14
ทุกคนที่เกิดมาดำรงชีวิตอยู่ได้เพราะการสูดลมหายใจเข้าออกไม่ว่าอากาศหรือสิ่งที่ทำให้จมูกเราได้รับรู้และได้กลิ่นนั้นจะบริสุทธิ์หรือเจือปนสารพิษก็ตาม
เราขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้อยู่แล้ว
แต่ถ้าวันนึงคุณขาด1ใน2อย่างนี้ล่ะ?
มีออกซิเจนแต่ขาดการหายใจก็เท่ากับว่าไม่มีชีวิตอยู่แล้ว แต่ถ้ายังมีลมหายใจแต่อากาศที่ใช้เพื่อการดำงชีวิตอยู่นั้นไม่บริสุทธิ์ เต็มไปด้วยสารพิษอันตรายล่ะ...? แน่นอนว่าคุณยังมีชีวิตมีลมหายใจอยู่แม้ว่าอากาศที่สูดเข้าไปจะเลวร้ายส่งผลเสียสร้างความเจ็บปวดทรมานให้ร่างกาย แต่นั่นก็ทำให้เรามีชีวิตอยู่
ขอแค่มีลมหายใจรั้งชีวิตของเราไว้ให้ได้นานที่สุดถึงแม้ว่าอากาศที่ใช้อยู่นี้จะไม่ใช่ออกซิเจนที่บริสุทธิ์ก็ตาม ผมยอมแลกเพื่อให้ตัวเองมีชีวิตอยู่ ยอมอยู่กับความทรมานกับอากาศที่ไม่พึงประสงค์ต่อไปเพื่อต่อเวลาให้ได้อยู่กับคนที่เรารักและรักเราให้ได้นานที่สุด
หลังจากเย็นวันนั้นข้อข้องใจ(เกือบ)ทั้งหมดของผมก็ถูกเฉลย พี่ชิงกลับมาอาการทรุดลงอีกรอบทั้งๆที่เกือบจะหายดี100%แล้ว กลับมาเก็บตัว หวาดระแวง แม้จะไม่หนักมากเหมือนช่วงก่อนที่พี่เค้าจะมาเยี่ยมผมที่บ้านแต่ก็ทำให้ผมได้เห็นว่าอาการและสิ่งที่เค้าเป็นอยู่นั้นมันเป็นยังไง
เสียงปิดประตูด้านข้างคนขับปิดลงพร้อมกับคนที่หันหน้ามามองผมใบหน้าหวานตกใจก่อนจะเอ่ยเรียกชื่อของผมก่อนจะเอ่ยเรียกชื่อ
‘มินซอก..มาได้ไงเนี่ย..แล้ว..?
‘อย่าพึ่งถามอะไร รีบไปก่อนที่เรือเที่ยวสุดท้ายจะหมดก่อนดีกว่านะฮะ’
เพราะที่นี่เป็นเกาะส่วนตัว โรงพยาบาลใหญ่ๆจึงไม่มี คนที่อาศัยอยู่ที่นี่ส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยเจ็บไข้ได้ป่วย จะมีก็แต่คลินิกเล็กๆในรีสอร์ตของเค้า
สองมือที่ประสานกันนิ่วหน้าคิ้วขมวดโดยมีผมยืนรอคนที่พึ่งถูกส่งตัวเข้าไปในห้องฉุกเฉิน สีหน้าที่แสดงออกชัดเจนว่าเป็นห่วงกังวลกับร่างขาวซีดของพี่ชายของผมจนผมต้องเดินไปนั่งยองๆตรงหน้าอีกคนใช้นิ้วชี้กดไปตรงหว่างคิ้วให้คลายออก
'พี่ชิงต้องไม่เป็นอะไร'
รอยยิ้มเล็กๆส่งมาให้พร้อมกับฝ่ามือที่วางลงบนหัวของผม เป็นชั่วโมงการรอที่มีแต่ความเงียบงัน
และเป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกอึดอัดที่อยู่กับเค้าสองต่อสองแบบนี้
.
.
.
และการรอคอยก็สิ้นสุดลง ผู้ชายร่างสูงสวมเสื้อกาวน์สีขาวสะอาดเดินออกมาพร้อมกับคุณหมอท่านอื่นๆก่อนจะแยกไปเหลือเพียงคนเดียวเดินเข้ามาหาเราสองคน
‘ไม่ทราบใครเป็นญาติคนไข้ครับ..’
‘ผมเป็นน้องชายครับ’
‘เอ่อ ไม่มีผู้ปกครองมาด้วยหรอครับ?’
‘กำลังตามมาครับ’ คนข้างๆผมพูดขึ้น
‘พี่ผมเป็นยังไงบ้างครับ ไม่เป็นอะไรใช่มั้ยครับ’
‘คนไข้สภาพร่างกายไม่เป็นไรครับ ปลอดภัยดี...’
เสียงถอนหายใจโล่งอกของเราทั้งสองคนที่นั่งรอหลังจากส่งอีกคนเข้าไปในห้องด้านหลังคุณหมอนับชั่วโมงกว่าได้
‘คุณเป็นน้องชายคนไข้ใช่มั้ยครับ’
‘ครับ’
‘หมอขอคุยอะไรด้วยหน่อย เชิญทางนี้ครับ’
‘เดี๋ยวครับหมอ..’ เสียงเรียกของคนข้างหลังหยุดการเคลื่อนไหวของทั้งผมและคนที่โดนเรียกให้หันกลับมา
‘เข้าไปเยี่ยมได้มั้ยครับ’
‘ตอนนี้คนไข้หลับอยู่ ถ้าจะเข้าไปเยี่ยมก็ได้ครับ แต่รบกวนอย่างส่งเสียงดังมากนัก หมออยากให้คนไข้พักผ่อนให้หมดฤทธิ์ยาไปเอง’
‘ขอบคุณมากครับ’
เราต่างคนต่างมองส่งยิ้มให้กันก่อนที่ผมจะเดินตามหมอออกไป
‘คุณหมอมีเรื่องอะไรจะคุยกับผมครับ’
‘คนไข้มีอาการทางจิตอยู่อันนี้คุณทราบอยู่ก่อนแล้วใช่มั้ยครับ?’
‘..ครับ’
‘เพราะมีเรื่องไปกระตุ้นในส่วนนั้นเลยทำให้คนไข้ช็อกจนหมดสติ..หมอเองก็บอกรายละเอียดอะไรมากไม่ได้เพราะไม่เชี่ยวชาญในด้านนี้ แต่คนไข้มีประวัติเคยรักษาที่นี่คงต้องรอดูตอนฟื้นอีกที...’
‘ไม่ได้มีแค่เรื่องนี้เรื่องเดียวเรื่องใช่มั้ยครับ’
ผมถามชายวัยกลางคนท่าทางน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับพ่อหน้าตาใจดีผิดกับน้ำเสียงที่จริงจังตรงหน้า คนถูกถามนิ่งไปชั่วครู่ก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาหยิบชาร์ตคนไข้ที่พยาบาลส่งให้ก่อนเดินแยกไปกับคณะหมออีกทาง ยื่นส่งมาให้ผมดู ผมเปิดออกมองดูแผ่นกระดาษสีขาวสลับกันไปมาเพราะมันมีหลายแผ่น ตัวอักษรทั้งภาษาอังกฤษและคำศัพท์เฉพาะของแพทย์ไม่ได้ทำให้ผมเข้าใจอะไรกับจุดประสงค์ที่คนส่งให้ผมดูได้เลย
‘ผม..ไม่เข้าใจฮะ’
‘คนไข้มีแฟนรึเปล่าครับ..’
‘เท่าที่ผมทราบ..ไม่มีครับ’
‘คนไข้ตั้งครรภ์ได้สองสัปดาห์แล้วครับ’
'!!!'
‘ทะ ท้องหรอครับ! จะเป็นไปได้ยังไงในเมื่อ...’
ใช่สิ พี่ชิงพึ่งกลับมาเมื่อเดือนที่แล้ว วันที่ไปเยี่ยมผมที่บ้านถ้านับถึงวันนี้ก็ครบ1เดือนกับอีกสองสัปดาห์ ถ้าทั้งสองคนเริ่มกลับมาคุยกันตามเวลาที่ผมคิดโอกาสที่จะเป็นไปได้ก็สูงเพราะเค้าทั้งสองคนเคยเป็นคนรักกัน หรือพี่ชิงจะมีคนที่คุยด้วยอยู่อันนี้ผมก็ไม่รู้คงต้องรอถามจากปากของเค้าเอง
‘อย่างที่หมอพูดไป คนไข้มีอาการทางจิตแทรกซ้อนหมอเกรงว่าอารมณ์ของคนไข้จะส่งผลกระทบกับตัวเด็ก ยิ่งเป็นเด็กที่เกิดจากผู้ชายอย่างนี้ด้วยแล้วเด็กจะอ่อนแอและมีอารมณ์ความรู้สึกอ่อนไหวเป็นพิเศษ’
‘ละ แล้วต้องทำยังไงบ้างหรอครับ’
‘หมอคงตอบอะไรให้ไม่ได้ เพราะต้องรอดูอาการของคนไข้หลังจากฟื้น ถ้าเค้ายังปกติดีก็ดูแลเหมือนคนท้องปกติทั่วไปแต่ถ้าไม่ก็ต้องรักษาเป็นขั้นเป็นตอนต่อไปให้ส่งผลกระทบกับเด็กน้อยที่สุด’
ผมไม่รู้จะคิดอะไรจะทำอะไรต่อแล้วจริงๆ ในหัวมันมีเรื่องให้คิดมากมายแต่กลับว่างเปล่า ตื้อตันไปหมด ผมเดินเข้าห้องน้ำเพื่อปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมาระบายความอึดอัดที่อัดแน่นอยู่แม้มันจะไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นแต่มันก็ทำให้อย่างน้อยผมได้ปลดปล่อยความอ่อนแอของตัวเองลงได้บ้าง
ภาพของผู้ชายที่ผมรักมากที่สุดที่เป็นเหมือนลมหายใจและอากาศของผมทั้งสองคนนั่งกุมมือคนที่นอนแน่นิ่งด้วยสายตาเป็นห่วงปนความเจ็บปวดที่เห็นคนที่รักต้องมาอยู่ในสภาพแบบนี้ น้ำตาที่พึ่งปลดปล่อยไปไหลลงมาอีกครั้ง
ถ้าเค้ารักกันมากขนาดนี้แล้วมาคบกับผมทำไม มาให้ความหวังผมทำไม? จริงสิ ผมเป็นคนดื้อดึงจะลงเล่นในเกมส์นั้นเองนี่นะ
ผมดีใจที่คนที่ผมรักทั้งสองคนรักกัน แต่เสียใจที่ทำไมพวกเค้าไม่ยอมบอกว่าเค้ารักกัน และเจ็บปวดที่สุดที่ต้องมาทำให้พวกเค้าต้องแยกจากกันด้วยความเห็นแก่ตัวของผม
และมันก็ช่วยไม่ได้ที่ผมเลือกอีกคนไปแล้ว ในบรรดาผู้เล่นทั้งหมด
ผมต้องเป็นที่หนึ่งและชนะเท่านั้น
ผมยกมือที่ยังสั่นเทาอยู่ขึ้นมาเช็ดน้ำตาออก เคาะประตูส่งสัญญาณให้คนข้างในรู้ เค้าหันหน้ามาตามเสียงเคาะผมเอ่ยเสียงเบาทักให้อีกคนเพราะกลัวคนที่นอนอยู่จะตื่นก่อนเวลาอันควร
‘ขอคุยอะไรด้วยหน่อยได้มั้ยฮะ...’
เค้าพยักหน้าหันกลับไปมองคนป่วยมือหนาที่เวลาได้สัมผัสคู่นั้นอบอุ่นและชวนวูบไหวหัวใจเต้นแรงวางลงบนหน้าผากอีกคนอย่างเบามือพร้อมกับสายตาห่วงใยถนุถนอมก่อนที่เค้าจะผละตัวออกมา หัวใจผมเจ็บหนึบแม้จะบอกกับตัวเองว่าดีใจที่คนที่รักทั้งสองคนมีความรู้สึกดีๆให้กันแต่นั่นมันก็เป็นแค่อดีต เพราะปัจจุบันเค้าเป็นของผม ผมสะบัดหัวไปมาไล่ความคิดนั้นออกไปเดินนำคนข้างหลังไปคุยกันข้างนอก
สายลมที่พัดผ่านร่างทำให้รู้สึกหนาวเหน็บเย็นยะเยือกไปทั้งหัวใจ น้ำตาที่ยังคลอหน่วยอยู่พร้อมจะไหลลงมาอีกทุกเมื่อ ผมเงยหน้าขึ้นกรอกตาไปมาเพื่อไล่น้ำใสๆนั่นแล้วหันกลับมาเผชิญหน้าคุยกับคนที่เรียกออกมา
ใบหน้าเนียนใสยังคงยิ้มหวานให้ผมเหมือนทุกทีหากแต่แววตานั้นซ่อนความกังวลไว้ไม่อยู่ เราต่างคนต่างมองกันอยู่ซักพักจนผมเป็นคนเปล่งเสียงออกไปทำลายความเงียบนี้
‘ทำไม..ไม่บอกผมว่าพี่สองคนเคยรักกัน’
ผมพยายามประคองเสียงตัวเองไม่ให้สั่นและจงใจเน้นให้อีกคนเข้าใจและแยกแยะความสัมพันธ์ระหว่างอดีตกับปัจจุบัน ไม่อยากแสดงความอ่อนแอให้คนข้างหน้าเห็น เค้านิ่งไปสองมือที่ล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงของตัวเองหลับตาพริ้มเงยหน้าขึ้นบนท้องฟ้าที่มืดมิดแต่กลับมีแสงสว่างจุดเล็กๆแต้มประปรายอยู่ทั่วผืนฟ้าสีดำสนิท
‘เพราะอี้ชิงเค้ารู้ไงว่าเรารู้สึกยังไงกับพี่...’
‘......’
‘...แต่ถ้าบอกผมตั้งแต่ตอนนั้นเรื่องมันอาจจะไม่บานปลายเลยเถิดมาถึงตอนนี้ก็ได้’
‘ในตอนนั้นตัวพี่เองก็ไม่มีสิทธิเลือกอะไรมากนักหรอก’
ผมเข้าใจ เข้าใจความรู้สึกของพี่ชิงดี เค้ารักผมมากเหมือนที่ผมเองก็รักและเคารพเค้ามาก แต่มันถูกแล้วหรอที่เลือกที่จะก้าวถอยหลังแล้วเดินหนีไปแบบนี้ ความสุขที่ผมได้มาต้องแลกกับความเจ็บปวดของคนสองคน เมื่อนึกถึงช่วงเวลาเหล่านั้นที่ผมยิ้ม หัวเราะมีความสุข กลับมีอีกคนที่ต้องมานั่งทุกข์เศร้าเสียใจอยู่
ความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น
‘เราจะด่าจะว่าจะตีจะโกรธจะเกลียดพี่ก็ได้นะที่ไม่ยอมบอกยอมเล่าอะไร..’ผมจะโกรธเค้าได้ยังไงในเมื่อที่ผมทำอยู่ก็ไม่ได้ต่างจากเค้าซีกเท่าไหร่
เค้าโกหกเพื่อคนที่เค้ารัก ในขณะที่ผมเองก็โกหกเพื่อที่จะได้รักเค้า
มันก็แฟร์ที่โกหกกันไปมา ทุกคนมีเหตุผลในการการโกหกกันทั้งนั้น แต่บทสรุปของเรื่องล่ะ? ไม่มีใครสมหวังเลยซักคน?
‘ผมไม่โกรธหรอก ผมเข้าใจ..แต่ที่ผมโกรธคือความไม่จริงใจของพี่ต่างหาก’
‘..พี่ไม่เข้าใจ’
‘ที่พี่ทำอยู่ตอนนี้ไง เลิกเสแสร้งได้แล้ว ผมรู้ว่าพี่รู้ว่าผมหมายถึงอะไร’
‘พี่ยอมรับว่าพี่ไม่ใช่คนดีอะไรมากมาย ก็เราคนเป็นอย่างนี้ จะให้พี่มาทำนิสัยไม่ดีใส่มันก็ไม่ใช่เรื่อง..พี่ไม่รู้หรอกนะว่าเราไปได้ยินไปรู้อะไรมา แต่ที่พี่ทำกับเราทุกอย่างพี่จริงใจเสมอ เราเป็นน้องที่พี่รักมากคนหนึ่ง..’
น้องงั้นหรอ?
‘เพื่อความสบายใจของอี้ชิงเราคบกันต่อไปก่อน รอให้อาการของเค้าดีขึ้นค่อยบอกว่าเราขอเลิกกับพี่เพราะทนนิสัยสันดานเสียๆของพี่ไม่ไหว..’
เพราะความต้องการของพี่ชิงคือเห็นผมมีความสุข ผมต้องทำให้เค้าสบายใจเพื่อเป็นการไถ่โทษที่ทำให้พี่เค้าต้องเลือกทำและจบชีวิตตัวเองในสภาพอย่างที่เห็น
สุดท้ายเค้าก็ยังเลือกที่จะทำเพื่อคนที่เค้ารัก
‘ผมก็คิดอย่างนั้น...’
‘เราโอเครึเปล่า?’
‘ฮะ..โอเค แต่ผมขออะไรอย่างหนึ่งได้มั้ย’
‘ครับ?’
‘ขอให้ผมเป็นคนบอกเลิกพี่เองได้มั้ย?’ ไม่มีทางและถ้ามีวันนั้นสิ่งที่ลงทุนเอาตัวเองลงเล่นในเกมส์นี้ต้องไม่เสียเปล่า
ถ้าผมไม่ชนะคนแพ้ก็ต้องไม่ใช่ผมเช่นกัน
‘เราจริงจังไปปะเนี่ย..ก็แค่ทำตัวเหมือนเดิมเป็นปกติเป็นมินซอกที่เป็นอยู่ตอนนี้ จะสนใจสถานะไปทำไมกันในเมื่อยังไงเราก็รักกันอยู่แล้ว’
‘เพราะความรักของเรามันไม่เหมือนกันไงฮะ..ผมรักพี่ในแบบที่พี่รักพี่ชิง ส่วนพี่รักผมในแบบที่ผมรักพี่ชิง..’
น้ำตาที่พยายามกลั้นไว้ในตอนแรกตอนนี้ไหลพรากลงอาบแก้มทั้งสองข้าง ความคิดมากมายต่างๆในหัวตีกันวุ่นวายไปหมด ผมยอมรับว่าแอบเสียความรู้สึกตั้งแต่วันที่พี่ฝานบอกเรื่องข้อตกลงระหว่างเค้าทั้งสองคนแล้ว ที่ทำให้ผมหลงคิดเข้าข้างตัวเองว่าเค้ามีใจให้ ซึ่งในความเป็นจริงเค้าอาจจะไม่ได้หลอกผมหรอก แต่เป็นตัวผมเองต่างหากที่คิดไปเองคนเดียว เข้าข้างตัวเองไปคนเดียวว่าที่เค้ามาดูแลมาใส่ใจเพราะเค้ารู้สึกดีกับผม ถึงจะคิดไปอย่างนั้นแต่ผมก็ไม่ยอมแพ้ เพราะแผนที่จะได้ใกล้ชิดกับเค้าทำให้ผมตกปากรับคำจากอีกคน
เค้าถูกใครซักคนทำให้ขาหักเสียการทรงตัวมา ล้มจนไม่เป็นอันทำอะไรได้ และผมเป็นผู้ที่คอยรักษาพันแผลให้จนเค้ากลับมาเดินได้อย่างปกติเหมือนเดิม
เมื่อเค้าหายดีแล้ว..เค้าก็ต้องกลับไปในที่ที่เค้าควรอยู่ ผมเชื่อว่าความใกล้ชิดจะทำให้คนเราสามารถเปลี่ยนความคิดเปลี่ยนความรู้สึกได้ แต่น่าเสียดายที่ผมคงคิดผิด
อ้อมกอดของคนตรงหน้าที่โอบรัดตัวผมอยู่อบอุ่นและรู้สึกปลอดภัยทุกครั้งที่ได้ถูกอ้อมแขนนี้กอด ผมปล่อยน้ำตาที่อัดอั้นให้ไหลออกมาโดยมีเสื้อของอีกคนรองรับความเปียกชื้น พยายามกลั้นเสียงของตัวเองไม่ให้สะอึกสะอื้นฟูมฟายต่อหน้าเค้ามากนัก อ้อมแขนที่รัดผมอยู่ยกมือขึ้นลูบหัวผมปลอบประโลม สองแขนของผมยกขึ้นกอดเค้าตอบแน่น จดจำช่วงเวลาที่ครั้งหนึ่งผมกับเค้าเคยใช้ร่วมกันในฐานะคนรัก
แม้จะคิดคำตอบไว้ก่อนแล้วแต่ผมก็ยังอยากได้คำยืนยันจากเจ้าตัวจึงถามสิ่งที่เป็นความหวังครั้งสุดท้ายของผมออกไป ถ้าเค้าปฏิเสธผมจะหยุดทุกอย่าง
‘ลู่ห่าน...’
‘ครับ’
‘..ยังรักพี่ชิงอยู่ใช่มั้ย?’
‘.......’
‘ใช่มั้ย...?’
‘.......’
‘..พี่ขอโทษ’
ถึงจะไม่ได้คำตอบเป็นคำพูดแต่แรงแขนที่รัดแน่นบนตัวผมกับประโยคขอโทษของเค้าก็เป็นคำตอบตามที่ผมคิดไว้จริงๆ สัมผัสอ่อนโยนจากปลายนิ้วที่เกลี่ยไล้เช็ดน้ำตาให้ผม ใบหน้าสวยคิ้วขมวดจนหัวคิ้วจะชนกันเปล่งเสียงออกมาด้วยทำนองที่น่าฟังที่ผมหลงนักหลงหนา
‘ไม่ร้องไห้ได้มั้ย? พี่ไม่ชอบเห็นน้ำตาของเราเลยจริงๆ’
‘..แค่วันนี้ แค่วันนี้เท่านั้นฮะ’ ผมบอกอีกคนพร้อมกับรอยยิ้มที่เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตาบนใบหน้า บอกลาสถานะ แฟน ของเราสองคน กลับไปเริ่มต้นใหม่ในสถานะ พี่น้อง อีกครั้ง บอกกับตัวเองให้ตัดใจจากพี่ชายคนนี้แม้จะยากเย็นขนาดไหนก็ต้องทำให้ได้ เพื่อที่จะไม่กลับไปเป็นแบบเดิมอีก แบบที่เค้าทำดีด้วยก็คิดเข้าข้างตัวเองทึกทักไปเองคนเดียวว่าเค้ามีความรู้สึกดีๆให้ทั้งๆที่เค้าก็แค่เอ็นดูเราเหมือนน้องชายคนหนึ่ง
ถ้าตัดความรู้สึกนั้นออกไปได้ ผมก็จะเป็นแค่น้องชายธรรมดาๆของเค้าเหมือนเดิม
เรื่องไม่จบแค่นี้หรอก ผมบอกไปแล้วว่านี่แค่เริ่มต้น และเรื่องนี้ก็เป็นแค่อินโทรก่อนที่จะเข้าเนื้อเรื่องจริงเท่านั้น
‘เราเข้าไปข้างในกันเถอะฮะ..เผื่อพี่ชิงจะฟื้นแล้ว’
ผมยกมือขึ้นลูบหน้าลูบตาเช็ดคราบน้ำตาที่ยังอาจจะหลงเหลืออยู่ออกให้หมดก่อนจะชวนอีกคนกลับเข้าไปในที่ที่เดินออกมาในตอนแรก
‘เราเข้าไปก่อนเลยนะ พี่ขอเข้าห้องน้ำก่อน’ ผมพยีกหน้าตอบคนที่คว้าแขนผมไว้จนทำให้ผมต้องหยุดเดินแล้วหันกลับมามองคนที่เดินตามหลังให้ผมเข้าไปก่อน
ผมเคาะประตูเบาๆแล้วเปิดเข้าไปข้างในโดยที่ไม่รอให้เจ้าของห้องได้อนุญาตก่อน ปิดประตูก่อนจะเดินตรงไปยังเตียงที่มีผู้ป่วยนอนอยู่
ไม่มี!!
สองขาก้าวไปยังห้องน้ำทันทีมือจับลูกบิดหมุนพร้อมกันกับคนข้างในแต่เพราะความร้อนใจทำให้ผมหมุนไปมือสั่นไปจนประตูนั้นถูกเปิดกระชากออกพร้อมกับร่างบางใบหน้าซีดในชุดยูนิฟอร์มของโรงพยาบาล
รอยบุ๋มตรงข้างแก้มปรากฎชัดตามการขยับปากของเจ้าของ
‘อ้าว..?! ไปไหนมาเรา’
‘พี่ชิง..ไม่เป็นอะไรใช่มั้ยฮะ’
‘ฮะๆๆ พี่ไม่เป็นไรหรอก’
คนบอกหัวเราะเบาๆพร้อมกับยิ้มสวยก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้องน้ำ นั่งกอดเข่าตัวเองหลังพิงพนังมุมห้อง แววตาที่เลื่อนลอยไร้จุดหมายไม่แสดงความรู้สึกใดๆออกมาแต่ปากยังคงขยับพูดกับผม
‘พะ พี่ชิง..’
‘เรามีอะไรรึเปล่ามาหาพี่ถึงที่บ้านเลย’
บ้าน?
‘พี่ชิง..ที่นี่โรงพยาบาลนะฮะ...’
‘อ่อใช่ๆ จริงสิ พี่ก็ลืมไป เราเข้ามานั่งนี่ก่อนสิ พี่มีเรื่องจะคุยกับเราเยอะแยะเลยนะ’
รอยยิ้มสดใสบนใบหน้าซีดที่ดูผิดกับน้ำเสียงร่าเริงนั่นชักชวนให้ผมเข้าไปนั่งคุยกับเค้า ตัวผมสั่นรู้สึกกลัวคนตรงหน้านี้ขึ้นมาแปลกๆ
‘เรา ออกไปคุยกันข้างนอกดีกว่ามั้ยฮะ..’
‘ทำไมล่ะ?..ในนี้แหละปลอดภัยที่สุดแล้ว มินนี่ไม่เคยได้ยินหรอที่ที่อันตรายที่สุดคือที่ที่ปลอดภัยที่สุด’
ห้องน้ำจะอันตรายกลายเป็นที่อันตรายสำหรับเค้าไปได้ยังไงถึงพูดออกมาแบบนั้น
ผมเดินทำตัวไม่ถูกเก้งๆกังๆกับผู้ชายที่นั่งอยู่ เป็นคนที่ผมรู้จักดีแต่ตอนนี้เหมือนเป็นคนล่ะคน
‘ลู่หานน่ะ..ถึงเค้าจะไม่ใช่คนดีอะไรมากแต่พี่เชื่อว่าเค้าจะต้องดูแลคนที่เค้ารักได้ดี และน้องของพี่ก็เป็นผู้โชคดีคนนั้น สัญญากับพี่ได้มั้ย? ในอนาคตไม่ว่าลู่เค้าจะทำอะไร ขอให้เราให้อภัยเค้าด้วยได้มั้ย?’
‘.......’
‘พี่..มีเรื่องจะสารภาพด้วย...’
‘ความจริงพี่เคยคบกับลู่..’
‘.......’
‘ดูจากปฏิกิริยาแล้วเราคงรู้อยู่แล้วใช่มั้ยล่ะ อย่างที่ลู่บอกไม่มีผิดเลย เราไม่ต้องคิดมากนะยังไงพี่กับลู่ก็ไม่มีทางกลับไปเป็นแบบนั้นได้อีกหรอก..’
‘..ถึงเราจะยังมีความรู้สึกดีๆให้กันอยู่หรือไม่ก็ตามแต่พี่ขอยืนยันเลยว่ายังไงซะความรู้สึกดีๆที่ว่านี้เทียบไม่ได้กับที่ลู่เค้าให้กับเราหรอก’
‘..พี่ชิง’
‘คนอย่างพี่..ไม่มีสิทธิไปมีความรู้สึกอะไรพวกนี้กับใครอีกหรอก พี่มันสกปรกเกินไป..’
‘ทำไมพูดแบบนี้ล่ะฮะ..แล้วเรื่องเด็...(ก)..’ ยังไม่ทันที่ผมจะพูดจบประโยคเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นขัดจังหวะก่อน ชายร่างสูงในชุดเสื้อกาวน์สีขาวสะอาดตากับพยาบาลสาวยืนฉีกยิ้มใจดีให้เราทั้งสองคนที่นั่งอยู่ในมุมของห้องน้ำ
‘ขอหมอดูอาการหน่อยนะครับ..’
พยาบาลสาวข้างๆยิ้มอ่อนโยนเดินเข้ามาพยุงคนป่วยที่ลุกขึ้นตามแรงมือของพยาบาลที่เข้ามาช่วยพยุงให้ลุกขึ้นผมจึงจับแขนอีกข้างของเค้าช่วยอีกแรง
‘พี่ดีใจนะที่อย่างน้อยเราก็มีลู่คอยดูแลในขณะที่พี่ไม่อยู่หรือเจ็บป่วยอย่างตอนนี้..’ คนพูดส่งยิ้มเรียกรอบบุ๋มข้างแก้มให้ผม
‘ไม่มีอะไรน่าห่วงแล้วนะครับ พรุ่งนี้ก็ออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว..’
เสียงเคาะประตูเรียกความสนใจจากทุกคนในห้องให้หันไปมองตามก่อนที่ชายวัยกลางคนในเสื้อกาวน์อีกคนจะเด้นเข้ามา
‘มาพอดีเลย..นี่หมอ...’
‘หมอชางมิน..’ ดูเหมือนการแนะนำจะช้าไปเพราะคนตัวขาวซีดที่นั่งอยู่บนเตียงทักอีกคนขึ้นก่อน
‘เป็นยังไงบ้างเรา..มาหาหมอก่อนกำหนดอีกนะ’
ชายในชุดขาวทั้งสองคนพยักหน้าให้กันก่อนที่จะเดินออกไปจากห้องนี้โดยที่มีพี่พยาบาลสาวพาผมออกไปด้วย
‘นั่น หมอชางมิน เป็นจิตแพทย์ที่รักษาอาการของคนไข้อยู่’
‘.......’
‘ไม่ต้องห่วงนะ ทุกอย่างอยู่ในมือหมอแล้ว วางใจได้ เชื่อมั่นในตัวหมอ เชื่อใจในตัวของคนไข้’
‘...ครับ’
---
วันรุ่งขึ้นเราทั้งสามคนก็เตรียมตัวกลับบ้านโดยที่ผมได้โกหกคุณป้าว่าเราไปค้างกันที่รีสอร์ตของพี่ลู่ตามคำบอกของพี่ชิงเพราะไม่อยากให้ท่านเป็นห่วงเพราะเมื่อคืนหลังจากทราบข่าวก็ดึกมากแล้วเรือที่จะออกจากเกาะก็หมดจึงทำให้ท่านไม่ได้ตรมมาที่โรงพยาบาล
‘อาการเบื้องต้นไม่มีอะไรน่าห่วงนะครับ เค้ารู้ตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่กับอะไรตัวเองเป็นอะไร โดยเลือกที่จะจำและลืมเรื่องบางเรื่อง เค้ารู้ครับว่าตัวเองตั้งครรภ์อยู่และหมอก็บอกเค้าแล้วว่าคุณก็ทราบเรื่องด้วยเหมือนกัน..เค้าโอเคครับแต่ยังไม่พร้อมที่จะพูดให้ฟังจากปากตัวเอง..
อย่าพึ่งไปถามอะไรเซ้าซี้เค้ามาก ส่วนเรื่องอาการการเก็บตัวอยู่ในมุมมืดในห้องน้ำไม่ต้องตกใจไปครับ เค้าอยู่แล้วสบายใจก็ปล่อยเค้าไป ซักพักเค้าจะดีขึ้นเอง..’
‘เค้าได้บอกมั้ยครับว่าใครเป็นพ่อเด็ก..’
‘ทุกอย่างต้องใช้เวลาครับ..เชื่อในตัวคนไข้ ถ้าเค้าพร้อมเค้าจะบอกเราเอง ปฏิบัติกับเค้าเหมือนปกติที่เคยทำ อย่าพูดหรือถามอะไรเกี่ยวกับอาการของเค้า พยายามทำให้เค้าไม่เครียด นอกนั้นก็ไม่มีอะไรแล้วครับ..’
จากคำพูดของหมอชางมินที่บอกผมก่อนที่เราจะออกมาจากโรงพยาบาลทำให้ปริศนาเรื่องใครเป็นพ่อของเด็กในท้องของพี่ชิงเพิ่มมาอีก1ข้อเพราะนอกจากพี่ลู่ผมก็คิดไม่ออกแล้วว่าจะเป็นใคร
‘มินซอก..มินซอก..คิมมินซอก..’
‘ครับ..ครับ ฮะ..’
‘เหม่ออะไรเรา..’
ผมนั่งเอาขาหย่อนลงไปในสระน้ำคิดอะไรมากมายเต็มหัวโดยมีคนที่เรียกชื่อผมอยู่นั่งอ่านหนังสืออยู่บนเก้าอี้ใกล้ๆ เรามาถึงรีสอร์ตธุรกิจของครอบครัวอู๋ได้ซักพักแล้วแต่เพราะฤทธิ์ยาที่ยังคงทำงานไม่หมดทำให้คนป่วยหลับไประหว่างการเดินทาง เราจึงพาเค้ามาพักที่นี่ก่อน ผมเล่าเรื่องที่ไปคุยกับหมอชางมินให้เค้าฟัง(แต่ไม่ได้บอกเรื่องท้อง) เค้ามีท่าทีตกใจและดูเจ็บปวดที่ตัวเองเป็นสาเหตุที่ทำให้พี่ชิงช็อกจนอาการกำเริบนี้ เค้ารับปากตกลงให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี
เราจะไม่พูดถึงเหตุการณ์ที่เค้าทะเลาะกันก่อนหน้านั้น และผมกับเค้าจะต้องคบกันต่อไปเพื่อความสบายใจของพี่ชิง ทั้งที่ความจริงเราจบกันแล้ว..
ตลกดีนะต้องมาเล่นละครเป็นตัวเอง
‘อาทิตย์หน้าก็สอบอาทิตย์สุดท้ายแล้ว เวลานี่ผ่านไปเร็วจังเลยนะฮะ’
‘เวลามันก็เดินปกติของมันตลอดแหละ จะเร็วจะช้าขึ้นอยู่กับการเลือกใช้ของเรามากกว่า’
‘ผมขอออกไปเดินเล่นแถวนี้หน่อยนะฮะ’
‘เอาสิ..’ หลังจากได้รับอนุญาตจากอีกคนผมก็เดินทอดน่องเลียบไปตามชายหาด มือกดโทรศัพท์รอเสียงสัญญาณไม่นานปลายสายก็กดรับน้ำเสียงฟังดูหงุดหงิดเหมือนมีเรื่องร้อนใจอะไรอยู่
‘ว่า!?’
'ผม.. ฮึก พี่อู๋..'
'เป็นอะไร? ใครทำอะไรมินซอก'
'พี่ชิง เราจะทำยังไงต่อไปดี ฮือออ'
ผมปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมาหลังจากผ่านเหตุการณ์ต่างๆมากมายความอึดอัดอัดอั้นที่ถูกสะสมมานานถูกปล่อยออกมาทั้งหมดผ่านน้ำตาพร้อมกับความสะอื้นไห้ปานจะขาดใจจนทำให้คนปลายสายร้อนรน
'อยู่ไหน เดี๋ยวพี่ไปหา'
หลังจากบอกที่อยู่ให้อีกคนรู้รอไม่นานร่างสูงก็ปรากฏตัวพร้อมกับใบหน้าบึ้งตึงคิ้วขมวดรีบร้อนเดินมาในที่ที่ผมนั่งกอดเข่าซุกใบหน้าลงซ่อนความอ่อนแอของตัวเอง
มือหนาฉุดให้ผมลุกขึ้นยืนก่อนที่วงแขนกว้างจะโอบกอดรัดตัวที่เล็กกว่ามากของผมใบหน้าจมไปกับแผ่นอกกว้างปล่อยให้น้ำตาไหลเปียกชื้นกับเสื้อราคาแพงของอีกฝ่าย
'พี่อยู่นี่แล้ว ไม่เป็นไรนะ..'
ไม่มีคำพูดใดๆออกมาจากทั้งผมและร่างสูงหลังจากประโยคนั้น อ้อมกอดอุ่นที่โอบรัดตัวผมพร้อมกับมือหนาที่ลูบอยู่บนเส้นผมนุ่มยืนอยู่อย่างนั้นนานนับชั่วโมงได้จนแรงสะอื้นเริ่มเบาบางลงจึงผละตัวออก
ดวงตาที่เคยทอแสงสดใสแดงก่ำมือหนาของร่างสูงวางลงบนแก้มใสเช็ดน้ำตาที่ยังไหลไม่มีทีท่าว่าจะหยุดออก
'ไหนบอกพี่ได้รึยังว่าเป็นอะไร'
น้ำเสียงอ่อนโยนและน่าเชื่อถือตามแบบฉบับของร่างสูงยังคงทำให้ผมเคารพและเชื่อถือในตัวของเค้าได้เสมอ
'ผมอยากจะหยุดทุกอย่าง ฮะ ฮึก แต่ผม.. ผมหยุดไม่ได้'
'พี่อู๋ต้องช่วยผมนะ ผมไม่อยากยอมแพ้เหมือนคนโง่ ผมไม่อยากเป็นคนอ่อนแอเอาแต่ร้องไห้แบบนี้ด้วย'
'พี่ลู่..เค้ารู้แล้ว แต่เค้าให้ผมทำตัวเหมือนเดิมเพื่อคนนั้นของเค้า เค้าไม่ได้รักผมแบบนั้นเค้าเห็นผมเป็นแค่พี่น้องเค้าแค่แกล้งทำเป็นรักผมเพื่อคนที่เค้าแคร์ ฮะ ฮึก ผม..ผม..'
‘ต้นเหตุจริงๆคือตัวผมเอง ถ้าผมไม่รักเค้าถ้าผมเลือกคนๆนั้นตั้งแต่แรกเรื่องวุ่นวายนี้มันก็จะไม่เกิดขึ้น’
'ไม่เป็นไรๆ ไม่ต้องพูดอะไรแล้วนะ'
มือหนาของร่างสูงดึงอีกคนที่ตัวเล็กกว่าเข้ามากอดปลอบอีกครั้งหยุดคำพูดที่เอาแต่ทำร้ายจิตใจของตัวเองนั่น
'ร้องออกมาให้หมดแล้วลืมทุกอย่างที่ผ่านมาซะ'
'ทำตามที่มันบอก ที่เหลือพี่จะจัดการเอง..'
.
.
.
และในตอนเย็นวันนั้นหลังจากส่งพี่ชิงกลับบ้านแล้วเรียบร้อย เราสองคนก็เดินทางกลับบ้านทันทีเพราะเช้าวันรุ่งขึ้นผมมีสอบ ระหว่างทางผมก็(แกล้ง)หลับเพราะไม่รู้จะคุยอะไรกับคนที่มาด้วยกันจนมาถึงบ้านในกลางดึก ฝ่ามือนุ่มที่ส่งใออุ่นประคองแก้มผมอยู่ทำให้ผมตื่นหลังจากที่แกล้งหลับจนเผลอหลับจริงปลุกให้ผมลืมตาตื่นขึ้นมา
‘ถึงแล้วหรอฮะ..’
‘ครับ..เราตัวรุมๆนะ ก่อนนอนอย่าลืมกินยากันไว้ล่ะ’
ผมจะตัดใจจากเค้าได้ยังไงในเมื่อเค้ายังปฎิบัติกับผมอยู่แบบนี้..ผมจับมือของเค้าที่เลื่อนไปแตะยังหน้าผากของผมออกฝืนยิ้มให้เค้าก่อนจะตอบออกไป
‘..ฝันดีฮะ’
‘ฝันดีครับ’ รอยยิ้มสวยที่ทำผมใจเต้นฉีกยิ้มอ่อนโยนยกมือขึ้นหมายจะมายีผมของผมอีกครั้ง ผมเอียงตัวปลดเข็มขัดออกมือที่ค้างอยู่นั้นเปลี่ยนไปเกาคอตัวเองแก้เก้อแทน
‘ไปนะฮะ..’
‘เจอกันพรุ่งนี้ครับ’
ผมปิดประตูก้มลงบอกคนข้างในอีกครั้งก่อนจะเดินหันหลังออกมาพร้อมกับน้ำตาที่ไหลลงมาอีกครั้ง ผมตัดสินใจเล่าทุกอย่างให้แบคฮยอนฟัง(ยกเว้นเรื่องพี่ชิงท้อง)โดยโน้ตเป็นข้อความไว้ในแอพพิเคชั่นไลน์
ผมร้องไห้จนหลับไปพร้อมกับคราบน้ำตาที่ยังเปรอะเปื้อนเต็มใบหน้าดวงตาที่แดงจนคิดว่าตื่นมาพรุ่งนี้มันคงบวมปลอกหมอนชื้นไปด้วยน้ำสีใส มันจะเป็นแค่ฝันร้าย พอตื่นเช้าทุกอย่างจะกลับไปเป็นเหมือนเดิม
แต่คิมมินซอกจะไม่อ่อนแอเหมือนเดิมอีกต่อไป
---
‘นี่ๆๆ!! เดินเร็วไปไหนวะ ทำไมถึงยังมากับพี่ลู่อยู่อ่ะ เนี่ยฉันพึ่งเห็นข้อความตอนขึ้นรถเมล์มาเนี่ย พี่ฝานนี่โคตรร้ายเลยว่ะ ว่าแต่นาย.โอเครึเปล่า? แล้วพี่นี่ลู่เค้ารู้เรื่องนายกับพี่ชายของเค้ามั้ย?’
‘ตอบข้อแรก ที่ยังมาด้วยกันอยู่ก็เพราะเราอยู่บ้านข้างๆกันไง ก็ทำเหมือนปกติก่อนคบหรือเป็นแค่พี่น้องกันเราก็มาด้วยกัน้ป็นปกติอยู่แล้ว เรื่องที่สอง เราโอเค ถ้าไม่โอเคไม่มายืนพูดอยู่อย่างนี้หรอก เรื่องสุดท้าย เค้าไม่รู้เรื่องหรอก..’
‘เชรดดดดด ใช่คิมมินซอกเพื่อนฉันจริงรึเปล่าเนี่ย ร้ายไม่เบาเลยนะ’
‘คงงั้น’
‘แล้วนี่คือยังไง ก็ต้องแกล้งเป็นแฟนกันต่อไปอย่างนี้อะหรอ?’
‘ก็เพื่อความสบายใจของพี่ชิง’
‘พี่นายนี่ก็เหลือเกินนะ เยอะสิ่ง’
‘แบค’
‘ก็มันจริงมั้ยล่ะ ก็เลิกกันไปแล้วแต่ยังมาติดต่อไปมาหาสู่ทั้งๆที่ก็รู้ว่าเค้าเป็นอะไรกะน้องตัวเอง เป็นไงล่ะพอรู้ความจริงก็จบแต่ยังต้องมาเสแสร้งแกล้งรักกันให้ดูอีก’
‘แบค..’
‘เออๆ ก็แล้วแต่ละกัน เรื่องนี้ฉันไม่เข้าข้างใครแต่ก็เข้าใจพี่ฝานที่เค้าไม่อยากให้น้องของเค้ามาวุ่นวายกะพี่นายอะมันเพราะอะไร บอกไปเดี๋ยวก็หาว่าฉันว่าว่าพี่นายอีก เอาเป็นว่าฉันรับรู้เรื่องทั้งหมดแล้ว ต่อไปมีอะไรก็ปรักษาฉันได้ โอเคนะ’
‘อื้อ..’
‘ไป เข้าห้อง เมื่อคืนนี่อ่านไปนิดเดียวเอง ไม่รู้จะทำได้รึเปล่าไม่อยากสอบซ่อมหรอกนะไหนจะบำเพ็ญประโยชน์อะไรนั่นอีก..’
เพื่อนตัวเล็กเปิดหนังสือในมือวิชาที่จะสอบในวันนี้บ่นไปเดินนำหน้าผมไปหลายก้าว ผมอมยิ้มกับความน่ารักของเค้าก่อนจะหยุดเดินเพราะใครอีกคน รอยยิ้มบนใบหน้าเมื่อครู่ของผมเปลี่ยนเป็นตกใจพร้อมกับน้ำตาที่เอ่อล้นจนไหลลงมาในที่สุด..
กับผู้ชายคนนี้ผมมีน้ำตาให้เค้าได้ทั้งชีวิต
‘ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ..’
เป็นใครอีกคนที่ผมอยู่ใกล้แล้วหัวใจเต้นแรง เป็นใครอีกคนที่ผมเลือกที่จะทิ้งเค้าไปเพื่อไปหาคนนั้นและเรื่องก็จบลงที่ผมไม่ได้ใครเลยซักคนมาอยู่เคียงข้าง
‘ยังขี้แยเหมือนเดิม..’
---
My Memories :: LuHan ::
วันที่ผมบันทึกตัวอักษรที่คุณกำลังอ่านอยู่ในตอนนี้เป็นเวลา 03:42AM เมื่อช่วงเช้าของวันคือวันที่ผมจบการเป็นนักเรียนชั้นปีที่3อย่างเสร็จสมบูรณ์ บอกลาชีวิตในรั้วโรงเรียนที่อยู่มาเกือบ6ปีเต็ม
ผมได้รับของขวัญมากมายทั้งจากรุ่นน้องรุ่นพี่รหัสหรือเพื่อนๆในรุ่นเดียวกัน ทั้งครอบครัวพ่อแม่พี่น้องญาติๆที่อยู่จีนก็มาแสดงความยินดีกับผม
แต่ของขวัญที่ทำให้ผมจำได้ขึ้นใจมีเพียงชิ้นเดียว
ต้นกระบองเพชรในกระถางขนาดเล็กผูกโบว์สีขาวกับคำพูดแค่ไม่กี่คำที่ทำให้ผมจดจำไปอีกนานจากคนตัวเล็กที่ผมรักและเอ็นดูเค้ามาตั้งแต่เด็กๆเหมือนน้องชายแท้ๆ
ผมจ้องมองต้นไม้ที่มีหนามแหลมนั่นมาตั้งแต่ชั่วโมงที่แล้วหลังจากไปยืนให้ยุงสูบเลือดอยู่หลายชั่วโมงเพราะอยากคุยกับเจ้าของต้นหนามนี้ แต่อีกคนดูเหมือนจะไม่อยากคุยกับผม
วันที่เราทั้งสองคนตัดสินใจว่าจะยังคงสถานะเป็นแฟนกันเพื่อความสบายใจของอี้ชิงนั้น ผมรู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูกเพราะในที่สุดมินซอกก็รู้ความจริงซักที แน่นอนว่าผมรู้สึกผิดกับเค้ามากเพราะรู้ว่าน้องรู้สึกยังไงกับผม ผมถึงอยากให้เค้ารู้ความจริงให้เร็วที่สุดก่อนที่จะถลำลึกไปมากกว่านี้ แต่น้องก็เข้มแข็งกว่าที่ผมคิดไว้มาก ไม่โกรธไม่ด่าไม่ว่าอะไรผมซักคำ
ถึงเราจะกลับมาเป็นพี่น้องกันเหมือนเดิมแต่ผมก็ยังปฎิบัติกับเค้าเหมือนที่เคยทำปกติแม้ไม่ได้อยู่ต่อหน้าอี้ชิงก็ตาม วันหยุดเสาร์-อาทิตย์เราจะไปเยี่ยมอี้ชิงเพื่อสังเกตอาการของเค้าและให้เค้าเห็นว่าผมกับน้องยังรักกันดีอยู่ เค้าดูปกติดีแล้วทำให้ผมหายห่วงไป
แต่กลับมาหงุดหงิดกับอีกคนแทน
‘เฮ้ย! ยังมีอารมณ์มานั่งอ่านหนังสืออยู่อีกหรอวะ..?’ ผมหันไปทำตาขวางใส่ อูฮยอน เพื่อนร่วมชั้นห้องในเดียวกันที่เข้ามาขัดจังหวะการอ่านหนังสือของผม
‘มีอะไร’
‘นี่มึงไม่รู้หรอว่าเค้าลือกันให้แซ่ดว่าแฟนเด็กมึงไปกุ๊กกิ๊กฟรุ้งฟริ้งกับรุ่นน้องต่างโรงเรียนน่ะ’
‘เหลวไหล กูกะน้องตัวติดกันตลอด’
‘แต่ก็ไม่ตลอดเวลา..’
‘ไปไกลๆไป’
‘อะไรวะ เพื่อนเตือนด้วยความหวังดีนะเว้ย’
อาทิตย์นี้เป็นการสอบอาทิตย์สุดท้ายของภาคเรียนที่1หลังจากนั้นจะปิดเทอม1เดือนก่อนจะเริ่มเปิดเรียยนในเทอมที่2ที่ผมและเพื่อนชั้นปีที่3มีเวลาในการหาที่เรียนต่อลดลง
ผมกับน้องก็ยังเหมือนเดิม แต่คนอื่นๆยังคิดว่าเราคบกันอยู่ ผมหยิบโทรศัพท์ที่วางไว้ข้างๆออกมากดโทรออกหาคนที่พึ่งถูกพูดถึงไป
‘มีอะไรรึเปล่าฮะ’
ผมแอบชะงักกับประโยคและน้ำเสียงของคนตัวเล็กที่ปกติจะเขินอายและเสียงสั่นตลอดเวลาผมโทรไปหาเค้า
‘เรารู้เรื่องข่าวลือที่เค้าพูดถึงกันรึเปล่า?’
‘ถ้าหมายถึงเรื่องผม ผมทราบแล้วฮะ’
‘.......’
‘พี่ลู่มีอะไรอีกรึเปล่าฮะ’
‘แล้ว..มันเรื่องจริงรึเปล่า’
‘จำคนที่ผมเคยเล่าให้ฟังได้มั้ย.. รักครั้งแรก’
‘.......’
‘...เค้ากลับมาแล้วฮะ’
‘.......’
‘แค่นี้ก่อนนะฮะ แล้วเจอกันตอนเย็นนะ’
‘...ครับ’
สายตัดไปทั้งที่ผมยังไม่ทันได้ตอบรับ ผมเข้าใจที่น้องเคยบอกผมก่อนหน้านั้นว่าจะพยายามกลับมารู้สึก รักในแบบพี่น้อง เหมือนแต่ก่อน แต่ไม่รู้ทำไมผมรู้สึกไม่เหมือนแต่ก่อนทั้งๆที่น้องเค้าก็ทำตัวปกติเป็น น้องเหมือนเดิม แล้ว แล้วนี่ยังจะมีอีกคนโผล่เข้ามาอีก
‘เฮ้อออ ~ เสร็จซะที หลังจากนี้จะได้นอนเต็มอิ่มยาวๆบ้าง’
เสียงร่าเริงของคนตัวเล็กที่ยิ้มกว้างมีสีหน้าผ่อนคลายเมื่อคิดตามประโยคของตัวเองที่พูดออกมา ลักษณะท่าทางอาการเขินอายเวลาอยู่กับผมสองต่อสองหายไปซึ่งผมรู้สึกหงุดหงิดเพราะปกติเวลาเค้าเขินผมจะชอบหาเรื่องแกล้งให้เค้าได้เขินม้วนเข้าไปอีก
‘เป็นไงเรา ทำข้อสอบได้รึเปล่า’
‘แน่นอนสิฮะ’
‘ว่าแต่เรื่องคนนั้น..’
♪
เสียงโทรศัพท์ของคนข้างๆดังขึ้นแทรกการพูดของผม คนตัวเล็กขยับตัวล้วงเอาโทรศัพท์ที่ส่งเสียงเรียกอยู่ออกมากดรับ
‘อ่อ ว่าไง.. พึ่งเลิกเหมือนกัน ไม่ต้องๆ เราออกมาแล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้เจอกันก็ได้ อื้ม ได้ๆ แล้วแต่นายเลย โอเคๆ’
‘เมื่อกี๊พี่ลู่จะพูดอะไรหรอฮะ?’
‘เปล่าครับ..เราปิดเสียงโทรศัพท์ได้มั้ยพี่ไม่มีสมาธิขับรถ’
‘อ่า ขอโทษฮะ’
ผมเหลือบมองดูคนข้างๆที่กดโทรศัพท์คุยกับใครที่ผมอาจจะรู้จักหรือไม่รู้จักก็ไม่รู้ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ด้วยท่าทางมีความสุขหลังจากวางสายได้ไม่นาน
‘คุยกับใครกันท่าทางมีความสุขขนาดนั้น..’
‘อ๋อ ซึงโฮ ฮะ’
ซึงโฮ??
‘พี่ไม่เห็นเคยได้ยินเลยว่าเรามีเพื่อนชื่อนี้ด้วย’
‘คนที่เป็นรักแรกของผมไงฮะ’
‘.........’
‘พรุ่งนี้เราไปไหนรึเปล่า พี่ว่าจะชวนไปปีนเขา เนี่ยไอ่ฝานกับพี่มยอนก็ไป’
‘พรุ่งนี้ผมไม่ว่างแล้วฮะ นัดกับแบคไว้’
‘งั้นหรอ’
ปิดเทอม1เดือนนั้นผมกับน้องมีเวลาเจอหน้ากันแค่ตอนไปหาอี้ชิงเท่านั้น เพราะดูเหมือนเค้าจะติดเพื่อนมากกว่าผม
น้องยังทำหน้าที่แฟน(กำมะลอ)และเป็นน้องของผมได้ดีเหมือนเดิมทุกอย่างไม่มีที่ติ แต่ไม่รู้ทำไมอีกเหมือนกันผมไม่ชอบใจ ผมหงุดหงิดแปลกๆที่เค้าทำตัวอย่างนี้ทั้งที่ก็เป็นปกติของน้อง
‘ผมเปรยๆเรื่องของเราให้พี่ชิงฟังแล้วนะฮะ’
‘หื้อ?’ ผมขานรับคนตัวเล็กที่นั่งข้างๆหลังจากที่เรากลับจากไปหาอี้ชิงกันตั้งแต่เช้าจนเวลาล่วงเลยพระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า มีเพียงแสงสว่างจากหลอดไฟที่เรียงรายตามท้องถนน
‘ผมคิดว่าพี่ชิงเค้าดูอารมณ์คงที่แล้ว เค้าเข้าใจที่ผมบอกทุกอย่าง’
‘เราพูดอะไรไปบ้างแล้ว?’
‘ผมรู้สึกกับพี่ไม่เหมือนเดิม แต่ก็ยังรักและนับถือเหมือนพี่ชายคนหนึ่งอยู่’
‘แล้วอี้ชิงเค้าว่าอะไรมั่ง’
‘พี่ชิงเค้าก็เข้าใจฮะ แต่เค้าคิดว่าเราทะเลาะกันเลยงอนๆกันอยู่ เค้าเลยอยากให้ผมกลับมาเคลียร์กับพี่ให้เข้าใจกัน’
‘......’
‘..ขอถามอะไรอย่างหนึ่งสิ’
‘ฮะ..’
‘ที่เราบอกว่าจะพยายามไม่รู้สึกกับพี่เกินคำว่าพี่น้อง ทำไปได้ถึงไหนแล้ว’
‘..กำลังทำอยู่ฮะ’
หลังจากสิ้นเสียงคำตอบของอีกคนทั้งผมกับน้องก็ต่างคนต่างเงียบจนมาถึงบ้าน
‘กลับก่อนนะฮะ..’
‘เดี๋ยวมินซอก’ ผมคว้าแขนเค้าไว้ก่อนที่เค้าจะเดินเข้าไปยังบ้านข้างๆตรงทางเชื่อมระหว่าง2บ้าน
‘ฮะ..’
‘พี่ขออะไรอีกอย่างได้มั้ย?..’
‘วันนี้ขอเยอะเลยนะฮะ’
‘อย่าพึ่งเลิกชอบพี่เลยนะ..’
‘.......’
‘...ผมจะเลิกชอบพี่ได้ยังไง พี่เป็นพี่ชายของผมนะ ฝันดีฮะ..’
‘........’
พี่ชาย?
ผมก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมต้องพูดแบบนั้นออกไป จนเวลา1เดือนล่วงเลยมาจนครบถึงวันเปิดเทอมของภาคเรียนสุดท้าย ไม่น่าเชื่อว่าภายในระยะเวลาสั้นๆแค่นี้แต่มีเรื่องราวต่างๆมากมายเกิดขึ้น
เพราะวันนี้เป็นวันแรกของการเปิดภาคเรียนทุกอย่างจึงดูยังไม่ค่อยเข้าที่เข้าทางเท่าไหร่ การเรียนการสอนก็ยังไม่เริ่มแบบ100% ทั้งวันของวันนี้บางห้องบางชั้นปีจึงว่างเหมือนกันกับผม นักเรียนปีสุดท้ายของโรงเรียนแห่งนี้ ผมนั่งๆนอนๆขลุกตัวอยู่ในห้องสมุดทั้งวันจนเสียงสัญญาณของโรงเรียนดังขึ้นเป็นตัวบอกการสิ้นสุดการเรียนของวันนี้แล้ว
ผมเก็บของเรียบร้อยแล้วตรงไปรออีกคนทันที เพราะกระจกที่ทึบทำให้คนข้างนอกมองไม่เห็นคนข้างในอย่างผมที่รอเค้าอยู่ ผมมองดูคนตัวเล็กแก้มอูมยิ้มสดใสในแบบที่ผมเคยบอกเค้าว่าผมชอบ เดินมาเพื่อนสนิทของเค้าก่อนที่ผู้ชายร่างสูงอีกคนจะโผล่ออกมาจากข้างหลังเพื่อแกล้งสองคนตัวเล็กข้างหน้าที่ไม่ทันได้สังเกตเห็น เพราะความตกใจที่โดนแกล้งฝ่ามือของเพื่อนเค้าก็ฟาดลงตรงกลางหลังคนตัวสูง คนถูกทำร้ายร่างกายวิ่งวนหลบหลังคนตัวเล็กอีกคนที่ดูเหมือนจะช่วยอะไรไม่ได้ ผมเพ่งมองดูผู้ชายตัวสูงคนนั้นที่มองยังไงก็ไม่คุ้นตา ก่อนจะหายใจติดขัดเพราะแขนยาวที่ยกขึ้นไปยีหัวคนที่ช่วยชีวิตจากฝ่ามือเล็กๆของแบคฮยอน
แขนยาวนั่นเลื่อนลงมากอดคอโดยที่คนโดนกอดผลักออกเบาๆพอเป็นพิธีแต่ก็ยอมให้แขนยาวนั่นพาดอยู่ที่เดิม ผมมองดูแล้วรู้สึกอารมณ์ไม่ดีก่อนจะรู้ตัวเสียงแตรที่มือกดค้างอยู่ก็เรียกร้องความสนใจจากทั้ง3คนและผู้คนที่เดินสวนไปมาในเวลาเลิกเรียนอย่างนี้ให้หันมามอง ผมยกมือขึ้นแล้วผ่อนลมหายใจผ่อนคลายอารมณ์ตัวเองเสียงปิดประตูข้างๆดังขึ้นพร้อมกับเสียงใสของอีกคน
‘เป็นอะไรรึเปล่าฮะ..’
สีหน้าเป็นกังวลจากคนที่วิ่งมาดูผมถามขึ้น ไม่รู้ทำไมผมเห็นสีหน้าของเค้าแบบนี้แล้วรู้สึกดีความกังวลเมื่อครู่หายไป
‘เปล่า..ว่าแต่เราเถอะ มีเพื่อนใหม่ไม่เห็นแนะนำให้พี่รู้จักเลยนะ’ ผมพยายามปรับน้ำเสียงให้เป็นปกติที่สุดข่มอารมณ์ที่หงุดหงิดเพราะ เพื่อนใหม่ ของเค้าแต่ดูเหมือนจะไม่ค่อยได้ซักเท่าไหร่
‘อ๋อ ก็ซึงโฮไงฮะ ที่ผมเคยบอกไป เค้าพึ่งย้ายมาเรียนที่นี่’ สติดีอยู่รึเปล่าย้ายมาเรียนตอนเทอม2 - -
‘ดูสนิทกันดีนะ’
‘ก็รู้จักกันมาก่อนนี่ฮะ เห็นตัวสูงๆอย่างนั้นเค้าเด็กกว่าผมปีนึงนะฮะ หลายคนเข้าใจว่าเค้าอยู่ปี3 เค้าอยู่ปี3ฮะ แต่เป็นม.ต้นปี3..’
‘หยุดพูดถึงผู้ชายคนอื่นซะทีได้มั้ย!!’
ร่างเล็กสะดุ้งเพราะเสียงตะคอกของผม ทำหน้ารู้สึกผิดกล่าวขอโทษทั้งที่ตัวเองไม่ผิดอะไรเลย
‘ผม ขอโทษฮะ..’
หลังจากนั้นเราก็ไม่ได้คุยอะไรกันอีก จนรถเลี้ยวเข้าบ้านผมล้วงเอาโทรศัพท์ออกมากดโทรออกไปยังอีกคน
‘อื้อ จองฮันหรอ..เดี๋ยวพี่แวะเข้าไปนะ อีกครึ่งชั่วโมงเจอกัน’
ผมกดวางสายพร้อมกับรถที่จอดพอดี คนที่นั่งข้างๆก้มหน้าหันมาโค้งให้ผมก่อนจะเปิดประตูรถออกไป ผมมองแผ่นหลังเล็กที่เคยโอบกอดไกลออกไป เสียงโทรศัพท์ของเค้าส่งเสียงร้องเตือน เจ้าของเครื่องหยุดเดินแล้วล้วงออกมากดรับก่อนที่อีกคนที่ซ่อนตัวอยู่จะโผล่ออกมา
ยู ซึง โฮ
ฝ่ามือเล็กฟาดไปที่หน้าอกของคนขี้แกล้งแล้วเดินหน้าหงิกงอเข้าไปในบ้านโดยมีร่างสูงเดินตามไปกอดคอทีหลัง มือผมสั่นกำพวงมาลัยแน่นก่อนจะกระชากรถเลี้ยวออกไปตามอารมณ์ที่คุกกรุ่นอยู่
หลังจากวันนั้นเราก็ห่างกัน ไม่ค่อยได้คุยกัน ไปกลับโรงเรียนก็แยกกันไป เพราะผมเองก็ยุ่งกับการหาที่เรียนต่อยังไม่ได้ ส่วนน้อง...ก็ยังปกติเหมือนเดิมทุกอย่าง
‘นี่มินซอก พี่ลู่มาหา’
‘หื้อ? อื้อ ขอบใจมากนะ’
‘จับปลาสองมือน่ะระวังนะว่าตอนสุดท้ายปลามันจะดิ้นหลุดไปหมดไม่เหลือซักตัว’
แม้อีกคนจะพูดเบาแต่ผมก็ยังคงได้ยินและเข้าใจความหมายของคนที่จะสื่อ คนตัวเล็กเดินยิ้มออกมาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
‘มีอะไรรึเปล่าฮะ’
‘พี่..สอบติดแล้ว อยากบอกให้เรารู้ก่อนเป็นคนแรก’
‘จริงหรอฮะ?! ดีใจด้วยนะ เก่งมากเลย’
สองมือนุ่มที่จับแขนผมเขย่าไปมาแสดงความยินดีกับผม ผมอมยิ้มกับคนข้างหน้ามือวางลงบนหัวอีกคนทำเหมือนที่เคยทำแต่เค้ากลับหลบแล้วเปลี่ยนเรื่องคุยผมจึงล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงตัวเองแทนมือกำหมัดแน่น
แน่นอนนี่ไม่ใช่ครั้งแรก เค้าระวังตัวขึ้นและเหมือนจะสร้างกำแพงทำทุกอย่างให้อยู่ในสิ่งที่เค้ากำหนด มันก็ดีแล้วที่ทุกอย่างกลับมาเป็นอย่างที่ควรจะเป็น
ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรืออะไร
ในความเหมือนเดิม แต่ไม่เหมือนเดิม
‘เราลงไปข้างล่างกันเถอะฮะ พี่ลู่กินข้าวรึยัง ไปกินข้าวด้วยกันนะ’
ผมไม่ตอบแต่เดินตามหลังเค้าไป ช่วงนี้ผมเผลอหลุดบ่อย แต่น้องเค้าก็เข้าใจเพราะเค้าก็รู้อยู่แล้วว่าตัวจริงผมเป็นคนยังไง
‘อ้าว..มาพอดีเลยเกือบจะขึ้นไปตามละเนี่ย อ้าว?พี่ลู่..’
‘ขอแนะนำให้รู้จักอย่างเป็นทางการ นี่ลู่หาน พี่เราเคยเล่าให้ฟัง ส่วนพี่ลู่นี่ ซึงโฮฮะ..’
ผมยื่นมาไปจับกับอีกคนที่ยื่นมาก่อน
‘ยินดีที่ได้รู้จักครับ มินซอกพูดถึงรุ่นพี่บ่อยๆได้รู้จักจริงๆจังๆซักที’ ผมพยักหน้านั่งลงข้างๆกับคนที่แนะนำผม แอบขัดใจเล็กๆที่รุ่นน้องคนนี้เรียกอีกคนด้วยชื่อเฉยๆทั้งที่ร่างเล็กนี้เคยบอกว่าอายุน้อยกว่า
‘พี่ลู่จะกินอะไรดี..?’
หูผมไม่ได้ยินอะไรเพราะสนใจคนที่นั่งข้างๆแบคฮยอนตรงข้ามกับคนที่นั่งอยู่ข้างๆผมส่งยิ้มให้กันไปมา
‘พี่ลู่ พี่ลู่! พี่ลู๊ววววว!!!’
เพราะเสียงที่ดังทำให้ผมหันหน้าไปมองตามเสียงคนเรียกแล้วขานรับเพื่อนสนิทของอีกคน
‘อือ..’
‘จะกินอะไร..’
‘ไม่กิน กินไม่ลง’
‘อ้าว?! เห้ย ไอ้พี่ลู่!!’
พูดจบผมก็ลุกขึ้นเดินออกมาทันที เสียงใสของอีกคนที่เรียกผมอยู่ตามหลังให้หยุดเดิน
‘พี่ลู่ เป็นอะไรรึเปล่าฮะ’
‘เราสนใจด้วยหรอว่าพี่จะเป็นอะไร’
‘.......’
‘กลับไปเถอะมีคนเค้ารอเราอยู่’ ผมหันหลังเดินออกไปตรงไปยังที่ที่ครั้งนึงผมชอบมานั่งอยู่บ่อยๆ
ดาดฟ้า
เป็นที่ที่ผมชอบมานั่งสูบบุหรี่เวลาเครียดๆ มวนแล้วมวนเล่าจนจะหมดซองก็ไม่ได้ช่วยให้อารมณ์หงุดหงิดเบาลงได้เลย
‘ไม่ยอมกินข้าวแต่แอบหนีมาทำร้ายสุขภาพตัวเองแบบนี้มันไม่ดีนะฮะ...’
เสียงของคนที่เป็นสาเหตุความหงุดหงิดของผมพูดขึ้นไอค่อกแค่กเพราะควันที่ผมเป่าออกมาแต่ก็ยังพาตัวเองเดินเข้ามาหาผม ผมดับบุหรี่ที่ยังสูบไม่หมดทิ้งก้มมองดูหน้าของอีกคนที่ขึ้นสีชมพูเข้มเพราะควันสีขาวของผม
‘มากินข้าวกัน’
‘ทำแบบนี้ทำไม’
‘แบบนี้คือแบบไหนล่ะฮะ’
คนตัวเล็กเปิดฝากล่องข้าวออกเผยให้เห็นข้างในที่เป็นคิมบับหน้าตาชวนน้ำลายไหลแต่ผมไม่มีอารมณ์จะกินอะไรในตอนนี้
‘ยังรู้สึกอะไรกับมันใช่มั้ย?’
คนโดยจี้จุดชะงักนิ่งไปก่อนจะทำเหมือนไม่ได้ยินที่ผมพูดชวนให้ผมไปนั่งกินข้าวที่เค้าเอามาให้
‘ยังชอบมันอยู่ใช่รึเปล่า?’
‘......’
ความเงียบเข้าปกคลุมอีกครั้งไม่กี่นาทีต่อมาคนตัวเล็กก็ยอมเปิดปากพูด...
‘ผมกำลังทำเพื่อเราอยู่นะฮะ’
‘เพื่อเรางั้นหรอ? เพื่อเราหรือเพื่อตัวเองกันแน่’
‘แปลกหรอฮะถ้าผมจะทำให้ตัวเองมีความสุขบ้าง’
‘จะไปคบกับไอ้นั่นว่างั้นเหอะ’
‘เค้ามีชื่อครับ ช่วยให้เกียรติเค้าด้วย’
‘จะไม่สนใจใช่มั้ยว่าอี้ชิงเค้าจะรู้สึกยังไง’
‘พี่ชิงเค้าเข้าใจผมอยู่แล้วฮะ’
‘ที่เคยบอกว่ารักพี่นักหนานี่เปลี่ยนใจง่ายขนาดนี้เลยหรอ?’
‘การที่ผมจะชอบใครแล้วพี่เดือดร้อนผมต้องรู้สึกผิดหรอ มีเหตุผมหน่อยสิฮะ’
นั่นสินะ เค้าจะชอบจะรักใครผมจะเป็นเดือดเป็นร้อนทำไมในเมื่อมันเป็นสิทธิของเค้าและเราก็ไม่ได้เป็นอะไรกันแล้วด้วย
‘อย่าลืมสิ ทุกคนยังคิดว่าเราคบกันอยู่นะ’
‘ไม่ต้องห่วงหรอกฮะ ผมจะจัดการทุกอย่างเอง...’
‘.......’
‘อย่าลืมกินข้าวด้วยนะฮะ’
โธ่โว้ยยย!! ผมตะโกนออกมาสุดเสียงระบายความรู้สึกอึดอัดภายในใจที่ยังหาคำตอบให้กับมันไม่ได้ นี่เป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ที่เราทะเลาะกันแบบจริงๆจังๆ แม้จะดูเหมือนผมเป็นฝ่ายชวนทะเลาะเองก็เถอะ
หลังจากวันนั้นในวันรุ่งขึ้นก็มีข่าวลือต่างๆมากมายว่าผมกับน้องเลิกกันแล้ว ลดสถานะกลับมาเป็นพี่น้องกันเหมือนเดิม แต่ดูเหมือนอีกคนจะโดนหนักเพราะมีเรื่องบุคคลที่สามเข้ามาเกี่ยวข้อง หลายคนเลยคิดว่าผมโดนทิ้งแล้วน้องไปหาคนใหม่ ทุกเรื่องไม่มีใครได้รู้คำตอบที่แท้จริงเพราะไม่มีใครออกมาพูดอะไร ทุกคนเลยลงความเห็นเชื่อไปตามสิ่งที่เห็นและคนที่พูดกันอย่างหนาหู
จนมาถึงวันนี้
พิธีจบการศึกษาประจำปี
คนตัวเล็กในชุดยูนิฟอร์มของโรงเรียนเดินฉีกยิ้มสดใสเข้ามาหาผม สองมือเล็กที่ถือกระถางต้นกระบองเพชรยื่นมาให้
‘ยินดีด้วยนะฮะ..ถ้าพี่ทำให้มันออกดอกได้แล้วขอพร สิ่งนั้นจะกลายเป็นจริง’
‘ขอบคุณนะ..’
‘ผมเองก็ต้องเป็นฝ่ายขอบคุณพี่เหมือนกันที่ทำตามที่ผมขอไว้..’
‘.......’
‘ตอนนี้คงถึงเวลาของมันแล้ว..’
‘เราพูดเรื่องอะไร พี่งงไปหมดละเนี่ย’ แม้จะรู้สึกดีที่เค้ามาร่วมแสดงความยินดีแต่อีกใจผมกลับรู้สึกไม่ดีแปลกๆ รอยยิ้มที่ผมชอบแอบมองทำให้ผมดึงคนตัวเล็กเข้ามากอด วงแขนที่โอบรัดตัวน้องแน่นเพราะคิดถึงสัมผัสและกลิ่นหอมจากตัวเค้าที่ไม่ได้เข้าใกล้เลยตั้งแต่เราหยุดความสัมพันธ์ฉันท์คนรักกันไป ผมคิดออกในทันทีเมื่อนึกขึ้นได้
ประโยคที่จะตัดความสัมพันธ์นั้นอย่างเป็นทางการ
ผมไม่รู้ว่าหรอกว่าผมเป็นอะไร รู้แค่ว่าไม่อยากให้เค้าไปรู้สึกกับใครแบบนั้นนอกจากผม ไม่อยากให้รอยยิ้มกับใบหน้าขึ้นสีเข้มเพราะความเขินอายนั่นเพราะคนอื่นที่ไม่ใช่ผม ไม่อยากให้ร่างเล็กน่ารักนี้ถูกโอบกอดจากคนอื่นที่ไม่ใช่ผม
'ขอบคุณสำหรับทุกอย่างที่ผ่านมา'
ร่างเล็กนั้นผละออกจากอ้อมแขนของผมปลายเท้าเขย่งตัวขึ้นกดจมูกรั้นฝังลงบนแก้มของผม รอยยิ้มสดใสชวนมองและแววตาที่ใสซื่อตามแบบฉบับของเค้าส่งยิ้มให้ ตรงกันข้ามกับผมที่แม้จะไม่แสดงความรู้สึกอะไรออกไป แต่ในใจกำลังขอร้องอ้อนวอนจากอีกฝ่าย
อย่าไป
'เราเลิกกันนะฮะ'
(:
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย