คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : บทที่สอง : นักวาดฝัน
บทที่สอง
นักวาดฝัน
“อีกหนึ่งนั้นมีทุกข์เป็นบ่วงรัด
พลันเกี่ยวกลัดไม่คลายแม้นห่างหาญ
จักวาดฝันตราบสิ้นซึ่งวิญญาณ
แม้นวันวานคืนกลับให้แหลกลาย”
“หมอบลง!” เฮล์มตะโกนลั่นแล้วพุ่งเข้าไปกระชากแขนช่างซ่อมนาฬิกาสติหลุดจนหน้าคะมำ น็อคซ์ถลาไปกับพื้น ส่งเสียงครางโอดโอย ยังไม่ทันผรุสวาทคำด่าออกมาก็โดนมือของอีกฝ่ายกระชากเขาวิ่งไปพร้อมๆกัน
‘รูเบนส์’ คำรามลั่น เมื่อครู่มันเกือบจะตะปบเหยื่อตรงหน้าได้แล้วแท้ๆ หากไม่เพราะมนุษย์อีกคนนั่นเข้ามาแย่งเหยื่อของมันไปเสียก่อน นัยน์ตาสีแดงสดทอประกายกระหายเลือด ก่อนจะเกร็งกล้ามเนื้อทุกส่วนในร่างกายแล้วทะยานออกไปไล่ล่าเหยื่อของมัน
มนุษย์ทั้งสองเผ่นหนีอย่างไม่คิดชีวิต เฮล์มคอยนำอยู่ข้างหน้า ดึงรั้งน็อคซ์ที่ตามอยู่ข้างหลัง ทางที่วิ่งมาแคบลงเรื่อยๆ เหมือนเฮล์มจะพาเข้าออกตามตรอกซอกซอยเล็กๆยิบย่อยของเมือง จากที่เคยอยู่ในย่านร้านค้า บ้านเรือนเต็มทั้งสองข้างทาง เวลานี้เขาหลุดมาอยู่ในตรอกเล็กๆ มืดอับและชื้นแฉะ รองเท้าบูทสีเข้มเหยียบย่ำลงไปบนแอ่งน้ำขัง กองขยะกินพื้นที่ไปเกือบครึ่งตรอกส่งกลิ่นเน่าเหม็นจนน็อคซ์ถึงกับย่นจมูก แรงฉุดที่ข้อมือเบาลงเรื่อยๆพร้อมกับความเร็วของฝีเท้า เฮล์มหอบหายใจหนักหน่วง ปล่อยข้อมือของน็อคซ์ เอนหลังพิงกำแพง แล้วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“ที่นี่คงปลอดภัยได้ระยะหนึ่ง” ชายหนุ่มเสยเส้นผมชื้นเหงื่อที่ลงมาปรกหน้าผากแรงๆ “กลิ่นเน่าๆพวกนั้นคงพอจะกลบกลิ่นของข้ากับเจ้าได้ แต่คงไม่นานนัก ตอนนี้พัก แล้วคิดซะว่าจะทำยังไงต่อ”
น็อคซ์เบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ
“ทำยังไงอะไร?” ช่างซ่อมนาฬิกาถามกลับ “ข้าไม่ได้ทำอะไร เจ้าสิต้องทำ ถ้ามันเป็น ‘รูเบนส์’ นั่นจริงๆเจ้าก็ต้องจัดการ เจ้าวาดมันขึ้นมา ไม่ใช่ข้า”
เฮล์มหันมาชักสีหน้าใส่
“แต่เจ้าเป็นคนตั้งชื่อให้มัน” ชายหนุ่มว่า “ทุกอย่างจะปกติถ้าไม่ได้เป็นเพราะชื่อของเจ้า!”
“แค่ชื่อ?” น็อคซ์เลิกคิ้ว “ทำไมข้าตั้งชื่อแล้วมันมีชีวิตขึ้นมา? ถ้าเจ้าไม่วาด ถ้าข้าไม่เห็น มันก็ไม่มีชื่อ”
น็อคซ์มองเฮล์มด้วยสายตาแปลกประหลาด เหมือนคนตรงหน้าเขากำลังปิดบังอะไรบางอย่างอยู่แน่นอน รูปภาพมีชีวิตขึ้นมานับว่ามหัศจรรย์ แต่คนที่วาดมันขึ้นมาเล่า ไม่น่าสนใจ ไม่น่ามหัศจรรย์ยิ่งกว่าผลงานหรอกหรือ?
เฮล์มขยี้ผมบนศีรษะจนยุ่งเหยิง
เขากำลังลำบากใจ ช่างซ่อมนาฬิกานี่เป็นคนนอก หลอกลวงคนทั้งเมือง แล้วถ้าให้คิดจริงๆ...เขาว่าก่อนหน้านี้ทุกเมืองทุกหมู่บ้านที่แวะผ่านก็คงโดนคล้ายๆกัน หากเหลือหมอนี่คนเดียวในโลก ให้ตายเขาก็คงไว้ใจไม่ลงอยู่ดี เฮล์มถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แต่ให้เรื่องมากตรงนี้ก็ใช่ที่ จะรอดพ้นคืนนี้ไปหรือเปล่าก็ยังไม่รู้ อย่างไรเสียก็ยังเหลือที่พึ่งที่ไม่รู้ว่าจะใช้ประโยชน์ได้หรือเปล่าเพียงช่างซ่อมนาฬิกานี่เท่านั้น… เมื่อคิดจนถี่ถ้วนแล้วเขาจึงถามออกไป
“ข้าจะเชื่อใจเจ้าได้หรือเปล่า?”
ว้าว... น็อคซ์ผิวปากอยู่ในใจ
“ไม่ได้” ช่างซ่อมนาฬิกาส่ายหน้าแล้วยิ้มออกมา “เจ้าจะไม่มีวันเชื่อใจข้า ตราบใดที่ยังคลางแคลงในตัวข้าอยู่ การที่เจ้าถามข้าว่า ‘ไว้ใจข้าได้ไหม?’ ย่อมแปลว่าเจ้าไม่ได้ไว้ใจข้า เพียงแต่ต้องการคำยืนยันว่าข้าจะไม่แพร่งพรายออกไป ดังนั้น ถึงเจ้าจะถามข้าอย่างนี้อีกกี่ครั้ง ข้าก็คงตอบได้เพียง ‘ไม่’ เท่านั้น”
คำตอบของน็อคซ์ทำให้เฮล์มเลิกคิ้วขึ้นสูง มันฉลาด... คำตอบที่พูดมามีแต่ใจความที่ว่าเขาไม่ไว้ใจมัน เนื้อความไม่ได้บังคับให้เขาเปลี่ยนทัศนคติ แต่มันกลับชักจูงคนฟังให้คล้อยตามอย่างไม่น่าเชื่อ หมอนี่พูดให้เขาเลือก เลือกที่จะไว้ใจ หรือเลือกที่จะระแวง หากหมอนี่ตอบมาในทำนอง ‘ข้าไว้ใจได้แน่นอน’ ความระแวงจะมากขึ้นกว่าเดิม แต่เมื่อตอบมาในทางเลือก กลับสร้างความประทับใจให้กับผู้ฟังได้อย่างประหลาด... วาจาสวยหรูแต่น้ำคำแทบไม่ต่างอะไรกับยาพิษ
เฮล์มลูบคาง แล้วจึงตัดสินใจ
“ข้าไม่ใช่คนธรรมดา”
“ข้าก็ว่าเจ้าประหลาด”
หมัดหนักๆกระทุ้งเข้าเต็มๆสีข้างของน็อคซ์
“จ...เจ้ามันป่าเถื่อน” น็อคซ์กุมสีข้างที่บอบช้ำลงไปนั่งคุดคู้กับพื้นสกปรก เจ้าบ้านี่...ต่อยมาได้ คนธรรมดามีเลือดเนื้อนะไม่ใช่ทั่งตีเหล็ก หากซี่โครงเขายุบได้คงยุบลงไปแล้ว ไม่ใช่สิ อันที่จริงมันน่าจะหัก ใช่...มันน่าจะหัก ไม่ใช่ยุบ ถ้ายุบเข้าไปได้นี่น่ากลัว แต่ถึงหักก็น่ากลัวอยู่ดี แล้วแบบไหนน่ากลัวกว่ากัน? หักหรือยุบ? ยุบหรือหัก? รึจะบิด? รึยังไง?
แต่ตอนนี้มันเจ็บเป็นบ้า...งั้นก็ช่างมันเถอะ
“ข้ากำลังพูด หุบปาก แล้วอย่าขัด” เฮล์มส่งสายตาคมกริบเข้าใส่ น็อคซ์ปิดปากเงียบ เลิกร้องโอดโอย แต่ไม่วายยังได้ยินแว่วมาว่า ‘เผด็จการ’ แบบเบาๆ
เฮล์มปรายตามอง แล้วเริ่มเอ่ยปาก
เรื่องของเฮล์มเริ่มตั้งแต่ในวัยเด็ก
เฮล์มเกิดในหมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่ง ตัวหมู่บ้านตั้งอยู่ในเขตของแดนเหนือค่อนลงมาเล็กน้อย หน้าร้อนของหมู่บ้านไม่สั้นและไม่ยาว อากาศดีตลอดทั้งปี พืชผลงดงามออกลูกดกเต็มต้น แม้หน้าหนาวจะถูกกลบด้วยหิมะ แต่ก็ไม่เคยมีใครในหมู่บ้านต้องอดตาย
เฮล์มในตอนนั้นอายุสิบสามปี ถือว่าโตแล้วแต่ยังคงชอบวิ่งเล่นไปมาบนเนินหลังหมู่บ้าน เพราะมีทุ่งดอกไม้สวยๆที่แม่เขาชอบขึ้นอยู่สุดลูกหูลูกตา วิ่งไปทั่วไม่รู้จักเหนื่อย แต่พอเหนื่อยก็นอน หิวก็เด็ดผลไม้แถวนั้นกิน เหงานักก็เล่นกับลูกหมาจิ้งจอกตัวเล็กๆที่หลงเข้ามาในหมู่บ้านร่วมปี เล่นแล้วเล่นอีก ขลุกอยู่ที่เนินทุกวันทั้งวัน เล่นจนโดนแม่มาดึงหูลากเขากลับพร้อมเอ็ดตะโรตอนอาหารเย็น
เฮล์มขลุกอยู่แต่เนินหลังหมู่บ้าน จนกระทั่งมีช่างศิลป์เข้ามาเยือน
ช่างศิลป์คนนั้นเข้ามาขอพักในหมู่บ้าน ได้ยินมาว่าบาดเจ็บหนักที่ขา หมอที่มาตรวจบอกว่าต้องใช้เวลากว่าครึ่งปีจึงจะหายเป็นปกติ ชายหนุ่มตกลงเรื่องค่ารักษาได้ แต่ไม่มีค่าที่พัก พ่อและแม่ของเฮล์มจึงเสนอให้พักกับพวกเขา ชายหนุ่มปฏิเสธ แต่ครอบครัวของเฮล์มยืนกราน ในที่สุดช่างศิลป์คนนั้นก็ยอมแพ้
เฮล์มเริ่มสนใจการวาดภาพตั้งแต่วันนั้น
ช่างศิลป์เริ่มสอนเฮล์มเมื่อเด็กน้อยแสดงความสนใจในรูปภาพของเขาอย่างไม่ปิดบัง นำมาซึ่งคำถามไม่รู้จบ นี่คืออะไร? ใช้ทำอย่างไร? แล้วจะออกมาเป็นแบบไหน? ข้าจะวาดเก่งเหมือนท่านหรือไม่? และอีกหลายร้อยพัน...
(ถึงตรงนี้น็อคซ์นึกด่าขึ้นมาในใจ ตอนเด็กเจ้าออกจะน่ารัก ทำไมโตมาถึงกลายเป็นเผด็จการใช้แต่กำลัง?)
น่าแปลกที่เขากลับถูกใจเฮล์มเป็นอย่างมาก ในช่วงเวลาตลอดสามเดือน ชายหนุ่มเขียนทุกสิ่งที่เขารู้ลงไปในกระดาษ ทักษะทุกอย่างที่สะสมมานานนับปีกลั่นออกมาเป็นน้ำหมึก จรดลงไปบนกระดาษ จากกระดาษหนึ่งแผ่น รวมเป็นสมุดหนึ่งเล่ม เย็บติดเข้าไปกลายเป็นหลายร้อยหน้า ทั้งหมดนี้เพื่อเด็กคนหนึ่ง คนเดียวที่เขาเห็นพรสวรรค์ออกมาจากแววตา
ในเวลาเพียงหกเดือนที่ช่างศิลป์ผู้นี้ได้รับการรักษา พรสวรรค์ของเฮล์มก็ค่อยๆเปล่งประกายออกมาให้เป็นที่ประจักษ์แก่คนทั้งหมู่บ้าน จากเด็กคนหนึ่งที่วาดสุนัขออกมาเป็นไส้เดือนเมื่อวันวาน หลังจากได้รับการฝึกและศึกษาอย่างถูกต้อง เขาก็วาดสุนัขจิ้งจอกคู่ใจออกมาแทบจะเหมือนกับตัวจริง ด้านงานปั้น แม้จะบิดเบี้ยวไปบ้างแต่ก็คลับคล้ายคลับคลา ด้านการแกะสลัก ถึงจะบาดมือเถือแขนไปบ้างสร้างความแตกตื่นเป็นครั้งคราว แต่งานที่ออกมาก็ดีจนน่ากลัวว่าจะแซงหน้าอาจารย์จำเป็นในเร็ววัน
ไม่นานหลังจากนั้น ช่างศิลป์ก็เดินทางออกจากหมู่บ้าน
ก่อนจากไป เขาสอนสิ่งสุดท้ายให้กับเฮล์ม
“จงมีความฝัน”
แล้วประโยคนั้นก็ฝังลึกลงในอกของเฮล์มตราบจนวันตาย
ต่อให้ตาย...ก็ไม่มีทางลืม
คำของช่างศิลป์หมายถึงให้เฮล์มตั้งเป้าหมายแล้วไล่ตามความฝันของตนเอง แต่เฮล์มในเวลานั้นตีความไปเสียว่าต้องมีความฝัน ดังนั้น รูปแรกที่เฮล์มวาดหลังจากนั้นจึงใส่ความฝันเข้าไปเต็มที่ เขาวาดแมวป่า เขาคิดทุกอย่างเกี่ยวกับมัน มันมีตาสีฟ้า หูตั้งชี้แหลม ปราดเปรียว เอาแต่ใจ อยู่ไม่สุข ตื่นคน ทุกสิ่งทุกอย่างตั้งแต่ภายนอกลึกเข้าไปจนถึงนิสัย และสุดท้าย เฮล์มตั้งชื่อให้มันว่า ‘ดรอสท์’
เฮล์มหันกลับไปเก็บอุปกรณ์ เมื่อหันมาชื่นชมภาพอีกครั้งเขาก็ต้องสะดุ้งสุดตัว
“แล้วยังไงต่อ?” น็อคซ์เอ่ยปากถามเมื่อเห็นเฮล์มเงียบไป เรื่องกำลังน่าสนใจ หันไปแล้วไงต่อ?
