คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ตอนที่ 1
ตอนที่ 1
“ยะฮู้! วู้วๆๆๆๆ”
ฉันกำลังส่งเสียงพร้อมทั้งกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจอยู่หน้าจอทีวี แต่เสียงโห่ฮาดีใจของฉันก็ต้องหยุดลง เมื่อโดนเบรกจนหัวทิ่มหัวตำ
“เฮอะ กะอีแค่ยิงได้หนึ่งลูก ทำเป็นดีอกดีใจ อย่าลืมว่ายังตามอยู่อีกลูกน่ะ”
ง่ะ...ดูปากของพี่ชายฉันสิคะ ใช่แล้วล่ะค่ะ ทีมฟุตบอลทีมโปรดของฉันและทีมของพี่กำลังถ่ายทอดผ่านเคเบิ้ลทีวี ฉันและพี่เลยมานั่งเชียร์กันอยู่หน้าทีวีไม่ยอมหลับไม่นอนนั่นเอง เมื่อกี้นี้ทีมโปรดของฉันเพิ่งจะยิงประตูตีไข่แตกได้ นั่งลุ่นจนตัวโก่งตัวงอจนจะเป็นกุ้งแม่น้ำอยู่รอมร่อถึงได้มีโอกาสยืดกะเค้าซะที ค่อยหายใจหายคอโล่งหน่อย แต่ ฮึ่ม! ก่อนหน้านี้โดนพูดข่มไว้เยอะ คราวนี้ขอเป็นทีไอ้ชาเย็นหน่อยเถอะค่ะ จะพูดทับซะให้หายแค้นเลย(ถึงจะตามอยู่อีกลูกก็เถอะนะ)
“แล้วไงล่ะ เวลาครึ่งหลังก็ยังมี ยังไงก็ตามตีเสมอได้อยู่แล้วล่ะ แต่ เอ...เมื่อกี้ใครกันน้า ที่บอกว่าไม่มีทางตีไข่แตกได้ เพราะมีนายประตูมือตุ๊กแกอย่าง แวน เดอ ซาน อยู่ทั้งคน ตุ๊กแกหรือจิ้งจกกันแน่”
ฮ่าๆๆ สะใจโว้ย พี่ชายฉันเป็นแฟนผีน้อยแคสเปอร์ เอ๊ย! ผีแดงค่ะ ส่วนฉันไม่คลั่งไคล้ทีมใหญ่ๆดังๆอย่างทีมนี้ เลยขอเลือกเชียร์ทีมเล็กๆแทน ถึงจะไม่ได้เก่งกาจเข้าขั้นเทพ แต่ก็มีความสามารถและความเก๋าอยู่พอตัว
พี่ชายตัวดีของฉันตั้งท่าจะโต้กลับแต่พ่อผู้แสนประเสริฐเกิดพูดขัดขึ้นมาเสียก่อน
“ตกลงว่าเราทั้งคู่จะมาเชียร์บอลหรือว่าจะมาทำสงครามน้ำลายกันแน่”
โอ้โห! ดูคุณพ่อผู้บังเกิดเกล้าของฉันพูดเข้าสิคะ รู้จักใช้ศัพท์ซะด้วย ‘สงครามน้ำลาย’ วัยรุ่นจริงๆเชียว ฉันกล้าพนันเลยนะคะว่า(การพนันเป็นสิ่งไม่ดีนะคะ) ครอบครัวไหนๆก็คงไม่มีพ่อคนไหนใช้คำอย่างนี้แน่ๆ ฟันธง!
“ก็พี่ป๋อมาว่าทีมชาก่อนนี่”
“ไปนอนได้แล้วชาเย็น พรุ่งนี้โรงเรียนเปิดเทอมแล้วนะ นอนดึกเดี๋ยวตื่นไปโรงเรียนไม่ทัน ไปสายมันไม่ดีนะลูก ยิ่งเป็นโรงเรียนใหม่ด้วย แล้วนี่กระเป๋านักเรียนน่ะจัดเสร็จหรือยังฮึ เกิดลืมของสำคัญอะไรขึ้นมา แม่ไม่เอาไปให้ที่โรงเรียนนะ”
แม่ฉันโผล่หน้าเข้ามาในห้องนั่งเล่นไล่ฉันซะอย่างงั้น ไม่ได้ไล่ธรรมดานะแต่เป็นร่าย ร่ายยาวเลยด้วย เป็นอย่างนี้ทุกทีสิน่า
“ชาจัดกระเป๋าเรียบร้อยแล้วแม่ ชาขออยู่ดูบอลให้จบก่อนนะ นะ น้า~”
ฉันทำน้ำเสียงออดอ้อน เดินเข้าไปกอดแม่ แม่เงยหน้ามองฉันเนื่องจากส่วนสูงของฉันนั้นมีมากกว่าแม่อยู่พอประมาณเลยล่ะค่ะ ฉันได้ส่วนสูงมาจากพ่อน่ะ ฉันก้มมองหน้าแม่พร้อมทั้งกระพริบตาปริบๆอย่างน่าสงสารเพื่อให้ท่านยอมอนุญาต ออดอ้อนทางสายตานั่นเอง อิอิ
“ดูจบแล้วขึ้นนอนเลยนะ ถ้าพรุ่งนี้ตื่นสายล่ะน่าดู” แม่ยอมใจอ่อน ชี้หน้าฉันอย่างคาดโทษหากฉันตื่นสาย
ฮี่ๆ สำเร็จ แม่ฉันใจดีอย่างนี้เสมอ ชาเย็นรักแม่ที่ซู้ดดดดดดดดดดดดดด
แม่กลับออกไปทำอะไรกุกๆกักๆที่อีกห้องหนึ่ง คงจะกำลังจัดบ้านอยู่กระมัง เพราะแม่เป็นคนเจ้าระเบียบ อาจจะเป็นเพราะว่าแม่เคยเป็นคุณครูมาก่อน ก่อนจะลาออกไปเมื่อสามปีก่อนด้วยเหตุผลที่ท่านบอกกับฉันว่า ‘แม่อยากมีเวลาว่างให้กับลูกๆ’ ฉันไม่แน่ใจว่านั่นเป็นสาเหตุจริงๆหรือเปล่าเพราะฉันเคยได้ยินพ่อบอกกับแม่ว่าอยากให้อยู่บ้านเฉยๆไว้พ่อจะเป็นคนหาเลี้ยงเอง ตอนนี้แม่เลยออกมาอยู่บ้านเฉยๆเป็นแม่บ้านเต็มตัว นี่ถ้าฉันได้ผู้ชายแบบนี้มาเป็นคู่ครองสักคนคงดีไม่น้อย น่าอิจฉาแม่ฉันจริงๆเลย
พ่อ พี่ป๋อ และฉัน นั่งดูบอลต่อจนจบ ไม่น่าเลยจริงๆ ฮือๆๆๆ รู้อย่างนี้ขึ้นนอนตั้งแต่แรกซะก็ดี จะได้ไม่ต้องทนเห็นความพ่ายแพ้ที่เกิดขึ้น อ๊ากกกกก
เอ้กอี๊เอ้ก เอ้ก กู๊กู่ ~ เอ้กอี๊เอ้ก เอ้ก กู๊กู่ ~
เสียงนาฬิกาปลุกที่ทำเป็นรูปทรงเหมือนไก่ร้องลั่นอยู่บนหัวเตียง ส่งเสียงดังทะลุเข้าไปในโสตประสาทของฉันที่กำลังฝันหวานถึงขนมเค้กก้อนโตที่อยู่ๆก็พลันมลายหายไปพร้อมกับที่เปลือกตาของฉันเผยอขึ้นนิดๆ
ฉันงัวเงียเอามือควานไปบนหัวเตียง หยิบนาฬิกาเจ้ากรรมลงมาดูเวลา ก่อนจะกดสวิซที่เป็นหงอนไก่
“อืม...เพิ่งจะเจ็ดโมงครึ่งเอง ยังเช้าอยู่เลยนี่นา ขอนอนเอาแรงอีกหน่อยแล้วกัน” ว่าแล้วฉันก็ล้มตัวลงนอนตะแคงมือคว้าหมอนข้างใบโปรดมานอนก่ายอย่างสบายใจ
แต่พอสมองของฉันได้ซึมซับคำว่า ‘เจ็ดโมงครึ่ง’ ฉันถึงนึกขึ้นได้ว่าวันนี้ฉันต้องไปโรงเรียนนี่นา ฉันลุกขึ้นมานั่งทำตาพองโตอย่างตกใจ หันกลับไปมองเจ้าไก่อีกครั้งเป็นการยืนยันเวลา เผื่อว่าฉันจะตาฝาดไป แต่เข็มนาฬิกาก็เลื่อน
จากตำแหน่งแรกที่ฉันดูไปเพียงสองนาทีเท่านั้น จ๊ากกก ฉันร้องลั่นในใจ โรงเรียนเข้าตอนแปดโมงนี่หว่า
ฉันกระโดดผลุงลงจากเตียงคว้าผ้าขนหนูที่แขวนอยู่หน้าประตูห้องน้ำวิ่งเข้าห้องน้ำก่อนจะปิดประตูดังปัง ฉันใช้เวลาในห้องน้ำเพียงสิบนาที ก่อนจะออกมาพร้อมกับชุดนักเรียนใหม่ขาวสะอาด
เมื่อออกจากห้องน้ำแล้วฉันก็รีบวิ่งลงบันไดชนิดที่ทำลายทุกสถิติโดยส่วนตัว แต่พอลงจากบันไดได้ฉันก็รู้สึกว่าตัวเองลืมอะไรไป พอนึกขึ้นได้เลยต้องวิ่งกลับขึ้นบันไดเข้าไปในห้อง คว้ากระเป๋านักเรียนที่วางอยู่ข้างเตียง พร้อมกับวิ่งปรู๊ดด้วยความเร็วแสงลงมาข้างล่าง ฉันวิ่งออกไปที่ประตูบ้าน มองซ้ายมองขวาไม่เห็นรถยนต์ของพ่อกับแม่เลยสักคันเดียว พ่อน่ะไปทำงาน แล้วแม่ไปไหนล่ะเนี่ย ทำไงดีวะทีนี้ ฉันคิดอย่างรีบเร่ง แต่สวรรค์ยังพอเห็นใจถึงได้ส่งพี่ป๋อมาเป็นพระเอกขี่ม้าขาว เอ๊ย! ขี่มอเตอร์ไซค์มาช่วยชีวิตฉันไว้ได้ทัน แต่ฉันคงจะจบชีวิตลงที่ตรงนี้หากพี่ป๋อเบรกรถไว้ไม่ทันเมื่อฉันวิ่งไปขวางรถเอาไว้
“เฮ้ย! ทำบ้าอะไรของเราเนี่ย อยู่ๆวิ่งมาจากไหนก็ไม่รู้ เกิดพี่ชนเราเข้าจะเป็นยังไงฮะ” พี่ป๋อโวยวายทันที
ฉันไม่รอช้ารีบขึ้นไปนั่งซ้อนท้าย และยังส่งเสียงเร่งให้พี่ป๋อออกรถเร็วๆ
“พี่ป๋อไปส่งชาที่โรงเรียนหน่อยสิ ถ้าอีกสิบนาทีนี้ชาไปไม่ถึงโรงเรียนมีหวังชาได้โดนทำโทษตั้งแต่วันแรกแน่ๆเลย”
พี่ป๋อที่เห็นสีหน้าของฉันที่ตื่นตระหนกก็เลยบึ่งรถออกสู่ถนนทันที
แง๊ แล้วฉันจะตายก่อนถึงโรงเรียนมั้ยเนี่ย
ไม่กี่อึดใจต่อมา ฉันก็ได้มีชีวิตรอดจากการเสี่ยงตายบนท้องถนนลงมายืนถอนหายใจอย่างโล่งอก ฉันบอกขอบคุณพี่ป๋อแล้วออกวิ่งเข้าโรงเรียนทันที ฉันวิ่งผ่านอาจารย์เวรหน้าโรงเรียนที่ทำหน้าที่คอยดักจับนักเรียนที่แต่งตัวผิดระเบียบและมาสาย อาจารย์ท่านนั้นตะโกนเรียกให้ฉันหยุด แต่ฉันคงไม่เสี่ยงให้ตัวเองโดนทำโทษหรอกนะ จึงวิ่งหน้าตั้ง เป้าหมายคือ อยู่ให้ไกลจากอาจารย์เวร
ฉันหยุดวิ่งพลายหายใจอย่างเหนื่อยหอบ มองซ้ายทีขวาทีไม่พบสิ่งมีชีวิตใดเลยแฮะ นอกจากต้นไม้ที่ขึ้นเรียงกันเป็นระเบียบเรียบร้อยแผ่กิ้งก้านสาขาเต็มต้น พร้อมให้ร่มเงาแก่คนที่มาอาศัยหลบแดดได้เป็นอย่างดี
นักเรียนชายคนหนึ่งวิ่งผ่านหน้าฉันไปโดยไม่คิดจะเหลียวแลฉันสักนิด ฉันได้ยินเสียงดังแว่วๆมาจากทางที่นายคนนั้นวิ่งมา ฉันจึงวิ่งตามหลังนายคนนั้นไปติดๆ จนไปถึงลานสนามกว้างที่มีนักเรียนทั้งโรงเรียนยืนเข้าแถวกันจนดูคับแคบไปถนัดใจ
นายคนนั้นหายตัวเข้าไปในฝูงนักเรียนที่ยืนเข้าแถวกันอยู่ ปล่อยให้ฉันยืนเคว้งอยู่ตรงนั้นสามวินาทีเต็มๆ ฉันเลยตัดสินใจทำเนียนเข้าไปต่อท้ายแถวที่อยู่ใกล้ที่สุด ทันเวลากับที่เสียงเพลงจากวงโยทวาธิตบรรเลงเป็นเพลงชาติ
ฉันยืนหอบหายใจจนเพลงจบ หันไปมองคนข้างๆก็เห็นว่าเขามองฉันอยู่ก่อนแล้ว หน้าตาเขาเอ๋อสุดๆเลยอ่ะ คงคิดว่าฉันเป็นขอมดำดินโผล่มาจากพื้นดินขึ้นมายืนข้างๆซะละมั่ง
“ห้องมอสี่ทับสองอยู่แถวไหนคะ” ฉันตัดสินใจเอ่ยปากถาม เขาชี้มือไปข้างหน้า แล้วบอกเสียงเรียบว่าอยู่แถวที่แปด ฉันบอกขอบคุณเขาไป แล้วค่อยๆกระดึ๊บขึ้นไปทีละแถวๆอย่างเนียนสุดๆ จนมาถึงแถวของฉันจนได้ เฮ้อ
หลังจากที่พิธีหน้าเสาธงเสร็จสิ้นลง นักเรียนคนอื่นๆต่างพากันทยอยเดินขึ้นห้องของตัวเอง ฉันเลยเดินตามคนข้างๆต้อยๆ เพราะว่าฉันไม่รู้นี่นาว่าห้องของฉันมันตั้งอยู่ส่วนไหนของตึกเรียนมีตึกอยู่ตั้งหลายตึก ใครจะไปรู้กันล่ะ โรงเรียนนี้ทั้งใหญ่มั้งกว้าง ต่างจากโรงเรียนเก่าของฉันลิบลับ
ฉันเดินตามเพื่อนในห้องจนมาหยุดยืนที่หน้าห้องห้องหนึ่ง แขวนไว้ด้านบน 444 เป็นเลขของฉันเองค่ะ บ่งบอกว่าอยู่ตึกสี่ ชั่นสี่ ห้องที่สี่ ฉันเดินเข้าไปในห้อง พบว่าโต๊ะทุกตัวต่างถูกจับจองโดยเพื่อนร่วมห้องจนเกือบหมดแล้ว เหลือเพียงโต๊ะเดียวที่อยู่หลังห้องสุดติดกับหน้าต่างถ้าไม่นับโต๊ะข้างๆที่ไม่มีคนนั่งแต่มีกระเป๋าวางอยู่บนโต๊ะล่ะก็นะ
ฉันเดินผ่านโต๊ะแต่ละตัวไปยังโต๊ะเรียนที่ว่างอยู่นั้น แต่ก่อนที่ฉันจะเดินไปถึงโต๊ะนั้นก็เกิดอุบัติเหตุขึ้นซะก่อนค่ะ ฉันสะดุดขาใครก็มิอาจทราบได้ซึ่งยื่นออกมานอกโต๊ะเรียน ฉันล้มคะมำไถลไปกับพื้นห้อง ฉันหันกลับไปมองเจ้าของขายาวๆข้างนั้นที่ยื่นออกมาเกะกะขวางทางอย่างเอาเรื่อง
“ขอโทษที เป็นอะไรมากมั้ย” คนที่ฉันกำลังมองหน้าถามขึ้นพลางยื่นมือมาตรงหน้าจะช่วยดึงฉันขึ้นจากพื้น
แต่คนอย่างฉันล้มเองก็ลุกเองได้ไม่คิดจะรับน้ำใจจากคนตรงหน้า ฉันลุกขึ้นมาปัดกระโปรงที่เปื้อนไปด้วยฝ่นจนขาววอกไปหมด ไอ้บ้าเอ๊ย! ทำไมไม่รู้จักวางแข้งวางขาให้มันพ้นทางคนเดินนะ แน่นอนค่ะฉันร้องขึ้นในใจ แล้วทำไมพื้นตรงนี้ฝุ่นมันถึงได้เยอะจังฟะ ฉันมองซ้ายมองขวา นั่นไง เจอแล้วสาเหตุที่ฝุ่นตรงนี้มันเยอะก็เพราะว่าถังขยะมันตั้งอยู่ใกล้ๆกับที่ๆฉันล้มลงน่ะสิ ที่สำคัญ อยู่หลังโต๊ะฮันพอดีเป๊ะเลย ช่างโชคดีอะไรอย่างนี้เนี่ย เฮ้อ
“ขอโทษจริงๆนะ ไม่คิดว่าจะมีคนซุ่มซ่ามเดินมาสะดุดน่ะ”
อ้าว เฮ้ย! นั่นปากหรือน่ะที่ใช้พูด
“ตกลงนายจะขอโทษฉันหรือว่าจะแขวะฉันกันแน่”
“อย่าไปถือสาไอ้พีมันเลย ปากมันก็เงี้ย” เพื่อนของนายนั่นเข้ามาพูดจาไกล่เกลี่ย
ชื่อพีหรอกรึ นี่ขนาดเพื่อนยังยอมรับว่าปากไม่ดี แต่ไอ้หน้าที่ยิ้มระรื่นอยู่นี่มันกวนประสาทชะมัด
“ฉันยอมให้ก็ได้ ไม่อยากมีเรื่องตั้งแต่วันแรก เดี๋ยวจะพาลซวยตลอดเทอม” ฉันเดินหลีกไปนั่งที่โต๊ะ รู้สึกหงุดหงิดนิดหน่อยกับเช้าวันแรกของการเริ่มต้นชีวิตในรั้วโรงเรียนใหม่แห่งนี้
โรงเรียนแห่งนี้ใหญ่โตสมชื่อสถาบัน เพราะเป็นโรงเรียนที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงมีคนเก่งๆที่ฉันรู้จักบ้างไม่รู้จักบ้างจบออกไป พ่อและแม่ของฉันเลยอยากให้ฉันสอบเข้าโรงเรียนนี้ อีกอย่างเป็นโรงเรียนใกล้บ้านด้วย
เสียงกวนๆของนายพีลอยมาเข้าหูโดยไม่ได้ตั้งใจ “เฮ้ย ไอ้แมน ฉันขอแลกที่นั่งกับเอ็งนะเว่ย อยากได้ลมเย็นๆว่ะ” ว่าแล้วนายนั่นก็หย่อนก้นลงมานั่งข้างฉันซะอย่างนั้น คิดจะมาป่วนกันหรือไง รู้จักไอ้ชาเย็นน้อยไปซะแล้ว
“นี่ นายคิดจะตามมาราวีฉันหรือไงฮะ คนเค้าอุตส่าไม่เอาเรื่อง ไม่ใช่ว่ากลัวหรอกนะ แต่ถ้านายอยากจะมีเรื่องละก็ ได้เลย จะเอายังไงว่ามา หรือจะไปเจอกันข้างนอกฉันก็ไม่เกี่ยงอยู่แล้ว” ไม่พูดเปล่าฉันถกแขนเสื้อขึ้นตามนิสัยเวลาอยากหาเรื่องคน เอ๊ย! เวลาถูกคนหาเรื่อง
มาเล้ย คนอย่างชาเย็น บู๊เป็นบู๊ ตายเป็นตาย
“โห ป้า ไม่ต้องถึงขนาดนั้นก็ได้มั้ง แค่จะมานั่งรับลมจากหน้าต่างเฉยๆ ไม่ได้มีเจตนาจะมาหาเรื่องอะไรป้าเลยซักนิดเดียว”
“ป้าเป้อที่ไหนกัน ฉันไม่ได้แก่ขนาดเป็นพี่ของแม่นายนะ” มาพูดจาหมาไม่รับประทานแบบนี้ได้ยังไงกัน
“เอ้า ก็ดูสิเนี่ย คิ้วผูกกันจนหน้าผากน่ะย่นยังกับป้าอายุห้าสิบแล้วนี่อีก” นายพีไม่พูดเปล่ายังเอามือเอาไม้มาจิ้มหน้าฉันประกอบคำพูด “รอยตีนกา ขึ้นตามมาเต็มเลย ดูสิ หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า ...” ฉันปัดมือนายพีออกอยากจะกระโจนเข้าไปขย้ำคอให้มันรู้แล้วรู้รอด คนบ้าที่ไหนมีรอยตีนกาเยอะขนาดนั้น “ไม่รู้จะโกรธอะไรกันนักหนา” นายพีสะเดิดยังพูดต่อ(ฉันว่าชื่อนี้เหมาะสมกับเขามากกว่า)
ฉันอ้าปากจะโวยวายใส่ ก็พอดีกับที่อาจารย์ท่านหนึ่งเดินเข้ามา ฉันเลยต้องหุบปากฉับ มองหน้านายพีอย่างเคืองๆ
ฝากไว้ก่อนเถอะ
“ไปกินข้าวด้วยกันมะ”
ฉันได้ยินเสียงใครคนหนึ่งพูดหลังจากที่อาจารย์ปล่อยเมื่อถึงเวลาพักกลางวัน ไม่ต้องหันไปมองก็รู้ว่าเป็นเสียงใคร น้ำเสียงติดออกจะกวนๆ เป็นใครไปไม่ได้
“คิดไงมาชวนกันไปกินข้าวเนี่ยฮะ เมื่อเช้านายเพิ่งจะกวนโมโหฉันอยู่แหมบๆ คิดว่าฉันจะตกลงไปด้วยหรือไง”
“อื้ม คิดสิ ไม่งั้นจะชวนทำไม”
ฉันนั่งจ้องหน้านายพีอย่างงงงวย “นายเพี่ยนรึเปล่า” ฉันถาม แต่นายพีกลับลากฉันให้เดินไปกับเขา อ้าว เฮ้ย!! ไหงมาลากฉันไปด้วยอย่างนี้เล่า
“เดี๋ยวๆๆ” ฉันรีบยื้อยุดฉุดกระชากให้นายพีหยุดเดิน “ไม่ต้องลากก็ได้ เดินเองได้น่า” ฉันยอมเดินตามนายพีสะเดิดกับนายแมน ก็ลองมาคิดดูอีกที มีเพื่อนนั่งกินด้วยตั้งสองคนดีกว่านั่งกินคนเดียวเป็นไหนๆ เนอะ
“ว่าแต่เธอชื่ออะไรล่ะ จะได้เรียกถูก” แมนถามเมื่อพวกเรา(ฉัน แมน แล้วก็นายพีสะเดิดเดินเลือกอาหารกันอยู่
“ชาเย็น”
“หืม จะดื่มชาเย็นหรอ” แมนถามอีก
“ไม่ใช่” ฉันรีบโบกไม้โบกมือ “ฉันชื่อชาเย็น เดี๋ยวฉันแวะซื้อข้าวร้านนี้นะ” ฉันชี้มือไปที่ร้านข้าวแกงซึ่งมีอาหารหน้าตาน่ารับประทานใส่ถาดวางเรียงรายอยู่เป็นแถว
ฉันเดินเข้าไปสั่งอาหารจานโปรด นั่นก็คือ ‘พะแนงไก่ไข่ดาว’ ระหว่างที่ยืนรอฉันก็สังเกตเห็นป้ายชื่อร้านมีสติ๊กเก้อตัวเป้งติดไว้ว่า ‘ร้านป้ารี’ ฉันเดินออกจากร้านข้าวแกงเมื่อ ‘ป้ารี’ ที่หน้าตาท่าทางใจดีทอนเงินให้ครบถ้วน จากนั้นจึงเดินไปร้านขายเครื่องดื่มที่มีเครื่องดื่มสารพัดชนิด มีตั้งแต่น้ำเปล่าไปจนถึงน้ำผลไม้ชนิดต่างๆ ฉันสั่งเครื่องดื่มสุดโปรดของฉันอีกเหมือนกัน
“ป้าคะ ชาเย็นแก้วนึงค่ะ” ฉันส่งเงินให้ป้าคนขายก่อนจะยื่นมือไปรับแก้วน้ำที่บรรจุเครื่องดื่มที่มีชื่อเดียวกันกับชื่อเล่นของฉัน ก่อนจะเดินหาโต๊ะที่ว่างพอจะให้ฉันหย่อนก้นนั่งกินข้าวสบายๆได้
ฉันเดินหันซ้ายหันขวาสายตาสอดส่องหาโต๊ะตามที่ต้องการก่อนจะได้ยินเสียงผ฿ชายคนหนึ่งร้องเรียกอยู่ไม่ห่างมากนัก ฉันก้าวเท้าเข้าไปหาทันทีพร้อมกับวางจานข้าวและแก้วน้ำ หย่อนก้นลงนั่งบนเก้าอี้ตัวยาวถัดจากนายแมน ฝั่งตรงข้ามเป็นนายพีที่กำลังก้มหน้าก้มตาทานก๊วยเตี๋ยวตรงหน้าอย่างเอร็ดอร่อย เขาเงยหน้าขึ้นมาเมื่อฉันนั่งลงแต่ปากยังคงดูดเส้นก๊วยเตี๋ยว สายตาจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของฉันก่อนจะเลื่อนลงไปมองที่จานข้าวของฉันอีกเช่นกัน
ฉันเหล่เขานิดๆ จ้องอะไรนักหนาของนายฮะ
“พะแนงน่าเกินเนอะ” นายพีพูดขึ้นหลังจากที่เคี้ยวหมดปากแล้ว ไม่พูดเปล่ายังเอาตะเกียบคีบเนื้อไก่ในจานของฉันเข้าปากหน้าตาเฉย
แว๊กกกกกก!!! นั่นมันของฉันนะยะ
ฉันตีมือนายพีที่ถือตะเกียบอยู่จนตะเกียบหล่นใส่ชาม จากนั้นฉันก็รีบลงมือ ‘ฉก’ ลูกชิ้นเนื้อจากชามของนายพีเข้าปากบ้าง เล่นเอานายนั่นหน้าเหวอไปเลยค่ะ “เจ๊ากัน” ฉันว่าพร้อมกับยักคิ้วให้หนึ่งที
ฉันเริ่มลงมือจัดการกับจานข้าวของตัวเองบ้าง พะแนงของป้ารีรสชาติอร่อยอย่าบอกใครเชียว ฉันตักข้าวเข้ปากไปได้สองสามคำ แมนก็ชวนคุย
“คิดออกรึยังว่าจะเข้าชมรมอะไรกัน”
“ก็มีที่เล็งๆไว้แล้วเหมือนกัน” ฉันตอบ
เมื่อเช้านี้อาจารย์พัลลภาที่เป็นอาจารย์ประจำชั้นห้องของฉัน ท่านได้แจกใบสมัครเข้าชมรมให้กับเพื่อนๆนักเรียนในห้องค่ะ
‘เอกสารที่ครูแจกให้นี้ เป็นใบสมัครเข้าชมรม ซึ่งนักเรียนม.ปลายทุกคนจะต้องมีชมรมอยู่ไว้สำหรับทำกิจกรรมในคาบกิจกรรมของวันศุกร์ ใบสมัครนี้มีทั้งหมดสองส่วน ส่วนที่หนึ่งทางชมรมจะเป็นคนเก็บไว้ ส่วนที่สองนั้นนักเรียนทุกคนจะต้องนำกลับมาส่งครูภายในเวลาพักกลางวันของวันพรุ่งนี้’ อาจารร์พัลลภากล่าว ‘ที่ด้านหลังจะมีชื่อชมรมต่างๆ นักเรียนลองอ่านดูแล้วกัน ครูหวังว่าพวกเธอทุกคนจะนำมาส่งครูตรงเวลานะจ๊ะ เอาล่ะ ไปเรียนคาบแรกได้แล้ว’
เมื่อหัวหน้าห้องที่ได้รับการแต่งตั้งไปหมาดๆก่อนหน้านี้ ซึ่งเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก นายพี ที่ได้รับคะแนนเสียงท่วมท้น(เพราะอะไรกันนะ ฉันล่ะสงสัย)บอกทำความเคารพเพื่อนๆแต่ละคนก็เริ่มทยอยออกไปเรียนคาบแรกตามตารางสอนที่จัดไว้
ตอนนี้ชมรมที่ฉันเล็งไว้แต่แรกก็คือชมรม ‘คนรักดนตรี’ เพราะว่าฉันชื่นชอบในการเล่นดนตรีนั่นเองล่ะค่ะ ส่วนฉันจะชอบเล่นเครื่องดนตรีชิ้นไหนนั้นคงเดากันได้ไม่ยากค่ะ
“เธอเล็งชมรมไหนไว้ล่ะ” แมนยังคงช่างซักช่างถามต่างจากคนตรงหน้าฉันลิบลับเลยค่ะ นั่งดูดเส้นก๊วยเตี๋ยวไม่สนใจสายตาประชาชีของใครทั้งสิ้น
“ชมรมดนตรีน่ะ แล้วนายล่ะอยากเข้าชมรมไหน” ฉันถามกลับบ้าง
“เราก็มีที่เล็งไว้แล้วเหมือนกัน ว่าจะชวนชาเย็นไปดูด้วย สนใจรึเปล่า มีดนตรีที่ชาเย็นสนใจด้วยนะ” อย่างนี้ก็ดีสิ มีไกด์จำเป็นพาไปดูชมรมแล้ว ว่าแต่เป็นชมรมอะไรกันน้า เดี๋ยวไปก็คงรู้เอง ตอนนี้ขอกินข้าวต่อดีกว่า
ฉันพยักหน้าตกลง
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
แล้วรอพบกับพระเอกของเราในตอนหน้านะค้า ขอบคุณผู้อ่านทุกคนค่ะ
ความคิดเห็น