วผมก็รีบลุกออกจากเตียงไปอาบน้ำแต่งตัว ผมใช้เวลาในการจัดการตัวเองในเวลา10นาที หยิบโทรศัพท์ที่นอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงมาใส่กระเป๋าเอี๊ยม สะพายกระเป๋าส่องกระจกหมุนซ้ายขวาเช็คความเรียบร้อยแล้วรีบวิ่งลงไปข้างล่างที่มีพ่อ แม่และเจ้าของข้อความที่ทำให้ผมตื่นเต้นตั้งแต่ลืมตาตื่น
'เอ่าๆๆ รีบอะไรขนาดนั้น เดี๋ยวได้ตกลงมาหัวฟาดพื้นได้ไปเที่ยวโรงพยาบาลแทนนะ'
เสียงของบุคคลที่มีอำนาจมากที่สุดในบ้านเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นผมวิ่งทึกทักลงมาด้วยความรีบร้อนเรียกรอยยิ้มขำเอ็นดูจากชายสองคนที่นั่งดูทีวีอยู่ด้วยกัน
'หลับสบายมั๊ยครับ'
'ฮะ..'
'แล้วนี่จะพากันไปที่ไหนล่ะหาน'
'คงเป็นหมู่บ้านแถวๆชานเมืองน่ะครับ ที่นั่นอากาศดี พี่มยอนเค้าจะได้ผ่อนคลายด้วย'
'ไม่พาไปรีสอร์ตเราล่ะ ไปนอกเมืองอากาศดีนะ ไปทะเลไปเกาะ น่าจะสะดวกสบายกว่า'
พ่อเสนอขึ้น อีกคนยิ้มและตอบกลับด้วยใบหน้าที่มีเลศนัย
'ถ้าไปเกาะคงต้องไป ค้างคืน หลายวันเลยครับ พี่มยอนเค้าอยากให้รอไปวันหยุดยาวๆครับ ผมกับน้องจะได้ไปด้วย พี่เค้าอยากให้ไปกันหลายๆคนจะได้สนุกๆ'
คนเจ้าเล่ห์ทำหน้าตากรุ้มกริ่มเน้นคำว่า ค้างคืน ให้ผมได้ก้มหน้ามองมือบนหน้าตักตัวเองด้วยความเขินอาย และยิ่งอายเข้าไปอีกเมื่อนึกถึงเรื่องที่ตัวเองฝันเพ้อเจ้ออย่างไม่น่าให้อภัยตัวเอง
'ก็จริงนะ ค่อยหาเวลาไปละกัน'
'แล้วนี่จะไม่กินอะไรกันไปก่อนเหรอ? หรือจะไปหากินเอาข้างหน้า'
'ผมกะมาฝากท้องที่นี่แหละครับ'
'ก็ว่าทำไมมารอตั้งแต่เช้า ม๊าเราไม่น้อยใจแย่เหรอเนี่ย มีภัตตาคารตั้งหลายสาขาแต่ลูกดันหนีมากินข้าวบ้านอื่นเนี่ย มาๆ แม่เตรียมไว้ให้แล้ว เดี๋ยวตักเพิ่มให้ มินนี่มากินข้าวก่อนลูก'
ผมวางกระเป๋าสะพายแล้วเดินตามสองคนข้างหน้าไปในครัว ส่วนพ่อแยกออกไปเตรียมตัวจะไปทำงานแม้จะเป็นวันหยุดก็ตาม
'มีข้าวต้มปลา ปังปิ้ง นมอุ่นๆ สลัดผลไม้ ตบท้ายด้วยชาที่ส่งตรงจากประเทศจีนซึ่งก็คือของฝากจากม๊าเรานั่นแหละ กินให้หมดนะจะได้อิ่มๆไม่ต้องไปซื้ออีกระหว่างทาง'
'ครับ/ฮะ'
'แม่ไม่กวนละ.. เราสองคนกินไปเถอะจ้ะ จะได้มีเวลาจู๋จี๋กันด้วย'
'จู๋จี๋อะไรแม่!!'
ผมอายหน้าขึ้นสีหันไปพูดเสียงเข้มกับแม่ที่ปลีกตัวออกไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหันมาส่งค้อนให้คนตรงข้ามที่นั่งนั่งหัวเราะชอบใจอยู่คนเดียว
'ขำตายแหละ'
ผมยู่หน้าใส่แล้วตักข้าวต้มกินโดยที่ไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมองคนหน้าสวยที่ตอนนี้กำลังก่อกวนผมอยู่โดยการเอาขามาเขี่ยขาผมอยู่ใต้โต๊ะ ผมปัดขาเค้าออกและยกขาตัวเองหลบซ้ายทีขวาทีก่อนจะเตะไปข้างหน้าโดนขาอีกคนเต็มๆ จนเค้าส่งเสียงร้องโอดครวญ
'โอ๊ยย แกล้งพี่เหรอ?'
'กินข้าวฮะ..' ผมตอบอีกฝ่ายโดยที่หน้ายังคงไม่เงยขึ้นจากชามข้าวต้ม
'หน้าจะจุ่มลงไปอยู่แล้วนั่น'
ผมไม่สนใจคำพูดของเค้ายังคงตั้งหน้าตั้งตาก้มหน้ากินสิ่งที่อยู่ในชามต่อก่อนจะรับรู้ถึงสัมผัสเบาๆบนหน้าผาก
จุ๊บ!
ผมเงยหน้าขึ้นทันทีด้วยความตกใจและช็อคอีกรอบเมื่อเค้าก้มลงมาในตำแหน่งที่ต่ำกว่าจมูก... ผมได้แต่อึ้งมือที่จับช้อนอยู่กระชับแน่น
'เด็กน้อยจริงๆเลยเรา กินเลอะเทอะยังไม่รู้ตัวอีก'
'ทีหลังก็บอกดีๆสิฮะ'
ผมก้มหน้าลงตามเดิมหลังจากที่ใช้หลังมืออีกข้างยกขึ้นมาเช็ดๆตรงบริเวณที่อีกคนใช้ริมฝีปากของเค้าเช็ดไปเมื่อกี๊พร้อมกับคำพูดที่เบาจนแทบคนฟังจะไม่ได้ยิน
'ถ้าก้มลงไปอีกจะไม่ใช่แค่การแตะแบบเมื่อกี๊' ผมจำยอมเงยหน้าพร้อมไร่มะเขือเทศแดงสุกบนแก้มทั้งสองข้าง
'อะแฮ่มมม ขอโทษที่ขัดจังหวะเวลาสวีทกันนะครับ ขอแจ้งให้ทราบว่าอีกซักประเดี๋ยวเราจะออกเดินทางกันแล้ว ช่วยเตรียมความพร้อมให้เรียบร้อยด้วยนะครับ'
'เออๆ'
พี่ชายตัวสูงเดินเข้ามาสร้างความอับอายให้ผมเพิ่มขึ้นไปอีก ผมได้แต่ส่งยิ้มเขินอายกลับไปให้พร้อมกับพยักหน้าเข้าใจในประโยคที่พี่เค้าพึ่งพูดจบไป
'แกเองก็เพลาๆหน่อย..น้องมันยังเด็กนะเว้ย ทำอะไรก็ระวังๆหน่อย'
'ฉันไม่ใช่คนที่ทำอะไรไม่คิดแบบแก'
'ฉันทำอะไรฉันคิดเสมอ... แค่คิดหลังจากที่ลงมือทำไปก่อนแค่นั้นเอง'
'พี่มยอนนี่น่าสงสารเนอะ'
ประโยคนี้คนเป็นน้องหันมาเป็นเชิงจะถามผมหรือประชดคนเป็นพี่อยู่กลายๆก็ไม่แน่ใจ ผมได้แต่ยิ้มแหยๆตอบออกไปเสียงแผ่วตามความคิดของตัวเอง เพราะก็อย่างที่ผมเคยบอก อู๋อี้ฝาน ไม่ใช่ผู้ชายธรรมดาๆที่หน้าตาดีมีฐานะการศึกษาดี ก็...ไม่ธรรมดาจริง
'คงงั้นมั้งฮะ'
'อ้าว?! ไมน้องพูดกับพี่งี้อะ รู้ว่ารักกันมากแต่จำเป็นต้องเข้าข้างกันขนาดนี้เลยอ่อ'
'พูดความจริงทำเป็นรับไม่ได้ ออกไปได้ละ เดี๋ยวตามออกไป'
'ฝากไว้ก่อนไอ้หน้าสวย อย่านานล่ะ ไม่อยากกลับบ้านค่ำ'
'อือ..'
หลังจากพี่อู๋ออกไปเราสองคนก็ช่วยกันเก็บจานชามล้างไม้ล้างมือแล้วตามออกไป พี่ลู่เข้าไปเอาของในบ้าน ผมมองดูพี่อู๋กับพี่มยอนที่ยืนหยอกล้อกันอยู่ข้างๆรถ เป็นภาพที่สวยงามไร้ที่ติจริงๆ
คนนึงก็หล่อเหมือนเทพบุตรอีกคนก็สวยสง่าเหมือนเจ้าฟ้าเชื้อพระวงศ์ ถ้าตาไม่ฝาดผมเห็นแสงสว่างๆอยู่รอบๆตัวทั้งสองคน รอยยิ้มหวานเคล้าเสียงหัวเราะทั้งคนแกล้งและคนที่ถูกแกล้ง
หากที่นี่ไม่ใช่โลกมนุษย์ก็คงเป็นสวรรค์
พวกเค้าทั้งสองคนเหมาะสมกันมาก
เริ่มต้นวันหยุดกับการได้ไปเที่ยวแบบนี้ รู้สึกดีจัง โชเฟอร์ประจำทางของเราในทริปวันนี้คือพี่อู๋ที่นั่งข้างๆกันก็น้องชายหน้าสวยของเค้า และควบตำแหน่ง คนรักของผมด้วย ส่วนผมกับพี่จุนมยอนนั่งข้างหลัง
'มยอน..โอเคมั๊ย? อึดอัดรึเปล่า?' ทันทีที่ทุกคนเข้าประจำตำแหน่งเรียบร้อยพี่โชเฟอร์ก็หันมาถามอีกคนที่นั่งข้างๆผม
'อื้อ โอเค'
เสียงสดใสจากคนตัวเล็กเรียกรอยยิ้มอ่อนโยนปรากฎบนใบหน้าหล่อเหลาของคนถาม ถ้าผมเป็นพี่อู๋ผมคงทั้งหวงทั้งห่วงคนๆนี้มากแน่ๆ เค้าเป็นผู้ชายที่มองยังไงก็อยากดูแล น่าปกป้อง น่าถนุถนอม ผิวขาวๆที่ไปไหนมาไหนคงดึงดูดสายตาของคนรอบข้างให้หยุดมองนั้นเป็นเหมือนมนต์สะกดให้หลงในเสน่ห์คนๆนี้ ผมคงต้องขังพี่เค้าไว้มองคนเดียวเพื่อไม่ให้คนอื่นได้เห็นและเผลอหลงไหลเข้า
'หน้าพี่มีอะไรติดรึเปล่า'
'ห๊ะ?! เปล่าฮะ ทำไมเหรอฮะ'
'ก็เล่นนั่งจ้องหน้าพี่ตั้งแต่ขึ้นรถมาเนี่ย'
'แฮะๆ ผมแค่คิดว่า พี่มยอนผิวสวยจังเลยน่ะฮะ ยิ้มก็สวย'
'แต่พี่ว่าหานยิ้มสวยกว่าพี่อีกนะ'
'มันคนล่ะแบบกันฮะ..แล้วที่พี่อู๋บอกพี่สุขภาพไม่ค่อยแข็งแรง เดินทางอย่างนี้ไม่เป็นเหรอฮะ'
'ไม่หรอก พี่ไม่ได้เป็นอะไรหนักมากขนาดนั้น ฝานเค้าก็พูดเกินไปเรื่อย'
'ไม่มีใครในโลกนี้รู้จักนายดีเท่าฉันหรอก'
'พอๆ ไม่ต้องมาโชว์สวีท..แวะปั๊มข้างหน้าด้วย'
คนที่นั่งข้างๆพูดเบรคสงครามประสาทที่กำลังจะก่อตัวให้ดับลง ผมมองดูสายตาของโชเฟอร์ข้างหน้าที่มองคนรักผ่านกระจกด้วยแววตาที่อ่านยาก ส่วนอีกคนก็เหม่อมองวิวข้างทางไม่ได้เอะใจว่ามีใครกำลังมองตนเองอยู่เลย
เราใช้เวลาในการเดินทางจากบ้านมาถึงสถานที่ที่พี่อู๋อยากพาพี่จุนมยอนมาเพื่อเปิดหูเปิดตารับอากาศบริสุทธิ์ 1ชั่วโมงกว่าโดยการแวะพักหนึ่งครั้ง ไม่น่าเชื่อว่าสถานที่ที่อยู่ไม่ห่างจากตัวเมืองไม่เท่าไหร่บรรยากาศจะแตกต่างกันได้ถึงขนาดนี้ พี่เค้าเอาเวลาไหนไปรู้จักสถานที่แบบนี้ทั้งที่ไม่ได้อยู่ที่นี่ตั้งหลายปี
ที่นี่เป็นหมู่บ้านเล็กๆที่รายล้อมไปด้วยทุ่งหญ้าต้นไม้ดอกไม้นาๆชนิดที่ผมพึ่งเคยเห็นจากที่นี่เป็นที่แรก เนินเขาสูงที่เขียวชะอุ่มปกคลุมด้วยต้นหญ้าเล็กๆสีเขียวสดใสมองแล้วสบายตา ผมสูดเอาออกซิเจนเข้าปอดแล้วมองดูอีกคนที่กางแขนทั้งสองข้างหลับตาพริ้มรับลมที่พัดผ่านตัวไปผมสีบรอนด์ปลิวไสวทำให้เค้าดูสวยมีเสน่ห์มากขึ้นไปอีก ส่วนพี่น้องสองคนก็ช่วยกันเตรียมของที่จะเอามาปิกนิกกันในที่แห่งนี้
คนดูดีนี่อยู่เฉยๆก็ดูดีเนอะ มองแล้วเพลินดีอีกต่างหาก
'เราจ้องพี่อีกแล้วนะ..'
'แฮะ แฮะ'
ผมไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ายืนมองเค้าอยู่จนอีกฝ่ายรู้ตัวแล้วหันมาถามผมอีกรอบ ผมได้แต่หัวเราะกลบเกลื่อนแล้วตอบอีกคนไปเรื่องอื่น
'พี่อู๋นี่โชคดีนะฮะที่ได้รู้จักคนดีๆแถมยังสวยอย่างพี่มยอน'
'ฝานอาจจะโชคดี แต่พี่อาจจะโชคร้ายก็ได้นะที่ได้รู้จักคนอย่างเค้า ฮะๆๆ'
เค้าพูดติดตลกแล้วขำกับคำพูดของตัวเอง ก่อนที่คนโชคดีจะเรียกเราให้ไปนั่งพี่มยอนก็พูดอีกประโยคหนึ่งให้ผมได้คิดตาม
'เราไม่มีสิทธิรู้หรอกว่าทุกอย่างอย่างที่เราเห็นมันเป็นความจริงหรือเรื่องโกหก เราก็แค่เห็นในสิ่งที่เค้าอยากให้เราเห็น'
แววตาที่เหม่อลอยมองไปยังวิวข้างหน้าอย่างคนเลื่อนลอยก่อนจะหันกลับมายิ้มตามเดิมแล้วจูงมือผมไปร่วมวงกับอีกสองคนที่รออยู่
ง่า มือก็นิ่ม .///.
เราทั้งหมดใช้เวลาส่วนใหญ่นอนกันซะมากกว่า มาพักผ่อนกันจริงๆ เพราะทั้งผมและพี่ลู่ก็ยังเหนื่อยและเพลียจากกิจกรรมเมื่อวาน ส่วนพี่อู๋กับพี่มยอนก็นั่งคุยกันเรื่อยเปื่อยก่อนจะหลับไปตามๆกันเพราะบรรยากาศที่ดีปลอดโปรงเย็นสบายและเงียบสงบ จนเวลาล่วงเลยมาถึงตอนเย็น เรานั่งดูพระอาทิตย์ตกด้วยกัน ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกก่อนจะเก็บสัมภาระทุกอย่างแล้วเตรียมตัวกลับบ้าน
'ขอบคุณนะ..'
ผมแอบได้ยินพี่มยอนคุยกันกับพี่อู๋อยู่ไม่ไกล คำขอบคุณกับรอยยิ้มสดใสนั่นเป็นตัวเชื้อเชิญให้อีกฝ่ายดึงคนที่ตัวเล็กกว่าเข้าไปกอดด้วยความอ่อนโยน
'มากกว่านี้ฉันก็ทำให้ได้'
'ไงเรา..มาแอบดูชาวบ้านเค้าจู๋จี๋กันทำไม อยากได้แบบพวกเค้าก็บอกพี่ดีๆสิ'
ผมหันไปมองค้อนอีกคนด้วยใบหน้ามะเขือเทศสุกก่อนจะผลักอกเค้าเบาๆแล้วเดินไปขึ้นรถรอ
'อะไรเล่า วันนี้เรายังไม่ได้ทำอะไรที่เหมือนคนเป็นแฟนกันเค้าทำเลยนะ'
แล้วที่บ้านนั่นคือ? ผมหันหลังกลับมาอีกครั้งเพราะถูกรั้งไว้จากผู้ชายหน้าสวยที่ขยันทำให้ผมอายได้วันละหลายร้อยรอบ
'เลย ~ ทำแบบนั้นก็ได้ -3-'
'ไม่..' ผมก้มหน้ามองรองเท้าตัวเองแขนยังยังโดนอีกคนจับไว้อยู่
'ถ้าให้พี่ทำเองมันจะไม่ใช่แค่กอดนะ'
ผมเงยหน้าขึ้นขมวดคิ้วให้คนตรงหน้าแล้วมองผ่านไหล่เค้าไปเห็นพี่อู๋กับพี่มยอนเดินออกไปแล้ว
'นับ3ถอยหลังนะ'
'อย่ากดดันสิ'
'อะไร? ทำยังกับไม่เคย นับละนะ 3..' เค้าดึงผมเข้าไปกอดก่อนจะนับต่อ
'2...'
ผละออกพร้อมกับปลายจมูกที่สัมผัสบนหน้าผากผม
'1...'
จบด้วยแตะที่ริมฝีปากเบาๆแล้วผละออก
คนขี้โกง
'ปะ กลับบ้านกันครับ..'
พูดเสร็จก็รั้งแขนผมให้เดินตามเค้าไป กล่องเสียงผมไม่ทำงานผิดกับมะเขือเทศที่สุกแล้วสุกอีกบนใบหน้าของผม ตั้งแต่เราคบกันทุกๆวันของผมเป็นวันที่ดีและมีความสุขมาก ที่ว่าความรักทำให้คนตาบอดผมยอมตาบอดเพื่อแลกกับการที่มีเค้าอยู่เคียงข้างแล้วจะทำให้ทุกวันของผมเป็นวันที่ดีและมีความสุขอย่างนี้
---
Wu' Part
วันนี้เป็นวันหยุดอีกหนึ่งวันที่ผมไม่รู้จะทำอะไรและจะพาอีกคนไปไหน เพราะตอนที่แพลนเอาไว้ตอนแรกคือเราจะไปและกลับในเช้าวันจันทร์ เพราะพ่ออยากให้ผมเข้าไปดูงานของที่นี่ในช่วงบ่าย แต่เพราะไอ้น้องชายหน้าสวยของผมอยากพาแฟนเด็กของมันไปด้วยเราเลยจะค้างคืนกันไม่ได้ ครั้นจะให้พวกนั้นกลับมาก่อนคนทางนี้ก็ไม่เห็นด้วยอีก เลยสรุปได้ไปเช้าเย็นกลับอย่างที่เห็นเมื่อวาน
แต่ก็ถือเป็นเรื่องดีเพราะเป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นใบหน้าที่ผ่อนคลายของเค้าตั้งแต่เกิด เรื่องนั้น
1 เดือนกับการที่ คนๆนั้น ต้องชดใช้ให้กับน้องชายของผม และ เพื่อนสนิท ที่ผมรักมากที่สุด การกลับเกาหลีในครั้งนี้เป็นแค่ข้ออ้างว่าอยากจะกลับบ้านและอยากพาเค้ามาพักผ่อนเพื่อหนีจากเรื่องบ้าๆนั่นที่ผมบอกกับเค้าไป แต่จุดประสงค์หลักของการกลับมาคือ การตามหาคนที่หนีความผิดมาต่างหาก ผมไม่เข้าใจเลยว่าน้องชายผมทำไมกล้าใช้คำว่ารักกับคนพรรค์นั้น คงตามไม่ทันมารยาของคนสารเลวสินะ ชีวิตบริสุทธิหนึ่งชีวิตต้องมาจบลงเพราะคนแก่ตัวเอาแต่ได้แบบนั้น แต่กลับขี้ขลาดหนีกลับมาก่อนทั้งที่ปากก็พูดเองว่าจะยอมทำทุกอย่างเพื่อเป็นการชดใช้รับผิดชอบ ผมก็อุตส่าห์ใจดียกโอกาสให้ได้แก้ตัวแต่กลับกลายเป็นเปิดประตูให้ผู้ต้องขังได้หนีออกไป
ผมไม่น่าใจอ่อนหลงกลเลยให้ตาย คนโกหกปลิ้นปล้อนแสดงละครเก่งแบบนั้น ผมไม่มีทางพลาดเป็นครั้งที่สองแน่
'มายืนทำหน้าเครียดอะไรตรงนี้..'
'เปล่าหรอก..เตรียมของเสร็จรึยัง' ผมถามคนตัวเล็กที่เดินมาหยุดอยู่ข้างๆผมมองดูวิวข้างหน้าที่เป็นสนามกอล์ฟของหมู่บ้าน
'เรียบร้อยแล้ว... แน่ใจหรอว่าจะให้เราไปด้วย เกะกะเปล่าๆนะ'
'ถ้าเกะกะจะอยากให้ไปทำไม ไปสูดอากาศบ้างดีกว่าอยู่บ้านเฉยๆเป็นไหนๆ'
'ก็ไปมาแล้วไงเมื่อวาน'
'อย่าเถียงได้มั๊ย'
คนข้างๆผมยังคงทำหน้าไม่สบายใจเม้มปากขมวดคิ้วเหมือนกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก ผมจึงโน้มตัวลงไปมอบสัมผัสอุ่นตรงริมฝีปากบางๆนั่น เจ้าตัวดูตกใจในตอนแรกก่อนจะปล่อยให้ผมได้เข้าไปชมเกสรดอกไม้ของเค้าอย่างลึกซึ้ง และก็เป็นเค้าทุกครั้งที่เป็นฝ่ายดันอกผมเป็นสัญญาณให้หยุด
'ถ้าสิ่งที่ทำอยู่คือการสำนึกผิด รับผิดชอบ เรารับรู้ เข้าใจและยอมรับแล้ว หยุดแค่นี้เถอะ เรากลับไปเป็นเพื่อนกันเหมือนเมื่อก่อนนะ ถ้ายังคิดว่าเราเป็นเพื่อนอยู่.. ได้มั๊ย?'
ผมกระชับอ้อมกอดอีกคนแน่นหลับตาแล้วนึกย้อนไปในวันที่ผมพลาดทำอะไรให้เราสองคนมีสถานะที่เกินคำเพื่อนกันจนเกิดเรื่องราวบานปลายและเหตุการณ์ต่างๆตามมา
'มีอะไรที่คิมจุนมยอนขอแล้วอู๋อี้ฝานคนนี้ไม่ทำให้มั่งล่ะ'
'เยอะแยะไป..' ผมก้มลงไปฝากคางไว้ที่ไหล่เล็กอีกคนที่พูดและตีหลังผมไปด้วย
'นายไม่ควรบอกกับทุกคนไปแบบนั้น..'
'ให้พวกเค้าเข้าใจอย่างนั้นแหละดีแล้ว'
'โกหกผู้ใหญ่มันไม่ดีนะ โดยเฉพาะผู้ใหญ่ที่เป็นพ่อกับแม่'
'ฮื่อออ ไม่เป็นไรหรอก พวกท่านเป็นพ่อแม่ฉันยังไงต้องเข้าใจฉันอยู่แล้ว'
'จะบอกว่าตัวเองเป็นคนมีเหตุผล?'
'เรื่องบางเรื่องยิ่งพูดมากก็เหมือนเป็นการแก้ตัว เหมือนเราทำความผิดมา ก็แค่ทำตามความคิดของพวกเค้าละก็เล่นไปตามน้ำก็ไม่มีใครถามอะไรต่อ จบ ทุกคนแฮปปี้'
'นายนี่มันเจ้าเล่ห์จริงๆเลยนะ'
'ได้กอดนายแบบนี้แล้วฉันรู้สึกผ่อนคลายสบายใจกว่าตอนได้พักอีก เฮ้อออ ~'
ผมยังคงกอดมยอนไม่ยอมปล่อย ตอนอยู่ที่แคนาดาผมต้องเหนื่อยกับการเรียนพร้อมกับการทำงานไปด้วย ก็ได้เค้าที่เป็นเหมือน บ้านของผม ที่อยู่ด้วยแล้วรู้สึกอบอุ่น สบายใจ ปลอดภัย
'เป็นไบโพล่าหรอเนี่ย..มาโหมดไหนอีก ไม่มีอาหารเม็ดให้หรอกนะ' คนในอ้อมกอดผมผละออกยกมือขึ้นเกาคางผม
'ไม่ใช่หมา' ผมตอบอีกคนหน้าตาย
'อ้อ! วันนี้ที่บ้านมินซอกมีใครมาไม่รู้ได้ยินเสียงแม่น้องเอะอะใหญ่เลย'
'อ๋อ คงเป็นแฟนเก่าคุณลุงน่ะ..'
'จะ จริงเหรอ?!!'
'วะ ฮ่าๆๆๆๆ' ผมหลุดหัวเราะก้ากหลังจากเห็นสีหน้าช็อคตกใจในสิ่งที่ผมพูดของคนตัวเล็ก
'แกล้งเราเหรอ?'
'ก็อยากว่าฉันเป็นหมาก่อนทำไม ฮ่าๆๆๆ'
'อู๋อี้ฝาน! นายนี่มันนิสัยไม่ดีจริงๆ'
'อ้าว! อยู่นี่กันเอง ขอโทษที่ขัดจังหวะนะจ้ะ ม๊าจะออกไปดูเด็กซื้อของตุนใส่ภัตตาคารนะ'
'ให้มยอนไปด้วยสิม๊า'
'มะ ไม่ดีกว่าครับ..'
'เอาสิๆ ปะๆ..'
'เอ่อ คือ..'
ผมพยักหน้าให้คนที่อิดออดก่อนที่ม๊าจะพาเค้าออกไปได้สำเร็จ
'เฝ้าบ้านดีๆนะไอ้เสือ ม๊าคงพาหนูมยอนกลับค่ำๆ'
'ขับรถระวังๆนะม๊า'
'ไม่ต้องห่วงย่ะ ฉันไม่ได้จ้างคนขับรถมานั่งตบแมลงวันเล่นหรอก'
หลังจากเดินมาส่งม๊ากับมยอนขึ้นรถเสร็จแล้วผมก็เตรียมตัวจะขึ้นไปนอนพักบ้างตามสไตล์คนสิ้นคิดที่ไม่รู้จะทำอะไร เพราะบ่ายนี้พ่อจะพาเข้าไปดูงานที่สำนักงานใหญ่
'อ้าว! ฉันนึกว่าแกไปบ้านน้องตั้งแต่เช้าแล้วซะอีก'
'เออ.. กำลังจะไป'
'อ้อ เห็นมยอนบอกว่าที่บ้านนั้นมีแขกมา'
'อี้ชิง น่ะ..'
'................'
'เดี๋ยว..? ฉันไปด้วย..'
'แกจะตามไปทำไม..ฉันจัดการของฉันเองได้'
'ฉันก็อยากเห็นตัวจริงคนที่ทำแกเป็นจะตายไง'
'ตามใจ..'
หึ.. ปากมันบอกว่าจัดการเองได้ แต่แววตาห่วงหาอาลัยอาวรณ์ขั้นสุดขนาดนั้นเชื่อก็โง่เต็มที ละท่าทีรีบร้อนเลิ่กลั่กนั่นอีก
ลู่หานอ่านง่ายเสมอถ้าทุกเรื่องมีชื่อจางอี้ชิงเกี่ยวข้อง
เค้าว่ากันว่าโชคชะตามักไม่เข้าข้างคนดี งั้นผมคนเป็นคนเลวที่โชคชะตามักจะเข้าข้างผมเสมอ เราเจอกันแบบที่ผมก็ยังไม่ทันได้ตั้งตัวเหมือนกันกับการเจอกันในครั้งแรกที่นั่น
ยินดีที่เจอกัน 'อีกครั้ง'
จาง อี้ ชิง
.
.