“ก็ไม่มีอะไรมาก มันก็แค่--”
แหมะ
น้ำเหนียวๆข้นๆหยดลดบนไหล่เฮล์ม กลิ่นเหม็นสาบโชยเข้ามาในโพรงจมูก ชายหนุ่มกวาดสายตามองของเหลวปริศนาบนไหล่แล้วไล่ขึ้นมองตามทิศทางที่มันตกลงมา
แล้วเฮล์มก็ต้องเบิกตากว้าง
เหนือขึ้นไปของตรอกคับแคบคือช่องว่างระหว่างตึก ท้องฟ้ายามค่ำคืนและดาวพร่างพรายในตอนนี้ถูกบดบังด้วยสุนัขป่าตัวใหญ่ยักษ์ รูเบนส์กระโจนขึ้นมาบนหลังคาของอาคารได้อย่างน่าอัศจรรย์ ตามกลิ่นของเหยื่อจนมาพบพวกเขาถึงที่นี่ ดวงตาสีแดงสดที่ช่างซ่อมนาฬิกาเคยปรารภไว้ว่าสวยนักหนา แต่ตอนนี้เขาเริ่มชักจะไม่เห็นด้วย
“ให้ข้าเดาไหม?” เฮล์มเลิกคิ้ว มองหน้าคนพูดด้วยความสงสัย หมอนี่น่าจะรู้สถานการณ์ แล้วไอ้ที่ยิ้มกว้างจนสุดริมฝีปากนี่จะสื่ออะไร?
“ไอ้เหนียวๆที่เสื้อเจ้าน่ะ” น็อคซ์ชี้ “น้ำลายเจ้าหมานี่ชัวร์ๆ”
“คิดว่าเจ้าไม่บอกแล้วข้าจะไม่รู้รึไงกัน!!”
เสียงตะโกนของเฮล์มเหมือนสัญญาณเปิดศึก รูเบนส์คำรามก้องแล้วกระโจนลงมา ตัวของมันใหญ่ แต่กลับเข้ามาอยู่ในตรอกได้พอดีอย่างไม่น่าเชื่อ เฮล์มผรุสวาทออกมาแล้วกระชากน็อคซ์ให้วิ่งหนีอีกครั้ง
คราวนี้ช่างซ่อมนาฬิกาตั้งตัวได้จึงไม่ทุลักทุเลเหมือนก่อนหน้า เขาสลัดข้อมือออกจากการเกาะกุมแล้ววิ่งขึ้นไปตีคู่กับชายหนุ่ม พลางก้มหัวหลบเศษไม้ที่ปลิวจากลังที่แตกหักเพราะรูเบนส์
“มันจะมาหลังเจ้าเล่าจบไม่ได้หรือไงเนี่ย?!” น็อคซ์ตะโกนลั่นแล้วเบรกตัวโก่งเมื่อถึงทางเลี้ยว “ต่อจากนั้นเป็นยังไง? เล่าต่อสิ!”
“ช่วยเลือกเวลาหน่อยได้ไหม?!!” เฮล์มสบถ แต่ก็ยังเล่าต่อ “ไอ้แมวนั่นดันมีชีวิตขึ้นมา แล้วก็หนีไป จบ!”
“แค่นี้?!!”
เฮล์มชักสีหน้าใส่ช่างซ่อมนาฬิกา
“จะเอาอะไรนักหนา? หลังจากนั้นไม่นานข้าก็ทำพลาด หมู่บ้านพัง พ่อแม่ตาย ข้าเลยหาที่อยู่ใหม่” เฮล์มกระชากตัวน็อคซ์ที่ดูเหมือนจะให้ความสนใจกับเรื่องของเขามากเกินไปจนเกือบจะวิ่งชนกำแพงกลับมาข้างๆเขา “ข้าอุตส่าห์อยู่เมืองนี้มาได้หลายปี แต่พอเจ้าเข้ามาทุกอย่างก็พังหมด!!”
“ข้าทำอะไรผิด?!!”
“ผิดที่เจ้าตั้งชื่อให้มันไงเล่า!!” เขากระชากเสียงแล้วชี้นิ้วหัวแม่มือไปที่สุนัขป่ากระหายเลือดที่ตามพวกเขามาติดๆ ความจริงมันน่าจะไล่ทันนานแล้วหากไม่ใช่เพราะความคับแคบพอดีของตรอกและกองขยะกีดขวาง
กึง!
อันที่จริง...ตอนนี้ขยะที่กีดขวางมันกระเด็นหายไปแล้ว
“ข้ารู้ทุกอย่างเกี่ยวกับมัน พอเจ้ามาตั้งชื่อ ทุกอย่างก็ตรงตามเงื่อนไขพอดี”
เฮล์มใช้เวลาสั้นๆระหว่างการวิ่งหนีอธิบายทุกอย่างเกี่ยวกับ ‘ความประหลาด’ ของเขาอย่างฉับไว
รูปภาพของเขาไม่ได้กลายเป็นของจริงทุกรูป ไม่ได้จำกัดแค่สิ่งมีชีวิต เพียงแค่รูปนั้นๆตรงตาม ‘เงื่อนไข’ บางอย่างก็สามารถออกมาเป็นของจริงได้
หนึ่ง เขาต้อง ‘รู้’ ทุกอย่างของรูปนั้น
มันคืออะไร? เป็นแบบไหน? เขาต้องรู้รายละเอียดทุกอย่างของมัน
เหมือนอย่างรูเบนส์
ในจินตนาการของเฮล์มรูเบนส์นั้นเป็นสุนัขป่าตัวใหญ่ สูงราวห้าฟุต ขนสีดำ ดวงตาสีแดง เขี้ยวยาว กรงเล็บคมกริบ กระหายเลือด พิสมัยการล่าเหยื่ออย่างโหดร้ายทารุณ มันจะฉีกกระชากเหยื่อออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เมื่อหมายตาเหยื่อตัวไหนแล้วจะไม่มีวันปล่อยไป
น็อคซ์ได้ฟังดังนั้นถึงกับโอดครวญ
“จินตนาการเจ้านี่มันเลวร้ายสิ้นดี!!”
สอง สิ่งนั้นๆต้องไม่มีอยู่จริง
ช่างซ่อมนาฬิกาฟังแล้วขมวดคิ้ว กับรูเบนส์นี่เขาเข้าใจ แต่...
“ถ้าบอกว่าไม่มีอยู่จริง แล้วทำไมแมวป่าที่เจ้าวาดตอนเด็กถึงออกมาได้?”
เฮล์มชักสีหน้าปูเลี่ยนๆ กระโดดข้างลังผุๆระเกะระกะแล้วตอบ
“มันมีสีส้ม”
“หา?” น็อคซ์หยุดชะงัก กรงเล็บของรูเบนส์ตวัดลงมาพอดี เฮล์มกระชากเขาตัวปลิว เล็บนั่นจึงเฉือนได้แค่ต้นแขนเป็นแผลตื้นๆ
“อย่ามาสงสัยอะไรมากมายในตอนนี้ได้ไหม?! ไอ้แมวนั่นมันมีสีส้ม ข้าแค่อยากใส่สีส้ม ไม่เคยมีแมวป่าสีส้ม ดังนั้นมันเลยมีชีวิตขึ้นมาจริงๆไงเล่า!!”
น็อคซ์ร้องอ้อยาวๆแล้วเปลี่ยนเป็นโอ้ย ต้นแขนซ้ายที่ถูกกรงเล็บถากดูจะเจ็บขึ้นเรื่อยๆ เลือดจากปากแผลไหลเอ่อเปียกชุ่มไปทั้งแขนเสื้อแล้วหยดลงมาเป็นทาง
“แล้วจะเอายังไงต่อ?!” น็อคซ์ร้องถาม
“ต้องกำจัดแน่นอนอยู่แล้ว ปล่อยไว้แบบนี้มีหวังคนทั้งเมืองได้ลงไปอยู่ในกระเพาะมันพอดี” เฮล์มถอนหายใจ “เสียดายเป็นบ้า กว่ารูปนี้จะเสร็จข้าใช้เวลาตั้งเกือบอาทิตย์ เจ้ามาไม่ถึงหนึ่งวันทุกอย่างก็พังหมด!”
ช่างซ่อมนาฬิกาตัดสินใจเมินเฉยกับคำด่าตรงๆไม่มีอ้อมมาคิดเรื่องการกำจัดรูเบนส์แทน เวลานี้ไม่ใช่เวลามาไร้สาระ ทำให้เจ้าหมานี่หายไปเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี ก่อนที่จะมีคนมารับเคราะห์เพราะพวกเขาสองคน
ใช่...พวกเขาทั้งสองคน
“ข้าไม่ได้ผิดคนเดียว เจ้าผิดด้วย อย่ามาโบ้ยให้ข้าคนเดียว” น็อคซ์ว่า “เรื่องนั้นช่างมันก่อน บอกวิธีกำจัดมันมา แล้วค่อยคิดกันว่าจะทำยังไงต่อไป”
โครม!
เฮล์มกลอกตาแล้วเอี้ยวตัวเลี้ยวกระทันหัน
“วิธีกำจัดก็ไม่ยากหรอก ในตอนนี้มันคือสัตว์จริงๆ ‘ของจริง’ น่ะนะ ไม่ใช่รูปภาพ ดังนั้นต่อให้เผาไปก็ทำให้มันไหม้เท่านั้น ทางที่ดีเจ้าไปตามทหารรักษาเมือง หรือวิ่งไปตามเจ้าเมืองจะดีกว่า ระหว่างนั้นข้าจะล่อมันให้เอง”
“ล่อ?” น็อคซ์เลิกคิ้ว “รนหาที่ตายชัดๆ ข้าให้เวลาสามนาทีรูเบนส์ตะปบเจ้าแหลกคามือแน่”
“แล้วจะทำยังไง?” ความคิดประเสริฐมาก เขาอุตส่าห์เสียสละเป็นตัวล่อให้ เจ้าช่างซ่อมนาฬิกาเฮงซวยนี่ดันมาแช่งเขาเสียอย่างนั้น แต่คิดๆดูแล้วก็จริงอย่างที่มันพูด เฮล์มไม่มีความมั่นใจเลยว่าคราวนี้เขาจะรอดเงื้อมมือของรูเบนส์ไปได้ เขาสร้างมันมากับมือ ย่อมรู้ดีว่าสุนัขป่าตัวนี้ร้ายกาจแค่ไหน เมื่อหันไปสบตาอีกฝ่ายอย่างขอความเห็น สิ่งที่ได้กลับมาคือรอยยิ้มกว้างยียวนกวนโมโหของน็อคซ์
“ข้ามีแผน”
รูเบนส์วิ่งไล่กวดมาติดๆ เสียงคำรามและเสียงเอะอะครึกโครมจากการวิ่งไล่เริ่มปลุกให้ชาวเมืองตื่นขึ้นในกลางดึก บางคนมองออกมานอกหน้าต่าง แต่ความมืดที่ปกคลุมทั้งเมืองทำให้ไม่เห็นอะไรมากนัก
นานๆทีสุนัขป่าตัวยักษ์จะกระโดดตะครุบ แต่เหยื่อของมันกลับหลบได้ทุกครั้ง ถึงแม้ที่หลบได้มันจะเฉียดฉิวขนาดห่างกันแค่ปลายเส้นผม หรือบางทีก็ทุลักทุเลจนเกือบจะเสียหลักล้ม แต่นั่นก็ยิ่งทำให้รูเบนส์บ้าคลั่งยิ่งขึ้น
เหยื่อของมันเป็นแค่สิ่งมีชีวิตอ่อนแอ เป็นแค่มนุษย์ที่ไม่มีอะไรดีสักอย่างนอกจากก้อนสมองเล็กๆในหัว แต่ทำไมมันถึงไล่ไม่ทัน? อย่างไรเสีย อีกไม่นานมันจะต้องจับได้ มนุษย์อ่อนแอนัก เทียบไม่ได้แม้แต่เศษเสี้ยวกำลังที่มันมี
“เลี้ยวข้างหน้าจะถึงจัตุรัสแล้ว!” ลมหายใจของเฮล์มหนักขึ้น การวิ่งมาเป็นระยะเวลาหนึ่งพร้อมความตึงเครียดจากการหนีเอาชีวิตรอดสร้างภาระหนักหน่วงให้กับร่างกาย นับว่ายังดีที่เขาติดนิสัยออกกำลังกายทุกวัน รูปร่างของเขายังหนากว่า สูงใหญ่กว่าเมื่อเทียบกับช่างซ่อมนาฬิกาข้างๆที่ดูเหมือนกำลังเจอปัญหาใหญ่
น็อคซ์ชักอยากจะร้องโอดครวญออกมาดังๆแล้วทิ้งตัวลงไปกองกับพื้นเสียให้รู้แล้วรู้รอด เลี้ยวข้างหน้า! เลี้ยวข้างหน้าที่ห่างออกไปเกือบห้าสิบหลา! แค่ที่วิ่งมาตลอดทางนี่เขาก็แทบตายแล้ว เจ้าหมอนั่นไม่เหนื่อยบ้างหรือไงกัน?! เขามั่นใจว่าตัวเองไม่ใช่คนอ่อนแอ อย่างน้อยๆอะไหล่นาฬิกาทั้งหมดที่เขาแบกไปมานั่นก็หนักหลายกิโลอยู่ แต่ดูเหมือนพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ ว่างเป็นหลับ ขยับเป็นนอน ไม่คิดแม้แต่จะออกแรงเกินจำเป็นนั่นจะหวนกลับมาทำร้ายเขาเข้าเสียแล้ว ว่าแต่เจ้าหมอนั่นทำได้ยังไง? ใช้ชีวิตอีท่าไหนถึงตัวใหญ่กว่าเขาได้ขนาดนั้น? ว่างๆคงต้องลองถามดูเข้าสักวัน
กัดฟันวิ่งมาจนถึงจัตุรัสกลางเมือง ทั้งสองมุ่งตรงมายังใจกลางของจัตุรัส ถึงจะรู้ดีว่าเวลาไม่มีแต่ก็อดไม่ได้ที่จะก้มลงใช้มือยันหัวเข่าแล้วหอบหนักๆ สูดอากาศเข้าไปให้เต็มปอด
เสียงอึกทึกของรูเบนส์เงียบหายไป ทางที่พวกเขาวิ่งมาไร้วี่แววของสุนัขป่า น็อคซ์และเฮล์มระบายลมหายใจอุ่นจนร้อนแล้วหันมามองหน้า นัยน์ตาต่างสีฉายแววสงสัยออกมาอย่างปิดไม่มิด แต่แผนย่อมต้องเป็นแผน น็อคซ์พยักหน้าให้สัญญาณแล้วเริ่มแยกย้าย
‘แยกกัน?!’ เฮล์มร้อง
‘ตามนั้นเลย’ น็อคซ์ยิ้มแสยะแล้วดีดนิ้วเปาะ ‘ต่อให้เจ้าหมานั่นมันตัวใหญ่ ตาแดง เขี้ยวแหลม เล็บคม ตัวหนัก พลังเยอะ อย่างไรเสียมันก็แบ่งร่างเป็นสองไม่ได้ จริงไหม? หรือไม่จริง? หรือว่าเจ้าโรคจิตขนาดให้มันแยกร่างได้?!’
‘แยกไม่ได้!’ เขาแยกเขี้ยวใส่ ช่างซ่อมนาฬิกาชะงักก่อนจะหัวเราะ
‘ดี! งั้นเราต้องแยกกัน ให้คนหนึ่งดึงความสนใจของมันเสีย ส่วนอีกคนก็รอจังหวะที่จะฆ่ามันทิ้ง ง่ายๆแค่นี้เอง สบายจะตายไป’
‘นั่นมันแทบไม่ต่างจากที่ข้าคิดทีแรกเลยสักนิด!’ น็อคซ์เดาะลิ้น แล้วเร่งความเร็วในการวิ่งขึ้นไปตีคู่กับเฮล์ม
‘ต่างกันสุดๆเลยต่างหาก วิธีของเจ้ามันแน่นอนว่าเจ้าต้องตาย ตายเลยน่ะ ตายแบบเละเป็นชิ้นๆ ขนาดที่ข้าไม่อยากจะตามเก็บศพเจ้าเลยล่ะ’ ช่างซ่อมนาฬิกาหยุดเมื่อเห็นสีหน้าของเฮล์ม ‘แต่วิธีของข้ารับประกันได้ว่าผลที่ดีที่สุดคือเราจะรอดตายทั้งคู่’
แล้วผลร้ายที่สุดล่ะ?
ชายหนุ่มถอนหายใจ
‘ลองเล่าแผนของเจ้ามา’
‘เจ้า’ น็อคซ์ชี้ ‘เป็นตัวล่อ ส่วนข้า จะหาวิธีกำจัดมัน’
‘แล้วเจ้าจะฆ่ามันยังไง? ข้าจะแน่ใจได้แค่ไหนว่าจะไม่ตายก่อนมัน’
รอยยิ้มของน็อคซ์กว้างขึ้นดูสดใสไม่เข้ากับสถานการณ์
‘เดี๋ยวก็รู้’
เปลือกตาขวาของเฮล์มกระตุกถี่ยิบขณะที่เขามองหาอาวุธที่น่าจะใช้ถ่วงเวลาได้ นี่มันลางไม่ดี...เหมือนตั้งแต่เจอช่างซ่อมนาฬิกานี่จะมีแต่เรื่อง ทั้งต้มตุ๋น ยียวน ปลุกรูเบนส์ หนีกันเตลิดเปิดเปิง จนตอนนี้ก็ลากเขามาฆ่ามันทิ้ง จริงอยู่ที่เขาเสียดายรูป แต่ถ้าปล่อยมันไว้จะมีแต่เสียกับเสีย ไม่ฆ่าก็ไม่ได้ ประเด็นอยู่ที่จะฆ่าอย่างไรนั้น...
ตอนนั้นคงได้แต่ไว้ใจหมอนั่น
ทางหางตาของเขา ช่างซ่อมนาฬิกานั่นกำลังง่วนอยู่กับสัมภาระของตัวเอง เขาจำได้รางๆว่าในกระเป๋านั่นมันเหมือนเล่นกล อะไหล่นาฬิกา จักรกลประหลาดๆที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนร่วงพรูออกมาไม่ขาดสายราวกับกระเป๋านั้นไร้ก้น แต่มันมีแค่อะไหล่ไม่ใช่หรือ? แล้วป่านนี้จะไปหาอะไรในนั้น? ความคิดของเฮล์มหยุดชะงักลงเมื่อเหลือบไปเห็นท่อนไม้ยาวขนาดกลางกลิ้งอยู่บนพื้น ชายหนุ่มเดินเข้าไปหยิบ เดาะเล่นในมือ มันยาวประมาณหนึ่งหลา น้ำหนักกำลังดี เสียแต่กว้างไปหน่อย ไม่เหมาะมือเท่าไหร่
ถ้าแค่ถ่วงเวลาคงพอไหว
ในจังหวะที่แยกกันน็อคซ์ก็มุ่งเข้าหากระเป๋าของตัวเองที่ลืมทิ้งไว้ทันที ช่างซ่อมนาฬิการื้อค้นอยู่พักใหญ่ เขาจำได้นี่นาว่าเก็บมันไว้ในนี้... ว่าแต่มันอยู่ไหน? ในนี้? ซอกนี้? ตรงนี้? ก็ไม่ใช่... โดนเครื่องมือกลบฝังหรือเปล่า? คิดได้แล้วจึงเริ่มคุ้ย คุ้ยแล้วคุ้ยอีก พอมองสถานการณ์ฝั่งเฮล์มก็เห็นว่าฝ่ายนั้นหาท่อนไม้มาเดาะเล่นเสียอย่างนั้น อย่าบอกนะว่าจะใช้ไอ้นั่น? ...สุดยอด...หมอนี่มันยอดคนชัดๆ ฟัดกับหมาป่าตัวเท่าวัวด้วยไม้ผุๆ
นี่มันเจ๋งเป็นบ้า
ว่าแต่รูเบนส์มันหายไปไหน? เมื่อครู่ยังตามพวกเขามาอยู่หลัดๆ หรือว่า--
แกร๊ก
ปลายนิ้วมือสัมผัสโลหะเย็นยะเยือกแล้วรอยยิ้มจางๆก็ผุดขึ้นที่ริมฝีปากของน็อคซ์
โครม!!
เลือดสีแดงสาดกระจายออกเป็นวงกว้าง ร่างของเฮล์มถูกสุนัขป่ากดทับไว้ด้วยน้ำหนักตัวเกือบทั้งหมดของขาหน้า บาดแผลจากคมเขี้ยวที่บ่าขวาหลั่งเลือดออกมาอย่างรวดเร็ว กลิ่นสนิมชวนคลื่นเหียนคละคลุ้งไปทั่วจัตุรัสเรียกเสียงคำรามจากรูเบนส์ได้เป็นอย่างดี
มันพลาด! พลาดได้อย่างไม่น่าเชื่อ! เหยื่อของมันยืนอยู่ตรงหน้าไร้ทางป้องกัน ส่วนมันที่เฝ้ารอจังหวะอยู่ในเงามืดกลับจู่โจมพลาดอย่างไม่น่าให้อภัย รูเบนส์กระโจนออกมา หมายกระชากทึ้งเหยื่อเป็นชิ้นๆ แต่มนุษย์ผู้นี้กลับไหวตัวทันในช่วงวินาทีสุดท้าย อาวุธในมือถูกยกขึ้นมาฟาดสร้างรอยถากลึกลากยาวตั้งแต่ดวงตาจนถึงปลายจมูก คมเขี้ยวที่หมายขย้ำบั่นคอพลาดเป้าไปโดนบ่าขวาเข้าอย่างจัง
แผลไม่ลึกเท่าที่คิด
เฮล์มถอนหายใจอย่างโล่งอก ถึงจะไม่ใช่สถานการณ์ที่น่าวางใจแต่อย่างน้อยเขาก็ไม่ต้องกลัวว่าจะตายเพราะถูกหมากัด ...หมายถึง ‘ในตอนนี้’ แต่ถ้าในอนาคตอันใกล้ก็ไม่แน่ ชายหนุ่มเกร็งกล้ามเนื้อทุกมัดพยายามคว้าท่อนไม้ที่สร้างบาดแผลให้รูเบนส์ได้ให้กลับมาอยู่ในมือ แต่เจ้าขาหน้าของมันดูเหมือนจะเป็นอุปสรรคใหญ่หลวงอยู่ ตอนนี้รูเบนส์กำลังคลั่ง ถ้าเจ้าช่างซ่อมนาฬิกายังไม่ลงมือ ไม่เกินหนึ่งนาที เขาตายแน่นอน
ในขณะนั้น ทุกวินาทีเหมือนเป็นชั่วโมง
รูเบนส์สะบัดหัว ขับไล่ความมึนงง แล้วหันกลับมาหาเหยื่อใต้อุ้งเท้าด้วยนัยน์ตาที่ระอุยิ่งกว่าเดิม
น็อคซ์คว้าของในกระเป๋า แล้ววิ่งเข้ามาสุดฝีเท้า
รูเบนส์แสยะเขี้ยว เหยื่อของมันไม่มีทางหนี
ร่างกายของเฮล์มนิ่งแข็งค้าง ลมหายใจเหมือนถูกสะกดให้หยุด
สุนัขป่ากดอุ้งเท้าอย่างหนักหน่วง มันจะไม่ประมาท เหยื่ออีกคนของมันกำลังวิ่งมา นั่นไม่ใช่จุดที่น่าสนใจ
เหยื่อของมันในตอนนี้...น่าสนใจยิ่งกว่า
ทุกอย่างเกิดขึ้นในเสี้ยววินาที
รูเบนส์พุ่งเข้ามา ดวงตาของเฮล์มเบิกกว้าง น็อคซ์ตะโกนลั่น
เหมือนเวลา จะหยุดไป
ปัง!!
ภาพแรกที่เห็นหลังจากลืมตาขึ้นมาคือคมเขี้ยวของรูเบนส์ในระยะประชิด
ลมหายใจของเฮล์มสะดุดเฮือก แต่สุนัขป่าก็ไม่ได้ขยับเข้ามาใกล้อีก มันนิ่งไปแล้ว...ทำไม? เขาเริ่มสังเกตรูเบนส์อย่างละเอียด ก่อนจะพบว่าเลือดสดๆไหลออกมาจากบริเวณเหนือดวงตาของมัน เลือดของมันส่งกลิ่นฉุนกึก เมื่อรวมกับกลิ่นสาบสางจากตัวมันก็สุดจะบรรยาย เฮล์มชักสีหน้าก่อนจะพยุงตัวเองออกมาจากใต้ร่างของมัน เพราะระวังไม่ให้กระเทือนบาดแผลที่บ่าขวาจึงค่อนข้างทุลักทุเลไม่น้อย
เฮล์มลุกขึ้นยืนเต็มสองขาอย่างไม่มั่นคงนัก หัวใจเต้นกระหน่ำรุนแรงเหมือนจะระเบิด เขาปรับลมหายใจให้คงที่ ตอนนี้ไม่มีอะไรต้องกลัว มันตายแล้ว ไม่ต้องกลัว
แล้วช่างซ่อมนาฬิกานั่นไปไหน?
ชายหนุ่มกวาดตามองไปทั่ว ก่อนจะสะดุดอยู่ที่ร่างของน็อคซ์
ช่างซ่อมนาฬิกานอนแผ่หลาอยู่กลางจัตุรัส แขนขาปะป่ายไม่เป็นทิศทาง หน้าอกสะท้อนขึ้นลงอย่างหนักหน่วง เมื่อสาวเท้าเข้าไปใกล้ก็พบว่าใบหน้าของน็อคซ์ซีดขาว เหงื่อเกาะพราวไปทั่วทั้งใบหน้า ดวงตาสีน้ำเงินเข้มดูอ่อนล้า แต่รอยยิ้มยียวนอารมณ์ดีก็ยังส่งมาให้เขาอย่างสม่ำเสมอ แล้วยื่นมือขวาให้กับเขา
“ฉุดที...”
เฮล์มตอบรับคำขอนั้นอย่างไม่อิดออด
“เมื่อครู่เจ้าทำ--!!”
เฮล์มถูกมือขาวซีดแลดูไร้เรี่ยวแรงกระชากลงมานอนกองกับพื้น ชายหนุ่มสบถออกมาเป็นชุดแล้วตวัดสายตามองตัวการที่หัวเราะร่าไม่แยแสใครอย่างขุ่นเคือง
“ข้าเกือบตายเพราะแผนของเจ้า ยังมีหน้ามาหัวเราะอีกเหรอ?!”
“น่า ก็แค่เกือบเอง แต่ข้ามาทันพอดีใช่ไหมล่ะ?” เสียงระรื่นไม่ทุกข์ร้อนของน็อคซ์เรียกสีหน้าเหนื่อยหน่ายของเฮล์มออกมาอย่างปิดไม่มิด แต่ก็จริงอย่างที่มันว่า เขาไม่ตาย หมอนั่นไม่ตาย กำจัดรูเบนส์ได้ ทุกอย่างลงตัวไปหมด ลงตัวจนเขาเผลอหลุดหัวเราะออกมา
น็อคซ์เบิกตากว้าง มองเขาอย่างไม่อยากเชื่อ
อย่าว่าแต่หมอนั่นเลย เขาเองก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน นานแล้วที่ไม่ได้หัวเราะแบบนี้ เพราะเหตุนั้นเฮล์มจึงยิ้ม ยิ้มทั้งใบหน้าและแววตา แล้วส่งมันให้กับช่างซ่อมนาฬิกาอย่างนึกขอบคุณอยู่ในที
น็อคซ์กับเขาหัวเราะออกมาพร้อมๆกัน
“จะว่าไป เจ้าฆ่ามันด้วยอะไรน่ะ?” เฮล์มเอ่ยถาม เขาข้องใจเรื่องนี้ตั้งแต่รับรู้ว่าตัวเองยังไม่ตาย เวลาเพียงเสี้ยววินาที ช่างซ่อมนาฬิกาอยู่ห่างออกไปไม่ต่ำกว่าห้าหลา ยังไงก็ไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะฆ่ารูเบนส์ได้ทัน
“นั่นสินะ” น็อคซ์ยิ้ม “มันตายได้ยังไง ข้าเองก็ชักสงสัยแล้วสิ”
“อย่ามายียวน” เฮล์มกระแทกสันมือเข้าที่หน้าอกของน็อคซ์ดังอั่ก “ข้ารู้ว่าเป็นเจ้า เฉไฉยังไงตอนนี้ข้าก็ไม่ปล่อยเจ้าไปแน่ๆ”
ช่างซ่อมนาฬิกาลูบบริเวณที่ถูกกระแทกก่อนจะตอบเสียงอ่อยแล้วโยนของสิ่งหนึ่งไปข้างตัวเฮล์ม
“เจ้านี่ไง”
นั่นคือปืนกระบอกหนึ่ง
ลำกล้องของมันเป็นโลหะมีสีเงินแวววาว ประกับปืนทำด้วยโลหะสีดำสนิทมีริ้วรอยขีดข่วนดูสมบุกสมบัน มันเป็นปืนลูกโม่แบบบรรจุกระสุน .44 มิลลิเมตรห้านัดซึ่งในเวลานี้มันหายไปหนึ่ง ลำกล้องของมันค่อนข้างยาว บางส่วนฉลุลวดลายหรูหรา มีราคาเกินกว่าที่คนปกติจะหาซื้อได้
เฮล์มไม่เคยเห็นอาวุธปืนในระยะใกล้ขนาดนี้ มันหาได้ไม่ง่าย แต่ก็หาไม่ยากเช่นกัน โดยส่วนมากมันอยู่กับทหารรักษาเมืองหรือพวกขุนนาง พวกผู้ดีมีอันจะกินนิยมพกพากันไว้เพื่อแสดงฐานะมากกว่าป้องกันตัว
ชายหนุ่มเหลือบมองช่างซ่อมนาฬิกาด้วยความสงสัย ชาวบ้านธรรมดาจะไม่ซื้อเพราะมันมีราคาแพง อีกทั้งยังเป็นสินค้าที่นำเข้าจากต่างแดนเหมือนกับนาฬิกา การดูแลรักษาจึงค่อนข้างยาก นอกจากพวกพ่อค้า คาราวานใหญ่ๆที่จะมีปืนลูกซองยาวๆไว้ต่อสู้ป้องกันตัวเองจากกลุ่มโจรแล้ว เขาก็ไม่เคยเห็นว่าคนธรรมดาที่ไหนจะมีมันสักคน
ช่างซ่อมนาฬิกาที่หายาก กับปืนที่หาไม่ได้ง่ายๆ
ช่างเป็นการจับคู่ที่ลงตัวเสียจริง
เฮล์มตัดสินใจไม่เอ่ยปากถามที่มาของปืนกระบอกนี้กับช่างซ่อมนาฬิกา อย่างไรเสียก็ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเขา ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องขุดคุ้ยหรือยื่นมือเข้าไปยุ่งกับอีกฝ่ายให้มากความ ชายหนุ่มเดาะกระบอกปืนในมือสองสามครั้งก่อนจะส่งคืนให้เจ้าของแล้วชันตัวลุกขึ้นนั่งแต่ไม่วายถูกน็อคซ์รั้งไว้ด้วยประโยคที่แทบจะทำให้เขานิ่งค้าง
“ว่าไปแล้ว... เจ้าชื่ออะไร?”
เฮล์มเงียบ
นั่นสิ
แล้วหมอนั่นชื่ออะไรล่ะ?!
น็อคซ์และเฮล์มมองหน้ากันด้วยสายตาแปลกประหลาด ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่ฉุกคิดเลยแม้แต่น้อยเรื่องของชื่อ ในคราวแรกที่ได้เจอกับเฮล์มนั้นมีเรื่องกันจึงดูไม่จำเป็นที่จะต้องสนใจ ต่อมาเจอกรณีของรูเบนส์เข้าไปก็เอาแต่หนี ไม่มีเวลาจะมาพะวักพะวนเรื่องชื่อเข้าไปอีก และทั้งหมดนั่นดูเหมือนจะมีเหตุเพียงพอที่พวกเขาจะไม่รู้จักกันแม้แต่ชื่อ
ดวงตาของทั้งคู่ว่างเปล่าไปชั่วขณะหนึ่ง
“ข้า ‘น็อคซ์’ ช่างซ่อมนาฬิกาจากแดนใต้”
น็อคซ์ผุดลุกขึ้นนั่งแล้วยื่นมือให้
“ ‘เฮล์ม’ เฮล์ม คาร์ลาน จิตกรแห่งเมืองดูเครย์”
เฮล์มยื่นมือออกไปจับ น็อคซ์หดมือกลับไป
ไอ้หมอนี่...
“จิตกร จิตกร จิตกร แปลก ว่ายังไงดี มันแปลกๆ” น็อคซ์ใช้มือที่หดกลับมาลูบคางอย่างครุ่นคิด “ จิตกร นักวาดภาพ มันแปลก ไม่เข้ากับเจ้าพิลึก ตลกดีแปลกๆ รึไม่แปลก? แต่ข้าว่าแปลก ...ใช่ มันแปลกๆ”
เฮล์มชักสีหน้า อารมณ์ของเขายังกรุ่นกับเหตุการณ์เมื่อครู่ แล้วนี่อะไร? อาชีพเขาแปลก? คำพูดนี้น่าจะย้อนไปหาเจ้าตัวเสียมากกว่า เจ้าช่างซ่อมนาฬิกานิสัยเสีย
“แล้วเจ้าจะเอา--”
น็อคซ์ดีดนิ้วเปาะ
“คิดออกแล้ว ว่าแล้วเชียวว่าทำไมมันแปลก”
คราวนี้เฮล์มเริ่มอยากฆ่าคน
กี่ครั้งกี่หนที่เขาจะพูดแล้วเจ้าหมอนี่... น็อคซ์ขัดเขาด้วยการกระทำหรือคำพูดที่จู่ๆก็โผล่งขึ้นมากลางคัน?! หรือคราวหน้าคราวหลังเขาควรหาผ้ามาอุดปาก มัดมือมัดเท้า จะได้ไม่ต้องพูดหรือทำอะไรที่ขัด--
“ข้าจะเรียกเจ้าว่า -นักวาดฝัน- ”
เฮล์มค้างกำปั้นที่ง้างไว้กระทันหัน คิ้วของน็อคซ์เลิกขึ้นน้อยๆกับท่าทางของเฮล์มก่อนจะปล่อยผ่านไปแล้วเริ่มสาธยายถึงคำของตนที่ชะงักเฮล์มไว้ได้
“คำว่าจิตกรหรือนักวาดภาพมันแปลก แปลกเพราะเจ้าไม่ธรรมดา ภาพที่เจ้าวาดไม่ใช่ของดาษดื่นทั่วไป มันหาไม่ง่าย อันที่จริง ข้าว่ามันหาไม่ได้อีกแล้วมากกว่า” ช่างซ่อมนาฬิกายิ้มออกมา “เจ้าวาดมันออกมาจากจิตวิญญาณ จากความฝัน เจ้าสร้างมันขึ้นมา รู้ทุกสิ่งเกี่ยวกับมัน มอบชีวิตให้มัน เจ้าพิเศษยิ่งกว่าใคร นั่นทำให้เจ้า ‘เฮล์ม’ เป็น ‘นักวาดฝัน’ ”
เฮล์ม นิ่งงันไป มือทั้งสองข้างทิ้งลงข้างตัว แล้วครุ่นคิดถึงทุกๆคำพูดของช่างซ่อมนาฬิกา
“นับแต่นี้ เจ้าไม่ใช่จิตกร เฮล์ม คาร์ลาน เจ้าคือนักวาดฝัน”
‘นักวาดฝัน’ ทอดสายตามองน็อคซ์ รอยยิ้มรื่นเริงดูไม่ทุกข์ร้อนจุดบนริมฝีปาก นึกยังไงถึงได้มาตั้งชื่ออาชีพของเขาพิลึกๆอย่างนั้น แต่พูดไปตอนนี้คงไม่มีประโยชน์ คิดได้ดังนั้นเขาจึงระบายลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่
เพราะมันก็ไม่ได้เลวร้ายไปเสียทีเดียว
“อยากทำอะไรก็ตามใจเจ้าเถอะ” เฮล์มผุดลุกขึ้น ปัดเศษฝุ่นตามเนื้อตัว คราบเลือดของรูเบนส์เปื้อนเต็มไปหมดจนไม่เหลือสภาพ ชายหนุ่มยืดกล้ามเนื้อคลายความเมื่อยขบ ร้องโอยเบาๆเมื่อกระทบแผลที่บ่า แล้วเริ่มก้าวเท้าเดินออกไป
“จะไปไหนน่ะเฮล์ม?” น็อคซ์ยันตัวลุก กวาดสัมภาระของตัวเองอย่างรวดเร็วแล้ววิ่งตาม
“กลับห้อง เก็บของ เตรียมเผ่น”
“เผ่น?” เฮล์มพยักหน้า
“ศพหมาป่ายักษ์ตายคาที่ เสียงตอนวิ่งหนีลั่นไปทั่วเมือง แล้วเสียงตอนที่เจ้ายิงปืนเมื่อครู่ก็คงไม่ต้องพูดถึง ถ้าเจ้าลองฟังดีๆจะได้ยินชาวเมืองเริ่มออกจากบ้านมาแล้ว ตอนที่วิ่งอยู่ข้าเห็นคนเปิดหน้าต่างมาดู ดีไม่ดีจะมองเห็นด้วยซ้ำ ต่อให้มองไม่เห็นข้าก็จะออกจากเมืองอยู่ดี”
น็อคซ์คิดตามแล้วพยักหน้าอย่างเห็นด้วย ต่อให้ทำทีเป็นไม่รู้ไม่ชี้ก็คงไม่รอด อย่างไรเสียนี่ก็เป็นความผิดของพวกเขาจริง หากตีหน้าซื่ออยู่ต่อไปคงจะไม่ดีต่อตัวเองสักเท่าไหร่ นึกแล้วก็ต้องครางออกมาในลำคออย่างเสียดาย นี่เขาเข้ามาในเมืองนี้ยังไม่ถึงวันเลยนะ จริงอยู่ที่วันนี้วิ่งไปเสียค่อนเมือง แต่นั่นแทบจะไม่มีประโยชน์อะไรเมื่อหนีรูเบนส์ หอสมุดของเมืองก็ยังไม่ได้ไป สงสัยว่าที่อุตส่าห์มาถึงดูเครย์จะไม่มีประโยชน์อะไรเลยเมื่อต้องระเห็จออกนอกเมืองก่อนเวลาเพราะชนักติดหลังและความวุ่นวายที่จะตามมา
“เจ้าบอกจะออกจากเมือง คิดหรือยังว่าจะไปไหนต่อ?”
“ไม่รู้” เฮล์มไหวไหล่อย่างไม่ยี่หระ สาวเท้าต่อไปบนถนน “อาจจะเดินทางไปเรื่อยๆ แวะเมืองนั้น หยุดเมืองนี้ อาจจะรอจนข่าวเงียบลงแล้วกลับมาอีกที หรือไม่ก็ไม่กลับมาอีกเลย มันก็แค่นั้นแหละ”
“สรุปคือยังไม่มีจุดหมายแน่นอน?”
“ทำนองนั้น”
น็อคซ์ยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่เฮล์มกล่าวกับคนอื่นในภายหลังไว้ว่า--
...มันไม่น่าไว้ใจเลยสักนิด...
เฮล์มหรี่ตาลง สัญชาตญาณภายในกำลังกรีดร้องว่าอย่าไปฟังมันต่อแม้แต่นิดเชียว
“ไหนๆเจ้าก็ยังไม่มีจุดหมายปลายทางแน่นอน” น็อคซ์เริ่ม “เท่าที่ดูแล้วเจ้าเป็นพวกชอบเรื่องตื่นเต้นไม่น้อย หน่วยก้านเจ้าก็ไม่เลว ไม่อยากยอมรับหรอกนะ แต่เจ้าก็สูงกว่าข้า ตัวใหญ่กว่าข้าจริง แถมดูๆแล้วเจ้าเป็นพวกไม่ชอบเรื่องน่าเบื่อ ซ้ำซาก จำเจด้วย จริงไหม?”
เฮล์มนิ่ง ไม่ยอมตอบ รอดูว่าเจ้าคนมากเล่ห์จะมาไม้ไหน
น็อคซ์ที่ดูเหมือนจะรู้ความคิดนั้นก็ยิ้มออกมากว้างกว่าเดิมอย่างถูกใจนัก
“ไม่สนใจร่วมทางไปกับข้าหรือ เฮล์ม คาร์ลาน”
คำตอบที่น็อคซ์ได้คือดวงตาคมกริบที่ตวัดมามองอย่างเย็นเยียบ
“ไปไหน?”
“ไปนั่น ไปนี่” น็อคซ์ย่างก้าวกระโดดไปดักหน้าเฮล์ม “ขึ้นเหนือ ลงใต้ เบนเข็มตะวันออก วกกลับมาตะวันตก ตัดผ่านเมือง มุ่งสู่ป่า อะไรก็ได้ ที่ไหนก็ได้”
“เพื่ออะไร?” เฮล์มหยุดเดินแล้วมองลึกเข้าไปในดวงตาสีน้ำเงิน
รอยยิ้มของน็อคซ์ดูจะไม่น่าไว้ใจมากขึ้น
“ตามหาบางสิ่ง”
“หาอะไร?”
ดวงตาสีน้ำเงินเข้มทอประกายขึ้นมาวูบหนึ่ง
“ ‘นาฬิกาไร้กาล’ ”
ความคิดเห็น