คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : บทที่สี่ : ทุ่ง
บทที่สี่
ทุ่ง
“แวะท่าเทียบเคียงข้างทางหลากหลาย
ผ่านหมู่พรายพาพบสบม่านฟ้า
ผ่านท้องทุ่งรุ่งรวงไร่แลผืนนา
ผ่านธาราแลภูผาจรดผืนดิน”
กะหล่ำ
กะหล่ำ กะหล่ำ กะหล่ำ กะหล่ำ กะหล่ำ กะหล่ำ กะหล่ำ กะหล่ำ กะหล่ำ กะหล่ำ กะหล่ำ กะหล่ำ กะหล่ำ กะหล่ำกะหล่ำ กะหล่ำ กะหล่ำ กะหล่ำ กะหล่ำ กะหล่ำ กะหล่ำ กะหล่ำ กะหล่ำ ผักกาด กะหล่ำ กะหล่ำ กะหล่ำ กะหล่ำ กะหล่ำ กะหล่ำ กะหล่ำ กะหล่ำ กะหล่ำ ผักกาด กะหล่ำ กะหล่ำ กะหล่ำ กะหล่ำ กะหล่ำ กะหล่ำ แครอท กะหล่ำกะหล่ำ กะหล่ำ มันฝรั่ง กะหล่ำ กะหล่ำ กะหล่ำ กะหล่ำ กะหล่ำ กะหล่ำ กะหล่ำ กะหล่ำ กะหล่ำ กะหล่ำ กะหล่ำ
ทุ่งกะหล่ำสุดลูกหูลูกตา
“นี่มันบ้าอะไรกันเนี่ย!!”
เบื้องหน้าของน็อคซ์คือทุ่งกะหล่ำ ขึ้นชื่อว่าทุ่งกะหล่ำก็ย่อมเป็นกะหล่ำ พื้นดินอุดมสมบูรณ์กว่าห้าไร่เต็มไปด้วยกะหล่ำเขียวๆเรียงเป็นตับแผ่ใบอย่างสวยงาม(อันที่จริงมีอย่างอื่นอยู่ด้วย แต่นั่นไม่ได้อยู่ในความสนใจของน็อคซ์หรอก)
ช่างซ่อมนาฬิกาหันไปรั้งคอเสื้อเฮล์มเข้ามาประชิดแล้วถามอย่างร้อนรน
“นี่มันเรื่องอะไรกัน?!”
หนึ่งชั่วโมงก่อน
น็อคซ์และเฮล์มเหนื่อยอ่อน วันนี้เป็นวันที่แปดตั้งแต่เฮล์มออกเดินทางจากเมืองดูเครย์ เพราะเสียเวลาไปกับการหลงทางแบบเบาะๆทำให้เสบียงลดลงจนแทบไม่เหลือ เคราะห์ยังดีที่พวกเขาเจอแม่น้ำเล็กๆที่ใสพอจะดื่มได้ พอตรวจสอบกับแผนที่ก็พบว่าทิศทางที่แม่น้ำไหลมามันตรงกับหมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่งพอดี แม้ในแผนที่ที่น็อคซ์ได้มาจากพ่อค้าในร้านเหล้าจะไม่ระบุชื่อของหมู่บ้านนั้นไว้ แต่พวกเขาก็ตัดสินใจเปลี่ยนเป้าหมายจากเมืองใหญ่แวะไปที่หมู่บ้านนั้นก่อนในทันที
พวกเขาเจอถนนสายเล็กๆตัดผ่าน มันเต็มไปด้วยรอยล้อเกวียนและกีบม้า น็อคซ์โล่งอก แล้วอธิบายว่ารอยนี้ยังใหม่ หมายความว่ามีคนเข้าออกหมู่บ้านอยู่เรื่อยๆ อย่างน้อยก็มั่นใจได้ลยว่าไม่ใช่หมู่บ้านร้าง
เมื่อเดินตามรอยล้อเกวียนต่อไปได้อีกสักพักก็เจอเข้ากับป้ายบอกทางเล็กๆ ตัวป้ายเก่ามาก สีที่เขียนหลุดร่อนไปไม่น้อยแต่ยังมีเค้าลางให้เห็น เฮล์มอ่านไม่ออก ภาษาที่ใช้เขียนเป็นภาษาเก่าที่เลิกใช้ไปนานแล้ว เขาเคยเรียนอยู่เหมือนกัน แต่นั่นเป็นเวลาแค่ไม่กี่เดือนก่อนที่หมู่บ้านเขาจะพินาศย่อยยับ หลังจากนั้นเฮล์มก็ไม่เห็นความจำเป็นที่จะศึกษามันต่อ พอรู้ว่าเป็นภาษาอะไรเขาก็เลิกพยายามแกะตัวอักษรหลุดร่อนนั้นแล้วถอยห่างออกมา เฮล์มเลิกคิ้วขึ้นสูงเมื่อช่างซ่อมนาฬิกากลับขยับเข้าไปใกล้แทนที่เขา
น็อคซ์ไล่ปลายนิ้วไปตามแผ่นป้าย ริมฝีปากขมุบขมิบก่อนจะดีดนิ้วดังเปาะ รอยยิ้มกว้างปรากฏบนใบหน้า แล้วบอกว่าคราวนี้คงเจอหมู่บ้านดีๆ
เฮล์มแปลกใจมากกว่าเดิม พอลองคุยไปคุยมาถึงได้รู้ว่าน็อคซ์อ่านภาษาโบราณนั่นออก น็อคซ์เล่าว่าหนังสือของอาจารย์มีหลายเล่มที่เขียนด้วยภาษานั้น บางครั้งอาจารย์ยังพูดคุยด้วยภาษาเก่าด้วยซ้ำไป นั่นทำให้เขาพอจะอ่านออกเขียนได้และพูดได้เป็นครั้งคราว
พวกเขาออกเดินทางต่อโดยมีน็อคซ์เดินนำด้วยความรื่นเริงผิดกับทีแรก และมีเฮล์มเดินตามหลังด้วยสายตาแปลกใจระคนสงสัย เขาไม่ได้สงสัยในตัวน็อคซ์ คนที่น่าสงสัยจริงๆในความคิดของเขาคือ ‘อาจารย์ ’ ของช่างซ่อมนาฬิกาเองต่างหาก เขาเป็นใคร? มาจากไหน? ที่สำคัญคือหลายๆอย่างของคนๆนี้ดูน่าฉงนไม่ใช่น้อย
เฮล์มเคยเจอช่างซ่อมนาฬิกาคนอื่นมาก่อน แต่น่าแปลกที่คนพวกนั้นไม่ได้มีบรรยากาศคล้ายน็อคซ์เลยสักนิด วิธีการซ่อมก็แตกต่าง คนพวกนั้นซ่อมนาฬิกาด้วยการใช้เครื่องมือและกล่องแปลกตา มีบางครั้งที่เขาเห็นอะไรแปลกกๆ แต่ก็ไม่มีใครประหลาดเท่าวิธีของน็อคซ์ ในทีแรกเขาเคยคิดสงสัย แต่เมื่อคิดย้อนกลับไปอีกที คนที่น่าสงสัยที่สุดคืออาจารย์ เพราะทุกอย่างที่น็อคซ์ทำเป็นล้วนต้องได้รับการศึกษามาจากอาจารย์ทั้งสิ้น และยังคำสั่งแปลกประหลาดอย่างการตามหา ‘นาฬิกาไร้กาล’ อะไรนั่นอีกด้วย ให้หาสิ่งของที่ไม่น่าจะมีอยู่จริง ขัดกับกฎของกาลเวลา(ตามที่หมอนั่นว่าไว้) และไม่มีข้อมูลหรือรูปพรรณสัณฐานให้แน่นอน มีเพียงคำจำกัดความง่ายๆให้ไปตีความเอาเอง
หรือบางที...คำสั่งนี้อาจไม่มีทางหาคำตอบได้กัน
เฮล์มที่ได้แต่คิดสะระตะอยู่ในหัวรู้สึกตัวอีกครั้งก็ตอนที่ได้ยินเสียงน็อคซ์ร้องโหยหวนขึ้นมาดังลั่น ดวงตาสีเขียวหรี่ลงน้อยๆอย่างหงุดหงิดในตอนที่น็อคซ์กระชากคอเสื้อเขาลงไปหา ยังไม่ทันได้เอ่ยปากด่าออกไปอย่างที่คิด เสียงตะโกนใส่หน้าของอีกฝ่ายก็เรียกความสนใจให้พิจารณาตาม
“นี่มันเรื่องอะไรกัน?!”
ทุ่งกะหล่ำสุดลูกหูลูกตาปรากฏขึ้นมาในสายตาเฮล์ม ชายหนุ่มกระพริบตาปริบๆมองภาพนั้นอย่างไม่เข้าใจนักก่อนจะก้มลงมองน็อคซ์ที่ยังยื้อคอเสื้อเขาไว้อย่างเหนียวแน่น
“ป้าย”
“หา?”
“ป้ายบอกทางนั่นว่ายังไง? เจ้ายังไม่ได้บอกข้า” เฮล์มเปรยขึ้นเรียบๆ “ถ้าให้ข้าเดามันอาจจะเขียนไว้ว่า ‘หมู่บ้านกะหล่ำ’ เป็นแบบนั้นหรือเปล่า?”
น็อคซ์ส่ายหน้าวืด สีหน้าดูยังตกใจไม่หาย
“มันแปลว่าอุดมสมบูรณ์ ถ้าข้าจำไม่ผิดล่ะก็นะ” เจ้าตัวว่า “แต่ข้ายืนยันเลยว่าไม่มีส่วนไหนของป้ายเขียนไว้ว่าหมู่บ้านกะหล่ำ”
เฮล์มและน็อคซ์มองหน้ากันอย่างไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาพูด พวกเขาตัดสินใจด้วยกันเงียบๆว่าหาทางเข้าหมู่บ้าน หาที่พัก หาเสบียง นอนก่อนสักงีบแล้วค่อยว่ากันใหม่
เดินไม่นานนักก็ถึงทางเข้าของหมู่บ้าน ป้ายยกสูงขนาดกลางเขียนชื่อของหมู่บ้านไว้เหมือนกับป้ายบอกทาง แน่นอนว่าเฮล์มยังอ่านไม่ออก แต่อย่างน้อยตอนนี้เขาก็รู้ความหมายของมันแล้ว
ภายในหมู่บ้านไม่มีอะไรที่ผิดแปลกไปจากหมู่บ้านอื่นที่พวกเขาเคยเห็น ทุกคนในหมู่บ้านดำเนินชีวิตอย่างเรียบง่าย บนถนนสายเล็กมีไก่วิ่งพล่านไปมาและเด็กๆวิ่งไล่ตาม หัวมุมถนนมีร้านเหล้าที่เปิดเป็นโรงแรมบนชั้นสอง ช่างซ่อมนาฬิกาเห็นดังนั้นจึงชักชวนเขาให้ไปที่นั่นเป็นอันดับแรก
ระหว่างทางมีชาวบ้านให้ความสนใจพวกเขาไม่น้อย บางครั้งที่สายตามองมาด้วยความแปลกใจระคนใคร่รู้ บ้างก็ส่งเสียงทักทายอย่างเป็นกันเองจนน่าเหลือเชื่อ เรียกรอยยิ้มและเสียงหัวเราะจากน็อคซ์ได้เป็นอย่างดี ชายหนุ่มตอบกลับไปอย่างนึกสนุกเรียกเสียงหัวเราะเฮฮาครื้นเครงตอบกลับมาพร้อมคำสัญญาว่าคืนนี้จะแวะไปดื่มกับน็อคซ์ที่ร้านเหล้า
ช่างซ่อมนาฬิกาหันมาจ้องตอบสายตาแปลกใจของเฮล์มด้วยดวงตาวาวระยับ
“ข้ามั่นใจนะว่าข้าน่ะมนุษยสัมพันธ์ดี”
‘มนุษยสัมพันธ์ดี’ ของน็อคซ์ดีจริงตามที่อวดอ้าง
ทันทีที่ก้าวเท้าเข้าไปในร้านเหล้าและติดต่อขอพักเป็นเวลาหนึ่งคืนไม่ทันไรก็พบว่าหมอนั่นคุยถูกคอกับเจ้าของร้าน ไม่ใช่ถูกคอธรรมดา แต่เป็นถูกคออย่างมาก คุยกันสนุกปากเสียจนราคาค่าห้องพักสำหรับสองคนลดลงเหลือแค่หนึ่งในสามของราคาเดิม พอได้ฟังดังนั้นช่างซ่อมนาฬิกาก็ตาเป็นประกาย ขอบคุณเจ้าของร้านเสียยกใหญ่แล้วออกปากว่าจะซ่อมนาฬิกาให้เป็นการตอบแทน
เมื่อได้ฟังดังนั้นเจ้าของร้านก็ตาเบิกกว้างอย่างตื่นตะลึง ไม่ว่าเปล่าเจ้าตัวยังโชว์ความสามารถอันยืนยันว่าเป็นช่างซ่อมนาฬิกาจริงให้เจ้าของร้านวัยกลางคนเห็นเองกับตา แล้วจากค่าห้องลดลงเหลือหนึ่งในสามก็ได้อาหารเย็นของวันนี้และเช้าของวันพรุ่งนี้มาอย่างฟรีๆ
เคราะห์ดีที่ในร้านเวลานั้นยังไม่มีลูกค้า ไม่อย่างนั้นเหตุการณ์วุ่นวายคงจะเกิดขึ้นเหมือนอย่างในเมืองดูเครย์ และคงสบโอกาสให้เจ้าช่างซ่อมนาฬิกาโปเกเล่นกลหลอกเด็กต้มตุ๋นชาวบ้านอีกทอดหนึ่ง
น็อคซ์พูดคุยกับเจ้าของร้านและภรรยาไปซ่อมนาฬิกาไปไม่หยุดมือ ลูกสาวตัวน้อยของเจ้าของร้านที่แอบมายืนดูอยู่ห่างๆถูกชักชวนเข้ามาร่วมวงด้วย เด็กสาวอายุแค่เจ็ดขวบแต่ใบหน้าน่ารัก ปากนิดจมูกหน่อย แก้มนุ่มๆเป็นสีแดงเปล่งปลั่งจนน็อคซ์อดไม่ได้ที่จะอุ้มขึ้นมานั่งตักแล้วฟัดให้หนำใจ
ไม่นานนักแม้แต่เด็กเจ็ดขวบก็ติดช่างซ่อมนาฬิกาไปอีกคนหนึ่ง
ว่าแต่หมอนั่นจะรู้ไหมว่าภาพในตอนนี้เหมือนพวกโรคจิตอย่างไรชอบกล?
คุยไปได้สักพักหนึ่งอาหารเย็นก็ยกมาเสิร์ฟ เจ้าของร้านคุยว่าฝีมือภรรยาเขาเป็นที่หนึ่งในหมู่บ้าน เรียกเสียงแซวและผิวปากหวีดหวิวจากลูกค้าที่เริ่มทยอยเข้าร้านได้ถูกจังหวะในทันที เจ้าของร้านได้แต่หัวเราะกลบเกลื่อนใบหน้าแดงเถือก เขาขอตัวไปดูแลลูกค้าอื่นแล้วอุ้มลูกสาวไปด้วยกัน
น็อคซ์หันมายิ้มให้เฮล์มเหมือนจะบอกว่าเหนือกว่ากลายๆ
“ลูกสาวเขาน่ารักดีเนอะ เจ้าว่าไหม?” เฮล์มมองคนพูดแล้วยกแก้วน้ำขึ้นจิบ
“จะว่ายังไงก็ตามใจเจ้า เพราะข้าไม่ได้มีรสนิยมแบบนั้น” น็อคซ์เอียงคออย่างสงสัย แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ ตอนนี้เขาหิวจนแทบจะกินวัวได้ทั้งตัว ไหนๆก็ไหนๆ ได้ของฟรีก็ต้องจัดการให้เต็มคราบ ชายหนุ่มหยิบช้อนส้อมขึ้นมาแล้วเตรียมลงมือจัดการอาหารตรงหน้าตามที่คิด แต่แล้วก็ต้องชะงักไป
“...นี่...มันอะไร?”
มันคืออาหาร
อาหารร้อนๆสีสันสดใสน่าทานวางอยู่เต็มโต๊ะชนิดที่เฮล์มเห็นแล้วน้ำลายสอ แต่เสียงคร่ำครวญของน็อคซ์กลับทำให้เขาสงสัย น่าอร่อยออก เท่าที่สังเกตมาตลอดเขาพอจะรู้ว่าหมอนี่เลือกกิน แต่ของอร่อยแบบนี้ไม่น่าจะเกี่ยงนี่นา?
เฮล์มก้มลงมองอาหารในจาน แล้วเงยขึ้นมองสีหน้ารับไม่ได้ของน็อคซ์สลับไปมาก่อนจะสังเกตเห็นอะไรบางอย่างที่ต่างไปจากทุกมื้อที่พวกเขากินร่วมกัน
“เจ้าไม่กินผัก?”
“...”
นั่นไง...ใช่เลย
บนโต๊ะมีแต่ของจำพวกผัก สลัดชามใหญ่ ซุปหัวหอม อาหารที่ปรุงด้วยผักและผัก กระทั่งขนมปังเครื่องเคียงยังมีส่วนผสมของแครอทและมันฝรั่งบด ถ้าน็อคซ์ไม่กินผักจริงๆ...คงไม่แปลกที่จะรังเกียจอาหารโต๊ะนี้อย่างสุดซึ้ง
“กินเข้าไป...”
ช่างซ่อมนาฬิกาส่ายหน้าดิก
“กินซะ”
“...”
“กิน”
“ไม่...”
“ข้าบอกให้กิน!”
“ไม่!”
เฮล์มจับน็อคซ์บีบจมูก ง้างปาก แล้วยัดเข้าไป
มื้อนั้นนับเป็นหนึ่งในมื้อที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตของน็อคซ์ นอกจากจะโดนอีกฝ่ายบังคับกรอกปากทั้งๆที่ไม่อยากแล้วยังต้องมาเปิดศึกสงครามแย่งชิงชิ้นเนื้อจำนวนน้อยนิดที่มีอยู่นับชิ้นได้ในอาหารกับเฮล์ม หมอนั่นไม่ปราณีเขาเลยสักนิด รู้ทั้งรู้(อันที่จริงเพิ่งรู้)ว่าเขาเกลียดผักก็ยังแย่งไปต่อหน้าต่อตา แล้วยังให้เหตุผลข้างๆคูๆว่าถ้าไม่กินผักจะมีปัญหาเรื่องสุขภาพ ดังนั้นจึงยอมเสียสละกินเนื้อแทนให้เอง
‘ข้าหวังดีต่อเจ้า’ เฮล์มตีหน้าขึงขัง ‘ถ้าเจ้าป่วยขึ้นมาคงแย่ เพราะอย่างนั้น ฝึกกินผักเอาไว้ซะ’
‘แต่เจ้าชอบผักไม่ใช่หรือไง แล้วทำไมไม่กินเองเล่า!’ ช่างซ่อมนาฬิกาทุบโต๊ะ
‘ก็ไม่ได้รังเกียจหรอกนะ’ เฮล์มว่า ดวงตาสีเขียวเบือนไปมองภายในร้าน ขณะที่ส้อมของน็อคซ์ค่อยๆคืบคลานเข้าหาจานที่ยังพอมี(เศษ)เนื้อเหลืออยู่บ้าง ‘ปกติข้ากินทั้งคู่รวมกันอยู่แล้ว ถึงให้กินผักเฉยๆก็ไม่มีปัญหาหรอก’
น็อคซ์ชะงักแล้วด่า
‘แล้วทำไมไม่กินเสียเองเลยล่ะ มากีดกันข้าทำไม? เจ้าโรคจิตรึยังไง หรือไม่ใช่? แต่ข้าว่าใช่ เจ้าน่ะมันโรคจิต ทั้งโรคจิตทั้งป่าเถื่อน’
‘ก็บอกแล้วไงว่าข้าหวังดี’ รอยยิ้มของเฮล์มพาดผ่านริมฝีปาก ดวงตาเป็นประกายพราวระยับ ‘อีกอย่าง...’
กึก
ส้อมของน็อคซ์ที่คิดจะฉกเนื้อมาเนียนๆถูกสกัดไว้ด้วยส้อมของเฮล์มอย่างทันท่วงที ช่างซ่อมนาฬิกาเบิกตากว้างในขณะที่รอยยิ้มอย่างผู้เหนือกว่าปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเฮล์ม
‘อย่าดูถูกข้าเกินไปนัก...ช่างซ่อมนาฬิกา’
คืนนั้นน็อคซ์แบกท้องที่มีแต่ผัก(กลั้นใจกิน)กลับห้องพร้อมกับเสียงคร่ำครวญด่าทอตัวต้นเหตุที่เดินผิวปากตามหลังมาติดๆ เสียงหัวเราะในลำคอที่แว่วมาทำให้เขารู้สึกตงิดๆอยากจะพุ่งเข้าไปตะบันใบหน้าระรื่นนั่นสักหมัดเสียจริง
ช่างซ่อมนาฬิกาทิ้งตัวลงบนเตียงนุ่มๆ ฝังหน้าลงไปกับหมอนพร้อมจะหลับได้ทุกเมื่อ หากไม่เพราะเฮล์มกระชากข้อเท้าเขาแล้วไล่ให้ไปอาบน้ำ เรียกเสียงบ่นอุบอิบว่า ‘เผด็จการ’ ได้อีกหลายครั้ง
น็อคซ์เดินสะบัดหัวเปียกๆกลับเข้ามาในห้อง ความจริงแล้วเขาไม่ได้เกลียดการอาบน้ำ ชอบเสียด้วยซ้ำไป ถึงเฮล์มไม่มาบังคับเขาก็อาจจะไปเองอยู่แล้ว...อาจจะนะ ดวงตาสีน้ำเงินหรี่ลงแล้วตวัดไปยังคนที่ถูกกล่าวถึง ชายหนุ่มนั่งตรวจสอบของในกระเป๋าสัมภาระอย่างขะมักเขม้นพลางจดรายการของที่ต้องหาซื้อเพิ่มไว้ในกระดาษ
เฮล์มละจากงานที่ทำอยู่หันมาสนใจช่างซ่อมนาฬิกาที่ยืนคาขวางประตูห้อง ดวงตาสีเขียวหรี่ลงอย่างไม่ค่อยจะชอบใจนัก ยังไม่ทันที่น็อคซ์จะได้ถามว่าเขาผิดอะไรอีกก็ถูกไล่ให้ไปเช็ดผมให้แห้ง
“อย่ามาสะบัดแถวนี้เชียวนะ” เฮล์มชักสีหน้า “เลอะเทอะ”
น็อคซ์สะบัดหน้าพรืด จงใจเหวี่ยงให้หยดน้ำจากผมกระเซ็นไปโดนคนขี้บ่น ก่อนจะเดินหนีไปเช็ดผมให้แห้งจริงๆแต่โดยดี
ทำอะไรเป็นเด็ก... เฮล์มคิด เพราะอย่างนี้แหละเขาถึงมองไม่ออกว่าน็อคซ์อายุมากกว่า ถึงจะแค่ไม่กี่เดือนก็ตามที พอคิดแล้วก็อดหันไปมองไม่ได้ น็อคซ์แปลก น็อคซ์บอกเขาว่ามาจากแดนใต้ แต่ผิวของน็อคซ์ไม่ได้คล้ำหรือออกแทน มันเป็นสีขาวปนเหลือง ...บางทีอาจจะเป็นลูกผสมระหว่างคนต่างแดน? ไม่น่าใช่ หมอนั่นดูจะรู้อะไรต่ออะไรเยอะเกินกว่าที่จะเป็นพวกต่างแดน หรือไม่ก็อาจจะเป็นคนของทางตะวันออก? ไม่แน่ แต่ก็ไม่น่าจะใช่ น็อคซ์ดูมีอะไรแตกต่าง พวกนั้นไม่ชอบคบค้าสมาคมกับผู้อื่นพอๆกับทางตะวันตก ที่เป็นไปได้ดูเหมือนจะเป็นคนจากเมืองหลวงเสียมากกว่า
เมืองหลวงของวาลินอร์คือนครวาลินอร์ เป็นเมืองหลวงที่ตั้งตามชื่อของอาณาจักร แม้จะมีขนาดไม่ใหญ่มากนักและไม่ใช่แหล่งเศรษฐกิจเท่าแดนใต้ แต่ความสำคัญของมันก็ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าใคร ใจกลางเมืองหลวงคือราชวังใหญ่โตโอ่อ่า เฮล์มเคยเห็นมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน มันมีสีขาวส่องประกายเหมือนทำด้วยมุก ดูสวยสง่าและสูงศักดิ์เกินกว่าจะอาจเอื้อม ผู้คนในเมืองก็ไม่แพ้กัน เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายดูแตกต่างจากพวกบ้านนอกอย่างพวกเขาเห็นได้ชัด
คิดๆดูแล้วมันน่าจะใช่อยู่... ชายหนุ่มลูบคางก่อนจะเบนสายตาไปมองน็อคซ์ แล้วทำไมหมอนั่นถึงจงใจปิดบัง?
หรือจะมีเรื่องอะไรที่บอกไม่ได้?
น็อคซ์เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเมื่อหันกลับมาพบกับเฮล์มที่กำลังขมวดคิ้วจ้องหน้าเขาด้วยท่าทางจริงจัง เขาลองออกปากถามไปว่ามีอะไรหรือเปล่า อีกฝ่ายเพียงแค่ถอนหายใจแล้วตอบว่าไม่มี
เชื่อตายล่ะ...
ช่างซ่อมนาฬิกาละประเด็นนี้ทิ้งไปก่อน เขาไม่มีความจำเป็นต้องซักไซ้ไล่เรียงหาความใดๆกับเฮล์ม ตราบใดที่หมอนั่นยังไม่คิดจะตีตัวออกห่างเขาก็จะไม่ก้าวก่าย นั่นถือเป็นกฎของน็อคซ์ที่ร่างอย่างง่ายๆและบังคับใช้โดยตัวเขาเอง
บาดแผลที่ต้นแขนซ้ายของน็อคซ์ดีขึ้นมาก อาการอักเสบของมันลดลง เหลือเพียงแต่รอยแผลที่ยังปิดไม่สนิทเพียงเท่านั้น แต่ก็นับว่ายังประมาทไม่ได้อยู่ดี ช่างซ่อมนาฬิกาทรุดตัวนั่งลงบนพื้นหน้าเตียง ถลกแขนเสื้อแล้วยื่นให้คนข้างหลังทำแผลให้
หลายวันที่ผ่านมาเฮล์มพัฒนาทักษะทางด้านนี้ดีขึ้นเรื่อย ตอนนี้เขาจึงไม่เจ็บมากนักเวลาให้หมอนี่ทำแผล แต่ก็นั่นแหละ... นานๆทีก็ยังมีสะดุ้งอยู่เป็นระยะๆเหมือนกัน
“--!!”
“เอ้อ...โทษที”
นั่นไงล่ะ...
น็อคซ์เริ่มต้นบทสนทนากับเฮล์มอีกครั้งอย่างจริงจัง พวกเขาร่วมกันวางแผนสำหรับวันรุ่งขึ้น เฮล์มไม่มีจุดมุ่งหมายใดเป็นพิเศษจึงยกหน้าที่นี้ให้กับช่างซ่อมนาฬิกา พวกเขาตกลงกันว่าจะออกไปหาข้อมูลในหมู่บ้านเกี่ยวกับเรื่องของนาฬิกาไร้กาลเสียก่อน ถ้ายังไม่ได้ความหรือยังหาได้ไม่ถี่ถ้วนคงจะต้องอยู่ที่เมืองนี้อีกคืน แต่ถ้าได้อะไรเมื่อไหร่ก็จะออกเดินทางในช่วงบ่ายของวัน ส่วนจะเดินทางไปที่ไหนนั้นก็ขึ้นอยู่กับข้อมูลที่จะได้มา
ชายหนุ่มขมวดคิ้ว ดวงตาสีเขียวหรี่ลงอย่างใช้ความคิดก่อนจะเอ่ยปากออกไป
“แล้วเจ้าจะหาข้อมูลจากไหน” เขาถาม “เจ้าก็รู้ดีว่าถ้าหาใครสักคนมาเล่าให้ฟัง ข้อมูลที่ได้จากปากต่อปากมันจะไม่แน่นอน อีกอย่างหนึ่ง ในหมู่บ้านเล็กๆอย่างนี้จะมีหรือคนที่รู้จัก ‘นาฬิกาไร้กาล’ ? ”
“พูดถึงข้อมูล ในที่นี้คือตำนาน” น็อคซ์คลี่ยิ้ม ก่อนจะดีดนิ้วดังเปาะ
“ก็ต้องห้องสมุดไม่ใช่หรือไงเล่า?”
“ระวัง...” เสียงเตือนดังขึ้น
“หา? เฮ้ย!”
โครม!
“เจ็บ...”
“บอกแล้วไงว่าให้ระวัง”
สภาพของห้องสมุดเละไม่มีชิ้นดี อันที่จริงมันเละตั้งแต่ก่อนที่พวกเขาจะเข้ามา ดังนั้นตอนนี้มันก็แค่เละเข้าไปอีกนิด ฝุ่นฟุ้งคลุ้งตลบมากไปอีกหน่อยเท่านั้นเอง
เฮล์มยื่นมือให้น็อคซ์ที่พลาดท่าตกบันไดเพราะหนังสือที่วางหมิ่นๆด้านบนของชั้นเสียสมดุลจนร่วงเข้ากระแทกหัว ช่างซ่อมนาฬิกาตกจากบันไดลงไปคลุกฝุ่นกับพื้น โอดครวญว่าเจ็บนู่นเจ็บนี่ไปพลางสำลักฝุ่นจนไอโขลกไปพลางอย่างน่าสงสาร
พวกเขาออกมาจากร้านเหล้าในตอนเช้าตรู่(ไม่คิดว่าน็อคซ์จะตื่นก่อนเขา) หลังจากสอบถามเจ้าของร้านและภรรยาก็พบว่าหมู่บ้านแห่งนี้ไม่มีห้องสมุดเป็นชิ้นเป็นอัน พวกเขาเกือบจะถอดใจแล้วหากไม่ใช่เพราะลูกสาวตัวน้อยร้องทักขึ้นมาเสียก่อนว่า
‘บ้านของหัวหน้าหมู่บ้านค่ะ!’ เด็กน้อยยิ้มแฉ่ง ‘หนูเคยไปแอบดูมา หนังสือเยอะแยะกองเท่าภูเขาเลย!’
น็อคซ์และเฮล์มมองหน้ากันแล้วกำหนดจุดหมายในใจอย่างรวดเร็ว
“เจ้าน่าจะเตือนข้าแบบจริงจัง” ช่างซ่อมนาฬิกาบ่นกระปอดกระแปด “เจ้าพูดเหมือนจะถามข้าว่าเย็นนี้กินอะไรดี”
เฮล์มที่กำลังฉุดน็อคซ์ขึ้นมายืนเลิกคิ้ว
“เย็นนี้กินอะไรดี?”
“ข้าไม่ได้ให้เจ้าถาม อย่าแกล้งโง่ไปหน่อยเลย” ช่างซ่อมนาฬิกาจ้องเขาตาเขียว มือไม้ปัดฝุ่นตามตัวพัลวันแล้วสบถอุบ เสื้อผ้าเขาเป็นสีดำทั้งตัว พอมาคลุกฝุ่นอย่างนี้มันก็จะเป็นปื้นขาวๆ ซวยจริงๆ ให้ตายเถอะ...
น็อคซ์ปลงกับสภาพของตัวเองแล้วหันไปให้ความสนใจกับกองหนังสือที่ร่วงครืนลงมาแทน นับว่ายังดีที่ร่วงมาแค่นี้แล้วเขาก็เจ็บตัวแค่เคล็ดขัดยอกเล็กน้อย ถ้าชั้นทั้งชั้นมันเอนลงมาพร้อมกันนี่เขาไม่อยากจะคิดเลยว่าผลที่ตามมามันจะเป็นยังไง นึกแล้วก็ต้องทอดถอนใจ หนังสือที่ร่วงลงมาเป็นนิทานเก่าๆและเรื่องเล่าตำนานปรัมปรา อย่างน้อยเขาก็หาถูกชั้น
เขาและเฮล์มตกลงแบ่งกันคนละครึ่ง ไม่จำเป็นต้องอ่านละเอียด เอาแค่ผ่านๆตา พยายามสอดส่องหาคำที่เกี่ยวข้องกับ ‘นาฬิกา’ ‘เวลา’ ‘อมตะ’ ‘ไร้ที่สิ้นสุด’ และ ‘นิรันดร์’
“เล่มนี้สอนวิธีปลูกกะหล่ำ” เฮล์มพลิกหน้ากระดาษแล้วเริ่มร่ายยาว “กะหล่ำต้องการน้ำ--”
“โยนทิ้งไปซะ” สีหน้าของช่างซ่อมนาฬิกาฉายแววรังเกียจอย่างปิดไม่มิด “กะหล่ำมันเกี่ยวกับตำนานตรงไหนกัน? ทำไมถึงมาวางรวมอยู่ในหมวดนี้ล่ะ?”
“ก็...” เฮล์มก้มลงอ่านต่อไปอีกนิด “เห็นว่าถ้าปลูกกะหล่ำไม่ดีจะมีปีศาจกะหล่ำโผล่มา”
“นิทานหลอกเด็กชัดๆ!!”
ทั้งสองคนอ่านหนังสือเงียบๆต่อไปอีกพักหนึ่งก่อนที่น็อคซ์จะกระแทกหนังสือในมือลงโครมด้วยท่าทางลุกลี้ลุกลน เฮล์มมองอาการนั้นด้วยสายตาแปลกประหลาดแล้วเอ่ยถาม
“เป็นอะไรไป?”
“ไม่มี...” ใบหน้าของน็อคซ์แดงเถือก “ไม่มีอะไรทั้งนั้น จริงๆนะ! ไม่ใช่... คือ... อันที่จริงมันมี แต่มันก็ไม่มีอะไรหรอก สาบานได้ ไม่มีอะไรหรอก อย่าสนใจเลย ขอร้องล่ะ!”
“เหรอ?” คู่สนทนาเลิกคิ้วจ้องมองท่าทางมีพิรุธนั่นอย่างรู้ทัน “ในหนังสือนั่นมีอะไรอย่างนั้นสินะ?”
“ไม่มี!!” ช่างซ่อมนาฬิกาลุกพรวด คว้าหนังสือเจ้าปัญหา ลุกขึ้นวิ่งออกไปห่างๆ วางลงกับพื้นแล้วผลักกองหนังสือลงมาทับเจ้าตัวต้นเรื่องจนมิดชิด น็อคซ์ยืนท้าวเอวมองผลงานด้วยท่าทางที่ดูโล่งอก นี่หมอนั่นคงจะไม่คิดจริงๆใช่ไหมว่ากองหนังสือแค่นั้นจะกันไม่ให้ใครไปรื้อค้นได้? ...ช่างเถอะ... ถ้าคิดว่าเขาไม่รู้แล้วสบายใจก็ปล่อยให้คิดแบบนั้นไปท่าจะดีกว่า
เพราะในช่วงเวลาก่อนที่น็อคซ์จะคว้าหนังสือไป เขาเห็นชัดเจน หน้าปกของมันเขียนไว้ว่า ‘ลำนำรักกลางไพร’
...อาการแบบนั้นทีแรกคงจะไม่ได้รู้เลยสินะว่ามันเป็นหนังสือยังไง...
ใสซื่อกว่าที่คิดไว้เสียอีก
“มองอะไร?!” น็อคซ์ตวัดเสียงถามด้วยท่าทางหาเรื่อง หรือว่าหมอนี่จะรู้ว่านั่นเป็นหนังสืออะไร ไม่หรอก...มั้งนะ
เฮล์มเพียงส่ายหน้าแล้วบอกว่าเปล่า หมอนั่นหันไปสนใจหนังสือเล่มอื่นก่อนที่จะเห็นรอยยิ้มของเขา นั่นนับเป็นเรื่องดี อย่างน้อยหมอนั่นจะได้ไม่มาโวยวายว่าเขายิ้มเยาะใส่ให้มากเรื่องมากความ ดูท่าว่าน็อคซ์จะเป็นคนคบง่ายมากกว่าที่คิด นิสัยทื่อๆตรงๆไม่มีเหลี่ยมให้จ้องจับผิด ถึงโกหกก็ดูออกง่าย นี่สินะที่ทำให้หลายๆคนตั้งแต่เด็กยันแก่ติดหมอนั่นแจ
สถานการณ์กลับมาสู่ความสงบอีกครั้ง น็อคซ์และเฮล์มกวาดตามองรายละเอียดในหนังสืออย่างตั้งใจ
“เล่มนี้บอกสถานที่น่าเที่ยว”
“ทิ้งไป”
“กองนี้เป็นเรื่องเล่าของคนต่างถิ่น”
“ไม่ค่อยน่าสน หมายถึง น่าสนอยู่ แต่ไม่ใช่ในเวลานี้เท่าไหร่” ช่างซ่อมนาฬิกาขมวดคิ้ว “แต่เล่มนี้มีพูดถึงดินแดนทางเหนือ บ้านเกิดเจ้าแน่ะเฮล์ม”
“ว่ายังไงบ้าง” คนเกิดแดนเหนือชะโงกหน้าเข้ามาอ่านด้วย
“ ‘แดนเหนือ’ มีสองฤดูคือ ฤดูร้อนและฤดูหนาว โดยที่ฤดูหนาวจะมีระยะเวลาที่ยาวนานกว่า ไม่สามารถทำการเพาะปลูกได้มากในแดนเหนือตอนบน ในช่วงที่อากาศหนาวจัดจะเกิดสิ่งที่เรียกว่า ‘หิมะ’ มีลักษณะเป็นเกล็ดสีขาว มีความเย็น ตกลงมาจากฟ้า ผู้คนในท้องถิ่นบางแห่งเชื่อว่าเป็นพรของเทพเจ้า
บนสุดของแดนเหนือเป็นเทือกเขาขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยเหวที่ปกคลุมด้วยหิมะ เชื่อว่าไม่มีผู้คนอาศัยอยู่ เป็นเขตชายแดนของอาณาจักรวาลินอร์ เชื่อมต่อกับจักรวรรดิมหาอำนาจ มีพายุบ่อยครั้ง อยู่ในเขตอันตราย ปัจจุบันยังไม่มีการสำรวจแน่ชัด ”
“...”
“น่าเบื่อเป็นบ้า”
“ไม่เห็นรู้มาก่อนเลยว่าบ้านเกิดตัวเองน่าเบื่อขนาดนี้” เฮล์มนิ่วหน้า ดึงหนังสือออกจากมือของน็อคซ์ พลิกดูหน้าหลังๆแล้วโยนลงไปกองรวมกับหนังสือกะหล่ำ น็อคซ์ที่เห็นดังนั้นตบไหล่เขาดังปับ
“งั้นตอนนี้เจ้าก็รู้แล้วจำไว้ซะ”
ทั้งสองค้นหนังสือต่อไปอีกระยะหนึ่ง
เวลาล่วงเลยจนเกินเที่ยง น็อคซ์เริ่มแสดงอาการกระสับกระส่าย พวกเขาจึงตัดสินใจพักการหาข้อมูลออกไประยะหนึ่งแล้วย้อนกลับไปที่ร้านเหล้า หวังพักสายตาและกระเพาะไว้กับที่นั่นแทน
ช่างซ่อมนาฬิกาทิ้งตัวเหยียดยาวบนเก้าอี้ไม้ในร้านอย่างอ่อนแรง ปลายนิ้วยกขึ้นคลึงระหว่างคิ้วที่ขมวดมุ่น การอ่านหนังสือจำนวนมากมันทำให้เขาปวดหัวได้อย่างไม่น่าเชื่อ ตอนเขาอยู่กับอาจารย์ไม่เห็นจะเป็นอะไร หรือเพราะว่าที่นี่จะมีฝุ่นเยอะ? ไม่น่าจะใช่... อาจเป็นเพราะเหนื่อยสะสมเสียมากกว่า
“ดื่มนี่เสีย” เฮล์มสะกิดที่ไหล่แล้วส่งแก้วเล็กๆมาให้ “มันน่าจะช่วยได้”
น็อคซ์ผงกหัวรับเป็นการขอบคุณก่อนจะยกแก้วขึ้นจิบ ทันทีที่ของเหลวข้างในแตะลิ้นเขาก็แทบพ่นออกมาไม่ทัน
“เปรี้ยว!!” น็อคซ์ร้องแล้วตวัดตาขุ่นเคืองไปมองตัวต้นเหตุ “เปรี้ยวเป็นบ้า! นี่มันมะนาวชัดๆ เอามาให้ข้าทำบ้าอะไรของเจ้ากัน เฮล์ม!!”
คนถูกค้อนเข้าใส่ยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ
“ข้าเห็นเจ้าเหนื่อยๆ กินของเปรี้ยวๆบ้างน่าจะดีขึ้น” ชายหนุ่มตอบมาหน้าซื่อตาใสแล้วยืนยัน “จริงๆนะ เจ้าของร้านเขาบอกมา”
เจ้าของร้านเหล้าที่ถูกพาดพิงและกำลังมองมาที่เขาทั้งสองคนพ่นหัวเราะพรืดออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ เจ้าเด็กพวกนี้นี่มันเหลือเกินจริงๆ พฤติกรรมแต่ละอย่างนี่ไม่ได้สนใจสายตาของคนรอบข้างเลยหรือไงกัน? พอดูอย่างนี้แล้วเขาก็ไม่อยากเชื่อว่าทั้งสองคนกำลังออกเดินทางทั้งที่เพิ่งรู้จักกันเลยสักนิด ถ้าให้ดูดีๆจะรู้สึกว่าเป็นเพื่อนสนิทกันมานานเสียมากกว่า
“จริงดังที่เฮล์มว่า” ชายวัยกลางคนตอบกลั้วหัวเราะ “ข้าบอกไปจริงๆว่าถ้าเหนื่อยนักต้องหาของเปรี้ยวๆหวานๆดื่มแล้วถึงจะสดชื่นขึ้น ไม่นึกว่าเจ้าหนุ่มนั่นจะเล่นวิธีเถรตรงแบบนี้จริงๆเลยเชียว”
“แต่นี่มัน--”
“ไม่หวานใช่ไหมล่ะ?” เจ้าของร้านดักคอและได้รับคำตอบเป็นการพยักหน้าแกนๆของน็อคซ์ “นั่นเพราะเจ้าหนุ่มนั่นฉวยคว้าแก้วไปเสียก่อน ข้ายังไม่ได้ใส่ ‘นี่’ เลยด้วยซ้ำไป”
โหลน้ำผึ้งถูกวางลงบนโต๊ะ
“น้ำมะนาวน่ะมันเปรี้ยว ถ้าไม่ใส่น้ำผึ้งไปบ้างจะไม่อร่อยเลยสักนิด” ว่าพลางใช้ช้อนคันเล็กๆตักน้ำผึ้งสีทองสวยสดลงไปในแก้วแล้วคนให้เข้ากัน “นี่ล่ะ น่าจะพอดีแล้ว คราวนี้เจ้าลองจิบดูอีกที ช้าๆนะ”
น็อคซ์มีสายตาไม่ไว้วางใจ แต่หลังจากจ้องหน้าเจ้าของร้านไปพักหนึ่งก็ยกขึ้นแตะริมฝีปาก ทันทีที่รสชาติหวานอมเปรี้ยวละมุนแตะลิ้นก็ร้องออกมาเบาๆอย่างพึงพอใจ เรียกเสียงหัวเราะจากเจ้าของร้านและรอยยิ้มจากเฮล์มได้เป็นอย่างดี
อาหารยกมาวางแล้ว และน็อคซ์ก็ทำได้แค่จ้องมันเหมือนเมื่อวาน
“ทำไมถึงมีแต่ผัก...” เสียงของน็อคซ์สั่นเครือ ดูท่าว่าอยากจะร้องไห้เต็มแก่ ถ้าเมื่อวานไม่ใช่เพราะเฮล์มพยายามบังคับให้เขากินป่านนี้เขาคงไม่มีอะไรตกถึงท้อง แต่ขอทีเถอะ อาหารผักที่มีแต่ผักและวิญญาณไก่สองวันติดกันเขาก็ไม่ไหวเหมือนกัน
“ข้าลองไปถามมาแล้ว” เฮล์มพูดพลางตักอาหารเข้าปาก “...เขาบอกว่า ที่นี่เป็นหมู่บ้านที่มีความอุดมสมบูรณ์ ปลูกอะไรก็งอกงาม จึงเอามาตั้งเป็นชื่อหมู่บ้าน ส่วนเรื่องที่ว่าทำไมถึงมีแต่กะหล่ำ ก็แค่เพราะมันปลูกง่ายโตเร็วเอามาใช้ได้เยอะเท่านั้น”
“เรื่องนั้นข้ารู้แล้วน่า” ช่างซ่อมนาฬิกาครางโอดโอยฟุบหน้าลงไปเกลือกกลิ้งกับโต๊ะ “แต่ถ้าอุดมสมบูรณ์จริงก็ต้องมีเนื้อสิ!”
“เห็นว่า--” ชายหนุ่มโบกช้อนในมือไปมาเล็กน้อย “เห็นเจ้าของร้านบอกว่าคนในเมืองนับถือวัวเป็นของสูง ประมาณว่าห้ามแตะ ห้ามฆ่า เพราะอย่างไรเสียวัวก็ช่วยพวกเขาปลูกหว่านไถนา”
“ทีเนื้อไก่ยังมีได้...ถึงจะน้อยก็เถอะ”
“ไก่ที่นี่เขาเลี้ยงไว้ออกไข่ จะเอาเนื้อมากินก็ต่อเมื่อไก่ตายเท่านั้น”
“งั้นในจานนี่ก็คือไก่ตาย?” น็อคซ์นิ่วหน้า
“แล้วปกติเจ้ากินไก่ที่ไม่ตายหรือไง?” เฮล์มย้อนกลับ เล่นเอาเขาสะอึก
“งั้นหมูล่ะ เนื้อหมูก็ดีนะ ข้าว่ามันก็อร่อยดีออก...”
“ที่นี่เขาไม่เลี้ยงหมู” นิ้วมือของเขาเอื้อมไปดีดหน้าผากอีกฝ่าย เอาแต่กลิ้งไปกลิ้งมา เดี๋ยวถ้าเสี้ยนไม้ตำหน้าเขาจะหัวเราะเยาะให้ดู “เห็นว่าหมูมันสกปรก อยู่แบบสกปรก บางทีก็กินของสกปรก ที่นี่เลยเชื่อว้าถ้ากินหมูเข้าไปก็ไม่ต่างอะไรกับการกินอาหารหมู ต่อไปจะทำตัวเหมือนหมู ต่างๆนาๆ รู้สึกว่าจะใช้คำพวกนี้สอนเด็กในหมู่บ้านนะ”
“หมูไม่ผิดสักหน่อย!” ช่างซ่อมนาฬิกาโวยลั่น “แล้วปลาล่ะ? ปลาก็น่าจะได้นี่? จริงอยู่ว่าที่นี่ไม่มีทะเลแต่ก็ใช่ว่าจะหาปลาไม่ได้เสียหน่อย ข้าเห็นนะว่าที่นี่มีแม่น้ำไหลผ่าน ถ้าไม่มีปลาเลยสักตัวก็ออกจะตลกไปหน่อยแล้ว!”
“มันเป็นปลาน้ำจืด”
“แล้วยังไง? ข้าไม่เกี่ยงหรอกนะว่ามันจะจืดหรือจะเค็มหรือจะเผ็ด ยังไงมันก็ปลา ข้าจะกินเนื้อ!”
“เนื้อมันสั่ว”
“?”
เฮล์มถอนหายใจแล้วเริ่มอธิบาย
“เจ้าของร้านบอกว่าเนื้อปลาที่นี่มันสั่ว มันเป็นปลาน้ำจืดพันธุ์อะไรไม่รู้ ข้าไม่ได้ใส่ใจ และแน่นอน มันกินได้ แต่เนื้อมันสั่ว” พูดไปได้สักพักชายหนุ่มก็มุ่นหัวคิ้ว “ข้าไม่รู้จะอธิบายยังไง แต่เจ้ารู้ไว้ง่ายๆเลยก็ได้ว่ามันไม่อร่อยนักหรอก เผลอๆพอเจ้าตักมันเข้าปากก็อาจจะคายทิ้งแบบเมื่อกี้เลยก็เป็นไปได้”
น็อคซ์กำลังจะโวยวาย เรื่องอะไรมาตัดสินใจแทนเขาเอง แต่เพราะความคิดหนึ่งแล่นวาบเข้ามาในหัวทำให้เขาหยุดชะงักแล้วหรี่ตามองเฮล์มด้วยความสงสัย
“เจ้าพูดเหมือนเคยกิน”
“เมื่อคืน” เฮล์มพยักหน้า “หลังจากเจ้าหลับ ข้าลงมาหาอะไรดื่มที่บาร์ พอดีคุยกับเจ้าของร้านเขาเลยเอามาให้ชิม”
ดวงตาสีน้ำเงินเบิกกว้าง
“ไม่อร่อยสุดๆ” ชายหนุ่มเอื้อมมือไปตบไหล่สหาย “ดีแล้วที่เจ้าไม่ได้กิน”
มื้ออาหารนั้นจบลงเหมือนเมื่อวาน น็อคซ์โวยวายเรื่องเฮล์มหนีมาดื่มเหล้าคนเดียว สุดท้ายก็โดนจับยัดกะหล่ำใส่ปากตัดรำคาญ พอดิ้นพะงาบๆจนพอใจก็ต้องอดทนฝืนกินไปพลาง แย่งเนื้อไก่(ตาย)ในจานกับเฮล์มไปพลาง กว่าจะได้ออกจากร้านกลับไปยังห้องหนังสือของหัวหน้าหมู่บ้านก็บ่ายคล้อยแล้ว
ทั้งสองรื้อค้นกันต่ออีกหลายสิบเล่ม ยิ่งดูยิ่งไม่ใช่ ยิ่งหาก็ยิ่งไม่เจอ ในขณะที่กำลังคิดจะถอดใจแล้วเดินทางตามยถากรรม เฮล์มกลับค้นพบอะไรบางอย่างที่ทำให้เขาต้องร้องเรียกน็อคซ์ให้หันมาดู
“เล่มนี้มีเรื่องเล่าของป่าไม่หวนกลับ” ชายหนุ่มไล่นิ้วไปตามตัวอักษร “น็อคซ์ นี่น่าสนใจอยู่นะลองฟังนี่ดู”
“ ‘ป่าไม่หวนกลับ’
ลึกลับเหลือคณาคือพงไพร
หากใกล้เคียงเพียงแรมไม่อาจหวน
หากเหยียบย่างคราใดไม่อาจทวน
หากคร่ำครวญคราใดไร้ชีวัน
ณ ใจกลางทางเราเหล่าพฤกษา
คือพนาพงไพรไร้เขตขัณฑ์
หากกริ่งเกรงจักสูญสิ้นซึ่งชีวัน
หากพลิกผลันจักได้ไปซึ่งปัญญา ”
น้ำเสียงของเฮล์มที่เปล่งออกมาทุ้มกึกก้องและดังกังวานในห้องแคบๆที่เต็มไปด้วยฝุ่น
น็อคซ์นิ่งค้างไปชั่วขณะก่อนจะรู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อชายหนุ่มวางหนังสือลงแล้วขอความเห็นของเขากับเนื้อหาในหนังสือเล่มนั้น
“เจ้าคิดว่ายังไง?” ชายหนุ่มลูบคางครุ่นคิด “ในนี้มีกล่าวต่ออีกว่า
‘ผู้ใดมาด้วยใจอันอาจหาญ
อาจได้พานบรรลุจุดประสงค์
ผู้ใดมาด้วยใจทรนง
เหลือเพียงคงเนื้อกายใช่วิญญาณ’
ข้าคิดว่ามันอาจจะไม่ใช่อย่างที่เจ้าต้องการ มันไม่มีอะไรสื่อถึงความเป็นอมตะเลยสักนิด”
“แต่มันพูดถึงปัญญา” น็อคซ์พยักหน้า “ปัญญา และ บรรลุจุดประสงค์ มันเหมือนเป็นสิ่งตอบแทนเสียมากกว่า”
“รวมๆแล้วคือความสำเร็จ” เฮล์มเริ่มมองเห็นลู่ทาง “บางทีเจ้าอาจจะคิดถูก น็อคซ์ ลองดูบรรทัดนี้ มันบอกไว้ว่า หากกริ่งเกรงจักสูญสิ้นซึ่งชีวัน หากพลิกผลันจักได้ไปซึ่งปัญญา อาจหมายถึงบุกเข้าไปใจกลางป่าจะเจออะไรสักอย่างที่นั่น”
น็อคซ์ดีดนิ้วเปาะ ดวงตาเป็นประกายพราว
“แล้วถ้าเราทำหรือตรงตามเงื่อนไขก็อาจรอด แล้วได้รางวัลคือปัญญา ในที่นี้น่าจะหมายถึงข้อมูล”
“แต่ว่า” เฮล์มเสริม “ถ้าผิดพลาด หรือหวาดกลัวที่จะทำ ทางเดียวที่เหลืออยู่คือตาย”
ทั้งสองเงยหน้าขึ้นมาสบตากันอีกครั้งอย่างมีความหมาย
“ป่าไม่หวนกลับ” น็อคซ์เริ่ม “ไม่รอด ก็ ตาย”
นักวาดฝันคลี่ยิ้มมุมปาก
“ถึงขั้นนี้แล้วยังจะถามความสมัครใจของข้าอยู่อีกหรือ?”
“ดี!” ช่างซ่อมนาฬิกาก็ยิ้มกว้าง
“มุ่งหน้าขึ้นเหนือ สู่ป่าไม่หวนกลับ”
*****************************************
ไหนๆก็ไหนๆ อนันต์ลงตอน 4 เลย เย้
ในที่สุดก็เข้าเรื่องหลักหลังผ่านตอนเสริมไปถึง 3 ตอน (แน่นอนว่าหลังจากนี้จะอุดมไปด้วยตอนเสริม...)
ในที่สุดเจ้าสองคนนี้ก็มีจุดหมายแน่นอนซักที (นี่มันน่าดีใจมาก)
ในที่สุดอนันต์ก็ดูซีรี่ส์จบไปอีกซีซัน (นี่น่าดีใจที่สุด)
โอเค... เบลอไป อนันต์ปวดเอว
อนึ่ง ในส่วนของกลอนมีคนตั้งคำถามกับอนันต์มา คือว่านะ กลอนมันต่อกันล่ะ ถ้าเอาจากบทที่ 1 – 4 มาเรียงกันมันจะต่อกันตามฉันทลักษณ์ แล้วมันจะมีเนื้อเรื่องในส่วนของมันเอง เอาเป็นว่าลองๆถอดความกันดู ถ้าไม่เข้าใจจริงจังไว้ตอนหน้าอนันตืจะมาถอดให้
เจอกันอีกทีเมื่ออนันต์หายปวดเอว
อนันต์เอง
ความคิดเห็น