21
My Memories ::LuHan::
‘อย่านะ! ไม่! หยุด! หยุด!!’
ร่างขาวซีดของคนป่วยหลุดเสียงที่กำลังเผชิญอยู่ในห้วงนิทราออกมาก่อนที่ดวงตาที่ดูอ่อนล้าคู่นั้นจะเบิกกว้างให้สติกลับมาอยู่กับปัจจุบัน
ผมเดินเข้าไปหาคนที่กำลังตัวสั่นอยู่เรียวแขนที่มีสายน้ำเกลือแปะอยู่โผเข้ากอดผมเต็มแรง ใบหน้าตื่นตระหนกยังคงหวาดกลัวกับเรื่องราวในนิทราของตนเอง ผมกอดตอบพลางลูบผมนุ่มเป็นการปลอบประโลมแม้จะไม่รู้ว่าในฝันนั้นมีเรื่องราวเป็นมายังไงแต่ก็คงไม่ใช่เรื่องดีแน่นอนดูจากอาการของคนที่ตัวสั่นอยู่ในอ้อมกอดของผมอยู่นี้
ห่างหายจากการบอกเล่าบันทึกชีวิตที่เกิดขึ้นผ่านสมุดเล่มนี้มาระยะหนึ่ง ส่วนสาเหตุมาจากอะไรทุกคนก็น่าจะรู้ดี แต่ถึงมันจะไม่ต่อเนื่องมีบางเรื่องที่ผมไม่หยิบมาเขียนแต่ผมก็เชื่อว่าคนที่ได้อ่านจะปะติดปะต่อเรื่องในหน้าก่อนๆเดาได้ไม่ยาก
ชีวิตที่กำลังจะไปได้สวย(?)ของผมถูกปั่นป่วนเพราะมีใครอีกคนเข้ามาตั้งแต่วันนั้น
วันที่สิ้นสุดความสัมพันธ์ที่ผมเคยวาดฝันอนาคตไว้
วันแห่งจุดเริ่มต้นและจุดจบของทุกความสัมพันธุ์
‘น้ำ..’
เสียงแหบพร่าจากคนที่ซุกใบหน้าตรงอกของผมทำให้สองแขนที่โอบกอดเจ้าตัวอยู่ปล่อยออกแล้วหันมาจัดการตามคำพูดของคนป่วย
‘ค่อยๆดื่ม เดี๋ยวสำลัก’
‘ขอบคุณนะ’
ผมยิ้มให้อดีตคนรักที่ยิ้มจริงใจพร้อมกับโชว์ลักยิ้มข้างแก้มที่ตอบลงไปมากเพราะอาการป่วยของเค้า อี้ชิงฟื้นขึ้นมาตามคำพูดของหมอในวันที่อีกคนไม่ได้อยู่ด้วยในวันรุ่งขึ้น
ตั้งแต่อี้ชิงเข้าโรงพยาบาลที่แห่งนี้ก็กลายเป็นบ้านของผมไปแล้ว ผมจะกลับบ้านแค่ตอนที่พ่อกับแม่เรียกให้เข้าไปหาเท่านั้น ที่นี่มีห้องพักให้คนอย่างผมอยู่แล้ว
หลายคนคงรอคำตอบจากผมว่าตกลงคนที่ผมอยากใช้ชีวิตร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยคือใครกันแน่? ผมคงตอบอะไรพวกคุณไม่ได้เพราะขนาดตัวผมเองยังให้คำตอบตัวเองไม่ได้เลย
‘เราฝันถึงพี่ชายลู่อีกแล้วอ่ะ แปลกเนอะ’
คิ้วสวยขมวดจนจะชนกันก่อนจะคลายออกตามอารมณ์ขันในท้ายประโยค ผมยิ้มตอบพลางหันไปหยิบหนังสือที่คนป่วยอ่านค้างไว้ส่งให้แล้วนั่งลงตรงเก้าอี้ข้างๆเตียงเพื่ออ่านหนังสือในมือของตัวเองเช่นกัน
‘ว่าแต่.. ลู่มาเฝ้าเราอย่างนี้ไม่มีเรียนหรอ?’
‘มีสิ’
‘เอ่า แล้วมานั่งทำอะไรอยู่ตรงนี้ ไม่ไปเรียนล่ะ’
‘วันนี้ว่าง ไม่มีเรียน’
‘แน่นะ ไม่ใช่โดดเรียนมานะ’
ผมยิ้มพยักหน้าตอบอีกคนที่ยังคงแคลงใจในการกระทำของผมก่อนที่เจ้าตัวจะก้มลงอ่านหนังสือต่อ กิจวัตรของเรามีแค่นี้จริงๆ ตลอดจนครบ2เดือนที่คนป่วยหายดีจนกลับบ้านได้
‘ลู่หาน..’
เสียงใสที่ทำให้ผมรู้สึกดีทุกครั้งที่ได้ยินคว้าแขนผมไว้ก่อนหลังจากที่ผมจัดการเป็นธุระแทนพ่อกับแม่ของคน(หาย)ป่วยที่ติดงานไม่สามารถมารับลูกชายกลับบ้านด้วยตัวเองได้
‘ว่าไง?’
‘คือ.. นายเป็นเพื่อนที่ดีมากๆเลยรู้มั้ย เราไม่คิดเลยว่าในชีวิตจะมีเพื่อนแบบนาย’
‘อื้ม เข้าบ้านเถอะ’
‘เราไม่รู้จะขอบคุณนายยังไง เอาเป็นว่าฉันจะพยายามเป็นเพื่อนที่ดีแบบนายให้กับนายที่เป็นเพื่อนที่ดีมากๆกับเราละกันนะ’
ผมยิ้มตามกับประโยคที่น่าเอ็นดูนั่นก่อนจะฝากรอยแดงบนหน้าผากใสเป็นการคำตอบแทนแทนคำพูดของตัวเอง
‘เจ็บนะ..’
‘ฉันไปนะ’
‘อื้ม ขับรถดีๆล่ะ อาทิตย์หน้าเจอกัน’
ผมโบกมือให้เจ้าของรอยบุ๋มข้างแก้มที่ตอนนี้กลับมามีเนื้อแก้มเติมเต็มรอยซูบผอมของเดือนที่แล้วแทนแล้ว
ถ้าความจริงไม่ถูกเผาไหม้ไปจนไม่เหลือซากเค้าจะยังคิดว่าเราสามารถเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้อีกรึเปล่า
.
.
.
‘นึกว่าแกจะนอนที่รีสอร์ต’
‘ถ้าวันไหนเดินออกมาจากโลกของตัวเองแล้วคิดได้ ขอให้รู้เอาไว้ว่าทุกอย่างที่แกคิดมันจะเกิดขึ้นแค่ในความคิดของแก เพราะโลกของความจริงทุกอย่างมันเปลี่ยนไปหมดแล้ว’
ผมมองดูหน้าของพี่ชายแท้ๆที่นั่งรอชิมอาหารของแม่อยู่พร้อมกับสาวใช้อีก2-3คนที่นั่งสปหงกอยู่
‘ม๊าบอกมีเรื่องจะคุยด้วย.. พี่มยอนล่ะ’
‘อยู่ในครัวกับม๊านู้น’
ผมนั่งลงตรงเก้าอี้ตรงข้ามอีกคนยกน้ำที่วางอยู่ขึ้นจิบตามองดูอาหารหลากหลายที่วางอยู่จนแทบจะไม่เหลือพื้นที่ให้จานต่อไปอีกอยู่เต็มโต๊ะก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองคนตรงข้ามด้วยสีหน้าเห็นใจ
‘มินซอก..’
‘…….’
‘ติดต่อมาบ้างรึเปล่า,’
การส่ายหน้าแทนคำพูดเป็นคำตอบให้ผมได้ทราบเกี่ยวกับตัวของน้องชายอีกคน
‘ใจร้ายชิบหายเหอะ ขนาดเบอร์โทรติดต่อยังเปลี่ยนอีมงอีเมลก็ไม่ให้ไว้ พ่อแม่ยังต้องรอให้เจ้าตัวติดต่อมาเองเลย’
ทุกอย่างปลี่ยนไป ไม่เว้นแม้กระทั่งจิตใจคน
‘แล้ว.. อี้ชิง’
‘…….’
‘เป็นยังไงบ้าง’
‘ก็ร่าเริงดี’
‘แก .. ไม่เป็นไรใช่มั้ย?’
‘แกนั่นแหละเป็นอะไร’
‘ฉันก็ถามไปตามมารยาทคนเคย.. เคยรู้จักกัน จะถามสารทุกข์สุกดิบไม่ได้ไง๊?’
‘เป็นแบบนี้ก็ดีแล้ว.. แกเองก็ทำตามที่เคยพูดไว้ด้วยล่ะ’
‘ฉันพูดไปเพราะแกบังคับต่างหาก’
-*-
‘เออๆ รู้แล้ว จะพยายาม แต่แกแน่ใจแน่นะ’
‘เออ!’
ตอนนี้ต่อให้ผมเลือกคนใดคนหนึ่งได้แล้ว ทั้งสองคนก็คงไม่มีใครเลือกผมอยู่ดี คงเป็นเวรเป็นกรรมของผมละมั้ง ก็แค่กลับไปยังจุดเริ่มต้นใหม่
เกมส์.. ที่ผมจะเป็นคนเปิดซีซั่นใหม่เอง
เกมส์.. ที่ทุกคนต้องเริ่มจากศูนย์
แต่อาจจะยกเว้นผม ที่โชคเข้าข้างหรือพระผู้เป็นเจ้าทรงเห็นใจก็ไม่ทราบได้ให้ผมมีตัวช่วยและเริ่มออกเดินเกมส์ก่อนผู้เล่นคนอื่นๆ
‘ฉันไม่รู้ว่าควรจะบอกแกดีรึเปล่า?’
‘…….’
‘แต่ความลับยิ่งคนรู้น้อยเท่าไหร่ก็ยิ่งศกดิ์สิทธิ์ ถ้าบอกไปก็คงไม่ใช่ความลับจริงมั้ย?’
‘ถ้าจะมาพูดอย่างนี้แล้วจะพูดให้อยากรู้ทำไม -*-’
‘ฉันเองก็ไม่ต่างจากแกหรอก..’
‘ทำไม? แกมีอะไรปิดบังฉันงั้นหรอ?’
‘ไม่รู้สิ’
‘ฉันเป็นพี่แกนะ เลี้ยงแกมากับมือ..’
‘แล้ว?’
‘ถ้าทุกเรื่องที่ฉันรู้เกี่ยวกับแกมันตรงกับที่แกกำลังคิดอยู่อะไรก็ตามที่แกกำลังปิดบังอยู่ฉันอาจจะรู้แล้วก็ได้’
‘…….’
ผมคงลืมบอกไปว่าอะไรๆที่ว่าเปลี่ยนก็มีข้อยกเว้นด้วยเหมือนกัน สิ่งนั้นคือความเสมอต้นเสมอปลายของคนตรงหน้าผมนี้ ไม่มีครั้งไหนที่ผมเคยหรือเป็นคนเดินนำผู้ชายคนนี้ได้เลยซักครั้ง
แต่ครั้งนี้จะไม่เหมือนครั้งก่อนๆแน่นอน
ความลับที่แม้แต่ตัวผมเองก็ยังคิดไม่ถึงเลยด้วยซ้ำ
‘คุยอะไรกันอยู่สองพี่น้อง’
เสียงหวานของเลขาคนสนิทของอีกคนดังขึ้นพร้อมกับกลิ่นหอมของอาหารที่คนทักถืออยู่ส่งควันลอยเรียกน้ำย่อยในกระเพราะของผมให้ทำงานหนขึ้นเพราะยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยตั้งแต่เที่ยง
‘คุยเรื่องความลับอยู่น่ะ’
‘อยากรู้ด้วยได้มั้ย?’
คนสวยวางถาดอาหารลงตรงหน้าผมที่ขยับแก้วน้ำออกให้ชามตรงหน้าถูกวางได้อย่างพอดีกับพื้นที่ที่ว่างอยู่
‘บอกไปก็ไม่ใช่ความลับสิครับ’
‘นั่นน่ะสิ ระวังร้อนนะ’
ผมเป่าช้อนที่ถูกใช้งานตักอาหารขึ้นจ่อตรงปากก่อนที่อีกคนจะบอกให้ระวังความร้อนของซุปสีอ่อนนี้
‘เล็ก กลับมาแล้วหรอ? อี้ชิงเป็นยังไงบ้าง?’
เสียงของคนที่ทำให้ผมกลับบ้านในวันนี้ร้องทักขึ้นมือปลดผ้ากันเปื้อนส่งให้พี่เลี้ยงคนสวยของผมที่พยักหน้าให้พร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน
‘ก็ดีครับ ปกติทุกอย่างแล้ว อาทิตย์หน้าก็ไปเรียนได้’
‘ดีๆๆ อ่ะนี่เด็กๆ เก็บอาหารได้เลย ขอบคุณทุกคนมาก เราน่ะกินอะไรรึเปล่า?’
ผมส่ายหน้าเป็นคำตอบยึดชามตรงหน้าไว้เพียงอย่างเดียว
‘งั้นผมขึ้นไปอาบน้ำนอนละนะ’
‘ผมเองก็ขอตัวนะครับ’
สองสามีภรรยา(?)เดินโอบไหล่กอดเอวหยอกล้อกันขึ้นไปยังชั้นบนทิ้งให้ผมได้อยู่กับผู้เป็นแม่แค่สองคน ละบอกว่าไม่ได้คิดอะไร เป็นแค่เพื่อนกัน ดูการกระทำซิ ให้เด็กอนุบาลมามองยังรู้เลย ไม่ได้คิดอะไรแล้วจะทำเหมือนให้ความหวังคนอื่นทำไม ไม่เข้าใจมันเลยจริงๆ
ผมเงยหน้าขึ้นจากชามมองดูคนที่นั่งแทนที่พี่ชายที่พึ่งขึ้นไปข้างบน ใบหน้าจริงจังทำให้ผมรับรู้ได้ว่าเรื่องที่จะพูดออกมานั้นซีเรียสในระดับหนึ่ง
‘ลูกโอเคนะที่เรื่องมันออกมาเป็นแบบนี้’
‘ก็ต้องโอเคสิ ผมเป็นคนเลือกเองเลยนะ’
‘คนอื่นไม่รู้หรอกว่าพวกเค้าเป็นยังไง แต่มันเป็นเรื่องยากสำหรับม๊ามาก ยิ่งเรื่องมันจบแบบนี้ยิ่งมองหน้าใครไม่ติด นี่ยังไม่กล้าสู้หน้าบ้านนั้นเลย’
‘ม๊าอย่าคิดมากเลย แค่ทำทุกอย่างเหมือนก่อนเหตุการณ์นั้นจะเกิด หรือจะคิดซะว่าเหตุการณ์นั้นมันไม่เคยเกิดขึ้นเลยสิ’
‘ก็มันเกิดไปแล้ว’
‘และมันก็ผ่านไปแล้วด้วย’
ผมเอื้อมมือไปกุมมืออีกคนที่ประสานกันอยู่บีบลงเบาๆให้อีกฝ่ายคล้อยตามคำพูดของผม
‘มันไม่มีความจำเป็นที่เราจะไปรื้อฟื้นในสิ่งที่ผ่านไปแล้ว.. ที่เป็นอยู่ตอนนี้มันดีแล้วสำหรับทุกคน’
ผมส่งยิ้มให้แม่ที่ยังคงไม่หมดห่วงกับเรื่องนี้ลงง่ายๆ หลังจากที่อี้ชิงฟื้นและเราทั้งสามครอบครัวได้คุยกัน
‘ลูกโอเคแน่นะที่อยากให้เรื่องทุกอย่างมันเป็นแบบนี้’
ผมพยักหน้าแทนคำตอบให้แม่
‘ถ้าจะมีอะไรเปลี่ยนก็ปล่อยให้มันค่อยเป็นค่อยไปตามวันเวลาละกันครับ’
‘แล้วเรื่องหนูมิ(น)…’
ผมรู้ว่าแม่เอ็นดูมินซอกมากแม้อะไรหลายๆอย่างในตอนนี้จะเป็นใจแต่หากเจ้าตัวเค้าไม่มีใจเหมือนเดิมแล้วก็คงไปฝืนอะไรต่อไปไม่ได้
‘ช่างเถอะ.. ถ้าคนมันทำบุญทำเวรทำกรรมร่วมกันมาก็คงได้กลับมาเจอกันอีก เราเองก็อย่าไปคิดมากรู้มั้ย?’
มือที่ผมกุมอยู่ในตอนแรกเปลี่ยนมาบีบมือผมแทนเป็นการปลอบและให้กำลังใจไปในตัว ตกลงใครต้องปลอบใครแล้วใครกันแน่ที่คิดมาก - -
‘ม๊าเชื่อว่าเราสามารถหนีไปที่ไหนก็ได้บนโลกใบนี้ แต่สุดท้ายที่เราพยายามหนีและไม่เคยชนะมันเลยคือนี่.. ใจของตัวเราเอง ฝันดีจ้ะ’
แม่เดินจากไปทิ้งให้ผมจมอยู่กับคำพูดสุดท้ายนั่น ทุกๆอย่างแค่รอเวลาที่จะเป็นตัวตัดสินและเป็นคำตอบให้กับทุกอย่าง
แต่ใครจะคิดว่าการรอคอยของผมมันจะยาวนานจนผมเองก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าวันนั้นมันจะสิ้นสุดที่วันไหน
สองเดือนที่ผมอยู่ที่โรงพยาบาลเทียวไปเทียวมาทั้งเรียนและหอบงานมาทำข้างๆเตียงคนป่วยก็ทำให้ผมดูสุ่นวายจนลืมคิดถึงใครอีกคนที่ไม่ได้อยู่เคียงข้างผมเหมือนที่เคยให้สัญญาไว้
ไม่ใช่ว่าไม่คิดถึง
คิดถึง
คิดถึงมาก
เพราะการเรียนที่ไม่ได้เรียนเต็มวันและทุกวันเหมือนตอนเรียนในชั้นปีต่างๆหลายปีที่เคยเรียนมาทำให้ผมมีเวลาว่างมากขึ้น พ่อจึงให้ผมคอยช่วยงานในส่วนของที่ไอ้พี่ชายของผมที่ไม่สามารถจัดการเวลามาทำได้เพราะตารางที่แน่นจนแทบขยับตัวหนีไม่ได้นั้น
การช่วยแบ่งเบาภาระที่พ่อว่าเล็กน้อยนี้ทำให้ผมรู้ว่าพี่ชายที่ดูเหมือนไม่เอาไหนกลับทำงานหนักและต้องรับผิดชอบอะไรมากมายขนาดนี้ ต้องยอมรับจริงๆว่ามันเก่งกว่าที่ผมคิดไว้มาก
ผมเดินเช็ดผมออกมาจากห้องน้ำนั่งลงเปิดดูแฟ้มเอกสารเป็นสถิติต่างๆของรีสอร์ตทุกสาขาก่อนจะเก็บมันกองๆรวมกันกับอีกหลายแฟ้มข้างๆ กดพักหน้าต่างหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่แสดงกราฟที่ชวนหัวระเบิดเปิดเว็ปสีน้ำเงินที่มีตัวสัญลักษณ์ตัวเอฟในภาษาอังกฤษขึ้นโดยมีชื่อและรูปของผมปรากฏอยู่ ผมเลื่อนดูโพสของเพื่อนๆที่แชร์เรื่องราวทั้งของตัวเองและคนอื่นกดไลค์บ้างเม้นท์บ้างตามประสาซึ่งนานๆทีผมจะเข้ามาเช็คบ้างเพราะไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่นัก
มีทั้งข้อความแชทที่ค้างไว้และเพื่อนที่มาขอแอดที่ถูกผมเมินจนคนที่ส่งมาคงลืมไปแล้ว นิ้วที่กดเลื่อนดูแบบผ่านๆจนไปสะดุดเข้ากับชื่อๆหนึ่ง หากแต่ชื่อนั้นไม่คุ้นเท่ารูปโปรไฟล์ที่ผมเคยเห็นเมื่อนานมาแล้ว
เพื่อนคนแรกในชีวิตของผม
เป็นเพื่อนที่ผมไม่เคยลืมความทรงจำที่เราเคยใช้ร่วมกันได้เลย แม้มันจะเป็นเวลาที่สั้นแต่มันมีความหมาย มีค่ามากสำหรับเราทั้งสองคน
ผมกดเข้าไปดูชื่อที่ไม่คุ้นหูนั่นเพื่อส่องดูหน้าเพจคร่าวๆก่อนจะกดรับเป็นเพื่อน
Amber Liu
และหลังจากคืนนั้นที่ผมได้คุยกับเพื่อนที่ห่างหายไปนานก็ทำให้เกมส์ในซีซั่นใหม่เกิดขึ้นด้วยเช่นกัน..
ไม่รู้ว่าไอ้คำที่เค้าชอบพูดกันว่าคนเป็นเนื้อคู่กันแล้วยังไงก็ต้องได้กลับมาคู่กันอีกนั้นมันมีอะไรเป็นข้อพิสูจน์ แต่สำหรับผมถึงไม่รู้ว่าจะใช่เนื้อคู่รึเปล่าแต่เป็นคนที่ใช่และอยากได้สิ่งนั้นยังไงก็ต้องดิ้นรนทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มาครอบครอง
หลายคนคงกำลังนั่งด่าผมอยู่ในความไม่ชัดเจนนี้ เอาเถอะ ไม่ใช่แค่อี้ชิงหรอกที่เห็นแก่ตัว ใช่ส่วนหนึ่งที่เค้าเลือกให้ตัวเองถูกตราหน้าด้วยคำๆนั้นเป็นเพราะตัวผมเองด้วย แต่ผมก็ไม่ได้ต่างจากเค้านักหรอก
ผมมีความรู้สึกดีๆให้กับทั้งสองคน แต่การจะเลือกแค่ใครหนึ่งคนนั้นผมเลือกไม่ได้
รักแรกที่เค้าว่ากันว่าลืมยากนั้นมันลืมยากจริงๆครับ อะไรๆที่มันเป็นครั้งแรกมันย่อมดีเสมอ ดีจนเกิดความคิด การจินตนาการ การวาดฝันล่วงหน้า แต่ลืมคิดถึงปัจจุบันที่ไม่รู้ว่าจากที่ดีๆอยู่จะเปลี่ยนไปเป็นอีกแบบที่ไม่เหมือนที่คิดไว้ แต่มันก็ผ่านไปแล้ว
พอคิดถึงวันเก่าๆเหล่านั้นความรู้สึกมันก็กลับไปเป็นเหมือนแต่ก่อน ถึงจะไม่อินมากเหมือนในตอนนี้นแต่มันก็ยังฝังอยู่ในความทรงจำและความรู้สึกเรื่อยมา รอแค่อะไรมาจุดประกายสิ่งเหล่านั้นที่มันเคยผ่านไปแล้วก็จะกลับมาส่องสว่างอีกครั้ง
งี่เง่าดีนะที่เอาแต่หมกมุ่นอยู่แต่กับเหตุการณ์ในอดีต เหตุการณ์ที่มันผ่านไปแล้ว สรุปแล้วคนที่ยังไม่ยอมจบคือตัวผมเองซะมากกว่า ดีแต่บอกปลอบใจคนอื่นไปทั่ว ตลกดีแต่หัวเราะไม่ยักออก
ผมกรอกนิ้วลงบนแป้นพิมพ์ตอบกลับคนที่ทักมาไม่มองวันเดือนปีที่ถูกค้างไว้ให้ตัวเองดูเป็นคนโง่หลังจากปล่อยให้ความคิดไหลตามความรู้สึกของตัวเองอยู่พักหนึ่ง
‘ฉันนึกว่าไม่ใช่นายซะแล้ว ไม่เห็นตอบฉันเลย กี่ปีแล้วเนี่ย.. พร้อมกับการเกิดแอฟนี้เลยมั้ง - -’
‘อืม ขอโทษทีนะ ฉันไม่ค่อยได้เล่นเท่าไหร่น่ะ เธอเองก็สบายดีนะ’
‘มาก.. ว่าแต่นายเหอะ นอนดึกนะเนี่ย ที่จีนกี่โมงแล้ว?’
‘ฉันย้ายมาอยู่เกาหลีตั้งแต่เธอย้ายหนีฉันไปได้ไม่กี่วันแล้ว’
‘อ้าว! จริงดิ? เฮ้ย?! ฉันว่าจะทักไปตั้งนานแล้ว เออทักไปแล้วสิ เห็นนายไม่ตอบเลยคิดว่าคงไม่ใช่นาย ดูในโปรไฟล์เบอร์โทรอีมงอีเมลก็ไม่มี ฉันเองก็ยุ่งๆเรื่องเรียน นายเองก็สบายดีนะ’
‘เราวิดีโอคอลดีมั้ย ฉันขี้เกียจพิมพ์ - - ’
‘ฉันไม่สะดวก ออกมาดูงานที่โรงเรียน’
‘นี่เธอยังเรียนไม่จบม.ปลายอีกหรอ?’
‘ไอ้บ้า! นี่ว่าที่ดร. นะเว้ย พูดอะไรเกรงใจทุนที่อยู่ในมือหน่อย’
‘เป็นนักเรียนทุน?’
‘แน่นอน นี่ขนาดยังเรียนไม่จบนะเว้ย มีงานทำแล้ว มีเงินเดือนแล้วด้วย’
ผมหลุดยิ้มออกมากับความเป็นผู้หญิงที่หลุดออกมาจากเพื่อนที่เหมือนผู้ชายในร่างผู้หญิงก่อนจะพิมพ์ตอบกลับและขอเบอร์โทรกันไว้
‘ว่างๆมาเที่ยวเกาหลีสิ’
‘เออ อยากไปเหมือนกัน อยู่นี่เหงามาก ฉันมีเพื่อนที่เป็นคนเอเชียแค่ไม่กี่คนเอง นี่ถ้านายไม่ทักมาฉันคงลืมไปแล้วว่าตัวเองเป็นคนจีน นี่พิมพ์ๆอยู่ยังกลั้นน้ำตาไว้แทบจะไม่อยู่ ทราบซึ้งใจมาก’
‘เธอยังอารมณ์ดีไม่เปลี่ยนเลยนะ’
‘นายก็คงไม่เหงาเท่าไหร่หรอกม๊างงง แอบเห็นนายสองพี่น้องอยู่ในหนังสือก๊อสสิบของที่นี่แว๊บๆ’
‘เหงามากต่างหาก..’
‘อุจูๆๆๆ คุณชายเล็กของฉัน มีอะไรบอกฉันได้นะ ทดแทนเวลาที่เราห่างหายจากกันไปนานไง’
‘ขอบคุณมาก.. เพื่อน’
‘ค่อยคุยกันนะ ฉันต้องไปแล้ว ไปสายเดี๋ยวถูกมองเป็นรุ่นพี่ที่ไม่ได้เรื่อง บาย ~’
และผมก็พึ่งรู้ว่า Amber คือชื่อจริงในภาษาอังกฤษของเธอ
เพื่อนคนเดียวในชีวิตของผม เธอกลับมาพร้อมอะไรหลายๆอย่างที่ผมคิดว่าคงตอบแทนเธอได้ไม่หมดในชาตินี้
หลิว อี้ หยวน
---
YiXing Part.
คุณเชื่อเรื่องโชคชะตาหรือพรหมลิขิตมั้ย?
ผมเป็นหนึ่งคนที่ไม่เชื่อเรื่องเพ้อฝันแบบนี้.. ทุกๆเรื่องที่เราประสบพบเจอล้วนเกิดจากตัวเราเป็นคนกำหนดเองทั้งนั้น ทั้งที่ตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจก็ตาม
ผมเรียกมันว่า ความบังเอิญ
ชีวิต 18 ปีที่ผ่านมาของผมรอบๆตัวมีใครบ้าง ตัวเองเป็นใคร ถูกเลือนหายไปชั่วข้ามคืนที่ผมลืมตาตื่นขึ้นมาและพบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงของโรงพยาบาลที่ดูไม่เหมือนโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง
แสงสว่างที่แยงตาจนทำให้ผมต้องหลับตาลงเพื่อปรับสายตาให้เข้ากับแสงสว่างหลังจากที่หลับไปนานหลายวัน ชายหนุ่มร่างสูงที่ดูท่าทางจะอายุมากกว่าผมยืนมองมายังผมที่มองเค้าอยู่เช่นกัน สายลมอ่อนๆที่พัดผ้าม่านสีสบายตาให้ปลิวไสว เส้นผมสีสว่างพัดตามแรงลมนั้น ใบหน้าเหมือนพระเจ้าตั้งใจปั้นนั้นทำให้ผมเหมือนถูกสะกดจนสายตาพร่ามัวเหมือนเห็นปีกที่สยายอยู่ข้างลำตัวของร่างสูง
ศรีษะที่ถูกพันด้วยผ้าสีขาวสะบัดไปมาบนเตียงก่อนจะมองไปรอบๆที่มีทั้งหมอพยาบาลและบรรดาพ่อแม่พี่น้องที่มาเยี่ยมคนไข้
‘อี้ชิง! เป็นยังไงบ้างลูก เจ็บปวดตรงไหนมั้ย?’
ผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งโผเข้ามากอดตัวผมที่นอนอยู่ น้ำตาที่ไหบอาบแก้มของเธอซึมผ่านเข้ามาในเสื้อของผมจนรู้สึกเย็นชื้น ผมยกมือที่มีสายน้ำเกลือห้อยอยู่ตบหลังเธอเบาๆก่อนจะมองดูคุณหมอที่อยู่ข้างตียงที่ก้มลงจดอะไรไม่รู้ในแผ่นชาร์ทที่ถืออยู่
‘ผม.. มาอยู่ที่นี่ได้ไงครับหมอ แล้ว.. ป้าคนนี้ เค้าเป็นอะไรหรอครับ?’
ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ ผู้ชายที่ผมมองเห็นคนแรกตอนลืมตาขึ้นมาเดินมาหากลุ่มหมอที่กำลังถกเถียงกันในภาษาที่ผมก็ฟังรู้เรื่องแต่ไม่สามารถเข้าใจได้
‘นี่มันอะไรกัน? เกิดอะไรขึ้นหมอ นี่แม่เอง แม่ไงอี้ชิง จำแม่ได้มั้ย?’
แม่? ผมมุ่นคิ้วในสมองที่ว่างเปล่าไม่มีความทรงจำอะไรเกี่ยวกับผู้หญิงคนนี้เลย
‘อี้ชิง.. นี่พ่อนะ ลูกจำพ่อได้ใช่มั้ย?’
‘อี้ชิง?’
‘ใช่ อี้ชิง ชื่อของลูกไง’
‘ผม ชื่ออี้ชิง?’
ผมยกมือขึ้นชี้ตัวเองคิ้วยังคงขมวดไม่คลายความสงสัย แม้จะพยายามคิดแล้วคิดอีกแต่ทุกคนในห้องนี้ผมพึ่งเจอวันนี้วันแรก แต่ทุกคนกลับทำเหมือนรู้จักผมมาก่อน
‘หมอขอคุยกับคนไข้ซักครู่นะครับ’
หลังจากทุกคนออกไปจากห้องนี้ไปจนหมดเหลือเพียงคุณหมอ2คนและพี่พยาบาลอีกหนึ่งคนก็เดินเข้ามาหาผม
‘นี่หมอยุนโฮ เป็นหมอประจำตัวของอี้ชิง จำได้มั้ย?’
ผมยิ้มแห้งๆและส่ายหน้าแทบจะทันที
‘งั้นหมอถามนะว่าเราชื่ออะไร’
ผมนิ่งคิดก่อนจะตอบตามที่สมองเรียบเรียงได้ไปจากเหตุการณ์เมื่อซักครู่
‘คุณป้าคนนั้นเรียกผมว่า อี้ชิง.. นั่นคงเป็นชื่อของผม(?)’
‘แล้วคุณลุงคุณป้าเมื่อกี๊เป็นใคร พอจะจำได้มั้ย?’
ผมส่ายหน้าอีกครั้งก่อนจะถามคำถามแทนหมอที่เอาแต่ถามผมอยู่ฝ่ายเดียว
‘คุณลุงคุณป้าเมื่อกี๊บอกว่าเป็นพ่อกับแม่คนที่ชื่ออี้ชิง.. อี้ชิงนี่เป็นใครหรอครับ? เค้าหน้าเหมือนผมหรอ?’
คุณหมอทั้งสองคนมองหน้ากันก่อนที่คุณหมอที่ดูอายุน้อยกว่าอีกคนจะเป็นคนถาม
‘เราจำหรือนึกอะไรออกบ้างไหนลองพูดให้หมอฟังสิครับ’
‘อืมม.. ผมอายุ18ปี’
‘…….’
คุณหมอและพี่พยาบาลต่างมีสีหน้าที่บุ้นในคำพูดที่จะออกจากปากผมจนผมเองรู้สึกผิดที่ตอบอะไรออกไปนอก ‘ผมอายุ18ปี’ ออกไป
‘ขอโทษครับ ผมจำอะไรอีกนอกจากนี้ไม่ได้..’
ผมยิ้มเจื่อนส่งกลับไปพร้อมกับลุกขึ้นโค้งตัวให้ทั้งสามคน รู้สึกปวดหัวขึ้นมาตะหงิดๆ แต่ข่มอารมณ์ฝืนตัวเองเอาไว้
‘งั้นหมอจะบอกอะไรเราให้นะ เราชื่ออี้ชิง อี้ชิงก็คือตัวเราที่มีพ่อกับแม่เป็นคุณลุงคุณป้าทั้งสองท่านเมื่อซักครู่นี้’
‘อ้าว? แล้วคุณป้าอีกสองคนล่ะครับ เมื่อกี๊ผมเห็นอีก2คนด้วย คนที่หน้าหวานๆแต่ไม่ค่อยยิ้มกับอีกคนที่สูงๆหน้านิ่งๆนั่นด้วย พวกเค้าเป็นใครหรอครับ? เกี่ยวข้องอะไรกับผมรึเปล่า?’
‘เอาเป็นว่าตอนนี้อี้ชิงต้องตามคุณหมอกับพี่พยาบาลคนนี้ไปอีกห้องนึงก่อนนะ เสร็จแล้วค่อยกลับมาถามจากพ่อแม่เอาโอเคมั้ย?’
ผมพยักหน้าแล้วนอนลงรอไม่นานพี่บุรุษพยาบาลก็พาผมไปยังอีกห้องหนึ่ง
ข้อมูลที่ผมรู้หลังจากผ่านการตรวจร่างกายทั้งสแกนนั่นนี่เสร็จจนกลับมาที่ห้องที่นอนอยู่ในตอนแรกคือผมผลัดตกบันไดที่บ้านเลยได้มานอนแบ่บอยู่ที่โรงพยาบาลอย่างนี้ หมอบอกว่าผมได้รับความกระทบกระเทือนรุนแรงบริเวณศีรษะจึงทำให้ความทรงจำที่มี(เกือบ)ทั้งหมดหายไป หรือที่ภาษาหมอเค้าเรียกว่า ความจำเสื่อม
ก็ถึงว่าทำไมผมจำอะไรไม่ได้เลย จำไม่ได้แม้แต่ชื่อตัวเอง ในสมองมันว่างเปล่าจนผมเองก็แอบเสียดายและเสียใจที่จำอะไรจำใครไม่ได้เลย แต่ในความโชคร้าย(?)นั้นก็ยังดีที่วิชาความรู้ที่เรียนมายังไม่จางหายไปถึงจะมีงงๆมึนๆอยู่บ้างก็ตามเถอะ ตอนนี้ผมเหมือนคนที่ต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่
รอบๆตัวผมมีพ่อกับแม่ ผมเป็นลูกคนเดียวแต่มีลูกพี่ลูกน้องอยู่หนึ่งคนชื่อ คิม มิน ซอก ซึ่งแม่ของน้องเค้าเป็นน้องสาวของแม่ผม แม่บอกว่าตอนนี้น้องได้ทุนและเรียนอยู่ที่อังกฤษ แม่เอารูปที่ผมเคยถ่ายกับน้องมาให้ผมดูแล้ว น้องน่ารักมาก ผมอยากเจอตัวจริงน้องมากเช่นกัน
อ้อ! ผมมีเพื่อนด้วย ก็ผู้ชายหน้าหวานๆที่เห็นในห้องที่โรงพยาบาลวันนั้นแหละ ลู่หาน คือชื่อของเค้า
ลู่หานเป็นลูกชายคนเล็กของตระกูล Wu ที่พ่อทำงานอยู่ มีพี่ชายชื่อ อี้ฝาน ก็คือคนแรกที่ผมเห็น
บ้านลู่อยู่ติดกับบ้านมินซอก ตอนนี้ผมพึ่งขึ้นปี1 เรียนที่มหาวิทยาลัยเดียวกันกับลู่หานแต่คนละคณะ ส่วนคุณป้าทั้งสองก็คือแม่ของน้องมินซอกกับแม่ของลู่นั่นเอง
นี่คือข้อมูลทั้งหมดที่ผมรู้
‘ลู่หาน..’
‘ว่าไง?’
‘นายเป็นเพื่อนที่ดีมากๆเลยรู้มั้ย? เราไม่คิดเลยว่าในชีวิตจะมีเพื่อนแบบนาย’
‘อืม.. เข้าบ้านเถอะ’
‘เราไม่รู้จะขอบคุณนายยังไง เอาเป็นว่า เราจะพยายามเป็นเพื่อนที่ดีแบบนายให้กับนายที่เป็นเพื่อนที่ดีมากๆให้กับเราละกันนะ’
ผมยิ้มจริงใจส่งไปให้คนที่อุตส่าห์ไปรับผมที่โรงพยาบาลแถมมาส่งถึงที่บ้านอีก แต่อีกคนกลับตอบแทนด้วยรอยนิ้วที่ดีดลงมายังหน้าผากของผม
‘เจ็บนะ’
‘ฉันไปล่ะ..’
‘อื้ม ขับรถดีๆล่ะ อาทิตย์หน้าเจอกัน’
ผมโบกมือยิ้มให้คนที่โบกมือกลับก่อนที่เค้าจะหันหลังเดินขึ้นรถและขับออกไปจนลับสายตา ผมไม่รู้ว่าความทรงจำที่หายไปนั้นมันจะมีเรื่องราวเหตุการณ์อะไรบ้างแต่หากในนั้นมีสิ่งดีๆที่ผมเจออยู่เหมือนในวันนี้ผมก็อดรู้สึกผิดกับพวกเค้าไม่ได้ที่ลืมพวกเค้าไป แต่คงไม่เป็นไรแล้วล่ะ เพราะนับแต่วันนี้เป็นต้นไป ผมจะทำทุกอย่างเพื่อทดแทนพวกเค้าแทนความทรงจำที่ผมหลงลืมไป
ผมคงเล่าข้ามไปเรื่องพี่ชายของลู่หาน ผมไม่รู้ว่าทำไมตัวเองรู้สึกแปลกๆเวลาที่อยู่ใกล้เค้า และผมมักจะฝันประหลาดๆทุกครั้งโดยที่ในความฝันนั้นมีคนๆนี้อยู่ด้วย มันไม่ใช่ฝันดีซะด้วยสิ ในฝันมันโหดร้ายมากสำหรับผมแต่พอตื่นขึ้นมาผมก็จำไม่ได้แล้วว่าในฝันนั้นผมฝันว่าอะไร รู้แต่ว่าในฝันมีพี่ชายของลู่และเป็นฝันที่ไม่อยากจะหลับตานอนเลยเพราะทุกครั้งที่ฝันและตื่นขึ้นมาผมจะร้องไห้ทุกครั้งไป ผมคิดว่ามันคงจะบังเอิญ เพราะพี่เค้าเป็นคนแรกในชีวิตผมเลยก็ว่าได้ที่ผมเห็นในวันที่ลืมตาขึ้นมาในห้องบนเตียงของโรงพยาบาล
แต่ทำไมถึงเป็นฝันร้ายก็ไม่รู้เหมือนกัน
ครั้งหนึ่งผมเคยถามแม่เกี่ยวกับการเดินทางไปเรียนเพราะบ้านที่ผมอยู่อยู่ห่างจากมหาวิทยาลัยที่อยู่ในเมือง ส่วนบ้านของผมอยู่บนเกาะนอกเมืองถึงจะไม่ไกลจากตัวเมืองมากแต่การเดินทางก็หลายต่อเอาเหมือนกัน
‘ผมเดินทางไปกลับระหว่างบ้านกับมหา’ลัยหรอครับแม่.. หรือว่าเรามีบ้านอยู่ในเมือง หรือผมพักอยู่กับคุณอา’
‘อ๋อ เปล่าหรอกจ้ะ เราอยู่หอน่ะเดี๋ยววันอาทิตย์นี้เราจะย้ายของเข้าหอกัน’
‘นึกว่าแชร์ห้องอยู่กับลู่ซะอีก’
‘ลูกอยากอยู่กับลู่หรอ?’
‘ไม่ครับไม่ แค่นี้ก็เกรงใจเค้าจะแย่แล้ว ขืนอยู่ด้วยกันอีกผมคงทำตัวไม่ถูก ยังรู้สึกแปลกๆอยู่น่ะครับ’
ผมพูดไปตามที่คิดและรู้สึก ในใจลึกๆมันบอกแบบนั้นว่าไม่ควรอยู่ใกล้ผู้ชายคนนี้แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะเค้าก็เป็นเพื่อนผมนี่เนอะ แต่ที่ผมสังเกตดูเราเหมือนจะไม่ค่อยสนิทกันเท่าไหร่หรือเพราะบุคลิกของเค้าที่เป็นคนนิ่งๆไม่ค่อยพูดแต่ใช้วิธีการแสดงออกโดยการกระทำแทนผิดกับอีกคน พี่ชายของเค้าที่ความรู้สึกของผมมันแอบหวั่นๆในหัวใจที่เต้นแรงผิดปกติแค่ได้เห็นหน้าเค้า มันทั้งรู้สึกดี รู้สึกผิด รู้สึกกลัวรวมอยู่ในคราวเดียวกันแต่กลับอยากอยู่ใกล้คนๆนี้
เสียงรอสายดังได้ไม่นานปลายสายก็กดรับ
‘หมอยุน..’
‘ว่าไงครับ?’
‘ผมรู้สึกแปลกๆ’
‘แปลกๆ? อาการเป็นยังไงครับ’
‘หัวใจผมมันจะเต้นแรงทุกครั้งที่เจอหน้าคนๆหนึ่ง มันจะดีใจถ้าได้เห็นเค้าแต่ก็หวั่นๆเหมือนกลัวแต่ก็อยากอยู่ใกล้ๆ ผมคิดว่าอาจจะเพราะผมเห็นเค้าเป็นแรกที่ตื่นขึ้นมาเลยเก็บไปฝันและรู้สึกแบบนี้ หมอว่ามันมีอะไรผิดปกติมั้ยครับ?’
คุณหมอที่บอกว่าเป็นหมอประจำตัวผมหัวเราะเบาๆก่อนจะตอบคำถามที่ผมกังวลใจมาตลอดให้ผมได้รู้
‘ส่วนหนึ่งถูกเพราะเราจะจำสิ่งแรกที่เห็นได้ชัดเจนและจะจดจำภาพหรือสิ่งๆนั้นได้เป็นภาพติดตา ไม่แปลก ส่วนอาการหัวใจเต้นแรงนั้นหมอว่าไม่น่าจะเกี่ยวกับเอฟเฟคจากอาการป่วย’
‘หมายความว่าไงหรอครับ’
‘เราลองเรียนรู้มันด้วยตัวเองดูสิ คำตอบมันอาจจะเปลี่ยนอะไรหลายๆอย่างและเราอาจจะได้มากกว่าหนึ่งคำตอบก็ได้นะ’
‘ถ้าผม..’
ผมหยุดคำถามของตัวเองก่อนที่จะพูดออกไป คงไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่ถ้าผมถามคำถามนั้นออกไป
‘ไม่มีอะไรแล้วครับ ขอบคุณหมอมากนะครับ’
‘หมอต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายขอบคุณเรา เอาล่ะ กินข้าวแล้วอย่าลืมกินยาด้วยล่ะ ถ้ามีอะไรผิดปกติอีกก็โทรหาหมอได้ตลอดนะ’
‘ครับ ขอบคุณอีกครั้งนะครับ’
ผมกดวางสายมืออีกข้างยกขึ้นกุมตรงหน้าอกข้างซ้ายที่กำลังมีอาการเหมือนที่บอกกับอีกคนที่พึ่งวางสายไป มันเป็นความร้สึกอย่างที่ผมบอก มันทำให้ผมยิ้มได้แต่ในรอยยิ้มนั้นมันกลับไม่ใช่ความสุขทั้งหมด ทั้งอยากเข้าใกล้ทั้งอยากถอยออกให้ห่าง อธิบายให้ฟังไม่ถูก ถ้าไม่เกี่ยวกับอาการเจ็บป่วยที่หมอให้คำตอบไม่ได้ ผมก็คงต้องหามันเอง
♪
+++LuHan+++
‘ทำไมยังไม่นอนอีก’
เสียงริงโทนดังได้ไม่นานผมก็กดรับทันทีเพราะโทรศัพท์ยังถืออยู่ในมือ
‘กำลังจะนอนแล้ว แล้วนี่กินข้าวรึยัง?’
‘ม๊าทำเมนูใหม่พอดี’
‘อาชอลมาหรอ?’
‘เปล่า..’
‘อย่าบอกนะว่ากลับบ้าน’
อีกคนเงียบนั่นแสดงว่าที่ผมพูดคือความจริง
‘นึกว่าจะนอนที่รีสอร์ต ไม่เหนื่อยรึไง’
‘ไม่หรอก.. กินยารึยัง’
‘เรียบร้อยแล้วน่า ลู่เองก็นอนได้แล้ว เหนื่อยมาทั้งวัน’
‘อือ ฝันดี..’
‘เช่นกันนะ’
ในตอนนี้ชีวิตผมจะเรียกวี่ได้รึเปล่าก็คงได้แหละ ดูสิ รอบๆตัวผมมีแต่คนดีๆทั้งนั้น จะว่าไป.. ก็อยากคุยกับมินซอกจัง ได้แต่ฟังเรื่องของน้องจากคุณอาจากแม่รวมถึงลู่ด้วย ทุกคนบอกว่าน้องเป็นคนอัธยาศัยดี มองโลกในแง่ดี เป็นที่รักของทุกคน ผมเห็นแค่ในรูปผมยังรู้สึกได้ถึงความน่ารักของน้องเลย อยากลองหยิกแก้มอูมๆนั่นจัง
ก๊อกๆๆ
ผมยิ้มให้กับความคิดของตัวเองก่อนจะเดินไปเปิดประตูที่มีเสียงแม่เรยกชื่อผมอยู่
‘กลับมาแล้วหรอครับ’
‘แม่สิต้องเป็นฝ่ายถาม ขอโทษด้วยนะที่ไม่ได้ไปรับ แล้วนี่กินอะไรรึยังให้แม่ทำซุปอุ่นๆให้เอามั้ย?’
‘ไม่เป็นไรครับ ผมกินเรียบร้อยแล้ว แล้วแม่ล่ะครับ?’
‘แม่ก็เรียบร้อยแล้วเหมือนกัน งั้นลูกพักผ่อนนะ แม่โทรถามหมอยุนแล้วเค้าให้ลูกพักผ่อนเยอะๆร่างกายจะได้ฟื้นตัวเร็วๆเดี๋ยวแม่จะไปนอนละ พรุ่งนี้ต้องตื่นไปทำงานแต่เช้าอีก’
‘ฝันดีนะครับ’
‘แม่รักลูกนะ ฝันดีจ้ะ’
หลัจากคุยกับแม่เสร็จผมก็ล้มตัวลงนอนกวาดสายตามองไปรอบๆห้องที่ไม่คุ้นเคยเพราะในอดีตผมจะเคยใช้ชีวิตอยู่ที่นี่หากแต่ความทรงจำเหล่านมันไม่มีอยู่เลยจึงทำให้ทุกที่ทุกอย่างทุกคนสำหรับผมเป็นเรื่องแปลกใหม่ที่ต้องเรียนรู้และจดจำเอาไว้
บางทีการที่ผมจำอะไรไม่ได้เลยเกี่ยวกับเรื่องราวที่ผ่านมาอาจจะเป็นเรื่องดีซะด้วยซ้ำนะผมว่า
วันเดือนที่ผ่านไปอย่างรวดเร็วเหมือนอ่านหนังสือเพลินจนลืมเวลาที่เงยหน้าขึ้นมาก็ปาไปหลายชั่วโมงแล้ว นี่เผลอแปปเดียวก็ผ่านมาจะครบปีแล้ว ผมยังใช้ชีวิตปกติ จะเรียกว่าปกติได้รึเปล่าก็ไม่รู้ เรียกว่าเรื่อยๆแทนจะดีกว่าเพราะในแต่ละวันผมได้ลองได้ ได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆสำหรับคนอื่นๆอาจจะเป็นเรื่องที่เค้ารู้กันมานานแล้วก็ตาม รวมถึงเรื่องที่ผมยังหาคำตอบให้กับตัวเองไม่ได้อยู่ด้วยซึ่งผมไม่ได้พูดเรื่องนี้ให้ใครฟังนอกจากหมอยุนคนเดียว
ผมวางหนังสือที่หอบติดตัวมาวางไว้ยังโต๊ะประจำที่มักมานั่งเล่นอ่านหนังสือหรือทำการบ้านอยู่กับเพื่อนๆในคณะซึ่งเป็นจุดพักผ่อนที่อยู่ห่างจากตัวอาคารของคณะที่ผมเรียนอยู่ไม่มาก
หลังจากโบกมือลาเพื่อนฟที่ทยอยกลับกันจนหมดแล้วผมก็นั่งมองดูเพื่อน รุ่นพี่นักศึกษาจากคณะอื่นๆที่เดินคุยกันเล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ที่เจอมาให้กันะกันฟังจนเพลินจนไม่รู้ตัวว่าเพื่อนอีกคนมาถึงแล้วและนั่งอยู่หลายนาทีแล้ว
‘อ้าว?! มาแล้วทำไมไม่เรียก เรียนเป็นยังไงบ้าง เหนื่อยมั้ย?’
‘เห็นมองเพลินเลยไม่อยากกวน’
‘แล้ววันนี้ลู่กลับยังไงอ่ะ ไม่ได้เอารถมาหนิ ให้ใครมารับปะ?’
‘จะถามถึงพี่ชายฉันก็พูดมาตรงๆ’
‘แฮ่ รู้ทันอ่ะ’
‘ถ้าอยากเจอเดี๋ยวโทรให้มันมารับ’
‘อะ เอ่อ จะไรบกวนเวลางานพี่เค้าหรอ’
‘ถ้ารบกวนมันก็คงไม่มา’
แต่ตอนนี้นอกจากหมอยุนแล้วก็มีเพื่อนคนนี้อีกหนึ่งคนที่ผมบอกเรื่องอาการแปลกๆนั้น ซึ่งเค้าโมเมสรุปเอาเองว่าผมชอบพี่ชายของเค้า
‘ไม่ต้องทำหน้าหงอยแบบนั้น นี่ชอบมันมากขนาดนั้น?’
‘เปล่าซะหน่อย เราแค่อยากรู้คำตอบกับอาการที่เป็นอยู่ก็แค่นั้น’
‘ก็นั่นแหละเค้าเรียกว่าชอบ’
‘นี่ใจคอลู่จะยัดเยียดพี่ชายตัวเองให้เราให้ได้เลยว่างั้นเหอะ’
‘ฉันก็พูดไปตามที่เห็น’
ผมบ่นคนที่ละสายตาจากผมไปกดโทรศัพท์แล้วยกขึ้นโทรคุยอยู่2-3ประโยคก็กดวางสายก่อนจะหันมามองผมที่รอฟังอยู่อย่างใจจดใจจ่อ
‘อีกครึ่งชั่วโมง’
ผมยิ้มโชว์ลักยิ้มข้างแก้มจนเพื่อนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามต้องส่ายหน้าแต่ผมเห็นว่าเค้าเองก็แอบยิ้มอยู่เหมือนกัน
‘ไม่รู้ตัวเลยหรอว่าบนหน้าผากมีคำว่า ชอบอี้ฝาน แปะอยู่’
‘ห๊ะ? จริงดิ’ ผมยกมือขึ้นจับดูหน้าผากตัวเองแต่ไม่เห็นมีกระดาษที่เขียนคำที่ว่านั่นเลย
‘ไหนอ่ะ ไม่เห็นมี’
ผมฟาดมือลงที่แผ่นกว้างของคนตรงข้ามแสดงสีหน้าไม่พอใจตามอารมณ์ที่โดนแกล้ง
‘ชอบ อยากเข้าใกล้ แต่ก็กลัว แล้วเมื่อไหร่จะได้คำตอบที่ตามหาอะไรนั่น’
‘ก็ดูหน้าพี่ชายตัวเองสิ ดึงดูดแต่ก็ผลักดันเหมือนแม่เหล็กขั้วเดียวกันขนาดนั้น ใครจะกล้า’
‘ค่อยๆเรียนรู้มันไปละกัน’
‘จะเรียนรู้ได้ยังไงในเมื่อหนังสือเล่มนี้เปิดไม่ออก’
‘ไม่มีอะไรที่ได้มาง่ายๆหรอกถ้าไม่พยายามน่ะ’
‘ก็พยายามอยู่นี่ไง’
‘ถ้ามันเปิดไม่ออกก็เผาทิ้งมันไปเลยสิ’
‘จะบ้าหรอ?!’
ผมกำลังจะยกมือขึ้นฟาดคนปากไม่ดีอีกครั้งแต่เค้าพะยักพะเยิดหน้าแสดงเป็นสัญญาณให้ผมรู้ว่าอีกคนกำลังมาถึงแล้ว ผมเก็บมือของตัวเองหลับตาทำสมาธิทำไปทำไมก็ไม่รู้ สูดลมหายใจเข้าออกเพื่อตั้งสติให้กับตัวเอง
‘ไง’
‘อืม ไปดิ’
ผมลุกขึ้นตามลู่หานหมุนตัวเพื่อจะหันไปทักทายพี่ชายของเค้าที่ยืนทำหน้านิ่งตามแบบของเค้า จะว่าไปพี่น้องคู่นี้ก็เหมือนกันดีนะ นิ่งๆไม่ค่อยพูด แต่คนพี่ติดจะเย็นชากว่าอาจจะเป็นเพราะเป็นผู้ใหญ่กว่าเลยดูสุขุมน่าเกรงขามอีกอย่างผมก็รู้จักคนน้องดีกว่าเพราะเป็นเพื่อนกัน ถ้าคนไม่รู้จักก็คงไม่อยากเข้าหาด้วยเหมือนกัน พูดภาษาชาวบ้านก็คือ ดูหยิ่ง นั่นแหละครับ อารมณ์อยากรู้จักแต่ไม่รู้จักก็ได้ เหมือนแม่เหล็กขั้วเดียวกันอย่างที่ผมบอกในตอนแรก ผมพอจะรู้คร่าวๆจากหน้าหนังสือพิมพ์พวกนิตยสารก๊อสสิบแวดวงไฮโซต่างๆว่าพี่น้องคู่นี้ไม่ธรรมดาในเรื่องรักๆใคร่ๆ แต่ผมก็ไม่ค่อยใส่ใจเท่าไหร่เพราะมันเป็นเรื่องส่วนตัวของพวกเค้า แค่ศึกษาไว้ให้ตัวเองรู้ว่าใครเป็นยังไงบ้างแค่นั้น ถึงในใจลึกๆจะไม่ค่อยชอบใจแต่ก็ทำอะไรไม่ได้อีกอยู่ดี
‘สวัสดีครับพี่ฝาน’
ผมโค้งทักทายคนใบหน้านิ่งที่ยังอุตส่าห์มีมารยาทพยักหน้าตอบกลับผมก่อนจะหมุนตัวเดินกลับไปในทางเดิมที่มีรถจอดอยู่ไม่ไกล
เราทั้งสามเดินมาจนถึงที่จอดรถคนที่เดินข้างๆผมที่มัวแต่ก้มลงมองโทรศัพท์ตัวเองอยู่ก็พูดขึ้นหยุดทั้งผมและคนที่เดินนำอยู่ข้างหน้าให้หันกลับมามองเค้า
‘ฉันลืมเอกสารไว้ในห้อง แกไปส่งอี้ชิงก่อนได้เลย’
‘อ้าว? ให้รอก่อนก็ได้ จะได้ไปพร้อมกันเลยทีเดียว’
คนที่พูดพอพูดจบก็กลับตัวเดินจากไปหม่ฟังเสียงเรียกของผมที่ตะโกนตามหลังอยู่เลย
‘ลู่! เดี๋ยวลู่หาน!!’
‘เอ่อ.. เราเอาไงต่อดีครับ’
พี่ชายของเพื่อนที่เดินลับหายไปเงยหน้าขึ้นจากโทรศัพท์ก่อนจะยักไหล่เป็นคำตอบที่แปลได้ว่า ‘ก็ไม่รู้เหมือนกัน’ มาให้แทน
‘ไปเถอะ.. เดี๋ยวรถติด’
และรถก็ติดเหมือนที่พูด เรานั่งเงียบมาตลอดทางในขณะที่หัวใจผมก็เต้นแรงจนกลัวว่าคนข้างๆจะได้ยินเอาจนผมต้องหาเรื่องชวนคุยเพื่อทำลายบรรยากาศป่วยๆนี้
‘เอ่อ.. คุณคลาร่าเธอสวยดีนะครับ’
โชเฟอร์หน้าตาดีหันมาขมวดคิ้วให้ผมคงไม่เข้าใจความหมายที่ผมจะสื่อ
‘พอดีผมเห็นในหนังสือพิมพ์เค้าบอกว่าพี่กำลังเดทอยู่กับเธอ’
รอยยิ้มที่ผมไม่ค่อยได้เห็นยกยิ้มมุมปากพร้อมกับตอบให้หัวใจที่เต้นแรงอยู่ชาหนึบไปทั้งดวง
‘ก็ดี แต่ง่ายไปหน่อย’
ผมรู้ว่าผมไม่มีสิทธิอะไรแต่การมาได้ยินอะไรแบบนี้จากปากของเจ้าตัวก็ทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะต่อว่าอีกฝ่ายอย่างลืมตัว
‘ทำแบบนี้มันไม่ดีนะครับ พี่มยอนคงเสียใจแย่’
‘เด็กน้อย มันไม่ใช่แค่เรื่องความสนุกบนเตียงแค่อย่างเดียวหรอกนะ วงการธุรกิจมันมีอะไรหลายอย่างที่คนที่ไม่ได้คลุกคลีอยู่กับมันไม่เคยรู้’
‘พี่กำลังจะบอกว่านี่เป็นแค่ส่วนหนึ่งของธุรกิจ? ผมไม่เข้าใจอยู่ดี’
นอกจากโรงแรม รีสอร์ต นี่เค้าเปิดซ่องด้วยหรอ? - -
‘อยากรู้ก็ศึกษาเอาเอง ลู่มันก็เรียนบริหาร ไปถามมันสิ’
‘ถามลู่คงได้เรื่องอยู่หรอก สู้เข้าเว็ปหาเอาเองยังจะดีกว่า พันล้านทิปมีนักสืบตั้งเยอะ’
‘อะไรนะ?’
‘เปล่าครับ.. ว่าแต่พี่เถอะ จะทำอะไรก็เกรงใจพี่มยอนเค้าบ้าง คั่วทั้งผู้หญิงผู้ชายไม่ซ้ำหน้าแบบนี้เค้าจะรู้สึกยังไง ที่พี่เค้าไม่พูดไม่ใช่ว่าไม่รู้สึกรู้สาอะไร แต่เพราะเค้าเป็นคนใจดีใจกว้างเกินไปที่ยอมใช้ผู้ชายร่วมกับคนอื่น ผมรู้ว่าเค้าเองก็แอบเจ็บอยู่ลึกๆแต่คงทำอะไรไม่ได้เพราะพี่เองก็อ้างแต่ว่าทำไปเพราะธุรกิจ ถึงผมจะไม่เคยคลุกคลีหรือรู้ว่าวงการธุรกิจมันเป็นยังไงแต่มันก็น่าจะมีอีกหลายวิธีที่ไม่ทำให้คนใกล้ตัวต้องมานั่งเจ็บอยู่เหมือนอย่างที่พี่ทำอยู่.. อะ เอ่อ ขอโทษครับ พอดี ผมเห็นใจพี่มยอนน่ะครับเลย..’
‘ไม่เป็นไรหรอก’
‘ห๊ะ?! เอ่อ คือ คือ..’
ผมตกใจทีเผลอพูดความในใจของตัวเองออกไปโดยใช้ชื่อของอีกคนเป็นข้ออ้างก่อนจะคิดได้และเอ่ยขอโทษอีกคนที่ไม่แสดงอารมณ์โกรธเคืองอะไรจนผมเองยังแอบแปลกใจไม่ได้
‘ถ้าให้เลือกขายตัวกับขายศักดิ์ศรีจะเลือกอะไร’
ผมนิ่งคิดกับคำถามจากคนข้างๆที่หันกลับไปสนใจท้องถนนตามเดิมหลังจากที่สัญญาณไปเปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีเขียว
‘ขายตัวก็ไม่เท่ากับขายศักดิ์ศรีหรอครับ’
‘จะบอกว่าศักดิ์ศรีของตัวเองมีค่าแค่เรื่องบนเตียงอย่างเดียว?’
นั่นสิ ก็ไม่ใช่ทั้งหมด แต่อะไรล่ะคือความหมายคำว่าศักดิ์ศรี
‘ผมไม่รู้ครับ ที่ถามนั่นผมเลือกขายตัวแล้วกันเพราะศักดิ์ศรีของผมมีค่ามากกว่าเรื่องบนเตียง’
‘ศักดิ์ศรีมันก็แค่คำๆนึงที่คคิดมาเพื่อให้ค่ากับตัวเองแค่นั้นแหละ ความหมายจริงๆของมันคือ อคติที่อยู่ในใจของเราต่างหาก’
‘ผมจะพยายามเข้าใจละกันครับ พี่นี่ชอบพูดอะไรให้เข้าจยากตลอดเลย’
‘ไม่มีอะไรยากสำหรับการเริ่มต้นการเรียนรู้ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าที่จริงแล้วมันง่ายหรือยาก พยายามเข้านะ’
ปวดหัว หัวใจเริ่มเต้นช้าลงเหมือนนั่งอยู่ในห้องปกครอง
‘เรียนเป็นไงบ้าง’
‘ผมหลุดถอนหายใจออกมาที่เค้าเริ่มเปลี่ยนเรื่องและชวนผมคุยบ้างเพื่อให้บรรยากาศภายในรถคันนี้ไม่เงียบจนน่าอึดอัดเกินไป
‘เรื่อยๆครับ รู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง ดีที่มีเพื่อนๆคอยช่วยเหลือ’
‘ชอบใครไปบ้างรึยัง?’
แค่กๆๆ
ผมสำลักน้ำที่ดื่มอยู่จนมันหกเกือบหมดขวดรดเสื้อเปียกไปทั้งตัว เนื้อผ้าที่บางจนทำให้เสื้อที่ใส่อยู่แนบติดไปกับผิวจนรู้สึกหนาวขึ้นมาเพราะแอร์ภายในรถด้วย สัญญาณไฟรถที่หักเลี้ยวจอดข้างทางเพื่อให้ผมได้จัดการกับตัวเองสะดวกๆ เสื้อคลุมที่ส่งมาให้อย่างที่ผมไม่ทันตั้งตัวทำให้รอยยิ้มเผลอหลุดออกมาอย่างเขินอาย
‘คลุมไว้ก่อนเดี๋ยวไม่สบาย’
มือหนาที่เลื่อนไปกดปิดแอร์จัดการทุกอย่างในเวลาอันรวดเร็วเหมือนความเคยชิน หัวใจผมกลับมาเต้นแรงอีกครั้งฝ่ามือที่สัมผัสอยู่ข้างแก้มแม้จะมีผ้าเช็ดหน้ากั้นกลางอยู่ก็ตาม
‘เอ่อ ผมเช็ดเองก็ได้ครับ’
อีกคนยอมปล่อยมืออกเปลี่ยนมาปลดเข็มขัดนิรภัยออกจากตัวผมให้ เพื่อให้ผมได้ใส่เสื้อคลุมของเค้าได้สะดวก ผมกลั้นลมหายใจทันทีที่ใบหน้าดูดีนั่นเลื่อนเข้ามาใกล้จนจมูกผมเฉียดกับแก้มของเค้า กลิ่นน้ำหอมที่ผมรู้สึกคุ้นเคยยิ่งทำให้หัวใจที่เต้นแรงอยู่แทบจะทะลุกระดอนออกมา
‘ไม่สบายรึเปล่า’
ผมส่ายหน้าแทนคำตอบเพราะไม่กล้าพูดอะไรออกไปสาเหตุก็มาจากคนตรงหน้าที่อยู่ใกล้จนสายตาโฟกัสภาพได้ไม่ชัด มือหนาแตะลงบริเวณซอกคอขอผมก่อนจะเลื่อนไปแตะที่หน้าผมสลับกับหน้าผากตัวเอง
‘ตัวรุมๆนะ รีบไปเถอะ จะได้เปลี่ยนเสื้อ’
ผมผ่อนลมหายใจออกยาวโล่งอกที่เค้าพาตัวเองกลับไปยังที่นั่งของตัวเองหลังจากที่โน้มตัวมาช่วยผมที่ไม่รู้ว่าที่ผมจะไม่สบายน่ะเพราะตัวเค้าเองนั่นแหละ
และจนถึงตอนนี้ผมก็ยังหาสาเหตุของอาการที่ตัวเองเป็นอยู่โดยมีคนที่นั่งข้างๆเป็นต้นเหตุไม่ได้ไม่ได้เลย...
---
ยิ่งเดินเข้าไปใกล้กลิ่นน้ำหอมที่เป็นเอกลักษณ์ประจำตัวของอีกคนก็ยิ่งชัดเจนมากยิ่งขึ้น ตอกย้ำการรอคอยของผมให้สิ้นสุดลง สองแขนที่กางออกเหมือนปีกที่คอยปกป้องและให้ความอบอุ่นผมมาโดยตลอดของเค้าทำให้ผมโผเข้ากอดจนร่างสูงเซถอยหลังไป น้ำตาที่คลอหน่วยอยู่พร้อมจะไหลลงทุกเมื่อ
‘พอก่อนมั้ย หายใจไม่ออกแล้วเนี่ย’
ผมผละออกเงยหน้าขึ้นมองร่างสูงที่ยังดูดีไม่มีอะไรเปลี่ยนตามกาลเวลาเลยซักนิดเหมือนจะดูดีเพิ่มขึ้นอีกกว่าเดิมที่ไมรู้จะเยินยอยังไงแล้วเพราะหมั่นไส้ในความลำเอียงของพระเจ้า ผมเช็ดน้ำตาที่ไหลลงมาตอนไหนไม่รู้ออกจากใบหน้าอย่างลวกๆ
‘ขอโทษฮะ..’
‘ขี้แยเหมือนเดิม ไหนบอกเข้มแข็งไม่อ่อนแอแล้วไง’
มือหนาเลื่อนมาเช็ดน้ำตาให้ผมเหมือนทุกครั้งเวลาที่ผมอ่อนแอเหมือนอย่างตอนนี้ แต่ยิ่งเช็ดมันก็ยิ่งไหล
‘ผอมลงปะ กินข้าวกินปลาบ้างรึเปล่า ดูสิแก้มอูมๆนี่หายไปแล้ว’
แรงหยิกข้างแก้มทำให้ผมหลุดขำกลิ้งมาพลางยกมือขึ้นตีอกอีกคนไปด้วย
‘ไอ้พี่บ้า ทำไมพึ่งพาเอาตอนนี้ รู้มั้ยว่ารอนานแค่ไหน ไหนบอกจะรีบตามมาไง คนโกหก’
‘เมลคุยกันแทบทุกวันนี่ไม่พอ?’
‘มันไม่เหมือนกันกันเหอะ’
ผมโผเข้ากอดพี่ชายร่างสูงอีกครั้งพร้อมกับเสียงหัวเราะของเค้า มือหนาลูบผมผมเบาๆ
‘คิดถึง.. คิดถึงมาก’
‘คิดถึงเหมือนกัน’
‘แต่มีอีกคนที่รอและคิดถึงเราไม่แพ้พี่ เผลอๆอาจจะมากกว่าด้วย’
‘ใครหรอฮะ?’
‘ถ้าเราได้เจอคนๆนั้น สัญญากับพี่ได้มั้ยว่าจะไม่โกรธพี่’
ผมผละตัวออกจากอผ่นอกกว้างนั่นอีกครั้งไม่เข้าใจความหมายในประโยคนั้น
‘พี่ขอโทษ..’
จบคำสารภาพของพี่ชายร่างสูงบุคคลที่สามที่ถูกกล่าวถึงก็ปรากฏตัวออกมาพร้อมกับหัวใจของผมที่เต้นช้าลงจนเหมือนมันจะหยุดเต้นและพรากลมหายใจของผมไป
‘ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ..’
‘…….’
(:
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย