16
‘อ้าว? คุณใหญ่ คุณหนูมินซอก มายืนทำอะไรกันตรงนี้ครับ’
เสียงของลุงยามที่เห็นผมและคุณใหญ่ที่คุ้นเคยเอ่ยเรียกทำให้ภาพตรงหน้าที่ทำให้เราทัเงสองหยุดชะงักลงหันมาตามเสียง น้ำตาที่ไหลอาบแก้มที่มีรอยบุ๋มนั้นเบิกกว้างผละออกจากความใกล้ชิดที่เกินคำว่าว่าเพื่อนจากอีกคนพร้อมกับเอ่ยชื่อของคนที่ยืนอยู่ข้างๆผม
‘อู๋ อี้ ฝาน’
ผมไม่รู้หรอกว่าเค้าสองคนคุยอะไรกัน แต่ให้เดาจากภาพที่เห็นเค้าคงปรับความเข้าใจกันแล้วและอาจจะกลับมาคบกันอีกครั้ง
การปะติดปะต่อตามความเข้าใจของผมเองทำให้ผมพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติก่อนจะเดินเข้าไปหาทั้งสองคนพร้อมกับประโยคหยอกล้อที่เป็นธรรมชาติที่สุด
‘สวีทแบบนี้จะมีข่าวดีอะไรรึเปล่าน้าา ~’
ไม่ทันที่คนโดนแซวทั้งคู่จะตอบ คนหน้าสวยก็ตรงปรี่เข้ามากระชากคอเสื้อของคนที่พาผมมาซะก่อน
‘เป็นแกใช่มั้ย!?’
คำถามที่ไม่รอให้ได้คำตอบ น้ำเสียงเกรี้ยวกราดพร้อมกับกำปั้นที่เหวี่ยงไปปะทะกับใบหน้าคนเป็นพี่ล้มลงไปกองกับพื้นก่อนที่จะขึ้นคร่อมแล้วกระหน่ำหมัดใส่คนที่ไม่รู้สาเหตุของอารมณ์ของน้องชายตัวเอง ลุงยามที่เฝ้าสังเกตการณ์อยู่ใกล้ๆก็รีบวิ่งมาแยกทั้งคู่ออกจากกันตามสัญชาตณาณของวิชาชีพและความคุ้นเคยกับทั้งสองคน ผมเองก็จับต้นชนปลายไม่ถูกแต่ก็เข้าไปช่วยลุงยามที่ดึงคนที่ได้เปรียบออกแล้วเข้าไปประคองคนที่โดนเล่นงานจนมุมปากช้ำจนมีเลือดไหลซึมออกมาโดยที่อีกคนยืนตัวสั่นน้ำตานองหน้าทำอะไรกับสถานการณ์ตรงหน้าไม่ถูก
‘มีเรื่องอะไรกันครับ ทำไมไม่ค่อยพูดค่อยจากัน’
ลุงยามที่กอดตัวคุณเล็กที่แกเรียกเอ่ยขึ้น
‘ถามคุณใหญ่ของลุงดูสิว่ามันไปทำเรื่องชั่วๆอะไรไว้’
‘อ้าวเฮ้ย?! ทำไมพูดแบบนี้วะ มาถึงไม่ได้ทันได้พูดอะไรแกก็ใส่มาไม่ยั้งขนาดนี้..’
'เรื่องชั่วมันเยอะจนคิดไม่ออกเลยหรอว่าทำอะไรไว้บ้าง’
แรงสะบัดที่ทำให้ลุงยามที่กอดเค้าอยู่ผละออกน้ำเสียงคุ่นเคืองยังคงพูดต่อโดยที่ทั้งผมและคนที่โดนทำร้ายร่างกายไม่รู้เรื่องราวสาเหตุของการกระทำของเค้าเลย
‘ไม่มีอะไรแล้วลุงกลับไปทำหน้าของตัวเองต่อเถอะครับ’
‘เอางั้นหรอครับ..งั้นมีอะไรก็ค่อยพูดค่อยจากันนะครับ ยังไงก็พี่น้องกัน’
หลังจากลุงยามเกินจากไปความเงียบก็เข้ามาปกคลุมบรรยากาศอึมครึมชวนอึดอัดจนผมต้องพูดอะไรออกไปเพื่อทำลายความเงียบนี้
‘เจ็บมั๊ยฮะ.. ไปทำแผลกันก่อนดีกว่านะ’
‘นะ นั่นสิ มินซอกพาพี่เค้าไปทำแผลก่อนเถอะ..’
‘จางอี้ชิง!!’
เสียงตะคอกเรียกชื่อคนที่หวังดีอีกคนดังขึ้นจนร่างขาวซีดเจ้าของชื่อสะดุ้งตกใจไปทั้งตัวรวมถึงผมเองด้วย
‘ส่วนแก.. ไปเคลียร์กับพี่มยอนแล้วมารับผิดชอบกับสิ่งที่ตัวเองทำซะ!’
‘รับผิดชอบเรื่องอะไร ฉันงงไปหมดแล้วเนี่ย’
เรียวแขนที่ดึงจนเหมือนจะกระชากอีกคนข้างๆให้ก้าวมายืนอยู่ตรงกลางระหว่างพวกเค้าโดยที่มีผมยืนประคองร่างสูงอีกคนอยู่
‘ก็เรื่องชั่วที่แกทำกับ...’
‘ลู่หาน!!’
เสียงตะคอกของคนที่ยืนอยู่ตรงกลางดังขึ้นเหมือนเป็นการเอาคืนที่โดนตะคอกใส่ในตอนแรกเพื่อหยุดคำพูดของเพื่อนสนิทที่กำลังจะเอ่ยสาเหตุของอารมณ์และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
‘อย่า เราขอร้อง..นะ’
‘ทำไม?’
การสะบัดหน้าส่ายหัวไปมากับคำพูดที่ทั้งสองคุยกันไม่ได้ทำให้ผมรวมถึงคนที่ประคองอยู่เข้าใจอะไรได้เลย จนอีกคนที่โดนขอร้องยกมือขึ้นเสยผมหันหลังเดินออกไปด้วยท่าทางหงุดหงิดเพราะดูเหมือนสถานการณ์จะยิ่งแย่ลงกว่าเดิมผมจึงต้องเอ่ยอะไรออกไปอีกครั้ง..
‘เอ่อ งั้นเดี๋ยวผมพาพี่อู๋ไปทำแผลก่อนนะฮะ’
‘อะ อื้อ ไปสิ’
คนที่หันหลังให้ผมอยู่หันหน้ากลับมาตอบผมพร้อมกับยกมือขึ้นมาปาดน้ำตาของตัวเองออก แม้จะไม่เข้าใจอะไรเลยผมเลยได้แต่พยักหน้าให้คนตรงหน้าพร้อมกับรอยยิ้มบางส่งไปให้
‘พี่ชิงอยู่ที่นี่แหละฮะ ฝากดูพี่ลู่ด้วย’
‘..อื้อ’
‘ไปฮะ ไหวรึเปล่า’
คนตัวสูงไม่ได้พูดอะไรได้แต่ยืนมองหน้าของคนตัวขาวซีดนิ่ง วงแขนที่ทิ้งน้ำหนักตัวครึ่งหนึ่งมาให้ผมทำให้ผมเสียการทรงตัวเล็กน้อยตอนหันหลังจะก้าวเดินออกไป แขนเล็กที่โอบเอวของพี่ชายตัวสูงอยู่พยุงเพื่อให้สะดวกมากขึ้นก่อนที่จะถูกดึงออกโดยอีกคนที่ตามมาจากข้างหลัง เพราะส่วนสูงที่เดิมทีก็ต่างกันอยู่แล้วประกอบกับน้ำหนักที่ร่างสูงนี้เทลงมาทางผมครึ่งหนึ่งทำให้เค้าเซล้มลงไปกองกับพื้น
‘เดี๋ยวมินซอก’
เพราะความตกใจกับคนที่นั่งนิ่วหน้าคิ้วขมวดบนพื้นผมจึงสะบัดมือที่จับแขนผมอยู่ออกไปดูคนเจ็บ
‘เป็นอะไรรึเปล่าฮะ มีอะไรค่อยคุยกันหลังจากนี้ อารมณ์พี่ตอนนี้ผมคงไม่สะดวกใจที่จะคุยด้วย’
ผมพยุงอีกคนขึ้นประคองเดินออกไปหน้าคอนโดเพื่อเรียกแท็กซี่เพราะรถที่นั่งมาคนขับอยู่ในสภาพที่ไม่น่าจะขับกลับออกไปได้
และผมก็โดดเรียนในวันนั้น หนังสือที่จะไปเอาก็ไม่ได้
หลังจากทั้งขู่ทั้งพูดหว่านล้อมให้พี่ชายตัวสูงนี้ไปทำแผลที่คลินิกใกล้ๆคอนโดเสร็จผมก็ตามพี่เค้าไปที่รีสอร์ตด้วย เพราะไหนๆก็โดดเรียนแล้วจะกลับบ้านก็ไม่ได้ซะด้วย ไปเล่นกับพี่มยอนฆ่าเวลายังซะดีกว่า
‘มาอยู่ที่นี่ตั้งนานพี่ไม่คิดถึงพ่อแม่บ้างหรอฮะ’
คนโดนถามนิ่งเงียบไปซักพักปล่อยให้สายลมพัดผ่านใบหน้าก่อนจะยิ้มตอบ
สวย สวยมากจริงๆ
‘คิดถึงสิ พวกท่านเสียตั้งแต่พี่อยู่ม.ต้นแล้วล่ะ’
‘อ่า.. ขอโทษนะฮะ’
‘ไม่เป็นไรหรอก ก็เราไม่รู้นี่นา..’
‘ชีวิตคนเรามันสั้นนะ ไม่มีอะไรแน่นอน อยากทำอะไรก็ทำเถอะจะได้ไม่ต้องมานึกเสียใจก่อนจะตาย..’
‘แม่พี่ชอบพูดประโยคนี้เสมอ ครอบครัวของเราไม่ได้ร่ำรวยอะไร หาเช้ากินค่ำ เราอยู่ด้วยกันสามคนพ่อแม่ลูกมีปณิธานเดียวกันคือ เงิน อยากมีเงินก็ต้องทำงานถูกมั๊ย มันเหนื่อยแต่มันก็สนุกดีนะ ตอนที่ได้ทุนไปเรียนที่แคนาดาพี่ยังคิดไม่ตกเลยเพราะยังสนุกกับการทำงาน จะเรียนต่อให้เหนื่อยแถมเปลืองเงินทำไม ยอมเหนื่อยแต่ได้เงินไม่ดีกว่าหรอ ในเมื่อเรียนจบก็ต้องมาทนเหนื่อยทำงานใช้หนี้ทุนต่ออีก เอาเวลาเหนื่อย3-4ปีนั่นมาเหนื่อยทำงานแล้วได้เงินเองคนเดียวไม่ดีกว่าหรอ? พี่คิดอย่างนี้ในตอนนั้น..’
‘พี่รู้สึกมีความสุขทุกครั้งที่ได้ทำงาน เพราะไม่ว่ามันจะหนักแค่ไหนแค่คิดถึงตอนได้สิ่งตอบแทนพี่ก็ยิ้มได้ทั้งวัน’
‘แต่ถ้าเรียนจบสูงๆมาก็จะมีงานที่มั่นคงนีฮะ อย่างน้อยเราก็มีอาชีพที่มีสวัสดิการมีหน้ามีตาในสังคม’
‘พี่ไม่ได้คิดแบบนั้นน่ะสิ คนที่เค้าเรียนไม่สูงแต่เงินเดือนเทียบเท่ากับคนเรียนจบใหม่ก็เยอะแยะไป ต้นทุนเค้าเริ่มจากศูนย์ก่อนจะค่อยๆพัฒนาไปจนถึงร้อยในขณะที่เราต้องเสียเงินจากร้อยเพื่อเริ่มต้นเรียนและกลับไปศูนย์ตอนเรียนจบเพื่อเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่อีกครั้ง เสียเวลามั๊ยล่ะ
ในระยะเวลา3-4ปีที่เราเริ่มจากร้อย คนที่พวกเค้าเริ่มจากศูนย์เค้าอาจจะพัฒนาตัวเองจนเกือบถึงร้อยแล้วก็ได้ ในขณะที่ร้อยของเราเริ่มลดลงเรื่อยๆจนเหลือศูนย์แล้วก็เริ่มนับหนึ่งใหม่วนลูป แถมประสบการณ์การทำงานก็ไม่มีอีกต่างหาก
สมัยนี้นะเด็กจบใหม่เยอะบริษัทใหญ่ๆส่วนมากเค้ามองหาแต่คนที่มีประสบการณ์ทั้งนั้น ไม่ก็เส้นสายเงินทองอีก เสียเงินเรียนมาแล้วยังต้องมาเสียเพื่อให้ได้งานอีกหรอ พี่ว่ามันไม่โอเค..’
ก็จริงของพี่เค้า แบคยังเคยมาเล่าให้ฟังเลยว่าขนาดงานพาร์ทไทม์ที่ทำอยู่ยังต้องใช้เส้นสายเงินแลกเข้าทำแต่โชคดีที่แบครู้จักกับเจ้าของร้านตั้งแต่เด็กๆ นี่ก็เรียกว่าใช้เส้นได้รึเปล่า
‘แล้วทำไมพี่มยอนถึงเลือกเรียนต่อล่ะฮะ’
‘อืมม จะว่าโชคดีก็พูดได้ไม่เต็มปากนะ พี่ได้ทุนตอนม.ปลายปีแรกหลังจากที่พ่อแม่เสียในช่วงปิดเทอมก็เลยตัดสินสินใจไปเลยเพราะพ่อแม่ก็ไม่อยู่แล้วด้วย ญาติพี่น้องก็ไม่มี..’
‘อ่า..’
‘ไม่ต้องทำหน้าหงอยเสียงเศร้าแบบนั้น’
‘คงลำบากน่าดู’
‘ใช่ ลำบากมาก ช่วงแรกๆที่อยู่ที่นั่นแม้ทุกคนจะดีกับพี่มากแต่มันก็ยากจริงๆที่จะปรับตัวให้เข้ากับผู้คน สถานที่ วัฒนธรรมและภาษาที่เราไม่คุ้นเคย ที่ผ่านช่วงนั้นไปได้ก็เพราะการทำงานพาร์ทไทม์ที่นั่นและก็ได้เจอกับฝานเลยทำให้ชีวิตเริ่มเข้าที่เข้าทาง..’
‘ทำงานไปด้วยเรียนไปด้วยไม่เหนื่อยหรอฮะ’
‘ก็เหนื่อยนะ แต่อย่างที่บอก พี่สนุกกับมัน..เหนื่อยแค่นี้เล็กน้อยมาก’
คนตัวขาวสว่างพูดไปอมยิ้มไปท่าทางมีความสุขจนผมอดยิ้มตามไม่ได้
‘พี่ชายผมนี่โชคดีจังมีคนดีน่ารักๆอย่างพี่เป็นแฟน’
‘...จริงๆแล้วพี่กับฝานไม่ได้เป็นอะไรกันนะ เราเป็นแค่เพื่อนกัน’
‘ไม่ต้องปฏิเสธหรอกฮะ หลักฐานก็เห็นๆอยู่’
‘เราคิดย่างนั้นหรอ’
เค้าหันมาถามใบหน้ายิ้มบางสองแขนค้ำอยู่ที่ระเบียงที่เบื้องหน้าเป็นทะเลสีสวยสุดลูกหูลูกตา
‘ผมคิดว่าผมรู้จักพี่น้องตระกูลนี้ดีฮะ การกระทำสำคัญกว่าคำพูดเสมอ..’
‘มันก็ไม่เสมอไปหรอกนะ.. เหมือนจะทำให้เราแต่จริงๆเราก็อาจจะเป็นแค่หมากตัวหนึ่งที่เค้าเอามาล่ออีกคนก็ได้’
‘อะไรนะฮะ?’
‘หื้ม? เปล่าครับ ว่าแต่เราเถอะเป็นไงมาไงถึงโดดเรียนมาถึงที่นี่ได้’
เพราะลมที่พัดแรงประกอบกับเสียงของคนข้างๆที่เบาลงในประโยคสุดท้ายทำให้ผมได้ยินไม่ชัดซึ่งก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรเพราะคำตอบของคนพูดดูเหมือนมันจะไม่ใช่เรื่องใหญ่ก่อนที่ผมจะตอบคำถามของเค้าในประโยคถัดมา
‘มีเรื่องวุ่นวายนิดหน่อยฮะ..ผมอยากพักสมองด้วย’
‘ปิดเทอมแล้วกลับกับพี่สิ เดี๋ยวพี่พาไปที่สวยๆ’
‘ถ้าขอแม่ได้นะ’
‘พี่ว่าได้อยู่แล้ว เราจะไปกันทั้งครอบครัวอาชอลต้องชวนแม่เราแน่นอน..’
‘ขอให้เป็นอย่างนั้นฮะ’
‘อะแฮ่มม คุยอะไรกันอยู่สองคน ท่าทางมีความสุขเชียว’
‘ฝาน! หน้าไปโดนอะไรมา?’
คนถูกถามมองผมสลับกับร่างเล็กที่ยืนรอคำตอบอยู่
‘อ๋อ อุบัติเหตุนิดหน่อยน่ะ ไม่เป็นไรแล้วล่ะ’
‘ไหนดูซิ ทำไมชอบทำตัวเองเจ็บตัวอยู่เรื่อยเลยฮึ..
คนสวยที่ทำตัวน่ารักเดินเข้าไปจับใบหน้าของคนตัวสูงหันไปหันมาสำรวจดูแผลบริเวณมุมปากที่มีรอยช้ำ ลูบเบาๆแต่อีกคนกลับส่งเสียงร้องออกมา
‘โอ๊ยย เจ็บนะ..’
‘ไหนบอกไม่เป็นไรแล้วไง โตแต่ตัวจริงๆ อายุเท่าไหร่แล้วทำไมซนไม่เข้าเรื่อง’
‘ครับๆ ขี้บ่นจริง ไม่เบื่อบ้างรึไง’
‘เบื่อที่พูดไม่รู้ฟังเนี่ยแหละ..’
‘อะ เอ่อ..’
ผมขัดขึ้นเพราะทั้งสองคนดูเหมือนจะง้องแง้งใส่กันอยู่อีกนานแน่โดยที่มีผมยืนอยู่ด้วยแบบนี้มันค่อนข้างจะไม่โอเคสำหรับคนดูซักเท่าไหร่
‘อ่อ แล้วนึกยังไงพาน้องมา โดดเรียนมาแบบนี้ถ้าน้องเรียนไม่ทันเพื่อนสอบตกซ้ำชั้นจะทำยังไง ทำไมทำอะไรไม่คิดแบบนี้ห้ะ’
‘เอ่อ พี่มยอนฮะ ผมสมัครใจมาเองนะฮะ พี่เค้าไม่..’
‘หยุดเลย สุภาพบุรุษมากให้เด็กรับผิดแทน มานี่เลย’
‘โอ๊ยๆๆ นี่ฉันเจ็บตัวอยู่นะ เบาๆหน่อยดิ’
เสียงโอดครวญของคุณใหญ่ดังระงมไปตามทางเดินเพราะแรงดึงจากมือเล็กที่จับอยู่บนปลายใบหูของเค้าลากเข้าไปข้างในห้องโดยที่ผมยังยืนรับลมอมยิ้มอยู่ตรงระเบียงด้านนอกกับภาพของคนสองคนที่คนตัวเล็กกว่าบอกว่าเป็นเพียงแค่เพื่อนกันเท่านั้น เถียงกันไปมาเหมือนคู่รักที่แต่งงานกันมานานแล้วมากกว่า ผมส่ายหน้ากับคนปากอย่างใจอย่างก่อนที่โทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงจะสั่นครืนยาว
+++Baekhyun+++
‘อื้อ แบคว่าไง’
‘เออ เรื่องทุนอ่ะสรุปจะเอาไง เนี่ยอาจารย์พึ่งเข้ามาพูดปีนี้อังกฤษเอาแค่3คนเอง ฉันเทละ แต่จีนกะซิดนีย์นี่ประเทศละ15คนว่าจะลองเสี่ยงดู ฉันลงชื่อจีนไปแล้วนายจะเอาไงจะได้ลงชื่อไว้ให้ ปิดเทอมอาทิตย์หน้าอาจารย์จะนัดปรับพื้นฐานภาษาอบรมการเตรียมตัว อาทิตย์ต่อไปสอบตอนเย็นประกาศผลเปิดเทอมบินเลย’
ทุนที่แบคฮยอนพูดถึงคือทุนจากทางโรงเรียนร่วมกับโรงเรียนในต่างประเทศสำหรับนักเรียนม.ปลายปี1และปี2ที่จะไปแลกเปลี่ยนการเรียนการสอน ศึกษาวัฒนธรรมต่างๆในประเทศนั้นๆเพื่อนำมาปรับใช้กับโรงเรียนของตนในระยะเวลา1ปี ซึ่งผมพลาดไปตอนปี1 เพราะมัวแต่วุ่นวายมีเรื่องทั้งเรื่องของตัวเองและเรื่องคนอื่น ไหนจะกิจกรรมจากทางโรงเรียนอีก
ถึงโรงเรียนเราจะเป็นโรงเรียนนานาชาติแต่การไปเยือนไปอยู่ไปสัมผัสกับเจ้าของภาษาในประเทศของเค้าโดยตรงก็ทำให้หลายคนสนอกสนใจอยากไป แถมสวัสดิการจากทางโรงเรียนก็ดีสมราคาค่าเทอมที่แพงหูฉีกแบบนี้ด้วย
‘เออ ลงได้ประเทศเดียวนะ ไม่ได้คือสำรอง ถ้าคะแนนถึงนะ เอาไงๆ’
‘ลงอิ้งไปเลยก็ได้นะ ยังไงนายก็มีเด็กนอกอย่างไอ้พี่ฝานกับพี่จุนเจินอะไรนั่นช่วยติวให้’
‘เค้าชื่อจุนมยอน’
‘เออๆนั่นแหละ..’
‘งั้นลงอิ้งให้เราเลยก็ได้’
เอาแค่3คนเอง ผมจะมีหวังรึเปล่า
‘นี่ห้องเราก็ลงห้องสุดท้ายที่ได้ลงชื่อ จีนนี่มาแรงมาก 170กว่าคน อิ้งนี่แปลกปกติคนจะเยอะกว่าทุกประเทศทุกปี ปีนี้ชื่อนายชื่อสุดท้ายลำดับที่90พอดี’
‘ก็ไม่น้อยนะ เอาแค่3คนเอง.. ยังไงก็ขอบคุณแบคมากนะ พรุ่งนี้เจอกัน’
‘เคๆ โดดเรียนให้สนุก’
หลังจากวางสายจากเพื่อนสนิทได้ไม่นานโทรศัพท์ในมือก็สั่นอีกครั้ง
+++SeungHo+++
‘เย็นนี้ว่างรึเปล่า..มาเจอกันหน่อยสิ’
‘อืมม เย็นนี้หรอ? กี่โมงดีล่ะ คือเราไม่ได้อยู่โรงเรียนอ่ะแล้วก็ไม่ได้อยู่บ้านด้วย พอดีออกมาข้างนอก..’
‘โดดเรียนเป็นด้วยหรอ? แล้วไปไหน??’
‘รีสอร์ตนอกเมือง’
‘กับใคร?’
‘พี่ที่เคยเล่าให้ฟังไง’
‘ไปทำไม?’
‘มาเล่นเฉยๆแล้วก็มาหาพี่มยอนด้วย’
‘งั้นวันหลังก็ได้ อย่ากลับมืดกลับค่ำล่ะ ถึงบ้านแล้วโทรมาด้วย’
‘นี่พ่อคุณเป็นพ่อพี่หรอครับสั่งจัง’
‘พ่อของลูก’
‘แหวะ จะอ้วก โอเคๆถึงบ้านแล้วจะโทรรายงานนะครับคุณพ่อของลูกก ~’
ผมกดวางสายพร้อมกับส่ายหน้าเอือมระอากับคนในโทรศัพท์ก่อนที่มันจะสั่นอีกรอบ
+++LuGe’+++
‘ทำอะไรอยู่ทำไมโทรไม่ติด’
ยังไม่ทันที่ผมจะได้เอ่ยอะไรคนในสายก็สวนพูดขึ้นมาก่อนด้วยน้ำเสียงติดจะหงุดหงิดคงเป็นเพราะผมติดสายคุยอยู่กับอีกสองคนก่อนหน้านั้นจึงทำให้เค้าโทรไม่ติด
เสน่ห์แรงปะล่ะ รับโทรศัพท์สายต่อสายเลย ฮ่าๆๆ
‘พอดีคุยกับแบคอยู่น่ะฮะ พี่ลู่มีอะไรรึเปล่าฮะ’
ปลายสายเงียบไปซักพักเหมือนกำลังสงบสติอารมณ์ตัวเองก่อนจะพูดสาเหตุที่โทรหาผม
‘อยู่ไหน ไปหาที่โรงเรียนไม่เจอ’
‘อ๋อ ก็พอดีพาพี่อู๋ไปทำแผลจะวกกลับไปโรงเรียนก็สายแล้วอีกอย่างหนังสือก็ไม่ได้เอาไปเลยขอตามมาเล่นกับพี่มยอนที่รีสอร์ต..’
‘แล้วไปยังไง’
‘ก็มากับพี่ชายของพี่ไง’
‘อยู่ห่างๆมันไว้บ้าง’
‘มีอะไรอีกรึเปล่าฮะ’
ปลายสายเงียบไม่มีคำพูดอะไรออกมาผมจึงตัดบทแล้วกดวางสายจบการสนทนาแล้วกดดูข้อความที่ส่งมาจากคนที่ผมพึ่งวางสายไป เป็นจำนวนการกดโทรเข้ามาในระหว่างที่ผมติดคุยอยู่กับทั้งแบคและซึงโฮ
LuGe’ พยายามติดต่อคุณ(24)’
ทำไมชอบทำอะไรให้ความหวังผมอยู่เรื่อย นิสัยไม่ดีเลย ทั้งๆที่ตัวเองก็มีที่ชอบอยู่แล้ว เฮ้อออ ~
ผมยังยืนรับลมอยู่ที่เดิมในหัวฉุดคิดเรื่องทำงานพาร์ทไทม์ที่ฟังจากพี่ชายตัวสว่าง อยากมีเงินก็ต้องทำงาน ผมไม่เคยคิดถึงเลยเพราะทุกวันนี้ยังขอเงินจากพ่อแม่ใช้อยู่ ฟังดูเหมือนสบายเนาะคงเพราะเราไม่รู้ว่ากว่าจะได้มานั้นลำบากขนาดไหน เคยได้ยินแต่แบคเคยบ่นให้ฟังว่าเหนื่อยอย่างนั้นอย่างนี้รวมถึงพี่มยอนเองก็บอกว่าเหนื่อย มันจะเหนื่อยขนาดไหนกัน
ผมเก็บความอยากรู้อยากเห็นไว้กลับไปถามแบคในวันรุ่งขึ้นที่โรงเรียนดีกว่า ใช่ว่าผมจะไม่เคยทำอะไรเลย งานบ้านนี่นับเป็นการทำงานมั๊ย? ก็แลกกับค่าขนมในแต่ละเดือนเหมือนกันนะ ฮ่าๆๆ
สายลมเย็นจากทะเลเบื้องหน้าพัดเอื่อยๆชวนขนลุกจนต้องยกสองแขนขึ้นมากอดตัวเอง คุณอาฮันเกิงนี่เข้าใจหาสถานที่ดีนะ มาเจอที่แบบนี้ในประเทศได้ยังไง ให้อารมณ์เหมือนอยู่เมืองนอกเพราะผู้คนก็มีแต่ชาวต่างชาติ เพราะนักท่องเที่ยวจากทุกประเทศทั่วโลกต่างอยากมาสัมผัสสถานที่เงียบสงบแห่งนี้ เหมือนคำที่เค้าชอบพูดกันว่าหากมาเกาหลีต้องนึกถึงกิมจิ
FH Miracle มีทั้งรีสอร์ต โรงแรม สปา ตลอดจนกิจกรรมทริปเที่ยวจากที่นี่ที่จัดสรรไว้ให้ทั้งกลางวันและกลางคืน ทุกกิจกรรมการวางแผนล้วนแล้วแต่ถูกจัดการมาอย่างดี รัดกุม ปลอดภัยและเป็นที่ชื่นชอบและได้ผลตอบรับที่ดีจากคนที่เคยมาสัมผัสและพูดกันปากต่อปาก บริหารงานโดยคนที่ดูเสเพลในสายตาพ่อแม่แต่ตอนนี้กลับจัดการทุกอย่างได้ในระดับดีเยี่ยมแม้จะมีแอบนอกลู่นอกทางไปบ้างแต่เพราะเวลาและการพิสูจน์ตัวเองของพี่ชายร่างสูงจึงทำให้ทุกคนไม่ค่อยกังวลเหมือนแต่ก่อน
อู๋ อี้ ฝาน เป็นผู้ชายที่น่านับถือ น่าเกรงขามแม้จะอายุน้อยเมื่อเทียบกับผู้บริหารรุ่นใหม่แต่ด้วยประสิทธิภาพในการทำงาน ความเด็ดขาดในความคิดจึงทำให้เค้ากลายเป็นผู้มีอิทธิพลทั้งในและนอกประเทศรองจากพ่อของเค้าในเวลาเพียง1ปีในการเริ่มเข้าทำงาน
ผมกับพี่ชายคนนี้เรียกได้ว่าสนิทใจกันมากกว่าพี่ลู่กับพี่ชิง ถ้าสองคนนั้นคืออากาศกับลมหายใจ
อู๋อี้ฝานคนนี้ก็คือคนที่ให้ชีวิตกับผม (รองจากแม่)
ผมกดเปิดโทรศัพท์กรอกรหัสผ่านสี่ตัวก่อนที่ภาพท้องฟ้าสีชมพูสวยปรากฏแก่สายตา รูปนี้ผมถ่ายตอนอยู่บนดาดฟ้าโรงเรียน
เป็นภาพที่ผมเข้าใจความรู้สึกของตัวเองที่มีต่ออีกคนแม้จะไม่มีคนๆนั้นในภาพก็ตาม
ผมอมยิ้มเมื่อนึกถึงที่มาที่ไปของภาพบนหน้าจอโทรศัพท์ของตัวเองก่อนจะกดเข้าแอพพริเคชั่นต่างๆเช็คข่าวนั่นนี่เรื่อยเปื่อยแล้วจึงเข้าไปเช็คไลน์กลุ่มที่กดปิดเสียงเอาไว้ ไม่รู้คุยอะไรกันนักหนา - -
มีโน้ตจากหัวหน้าห้องที่ประกาศเรื่องนักเรียนแลกเปลี่ยนพร้อมกับรายละเอียดมาให้คนที่สนใจซึ่งส่วนใหญ่ก็สนใจกันหมด แต่จะมีบางคนที่ขี้เกียจเข้าค่ายก่อนสอบคัดเลือกก็จะปล่อยไม่เอาเพราะตรงนี้จะมีการให้คะแนนประเมินระหว่างที่อยู่ในค่ายด้วย
อืมม.. จะว่าไปตั้งแต่เกิดเรื่องมากมายตลอดหลายเดือนมานี้ผมก็ยังไม่ได้เข้าไปเช็คในเว็ปกระทู้ของพรายกระซิบเลย ลองเข้าไปดูดีกว่าไม่รู้ป่านนี้อัพเดตข่าวไปถึงไหนแล้ว
สไตล์ข่าวของพรายกระซิบจะเป็นข่าวที่ทุกคนทุกเพจทุกกระทู้ไม่เคยรู้มาก่อน เรียกได้ว่าsecretแบบที่ทุกคนคาดไม่ถึงกันเลยทีเดียว ใช้เวลาไม่นานก็เจอ น่าดีใจมั๊ยมีแต่เรื่องที่มีผมอยู่ในข่าวด้วยทุกเรื่องเลยก็ว่าได้ ผมเลือกกดเข้าไปอ่านหัวข้ออันล่าสุดที่ถูกโพสคือเมื่อวานตอนเย็น
‘สวัสดียามเย็นกับอากาศเย็นๆหิมะโปรยปรายค่ะชาว FH Brother Fc ก็อย่างที่ทุกคนทราบกันแล้วในโพสก่อนๆวันนี้สายข่าวของพรายซิบแอบเห็นการเคลื่อนไหวบางอย่างค่ะ
พายุลูกแรกที่จะเรียกได้ว่าสงรึเปล่านั้นพึ่งผ่านพ้นไป แต่ลูกใหม่จ่อคิวกำลังจะตามมาติดๆแล้วค่าา เรื่องก็หนี้ไม่พ้นเรื่อง รักๆใคร่ตามประสาวัยรุ่นที่หน้าตาดีอ่ะนะคะ หลังจากที่น้องคุณหนูขอเปลี่ยนสถานะจากคนเคยขี่ อุ๊ย! ยังไม่ได้ขี่นี่หว่า คริคริ มาเป็นพี่น้องเหมือนเมื่อก่อน องค์พี่หานหรือท่านลู่ดาร์กของหมู่เฮาผู้ยึดมั่นในคำสัญญาก็ได้สิ่งตอบแทนหลังจากที่กล้ำกลืนฝืนทนคบกับน้องคุณหนูมาได้3(?)เดือนเศษด้วยอาการลมพัดหวนจะกลับไปกินกิมจิถ้วยเก่านั่นเอง ฮือออ แต่แหมมมมม คุณพี่ลักยิ้มคนที่ใครๆต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าแสนดีนั้นกลับยังมีท่าทียึกๆยักๆไม่ยอมให้ความร่วมมือกับพี่หานของหมู่เฮาเลยโดยการประกาศเด็ดขาดว่า Just friend นะยู แต่ แต๊ แต่ ปากบอกไม่เอาแต่ตอนนี้ย้ายไปอยู่ด้วยกันแล้วค่ะคุณขา เจ็บเหลือเกิลลล
น้องคุณหนูช่างแข็งแกร่งนัก ไปกราบใจของนางกันค่ะ ถถถถ จุดนี้พรายซิบเองก็ไม่อยากพูดอะไรมากเพราะได้ข่าวว่าคุณพี่ลักยิ้มคนนี้นางก็ป่วยค่ะ ป่วยทั้งกายป่วยทั้งใจ ยังไงก็ขอให้หายเร็วๆนะคะ
ต่อค่าต่อ มีเรื่องน้องแล้วจะไม่มีเรื่องของพี่ได้ยังไง คุณใหญ่หรือพี่ฝานของหมู่เฮารูปล่าสุดจากสำนักข่าว(?)ของพรายซิบเห็นว่ามาดูงานที่ชานเมืองเป็นเกาะที่พึ่งทุ่มทุนสร้างเช่นเคย มาอยู่จะอาทิตย์ได้แล้วค่ะ ไปๆกลับๆระหว่างเกาะกับบ้าน แต่เอ๊ ~ หรือมาเฝ้าอะไรเปล่าน๊าา เพราะฮีหนีบเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อมาเป็นภาระ เอ๊ย! มาเป็นผู้ช่วยด้วย แต่ก็ไม่รู้ว่าจะช่วยอะไรบ้างอ่ะนะคะ เชอะะ
เห็นในโพสก่อนๆมีตั้งแท็กทีม มีใครทีมพรายซิบมั่งมั๊ยคะ ฮ่าๆๆ เรื่องสุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุดมาแล้วค่ะ secret ของเรา รบกวนทุกคนก็เช่นเคยนะคะอ่านแล้วคิด วิเคราะห์ แยกแยะกันเองน๊าา
:: ความรักสำหรับบางคู่อาจจะเกิดจากคนหลายคนคอยเป็นพ่อสื่อแม่สื่อช่วยเหลือ เมื่อสมหวังแล้วจะกลายเป็นเรื่องของคนสองคน ถ้ามีบุคคลที่สามตามมาจุดจบอาจสวยงามหรือโศกเศร้าเราก็คาดเดาอนาคตไม่ได้ ::
ปริศนาวันนี้ 1+1-1=0 คำตอบบอกไปแล้วใครไม่เข้าใจไม่ต้องหลังไมค์มา ไม่มีว๊าบอะไรใดๆทั้งสิ้นค่ะ มันมีคนตอบถูก เชื่อพรายสิ.. อุอิ
วันนี้พรายซิบไปละน๊าา เสพข่าวอย่างมีสติกันเด้อพี่น้อง บะบุยย
ผมอ่านไปคิดตามที่ตัวอักษรนี้บอก นึกงงๆอยู่เล็กน้อยแต่ที่อยากรู้คือตัวตนของพรายกระซิบนี่ต่างหากทำไมถึงรู้เรื่องทุกอย่างได้เหมือนตัวผมเป็นคนเขียนเอง ทั้งเรื่องความลับ ข้อตกลง เกมส์ การวางแผนต่างๆ ที่ไม่มีใครที่ไม่ใช่พวกเรารู้เลย แล้วเค้าไปรู้มาจากไหน
ผมสะบัดความคิดนี้ทิ้งนิ้วเลื่อนลงดูความคิดเห็นของบรรดาผู้มีอิทธิพลเฉพาะในคีย์บอร์ดที่มาจากหลากหลายอาชีพร้อยพ่อพันแม่วงนอกวงใน รู้ดีกว่าตัวผมอีกมั๊ง
มีอันที่ได้ยอดไลค์เยอะสุดอธิบายไว้
ความคิดเห็น 79 :: 1+1-1=0 คือบทสรุปของเรื่อง FH Bro อธิบายให้กว้างงงงก็คือ เรื่องมันเริ่มจากคนสองคนก็ 1กับ1 ทีนี้1+1มันเท่ากับ2ช้ะ?แต่มี-1มา ซึ่ง-1ก็คือคนที่มาจาก1+1ในตอนแรก มันก็จะเหลือ1คน แล้วทำไมมันเท่ากับ0 ตามความเข้าใจของเราคือ1คนที่เหลือก็ไม่เหลืออะไรเลย ตัวคนเดียว อโลน โดดเดี่ยวเดียวดายเลยเท่ากับ0 มั่วมากปะล่ะ ฮ่าๆๆ’
ความคิดเห็นย่อย :: เหมือนจะเข้าใจแต่ก็งงดี ฮ่าๆๆๆๆ’
ความคิดเห็น 80 :: เราคิดเหมือนความเห็นบนเลย พี่หาน+พี่ลักยิ้ม-พี่ลักยิ้ม=ไฟไหม้ค่ะ วายวอด ก๊ากกก’
ความคิดเห็น 81 :: เออ วุ่นวายอ่ะ อยู่โสดๆหาเช้ากินค่ำเหมือนแต่ก่อนแหละดี เผื่อจะมาหากินแถวเรามั่ง อิอิ’
ความคิดเห็น 104 :: จริงๆมันต้องแบบนี้ พี่หาน+พี่ลักยิ้ม+น้องคุณหนู-พี่ลักยิ้ม+พี่ฝาน-พี่หาน=พี่ฟานน้องคุณหนู กรุบกริบ -.,-
‘เฮ้ย!!’
เสียงของคนที่ผมเกือบหลุดขำกับบทวิเคราะห์ที่อ่านดังขึ้นพร้อมสองมือที่จี้อยู่ที่เอวของผม เครื่องมือสื่อสารที่ถืออยู่หล่นลงกระทบกับพื้นเพราะความตกใจ
‘เล่นอะไร ผมตกใจหมด’
ผมก้มลงไปเก็บเจ้าเครื่องสี่เหลี่ยมก่อนจะเอามันใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกงตามเดิมปากก็เอ็ดคนโตแต่ตัวเหมือนกับที่พี่ตัวสว่างพูดบ่อยๆ
‘เรื่องไอ้ลู่.. ‘
‘.......’
‘..เราจะเอายังไงต่อ’
‘ดูเหมือนเรื่องของผมคงไม่น่าสนใจเท่าเรื่องของพี่นะ’
ผมพูดพร้อมกับนิ้วที่จิ้มไปตรงระหว่างอกกว้างของพี่ตัวสูงข้างหน้า
‘จะบอกผมได้รึยังระหว่างพี่กับพี่ชิงมันคืออะไร ไม่น่าจะพึ่งรู้จักกันหรอกนะดูจากอาการของพี่ชิงแล้ว’
แววตาแข็งกร้าวที่ผมเดาความคิดไม่ออกถอนหายใจออกมาก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องทั้งหมดให้ผมได้รับรู้
นึกแปลกใจตัวเองอยู่เหมือนกันที่ไม่รู้สึกอะไรเลย
‘เราโกรธพี่มั๊ย? เกลียดพี่ก็ได้นะที่ทำกับพี่ชายเราแบบนั้น..’
หนึ่งชีวิตบริสุทธิ์ที่ถูกพรากไป กับอีกหนึ่งชีวิตบริสุทธิ์กำลังจะเกิด ดราม่าเอยช่างซับซ้อน นี่คือความหมายและใช้ได้กับสถานการณ์ของพวกเราทุกคนได้รึเปล่า เราสองคนเดินออกมาจากระเบียงทอดน่องไปตามริมชายหาดก่อนจะหยุดเดินนั่งใต้ร่มไม้ที่ห่างจากตัวที่พักพอสมควร มองน้ำทะเลสีครามส่องแสงประกายระยิบระยับที่โดนพระอาทิตย์สาดความสว่างใส่
ความเงียบเข้าปกคลุมได้ยินแต่เสียงคลื่นทะเลกระทบฝั่งและกลิ่นเค็มน้ำท้องทะเลกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา
‘ผมไม่รู้นะว่าพวกพี่มีเรื่องอื่นนอกจากที่เล่ามารึเปล่า..’
‘..พี่ชิงท้อง ผมคิดว่าพี่ควรจะรู้’
ร่างสูงหันหน้ามาหาผมดวงตาที่แข็งกร้าวอ่อนลงแต่ยังคงความเย็นชาไว้เหมือนเดิม
‘พี่คิดว่าพี่ชิงจะยังกลับไปรู้สึกแบบนั้นกับพี่ลู่อีกรึเปล่า เพราะในเมื่อเค้า.. กำลังอุ้มเด็กอีกคนอยู่’
‘เราก็เห็นแล้วนี่..’
‘อ่า.. นั่นสินะ’
ทำยังไงผมก็คงไม่มีวันได้หัวใจของเค้าจริงๆเลยสินะ
‘แล้วพี่มยอนเค้า..’
‘เค้ารู้และคอยห้ามตลอด’
‘เป็นคนดีเกินไปจริงๆ คนที่ควรจะโกรธคือเค้านะ เค้าไม่เสียใจหรอ’
‘มยอนเค้าเก่ง เค้าแยกแยะได้ว่าไม่ควรเอาเรื่องมาปะปนกันให้ยุ่งยากเพราะมันจะยิ่งวุ่นวายไปกันใหญ่ ถามว่าเสียใจมั๊ย ตอบเลยว่ามาก ทุกคืนเค้ายังแอบไปร้องไห้คนเดียวเพราะกลัวว่าพี่จะเห็น’
‘คิดภาพพี่เค้าร้องไห้ไม่ออกเลย คนที่ยิ้มรับกับทุกสถานการณ์มองโลกในแง่ดีแบบนั้นคงน่าสงสารน่าดู’
‘ใช่ เจ็บที่ช่วยอะไรไม่ได้เลย แค่คำปลอบโยนยังพูดไม่ได้’
‘แล้วก็ปากแข็งว่าเป็นแค่เพื่อนกันทั้งคู่ ดูสิ คำพูดคำจา’
ผมพูดติดตลกแม้สถานการณ์ในตอนนี้จะไม่น่าขำเลยก็ตาม
‘เราล่ะ จะยอมแพ้แล้วหรอ?’
‘.. ก็รอดู’
ผมเลียนแบบคำพูดของร่างสูงที่ชอบพูดจนผมคิดว่ามันกลายเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวของเค้าไปแล้ว
‘ถ้าไม่ชนะก็ต้องไม่ใช่คนแพ้สินะ’
ผมยิ้มตาหยีเป็นคำตอบให้คนข้างๆ ฝ่ามือหนาที่จับหัวผมโยกไปมายิ้มเอ็นดู
‘แล้วเรื่องพี่ชิงพี่จะทำยังไงต่อไป’
‘เราก็ได้ยินที่ไอ้ลู่มันพูดหนิ..’
‘รับผิดชอบ/รับผิดชอบ’ ผมพูดออกมาพร้อมกับอีกคน
‘เราพร้อมที่จะไปด่านต่อไปรึยัง?’
‘ร่างกายพร้อมมาก แต่จิตใจยังไม่โอเคเท่าไหร่’
‘ถ้าชนะเลเวลนี้ เลเวลต่อไปเราจะเป็นคนคุมเกมส์เองโดยไม่มีพี่..’
‘สามารถเลือกได้ด้วยจะปิดเกมส์เลยหรือให้มีภาคต่อ..’
‘มีตัวช่วยรึเปล่า ท่าทางจะหนักเอาการ’
‘โชคร้ายหน่อยที่เราใช้ตัวช่วยไปหมดแล้ว’
‘แย่จัง..’
‘สู้มาขนาดนี้แล้วยังจะกลัวอะไร’
‘ผมต้องทำอะไรก่อนดีล่ะ’
‘ไหนบอกยังไม่พร้อมไง’
‘ก็ตอนนี้พร้อมแล้วไงเล่า’
‘ทำไมน้องชายพี่มันถึงได้โง่ขนาดนี้นะ’
‘อย่ามาว่าพี่ลู่ของผมนะ’
‘มันน่าจะได้เห็นความรักที่เรามีให้ว่ามันมากมายขนาดไหน..’
‘ก็คงไม่ต่างจากที่เค้ามีให้พี่ชิง..’
‘มันเทียบกันไม่ได้หรอก เพราะความรักของเราอ่ะบริสุทธิ์’
‘แต่ก็ได้มาด้วยความไม่บริสุทธิ์’
พี่ชายร่างสูงยกยิ้มมือหนาตบลงบนไหล่ของตัวเองเอ่ยชวนผมด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง
‘อยากร้องไห้มั๊ย? มา.. ไหล่กว้างๆของคนหล่อๆยินดีให้พักพิงเป็นที่รองน้ำตาเสมอ’
‘เก็บไว้ปลอบคนของตัวเองเหอะ’
‘รู้ตัวรึเปล่าว่าเราเปลี่ยนไปเยอะเลยนะ’
‘อืมม..เปลี่ยนในทางที่ดีก็ดีสิ แต่...’
‘มันดี ไม่ต้องดีสำหรับใคร ดีสำหรับตัวเองก็พอ’
‘ฟังดูโคตรเห็นแก่ตัวเลย’
‘ก็ไม่ใช่ทุกเรื่องซักหน่อย’
‘ทุกความเจ็บปวดจะเป็นบทเรียนให้เราเข้มแข็งขึ้น ซึ่งเราก็เข้มแข็งขึ้นมาก ไม่ขี้แยเหมือนแต่ก่อนแล้วเห็นมั๊ย’
มือหนาเอื้อมมาบีบจมูกผมเบาๆก่อนจะปล่อยออกเปลี่ยนมาฉุดแขนให้ผมลุกขึ้นตามเพราะท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีแล้วหลังจากที่พระอาทิตย์กำลังเตรียมตัวจะดำลงไปในผืนน้ำทะเลแห่งนี้
‘เข้าข้างในเถอะอากาศเริ่มเย็นแล้วเดี๋ยวเราไม่สบายเอาพี่จะโดนบ่นอีก’
ร่างสูงเดินนำผมไป ผมหยุดอีกคนด้วยการดึงชายเสื้อเค้าเอาไว้จนต้องหยุดเดินแล้วหันมาหาผมโดยที่ผมยังคงก้มหน้าอยู่ มองเม็ดทรายเนียนละเอียดที่เหยียบย่ำอยู่
'.........'
‘กอดผมหน่อยได้มั๊ย?’
น้ำตาที่ไหลออกมาผิดกับคำพูดของตัวเองและคนที่พึ่งบอกว่าผมเข้มแข็งขึ้นจนคนถูกร้องขอดึงแขนเล็กที่จับชายเสื้อเค้าอยู่โอบกอดตัวที่เล็กกว่ามากของผมส่งความอบอุ่นให้ทั้งร่างกายและจิตใจที่บอบช้ำ ปล่อยให้เสื้อราคาแพงเป็นที่ซับน้ำตา มือหนาลูบผมผมไปมาไร้คำพูดของเราทั้งสองคนได้แต่ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามความต้องการของผมที่สะอื้นไห้อยู่ในอกกว้างนี้
เหนื่อย..
แต่จุดมุ่งหมายที่เพียรทำมาต้องเสียเปล่าหากคิดจะยกเลิกเดินออกจากเกมส์ ใจหนึ่งก็อยากหยุดแต่อีกใจกลับฮึดสู้
อีกนิดเดียวเท่านั้น
อีกนิดเดียว
ทุกอย่างต้องอยู่ในมือของผม ผมไม่ใช่คนเจ้าคิดเจ้าแค้น แต่ใครที่ทำอะไรกับผมไว้แน่นอนว่ามีบทลงโทษให้กับทุกคน แต่ก่อนจะถึงวันนั้นผมต้องอดทนผ่านด่านที่กำลังจะเกิดขึ้นให้ได้ก่อน
♪
เสียงโทรศัพท์ของผมทำให้อ้อมแขนที่โอบกอดผมอยู่ผละออก มือหนาเลื่อนมาเช็ดน้ำตาออกให้ผมก่อนที่จะก้มลงดูชื่ออีกคนที่โทรเข้ามา
+++SeungHo+++
‘พี่ว่าเราน่าจะมีตัวช่วยแล้วล่ะ..’
(:
หนูเป็นคนใสใส
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย