ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    หนุ่มมือกลอง ปะทะ สาวมือเบส

    ลำดับตอนที่ #1 : ตอนที่ 1

    • อัปเดตล่าสุด 21 ต.ค. 50


    ตอนที่ 1

                    
                    “ยะฮู้
    !  วู้วๆๆๆๆ”

                    
                    ฉันกำลังส่งเสียงพร้อมทั้งกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจอยู่หน้าจอทีวี  แต่เสียงโห่ฮาดีใจของฉันก็ต้องหยุดลง  เมื่อโดนเบรกจนหัวทิ่มหัวตำ

                    
                     “เฮอะ  กะอีแค่ยิงได้หนึ่งลูก  ทำเป็นดีอกดีใจ  อย่าลืมว่ายังตามอยู่อีกลูกน่ะ”

                   
                     
    ง่ะ...ดูปากของพี่ชายฉันสิคะ  ใช่แล้วล่ะค่ะ  ทีมฟุตบอลทีมโปรดของฉันและทีมของพี่กำลังถ่ายทอดผ่านเคเบิ้ลทีวี  ฉันและพี่เลยมานั่งเชียร์กันอยู่หน้าทีวีไม่ยอมหลับไม่นอนนั่นเอง  เมื่อกี้นี้ทีมโปรดของฉันเพิ่งจะยิงประตูตีไข่แตกได้  นั่งลุ่นจนตัวโก่งตัวงอจนจะเป็นกุ้งแม่น้ำอยู่รอมร่อถึงได้มีโอกาสยืดกะเค้าซะที  ค่อยหายใจหายคอโล่งหน่อย  แต่   ฮึ่ม
    !   ก่อนหน้านี้โดนพูดข่มไว้เยอะ  คราวนี้ขอเป็นทีไอ้ชาเย็นหน่อยเถอะค่ะ  จะพูดทับซะให้หายแค้นเลย(ถึงจะตามอยู่อีกลูกก็เถอะนะ)

                    “แล้วไงล่ะ  เวลาครึ่งหลังก็ยังมี ยังไงก็ตามตีเสมอได้อยู่แล้วล่ะ  แต่ เอ...เมื่อกี้ใครกันน้า  ที่บอกว่าไม่มีทางตีไข่แตกได้  เพราะมีนายประตูมือตุ๊กแกอย่าง แวน เดอ ซาน อยู่ทั้งคน  ตุ๊กแกหรือจิ้งจกกันแน่”

                    ฮ่าๆๆ  สะใจโว้ย  พี่ชายฉันเป็นแฟนผีน้อยแคสเปอร์  เอ๊ย!  ผีแดงค่ะ ส่วนฉันไม่คลั่งไคล้ทีมใหญ่ๆดังๆอย่างทีมนี้  เลยขอเลือกเชียร์ทีมเล็กๆแทน  ถึงจะไม่ได้เก่งกาจเข้าขั้นเทพ  แต่ก็มีความสามารถและความเก๋าอยู่พอตัว

                    พี่ชายตัวดีของฉันตั้งท่าจะโต้กลับแต่พ่อผู้แสนประเสริฐเกิดพูดขัดขึ้นมาเสียก่อน

                    “ตกลงว่าเราทั้งคู่จะมาเชียร์บอลหรือว่าจะมาทำสงครามน้ำลายกันแน่”

                    โอ้โห!  ดูคุณพ่อผู้บังเกิดเกล้าของฉันพูดเข้าสิคะ  รู้จักใช้ศัพท์ซะด้วย  สงครามน้ำลาย  วัยรุ่นจริงๆเชียว  ฉันกล้าพนันเลยนะคะว่า(การพนันเป็นสิ่งไม่ดีนะคะ)  ครอบครัวไหนๆก็คงไม่มีพ่อคนไหนใช้คำอย่างนี้แน่ๆ  ฟันธง!

                    “ก็พี่ป๋อมาว่าทีมชาก่อนนี่”

                    “ไปนอนได้แล้วชาเย็น  พรุ่งนี้โรงเรียนเปิดเทอมแล้วนะ  นอนดึกเดี๋ยวตื่นไปโรงเรียนไม่ทัน  ไปสายมันไม่ดีนะลูก  ยิ่งเป็นโรงเรียนใหม่ด้วย  แล้วนี่กระเป๋านักเรียนน่ะจัดเสร็จหรือยังฮึ  เกิดลืมของสำคัญอะไรขึ้นมา  แม่ไม่เอาไปให้ที่โรงเรียนนะ”

                    แม่ฉันโผล่หน้าเข้ามาในห้องนั่งเล่นไล่ฉันซะอย่างงั้น  ไม่ได้ไล่ธรรมดานะแต่เป็นร่าย  ร่ายยาวเลยด้วย  เป็นอย่างนี้ทุกทีสิน่า

                    “ชาจัดกระเป๋าเรียบร้อยแล้วแม่  ชาขออยู่ดูบอลให้จบก่อนนะ นะ น้า~

                    ฉันทำน้ำเสียงออดอ้อน เดินเข้าไปกอดแม่  แม่เงยหน้ามองฉันเนื่องจากส่วนสูงของฉันนั้นมีมากกว่าแม่อยู่พอประมาณเลยล่ะค่ะ  ฉันได้ส่วนสูงมาจากพ่อน่ะ  ฉันก้มมองหน้าแม่พร้อมทั้งกระพริบตาปริบๆอย่างน่าสงสารเพื่อให้ท่านยอมอนุญาต  ออดอ้อนทางสายตานั่นเอง  อิอิ  

                    “ดูจบแล้วขึ้นนอนเลยนะ  ถ้าพรุ่งนี้ตื่นสายล่ะน่าดู”  แม่ยอมใจอ่อน  ชี้หน้าฉันอย่างคาดโทษหากฉันตื่นสาย

                    ฮี่ๆ  สำเร็จ  แม่ฉันใจดีอย่างนี้เสมอ  ชาเย็นรักแม่ที่ซู้ดดดดดดดดดดดดดด

                    แม่กลับออกไปทำอะไรกุกๆกักๆที่อีกห้องหนึ่ง  คงจะกำลังจัดบ้านอยู่กระมัง  เพราะแม่เป็นคนเจ้าระเบียบ  อาจจะเป็นเพราะว่าแม่เคยเป็นคุณครูมาก่อน  ก่อนจะลาออกไปเมื่อสามปีก่อนด้วยเหตุผลที่ท่านบอกกับฉันว่า  แม่อยากมีเวลาว่างให้กับลูกๆ  ฉันไม่แน่ใจว่านั่นเป็นสาเหตุจริงๆหรือเปล่าเพราะฉันเคยได้ยินพ่อบอกกับแม่ว่าอยากให้อยู่บ้านเฉยๆไว้พ่อจะเป็นคนหาเลี้ยงเอง  ตอนนี้แม่เลยออกมาอยู่บ้านเฉยๆเป็นแม่บ้านเต็มตัว  นี่ถ้าฉันได้ผู้ชายแบบนี้มาเป็นคู่ครองสักคนคงดีไม่น้อย  น่าอิจฉาแม่ฉันจริงๆเลย

                    พ่อ  พี่ป๋อ  และฉัน  นั่งดูบอลต่อจนจบ  ไม่น่าเลยจริงๆ  ฮือๆๆๆ  รู้อย่างนี้ขึ้นนอนตั้งแต่แรกซะก็ดี  จะได้ไม่ต้องทนเห็นความพ่ายแพ้ที่เกิดขึ้น  อ๊ากกกกก

                   

     

    เอ้กอี๊เอ้ก เอ้ก กู๊กู่ ~    เอ้กอี๊เอ้ก เอ้ก  กู๊กู่ ~

                    เสียงนาฬิกาปลุกที่ทำเป็นรูปทรงเหมือนไก่ร้องลั่นอยู่บนหัวเตียง  ส่งเสียงดังทะลุเข้าไปในโสตประสาทของฉันที่กำลังฝันหวานถึงขนมเค้กก้อนโตที่อยู่ๆก็พลันมลายหายไปพร้อมกับที่เปลือกตาของฉันเผยอขึ้นนิดๆ

                    ฉันงัวเงียเอามือควานไปบนหัวเตียง  หยิบนาฬิกาเจ้ากรรมลงมาดูเวลา  ก่อนจะกดสวิซที่เป็นหงอนไก่

                    “อืม...เพิ่งจะเจ็ดโมงครึ่งเอง  ยังเช้าอยู่เลยนี่นา  ขอนอนเอาแรงอีกหน่อยแล้วกัน”  ว่าแล้วฉันก็ล้มตัวลงนอนตะแคงมือคว้าหมอนข้างใบโปรดมานอนก่ายอย่างสบายใจ

                    แต่พอสมองของฉันได้ซึมซับคำว่า เจ็ดโมงครึ่ง ฉันถึงนึกขึ้นได้ว่าวันนี้ฉันต้องไปโรงเรียนนี่นา  ฉันลุกขึ้นมานั่งทำตาพองโตอย่างตกใจ  หันกลับไปมองเจ้าไก่อีกครั้งเป็นการยืนยันเวลา  เผื่อว่าฉันจะตาฝาดไป  แต่เข็มนาฬิกาก็เลื่อน

    จากตำแหน่งแรกที่ฉันดูไปเพียงสองนาทีเท่านั้น  จ๊ากกก  ฉันร้องลั่นในใจ  โรงเรียนเข้าตอนแปดโมงนี่หว่า

                    ฉันกระโดดผลุงลงจากเตียงคว้าผ้าขนหนูที่แขวนอยู่หน้าประตูห้องน้ำวิ่งเข้าห้องน้ำก่อนจะปิดประตูดังปัง  ฉันใช้เวลาในห้องน้ำเพียงสิบนาที  ก่อนจะออกมาพร้อมกับชุดนักเรียนใหม่ขาวสะอาด  

                    เมื่อออกจากห้องน้ำแล้วฉันก็รีบวิ่งลงบันไดชนิดที่ทำลายทุกสถิติโดยส่วนตัว  แต่พอลงจากบันไดได้ฉันก็รู้สึกว่าตัวเองลืมอะไรไป  พอนึกขึ้นได้เลยต้องวิ่งกลับขึ้นบันไดเข้าไปในห้อง คว้ากระเป๋านักเรียนที่วางอยู่ข้างเตียง  พร้อมกับวิ่งปรู๊ดด้วยความเร็วแสงลงมาข้างล่าง  ฉันวิ่งออกไปที่ประตูบ้าน  มองซ้ายมองขวาไม่เห็นรถยนต์ของพ่อกับแม่เลยสักคันเดียว  พ่อน่ะไปทำงาน  แล้วแม่ไปไหนล่ะเนี่ย  ทำไงดีวะทีนี้  ฉันคิดอย่างรีบเร่ง แต่สวรรค์ยังพอเห็นใจถึงได้ส่งพี่ป๋อมาเป็นพระเอกขี่ม้าขาว เอ๊ย! ขี่มอเตอร์ไซค์มาช่วยชีวิตฉันไว้ได้ทัน  แต่ฉันคงจะจบชีวิตลงที่ตรงนี้หากพี่ป๋อเบรกรถไว้ไม่ทันเมื่อฉันวิ่งไปขวางรถเอาไว้

                    “เฮ้ย!  ทำบ้าอะไรของเราเนี่ย อยู่ๆวิ่งมาจากไหนก็ไม่รู้  เกิดพี่ชนเราเข้าจะเป็นยังไงฮะ”  พี่ป๋อโวยวายทันที

                    ฉันไม่รอช้ารีบขึ้นไปนั่งซ้อนท้าย  และยังส่งเสียงเร่งให้พี่ป๋อออกรถเร็วๆ

                    “พี่ป๋อไปส่งชาที่โรงเรียนหน่อยสิ  ถ้าอีกสิบนาทีนี้ชาไปไม่ถึงโรงเรียนมีหวังชาได้โดนทำโทษตั้งแต่วันแรกแน่ๆเลย”

                    พี่ป๋อที่เห็นสีหน้าของฉันที่ตื่นตระหนกก็เลยบึ่งรถออกสู่ถนนทันที

                    แง๊  แล้วฉันจะตายก่อนถึงโรงเรียนมั้ยเนี่ย

     

                   

    ไม่กี่อึดใจต่อมา  ฉันก็ได้มีชีวิตรอดจากการเสี่ยงตายบนท้องถนนลงมายืนถอนหายใจอย่างโล่งอก ฉันบอกขอบคุณพี่ป๋อแล้วออกวิ่งเข้าโรงเรียนทันที  ฉันวิ่งผ่านอาจารย์เวรหน้าโรงเรียนที่ทำหน้าที่คอยดักจับนักเรียนที่แต่งตัวผิดระเบียบและมาสาย อาจารย์ท่านนั้นตะโกนเรียกให้ฉันหยุด  แต่ฉันคงไม่เสี่ยงให้ตัวเองโดนทำโทษหรอกนะ  จึงวิ่งหน้าตั้ง  เป้าหมายคือ  อยู่ให้ไกลจากอาจารย์เวร  

                    ฉันหยุดวิ่งพลายหายใจอย่างเหนื่อยหอบ  มองซ้ายทีขวาทีไม่พบสิ่งมีชีวิตใดเลยแฮะ  นอกจากต้นไม้ที่ขึ้นเรียงกันเป็นระเบียบเรียบร้อยแผ่กิ้งก้านสาขาเต็มต้น  พร้อมให้ร่มเงาแก่คนที่มาอาศัยหลบแดดได้เป็นอย่างดี

                    นักเรียนชายคนหนึ่งวิ่งผ่านหน้าฉันไปโดยไม่คิดจะเหลียวแลฉันสักนิด  ฉันได้ยินเสียงดังแว่วๆมาจากทางที่นายคนนั้นวิ่งมา  ฉันจึงวิ่งตามหลังนายคนนั้นไปติดๆ  จนไปถึงลานสนามกว้างที่มีนักเรียนทั้งโรงเรียนยืนเข้าแถวกันจนดูคับแคบไปถนัดใจ  

                    นายคนนั้นหายตัวเข้าไปในฝูงนักเรียนที่ยืนเข้าแถวกันอยู่  ปล่อยให้ฉันยืนเคว้งอยู่ตรงนั้นสามวินาทีเต็มๆ  ฉันเลยตัดสินใจทำเนียนเข้าไปต่อท้ายแถวที่อยู่ใกล้ที่สุด  ทันเวลากับที่เสียงเพลงจากวงโยทวาธิตบรรเลงเป็นเพลงชาติ


                   
    ฉันยืนหอบหายใจจนเพลงจบ  หันไปมองคนข้างๆก็เห็นว่าเขามองฉันอยู่ก่อนแล้ว  หน้าตาเขาเอ๋อสุดๆเลยอ่ะ  คงคิดว่าฉันเป็นขอมดำดินโผล่มาจากพื้นดินขึ้นมายืนข้างๆซะละมั่ง  

                    “ห้องมอสี่ทับสองอยู่แถวไหนคะ”  ฉันตัดสินใจเอ่ยปากถาม  เขาชี้มือไปข้างหน้า แล้วบอกเสียงเรียบว่าอยู่แถวที่แปด  ฉันบอกขอบคุณเขาไป  แล้วค่อยๆกระดึ๊บขึ้นไปทีละแถวๆอย่างเนียนสุดๆ  จนมาถึงแถวของฉันจนได้  เฮ้อ
     

                    หลังจากที่พิธีหน้าเสาธงเสร็จสิ้นลง  นักเรียนคนอื่นๆต่างพากันทยอยเดินขึ้นห้องของตัวเอง  ฉันเลยเดินตามคนข้างๆต้อยๆ เพราะว่าฉันไม่รู้นี่นาว่าห้องของฉันมันตั้งอยู่ส่วนไหนของตึกเรียนมีตึกอยู่ตั้งหลายตึก  ใครจะไปรู้กันล่ะ  โรงเรียนนี้ทั้งใหญ่มั้งกว้าง  ต่างจากโรงเรียนเก่าของฉันลิบลับ  


                   
    ฉันเดินตามเพื่อนในห้องจนมาหยุดยืนที่หน้าห้องห้องหนึ่ง  แขวนไว้ด้านบน  444  เป็นเลขของฉันเองค่ะ  บ่งบอกว่าอยู่ตึกสี่  ชั่นสี่  ห้องที่สี่  ฉันเดินเข้าไปในห้อง  พบว่าโต๊ะทุกตัวต่างถูกจับจองโดยเพื่อนร่วมห้องจนเกือบหมดแล้ว  เหลือเพียงโต๊ะเดียวที่อยู่หลังห้องสุดติดกับหน้าต่างถ้าไม่นับโต๊ะข้างๆที่ไม่มีคนนั่งแต่มีกระเป๋าวางอยู่บนโต๊ะล่ะก็นะ

                    ฉันเดินผ่านโต๊ะแต่ละตัวไปยังโต๊ะเรียนที่ว่างอยู่นั้น  แต่ก่อนที่ฉันจะเดินไปถึงโต๊ะนั้นก็เกิดอุบัติเหตุขึ้นซะก่อนค่ะ  ฉันสะดุดขาใครก็มิอาจทราบได้ซึ่งยื่นออกมานอกโต๊ะเรียน  ฉันล้มคะมำไถลไปกับพื้นห้อง  ฉันหันกลับไปมองเจ้าของขายาวๆข้างนั้นที่ยื่นออกมาเกะกะขวางทางอย่างเอาเรื่อง

                    “ขอโทษที  เป็นอะไรมากมั้ย”  คนที่ฉันกำลังมองหน้าถามขึ้นพลางยื่นมือมาตรงหน้าจะช่วยดึงฉันขึ้นจากพื้น


                   
    แต่คนอย่างฉันล้มเองก็ลุกเองได้ไม่คิดจะรับน้ำใจจากคนตรงหน้า  ฉันลุกขึ้นมาปัดกระโปรงที่เปื้อนไปด้วยฝ่นจนขาววอกไปหมด  ไอ้บ้าเอ๊ย
    ! ทำไมไม่รู้จักวางแข้งวางขาให้มันพ้นทางคนเดินนะ  แน่นอนค่ะฉันร้องขึ้นในใจ  แล้วทำไมพื้นตรงนี้ฝุ่นมันถึงได้เยอะจังฟะ  ฉันมองซ้ายมองขวา  นั่นไง  เจอแล้วสาเหตุที่ฝุ่นตรงนี้มันเยอะก็เพราะว่าถังขยะมันตั้งอยู่ใกล้ๆกับที่ๆฉันล้มลงน่ะสิ  ที่สำคัญ  อยู่หลังโต๊ะฮันพอดีเป๊ะเลย  ช่างโชคดีอะไรอย่างนี้เนี่ย  เฮ้อ

                    “ขอโทษจริงๆนะ  ไม่คิดว่าจะมีคนซุ่มซ่ามเดินมาสะดุดน่ะ”

                    อ้าว  เฮ้ย!  นั่นปากหรือน่ะที่ใช้พูด

                    “ตกลงนายจะขอโทษฉันหรือว่าจะแขวะฉันกันแน่”

                    “อย่าไปถือสาไอ้พีมันเลย  ปากมันก็เงี้ย”  เพื่อนของนายนั่นเข้ามาพูดจาไกล่เกลี่ย

                    ชื่อพีหรอกรึ  นี่ขนาดเพื่อนยังยอมรับว่าปากไม่ดี  แต่ไอ้หน้าที่ยิ้มระรื่นอยู่นี่มันกวนประสาทชะมัด

                    “ฉันยอมให้ก็ได้  ไม่อยากมีเรื่องตั้งแต่วันแรก  เดี๋ยวจะพาลซวยตลอดเทอม”  ฉันเดินหลีกไปนั่งที่โต๊ะ  รู้สึกหงุดหงิดนิดหน่อยกับเช้าวันแรกของการเริ่มต้นชีวิตในรั้วโรงเรียนใหม่แห่งนี้

                    โรงเรียนแห่งนี้ใหญ่โตสมชื่อสถาบัน  เพราะเป็นโรงเรียนที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงมีคนเก่งๆที่ฉันรู้จักบ้างไม่รู้จักบ้างจบออกไป  พ่อและแม่ของฉันเลยอยากให้ฉันสอบเข้าโรงเรียนนี้ อีกอย่างเป็นโรงเรียนใกล้บ้านด้วย

                    เสียงกวนๆของนายพีลอยมาเข้าหูโดยไม่ได้ตั้งใจ  “เฮ้ย  ไอ้แมน  ฉันขอแลกที่นั่งกับเอ็งนะเว่ย  อยากได้ลมเย็นๆว่ะ”  ว่าแล้วนายนั่นก็หย่อนก้นลงมานั่งข้างฉันซะอย่างนั้น  คิดจะมาป่วนกันหรือไง  รู้จักไอ้ชาเย็นน้อยไปซะแล้ว

                    “นี่  นายคิดจะตามมาราวีฉันหรือไงฮะ  คนเค้าอุตส่าไม่เอาเรื่อง  ไม่ใช่ว่ากลัวหรอกนะ  แต่ถ้านายอยากจะมีเรื่องละก็  ได้เลย  จะเอายังไงว่ามา  หรือจะไปเจอกันข้างนอกฉันก็ไม่เกี่ยงอยู่แล้ว”  ไม่พูดเปล่าฉันถกแขนเสื้อขึ้นตามนิสัยเวลาอยากหาเรื่องคน  เอ๊ย!  เวลาถูกคนหาเรื่อง  

                    มาเล้ย  คนอย่างชาเย็น  บู๊เป็นบู๊  ตายเป็นตาย

                    “โห ป้า  ไม่ต้องถึงขนาดนั้นก็ได้มั้ง  แค่จะมานั่งรับลมจากหน้าต่างเฉยๆ  ไม่ได้มีเจตนาจะมาหาเรื่องอะไรป้าเลยซักนิดเดียว”

                    “ป้าเป้อที่ไหนกัน  ฉันไม่ได้แก่ขนาดเป็นพี่ของแม่นายนะ”  มาพูดจาหมาไม่รับประทานแบบนี้ได้ยังไงกัน


                   
    “เอ้า  ก็ดูสิเนี่ย  คิ้วผูกกันจนหน้าผากน่ะย่นยังกับป้าอายุห้าสิบแล้วนี่อีก”  นายพีไม่พูดเปล่ายังเอามือเอาไม้มาจิ้มหน้าฉันประกอบคำพูด  “รอยตีนกา  ขึ้นตามมาเต็มเลย  ดูสิ  หนึ่ง  สอง  สาม  สี่  ห้า ...”  ฉันปัดมือนายพีออกอยากจะกระโจนเข้าไปขย้ำคอให้มันรู้แล้วรู้รอด  คนบ้าที่ไหนมีรอยตีนกาเยอะขนาดนั้น  “ไม่รู้จะโกรธอะไรกันนักหนา”  นายพีสะเดิดยังพูดต่อ(ฉันว่าชื่อนี้เหมาะสมกับเขามากกว่า)

                    ฉันอ้าปากจะโวยวายใส่  ก็พอดีกับที่อาจารย์ท่านหนึ่งเดินเข้ามา  ฉันเลยต้องหุบปากฉับ  มองหน้านายพีอย่างเคืองๆ

                    ฝากไว้ก่อนเถอะ

     

     

                    “ไปกินข้าวด้วยกันมะ”

                    ฉันได้ยินเสียงใครคนหนึ่งพูดหลังจากที่อาจารย์ปล่อยเมื่อถึงเวลาพักกลางวัน  ไม่ต้องหันไปมองก็รู้ว่าเป็นเสียงใคร  น้ำเสียงติดออกจะกวนๆ  เป็นใครไปไม่ได้

                    “คิดไงมาชวนกันไปกินข้าวเนี่ยฮะ  เมื่อเช้านายเพิ่งจะกวนโมโหฉันอยู่แหมบๆ  คิดว่าฉันจะตกลงไปด้วยหรือไง”

                    “อื้ม  คิดสิ  ไม่งั้นจะชวนทำไม”

                    ฉันนั่งจ้องหน้านายพีอย่างงงงวย  “นายเพี่ยนรึเปล่า”  ฉันถาม  แต่นายพีกลับลากฉันให้เดินไปกับเขา  อ้าว  เฮ้ย!!  ไหงมาลากฉันไปด้วยอย่างนี้เล่า  

                    “เดี๋ยวๆๆ”  ฉันรีบยื้อยุดฉุดกระชากให้นายพีหยุดเดิน  “ไม่ต้องลากก็ได้  เดินเองได้น่า”  ฉันยอมเดินตามนายพีสะเดิดกับนายแมน  ก็ลองมาคิดดูอีกที  มีเพื่อนนั่งกินด้วยตั้งสองคนดีกว่านั่งกินคนเดียวเป็นไหนๆ  เนอะ

                    “ว่าแต่เธอชื่ออะไรล่ะ  จะได้เรียกถูก”  แมนถามเมื่อพวกเรา(ฉัน  แมน  แล้วก็นายพีสะเดิดเดินเลือกอาหารกันอยู่

                    “ชาเย็น”

                    “หืม  จะดื่มชาเย็นหรอ”  แมนถามอีก

                    “ไม่ใช่”  ฉันรีบโบกไม้โบกมือ  “ฉันชื่อชาเย็น  เดี๋ยวฉันแวะซื้อข้าวร้านนี้นะ”  ฉันชี้มือไปที่ร้านข้าวแกงซึ่งมีอาหารหน้าตาน่ารับประทานใส่ถาดวางเรียงรายอยู่เป็นแถว

                    ฉันเดินเข้าไปสั่งอาหารจานโปรด  นั่นก็คือ  พะแนงไก่ไข่ดาว  ระหว่างที่ยืนรอฉันก็สังเกตเห็นป้ายชื่อร้านมีสติ๊กเก้อตัวเป้งติดไว้ว่า  ร้านป้ารี  ฉันเดินออกจากร้านข้าวแกงเมื่อ ป้ารี ที่หน้าตาท่าทางใจดีทอนเงินให้ครบถ้วน  จากนั้นจึงเดินไปร้านขายเครื่องดื่มที่มีเครื่องดื่มสารพัดชนิด  มีตั้งแต่น้ำเปล่าไปจนถึงน้ำผลไม้ชนิดต่างๆ  ฉันสั่งเครื่องดื่มสุดโปรดของฉันอีกเหมือนกัน


                   
    “ป้าคะ  ชาเย็นแก้วนึงค่ะ”  ฉันส่งเงินให้ป้าคนขายก่อนจะยื่นมือไปรับแก้วน้ำที่บรรจุเครื่องดื่มที่มีชื่อเดียวกันกับชื่อเล่นของฉัน  ก่อนจะเดินหาโต๊ะที่ว่างพอจะให้ฉันหย่อนก้นนั่งกินข้าวสบายๆได้

                    ฉันเดินหันซ้ายหันขวาสายตาสอดส่องหาโต๊ะตามที่ต้องการก่อนจะได้ยินเสียงผ฿ชายคนหนึ่งร้องเรียกอยู่ไม่ห่างมากนัก  ฉันก้าวเท้าเข้าไปหาทันทีพร้อมกับวางจานข้าวและแก้วน้ำ  หย่อนก้นลงนั่งบนเก้าอี้ตัวยาวถัดจากนายแมน  ฝั่งตรงข้ามเป็นนายพีที่กำลังก้มหน้าก้มตาทานก๊วยเตี๋ยวตรงหน้าอย่างเอร็ดอร่อย  เขาเงยหน้าขึ้นมาเมื่อฉันนั่งลงแต่ปากยังคงดูดเส้นก๊วยเตี๋ยว  สายตาจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของฉันก่อนจะเลื่อนลงไปมองที่จานข้าวของฉันอีกเช่นกัน

                    ฉันเหล่เขานิดๆ  จ้องอะไรนักหนาของนายฮะ

                    “พะแนงน่าเกินเนอะ”  นายพีพูดขึ้นหลังจากที่เคี้ยวหมดปากแล้ว  ไม่พูดเปล่ายังเอาตะเกียบคีบเนื้อไก่ในจานของฉันเข้าปากหน้าตาเฉย

    แว๊กกกกกก!!!  นั่นมันของฉันนะยะ

                    ฉันตีมือนายพีที่ถือตะเกียบอยู่จนตะเกียบหล่นใส่ชาม  จากนั้นฉันก็รีบลงมือ  ฉก  ลูกชิ้นเนื้อจากชามของนายพีเข้าปากบ้าง  เล่นเอานายนั่นหน้าเหวอไปเลยค่ะ  “เจ๊ากัน”  ฉันว่าพร้อมกับยักคิ้วให้หนึ่งที

                    ฉันเริ่มลงมือจัดการกับจานข้าวของตัวเองบ้าง  พะแนงของป้ารีรสชาติอร่อยอย่าบอกใครเชียว  ฉันตักข้าวเข้ปากไปได้สองสามคำ  แมนก็ชวนคุย

    “คิดออกรึยังว่าจะเข้าชมรมอะไรกัน”

      “ก็มีที่เล็งๆไว้แล้วเหมือนกัน”  ฉันตอบ  

    เมื่อเช้านี้อาจารย์พัลลภาที่เป็นอาจารย์ประจำชั้นห้องของฉัน  ท่านได้แจกใบสมัครเข้าชมรมให้กับเพื่อนๆนักเรียนในห้องค่ะ  

    เอกสารที่ครูแจกให้นี้  เป็นใบสมัครเข้าชมรม  ซึ่งนักเรียนม.ปลายทุกคนจะต้องมีชมรมอยู่ไว้สำหรับทำกิจกรรมในคาบกิจกรรมของวันศุกร์  ใบสมัครนี้มีทั้งหมดสองส่วน  ส่วนที่หนึ่งทางชมรมจะเป็นคนเก็บไว้  ส่วนที่สองนั้นนักเรียนทุกคนจะต้องนำกลับมาส่งครูภายในเวลาพักกลางวันของวันพรุ่งนี้  อาจารร์พัลลภากล่าว  ที่ด้านหลังจะมีชื่อชมรมต่างๆ  นักเรียนลองอ่านดูแล้วกัน  ครูหวังว่าพวกเธอทุกคนจะนำมาส่งครูตรงเวลานะจ๊ะ  เอาล่ะ  ไปเรียนคาบแรกได้แล้ว  

    เมื่อหัวหน้าห้องที่ได้รับการแต่งตั้งไปหมาดๆก่อนหน้านี้  ซึ่งเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก  นายพี  ที่ได้รับคะแนนเสียงท่วมท้น(เพราะอะไรกันนะ  ฉันล่ะสงสัย)บอกทำความเคารพเพื่อนๆแต่ละคนก็เริ่มทยอยออกไปเรียนคาบแรกตามตารางสอนที่จัดไว้

    ตอนนี้ชมรมที่ฉันเล็งไว้แต่แรกก็คือชมรม  คนรักดนตรี  เพราะว่าฉันชื่นชอบในการเล่นดนตรีนั่นเองล่ะค่ะ  ส่วนฉันจะชอบเล่นเครื่องดนตรีชิ้นไหนนั้นคงเดากันได้ไม่ยากค่ะ

    “เธอเล็งชมรมไหนไว้ล่ะ”  แมนยังคงช่างซักช่างถามต่างจากคนตรงหน้าฉันลิบลับเลยค่ะ  นั่งดูดเส้นก๊วยเตี๋ยวไม่สนใจสายตาประชาชีของใครทั้งสิ้น

    “ชมรมดนตรีน่ะ  แล้วนายล่ะอยากเข้าชมรมไหน”  ฉันถามกลับบ้าง

    “เราก็มีที่เล็งไว้แล้วเหมือนกัน  ว่าจะชวนชาเย็นไปดูด้วย  สนใจรึเปล่า  มีดนตรีที่ชาเย็นสนใจด้วยนะ”  อย่างนี้ก็ดีสิ  มีไกด์จำเป็นพาไปดูชมรมแล้ว  ว่าแต่เป็นชมรมอะไรกันน้า  เดี๋ยวไปก็คงรู้เอง  ตอนนี้ขอกินข้าวต่อดีกว่า  

    ฉันพยักหน้าตกลง


    -------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
    แล้วรอพบกับพระเอกของเราในตอนหน้านะค้า   ขอบคุณผู้อ่านทุกคนค่ะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×