ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    L'Horloge เรื่องเล่าของเข็มนาฬิกา

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่หนึ่ง : ช่างซ่อมนาฬิกา

    • อัปเดตล่าสุด 8 ส.ค. 56




     

    บทที่หนึ่ง

    ช่างซ่อมนาฬิกา

     

     

    หนึ่งคือผู้คู่เคียงครองความสุข

    ไร้สิ้นทุกข์เพศภัยไม่ห่วงหา

    รอนแรมผ่านภูดินผินเวลา

    เพียรตามหานาฬิกาซึ่งไร้กาล”

     


     

     เกวียนสีทึบเล่มเล็กเทียมม้าแก่สองตัวเคลื่อนตัวอย่างเนิบนาบไปตามถนนดินสีอ่อนจาง บนเกวียนบรรทุกลังผลไม้จนเกือบเต็มพื้นที่ สายบังเหียนกระตุกรั้งแล้วสะบัดลงไม่แรงนักกระตุ้นให้เจ้าสัตว์สี่กีบวิ่ง ควบเร็วขึ้นแม้เพียงนิด เจ้าของเกวียนทอดสายตาไปยังเบื้องหน้า พ่นควันจากการสูบกล้อง แล้วหันไปตะโกนเรียกผู้โดยสารที่ติดมา

    เจ้าหนุ่ม! จะถึงเมืองดูเครย์แล้ว เจ้าว่าจะลงที่นี่ใช่ไหม?” นักเดินทางที่เจอกันโดยบังเอิญขานรับเอื่อยๆ ลุกขึ้นมาสะบัดหัว มองไปตามสายตาเจ้าของเกวียน เมืองขนาดกลางไม่เล็กไม่ใหญ่อยู่ใกล้จริงอย่างที่ว่า คิดได้ดังนั้นจึงเริ่มเก็บข้าวของ หยิบกระเป๋าใบเขื่องขึ้นสะพายไหล่ กระชับสายเข็มขัดให้แน่น คว้าผลไม้ติดมือ แล้วกระโดดลงเมื่อถึงที่หมาย

    ขอบคุณท่านลุงมาก ถ้าไม่มีท่านป่านนี้ข้าคงแห้งตายอยู่ข้างทางนักเดินทางฉีกยิ้มกว้าง

    ถือว่าตอบแทนที่เจ้าซ่อมไอ้หนูนี่ให้ข้าแล้วกัน ชายแก่พูดกลั้วหัวเราะพลางตบลงบนกระเป๋าเสื้อแล้วร้องถาม แต่เจ้าก็แปลกดี นักเดินทางน้อยคนจะมาเมืองนี้ มีอะไรให้น่าสนใจรึ นักเดินทางแปลกๆที่ว่าหัวเราะร่วนก่อนตอบ

    เปล่าเลยท่านลุง ข้าไม่ใช่นักเดินทางหรอกชายแก่เลิกคิ้วเป็นเชิงถาม รอยยิ้มกว้างมากขึ้นปรากฏบนใบหน้าของคนที่ไม่ได้เป็นนักเดินทาง แล้วขยิบตาให้ก่อนจะทิ้งประโยคสุดท้ายเป็นการจากลา

    ข้าเป็นช่างซ่อมนาฬิกา
     

     

    ช่างซ่อมนาฬิกาชื่อน็อคซ์ เดินทางมาจากแดนใต้ ท่องไปทุกถิ่นแดน ตามหาสิ่งหนึ่งตามคำสั่งของอาจารย์ น็อคซ์ค้นหาจากในตำราหลายร้อยเล่ม รื้อค้นจากตำนานอีกนับพัน พบแต่เพียงคำบอกเล่าที่ดูเกินจริงและสมุดบันทึกเล่มเก่าที่เคยติดตัวอาจารย์ แม้จะไม่แน่ใจนักแต่ช่างซ่อมนาฬิกาก็ตัดสินใจออกเดินทาง น็อคซ์ออกเดินทางมาสองเดือน หรือสามเดือน เขาเองก็จำไม่ได้นัก เขาเดินทางตามข่าวลือ คำบอกเล่าที่เขาได้ยินมาระหว่างทาง ตำนานในหนังสือ และสมุดบันทึกที่มีเท่านั้น

    เบื้องหน้าเขาเป็นประตูเมืองขนาดใหญ่ ชายหนุ่มหยุดมองสำรวจมันอยู่สักพักแล้วจึงเดินเข้าเมือง น็อคซ์หาที่พักเป็นอันดับแรก เขาตัดสินใจหลังจากสอบถามโรงแรมอื่นมาถึงสามที่ โรงแรมที่เขาจ่ายเงินเข้าพักอยู่ทางตะวันตกของเมือง หลังจากต่อราคาและยื่นข้อเสนอการซ่อมบำรุงนาฬิกาตั้งพื้นเรือนใหญ่ให้แบบ ฟรีๆเขาก็ได้ห้องพักขนาดกลางในราคาถูก ทันทีที่ได้รับกุญแจมาเขาก็โยนสัมภาระเสื้อผ้าลงบนเตียง เดินออกจากโรงแรมแล้วสำรวจเมืองด้วยความตื่นเต้น

    ...ดูเครย์ เมืองแห่งศิลปิน... พ่อค้าที่เจอกันในร้านเหล้าคุยฟุ้งเรื่องของเมืองนี้ ให้ช่างซ่อมนาฬิกาฟังหลังจากเหล้าเข้าปาก ตามคำบอกเล่าเมืองนี้เฟื่องฟูด้วยศิลปิน การค้าขายหลักคือภาพเขียน สร้างกำไรให้กับเมืองมหาศาล ภายหลังจึงมีการประกวด งานประมูล เรียกให้นักวาดภาพจำนวนมากไม่เว้นแม้แต่มือสมัครเล่นทยอยกันเข้ามาประชัน ฝีมือ หวังว่าซักวันฝีมือของตนจะได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยว และเศรษฐี

    น็อคซ์ไม่ใช่คนที่มีอารมณ์สุนทรีย์ไปกับศิลปะมากนักก็ยังอดไม่ได้ที่จะตื่นตาตื่น ใจไปกับสถาปัตยกรรมของเมือง ชายหนุ่มแวะแผงผลไม้ ซื้อขนมแปลกตาติดมือ ถามหาที่ๆจะตั้งแผงซ่อมนาฬิกาได้ แล้วยิ้มกว้างแทนการขอบคุณ

    แม่ค้าพ่อค้าร้องบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าให้ไปจัตุรัสกลางเมือง ที่นั่นมักมีนักวาดภาพจำนวนมากมาตั้งแผงวาดรูปแลกเงิน น็อคซ์ตกลงใจไปยังจัตุรัส แว่วเสียงตะโกนไล่หลังมาว่าจะแวะไปใช้บริการ ชายหนุ่มจึงหัวเราะร่าอย่างรื่นเริงตอบกลับไป

    นาฬิกามีได้ทุกคน ทุกคนล้วนมีนาฬิกา หนึ่งเรือน สองเรือน หรือหลายสิบเรือนย่อมมีได้ แต่ช่างที่จะมาซ่อมกลับมีเพียงหยิบมือ นาฬิกาทุกเรือนล้วนมาจากต่างแดน อาณาจักรวาลินอร์แห่งนี้ไม่มีใครสร้าง ช่างซ่อมนาฬิกาที่ควรจะมีมากจึงยิ่งน้อยลงไปใหญ่เมื่อชาวต่างถิ่นที่นำมันมา ค้าขายไม่ยอมเผยแพร่ศาสตร์แขนงนี้ แต่น็อคซ์เป็นข้อยกเว้น

    ชายหนุ่มแบกกระเป๋าสะพายข้างเดินมาจนถึงจัตุรัสกลางเมือง มองไปรอบๆด้วยความตื่นตาตื่นใจ ที่นี่มีแผงนานาชนิดอย่างที่พ่อค้าแม่ค้าบอกไม่มีผิด ทุกแผงล้วนเป็นงานฝีมือที่หาได้ยากในเมืองอื่น เมื่อเดินดูรอบๆจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีช่างซ่อมนาฬิกาอื่นนอกจากเขาจึงไปลงทะเบียนและจ่ายเงินห้าสิบเหรียญทองแดงเป็นค่าตั้งแผง

    น็อคซ์แบกเก้าอี้ไม้ที่ได้รับมาหลังจากลงทะเบียนเสร็จเดินไปมาก่อนจะลงหลักปักฐานใกล้กับมุมล่างของจัตุรัส  โยนกระเป๋า ลงบนพื้น บิดไหล่จนกระดูกลั่นกร๊อบ ยืดกล้ามเนื้อที่ตึงเปรี๊ยะทุกส่วนเหมือนจะออกกำลังกาย แล้วหยิบไม้กระดานที่ตกแถวๆนั้นมาเขียนเป็นป้ายอย่างง่ายๆว่า รับซ่อมนาฬิกา
     

    ตอนนี้ร้านเขายังว่าง ชายหนุ่มจึงกวาดตามองไปรอบๆแทน เสียงวี้ดว้ายครื้นเครงของสาวน้อยวันแรกรุ่นดังมาจากร้านตรงข้าม ดวงตาสีน้ำเงินหันไปจับจ้อง ผ้าใบพร้อมขาตั้งขนาดใหญ่บอกชัดเจนว่ารับวาดรูป เจ้าของร้านตรงข้ามเขาพอจะดูออกว่าเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ จากที่เขานั่งอยู่เห็นเพียงเส้นผมสีน้ำตาลทองไหวเบาๆ ลูกค้าสาวๆมุงล้อมบดบังชายหนุ่มและรูปที่เขาวาดจนมิด แต่จากผลงานที่เห็นวางตั้งโชว์อยู่ใกล้ๆนั้นพอจะรู้ว่าเก่งมากพอสมควร คิดสะระตะกับตัวเองอยู่ดีๆก็ต้องสะดุ้งน้อยๆเมื่อสาวน้อยนางหนึ่งจากร้านตรง ข้ามเจ้าของเสียงจอแจแยกตัวออกมายืนจ้องหน้าเขา น็อคซ์ฉีกยิ้มการค้าต้อนรับทันที

    ท่านเป็นช่างซ่อมนาฬิกาหรือ?” สาวน้อยตรงหน้าเอียงคอถาม ดูเป็นสาวแรกรุ่นอายุเพียงสิบหก

    เจ้าว่าข้าเป็นหรือ?” น็อคซ์ถามกลับ

    ก็ท่านเขียนป้ายไว้ว่าเป็น

    งั้นข้าก็จะเป็นให้เจ้ารอยยิ้มของคนบอกว่าเป็นเหมือนจะกว้างขึ้น ในเมื่อข้าเป็น เจ้าก็ส่งนาฬิกาพกที่อยู่ในกระเป๋ากระโปรงเจ้ามาสิ ข้าทายว่าเข็มมันไม่เดิน

    ไม่จริงหรอก เมื่อเช้าข้ายังเห็นมันเดินอยู่เลยเด็กสาวค้าน ล้วงเอานาฬิกาพกสีเงินเรือนเล็กออกมาจากกระเป๋า ตั้งใจจะกดเปิดฝาให้ดู น็อคซ์ยื่นมือไปกันไว้แล้วยิ้มเผล่ ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนแล้วประกาศออกไปด้วยเสียงอันดัง

    ข้าเป็นช่างซ่อมนาฬิกา ข้าขอทายนาฬิกาของสุภาพสตรีผู้นี้ ช่างซ่อมนาฬิกาดึงเด็กสาวให้ลุกขึ้น ข้าขอทายว่าเข็มของมันหยุดเดิน และหยุดที่เวลาแปดนาฬิกา สี่สิบสองนาทีไม่ขาดไม่เกิน

    ด้วยเสียงประกาศดังชัดเจน ไม่นานนักก็มีฝูงชนไม่ต่ำกว่าสิบคนเข้ามามุงล้อม หลายคนส่งเสียงฮือฮาเมื่อรู้ว่ามีช่างซ่อมนาฬิกาเข้ามาในเมืองก็พากันกระจาย ข่าว อีกหลายคนมีท่าทีตื่นเต้นกับสิ่งที่ชายหนุ่มตะโกนออกมา พากันลุ้นว่าจะจริงดังที่ว่าหรือไม่ แต่ก็ยังมีบางส่วนที่...

    ข้าไม่เชื่อชายวัยกลางคนตะโกนออกมา

    คิ้วของน็อคซ์เลิกขึ้นน้อยๆ รอยยิ้มยังไม่จางหาย แล้วส่งเสียงเชื้อเชิญให้ออกมาใจกลางวง

    ท่านไม่เชื่อข้าหรือว่ามันหยุดเดินจริง?” ชายแปลกหน้าแค่นเสียงในลำคอ

    พวกช่างซ่อมนาฬิกาลวงโลก เจ้าบอกว่าเข็มหยุด ใครจะไปรู้ว่ามันหยุดจริงในเมื่อเจ้าอาจจะทำให้มันหยุดเองก็ย่อมได้ ชายคนเดิมเชิดหน้าขึ้นแล้วหัวเราะเยาะ ที่สำคัญเจ้าจะเป็นช่างซ่อมนาฬิกาจริงหรือเปล่าก็ไม่มีใครรู้ ดีไม่ดีเจ้าอาจเป็นพวกนักต้มตุ๋นปาหี่อย่างพวกพ่อมดหมอผีกิ๊กก๊อกจากทาง ตะวันออกก็ได้

    รู้ทั้งรู้ว่าคนตรงหน้ากำลังยั่วโมโหเขาด้วยคำดูถูกแต่น็อคซ์ก็เพียงแค่ยิ้มรับ ในขณะที่คนบางกลุ่มที่เริ่มเห็นด้วยกับที่ชายคนนั้นพูดแล้ววิจารณ์กันอื้ออึง ชายหนุ่มกลับผายมือไปหาคนตรงหน้าแล้วยื่นข้อเสนอ

    งั้นเรามาลองพนันกันน็อคซ์เอ่ยท้า มาพนันกัน ระหว่างข้ากับพวกท่าน นาฬิกานี้จะหยุดเดิน? หรือมันจะเดิน? แต่ข้าว่าหยุดนะ

     ยิ่งช่างซ่อมนาฬิกาที่หันมาเปิดโต๊ะพนันตะโกนบอกอัตราต่อรองมากเท่าไหร่ คนยิ่งมามุงมากขึ้นทุกที ไม่นานนักชาวเมืองและขาจรที่มาเดินจัตุรัสกว่าครึ่งก็มารุมล้อมอยู่ที่ร้าน ซ่อมนาฬิกาของเขาคนเดียว

    น็อคซ์เผยรอยยิ้มจางๆมุมปาก แผนนี้สำเร็จทุกครั้งที่ใช้ ทีแรกอาจโดนด่านิด หลังจากนี้อาจลำบากหน่อย แต่เงินที่ได้ก็คุ้มค่าพอ ช่างซ่อมนาฬิกาเรียกเงินจากผู้ตกลงเล่นพนันในครั้งนี้คนละหนึ่งเหรียญทองแดง หากนาฬิกาเรือนนี้ไม่ได้หยุดอย่างที่ชายหนุ่มพูด ทุกคนจะได้เงินคืน และช่างซ่อมนาฬิกาก็รับปากจะซ่อมนาฬิกาให้พวกเขาโดยไม่คิดเงิน ข้อเสนอนี้ทำเอาหลายคนตื่นตัว ช่างซ่อมนาฬิกาหาไม่ง่าย ดังนั้นซ่อมฟรีไม่คิดเงิน หาให้ตายก็คงเจอเมื่อตาย

    ว่ากันว่าการซ่อมนาฬิกาของช่างเหล่านี้ประหลาดนัก บ้างก็ว่าทุกอย่างเหมือนถูกหยุดเวลา รู้ตัวอีกทีก็เสร็จเสียแล้ว บ้างก็ลือกันว่าทันทีที่เริ่มมีแสงวูบวาบแปลกตา จึงเล่าขานต่อๆกันมาว่าผู้เรียนรู้ศาสตร์แห่งกาลเวลานั้นมีเวทมนต์
     

    แต่บางครั้ง ก็ไม่พ้นพวกต้มตุ๋น...
     

    พวกนี้ทำงานกันเป็นระบบนัก ทำท่าเป็นช่างซ่อมนาฬิกา เอาคนของตัวเองเป็นหน้าม้า สร้างอภินิหารต่างๆนาๆ แล้วแหกปากว่าซ่อมเสร็จแล้ว ชาวบ้านที่มารุมล้อมก็หลงเชื่อ ฝากนาฬิกาให้นายช่างกำมะลอพร้อมเงินตามคำบอกแล้วกลับไป พออีกวันคิดจะมาทวงถามนาฬิกาตน เจ้าหัวขโมยนั่นก็หนีไปไกลลิบตั้งแต่หัวค่ำคืนวานแล้ว

    น็อคซ์มองว่าคนที่เชื่อพวกนั้นนับว่าโง่เป็นอย่างมาก เพราะการซ่อมนาฬิกาจริงๆแล้วก็ไม่ได้ต่างอะไรกับการซ่อมเครื่องยนต์ แต่ก็ว่าอะไรนักไม่ได้ ในเมื่ออาชีพของเขามีน้อย คนที่รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับนาฬิกายิ่งน้อยเข้าไปใหญ่...

    หลายต่อหลายคนลองพยายามเลียนแบบช่างซ่อมนาฬิกา บางคนทำยังไงก็เปิดไม่ออก กระทั่งเอาค้อนมาทุบด้วยความโมโห แต่สิ่งที่เห็นคือนาฬิกาเรือนเดิมที่แหลกยับเยินจนซ่อมไม่ได้อีก บางคนเปิดออกได้ แต่ทว่าทันทีที่ฝาหลังของนาฬิกาเปิดขึ้นมา จักรกล ฟันเฟืองและนอตทุกตัว สปริง สลัก แกนไข และอะไหล่แปลกตา ทุกอย่างล้วนดีดกระเด็นออกมา เมื่อไม่รู้ว่าก่อนมันจะออกมารูปร่างเป็นอย่างไร ยามจะใส่กลับเข้าไปให้เหมือนเดิมย่อมเป็นไปไม่ได้ คนเหล่านั้นได้แต่จนปัญญา รวบรวมชิ้นส่วนทุกชิ้นที่กระเด็นไปกลับมาเก็บไว้แล้วรอช่างซ่อมนาฬิกาผ่านมา แถวนั้นสักคน

    เด็กตัวเล็กตัวน้อยที่เข้ามาร่วมมุงตะโกนถามน็อคซ์ด้วยความตื่นเต้นว่าเขาจะใช้ แสงวูบวาบหรือไม่ จะแปลกประหลาดเฉกเช่นนายช่างคนอื่นหรือเปล่า น็อคซ์ฉีกยิ้มกว้างแล้วบอกว่าเขาน่าตื่นตากว่านั้นเยอะ

    เขาคว้ากระเป๋าโทรมๆขึ้นมา รูดซิปเปิด แล้วเหวี่ยงออกไปรอบตัวเองเป็นวงกลม

    อะไหล่หน้าตาแปลกๆ ม้วนเศษกระดาษไหม้ไฟ อุปกรณ์ จักรกล ฟันเฟือง ทุกๆอย่างที่เกี่ยวข้องกับนาฬิกาไหลออกมาจำนวนมาก บ้างเล็กเท่าเข็ม บ้างใหญ่เท่าวงล้อ นับร้อยชิ้น นับพันชิ้น จนไม่น่าเชื่อว่าสามารถยัดทั้งหมดนั่นลงไปในกระเป๋าปอนๆขนาดกลางใบนั้นได้ อย่างไร

    เสียงแว่วออกมาเบาๆจากฝูงชนว่า สงสัยคราวนี้จะของจริง...
     

    น็อคซ์รับนาฬิกาจากสาวน้อยลูกค้าคนแรกของเมืองมากอบกุมไว้ตรงกลางก่อนจะค่อยๆแยก มือออกจากกัน ชาวเมืองส่งเสียงฮือฮาออกมาในทันทีเมื่อเห็นว่านาฬิกาพกเรือนเล็กนั้นกำลังลอยอยู่ในอากาศ

    ชายหนุ่มเลื่อนมือออกห่าง นาฬิกาที่เคยเป็นเรือนนั้นแยกออกเป็นชิ้นส่วนหลายสิบชิ้นกระจายอยู่ตรงหน้า ยกเว้นเพียงส่วนของหน้าปัดเท่านั้นที่เคลื่อนเข้าไปหาเจ้าของของมัน เด็กสาวเจ้าของนาฬิกายื่นมือออกมา รับมันไว้ แล้วก็ต้องเบิกตากว้าง

    แปดนาฬิกา สี่สิบสองนาที...เป็นเวลานั้นจริงๆ!

    พริบตาเดียว ฝูงชนทั้งหมด ทั้งที่ลงพนันและไม่ ต่างร้องตะโกนออกมาด้วยความยินดี

    ทุกคนรับรู้และเชื่อสนิทใจ ว่าเจ้าหนุ่มนี่คือช่างซ่อมนาฬิกาจริงๆ!

    ในเมื่อมันหยุด หน้าที่ของข้าก็คือซ่อมมัน น็อคซ์พูดออกมาท่ามกลางเสียงคุยอื้ออึง ยิ้มออกมาอย่างสมใจ แล้วทำสิ่งที่ทุกคนในที่นี้ไม่มีใครเคยเห็นมาก่อน และจะไม่มีใครกังขาอีกว่าเขาเป็นช่างซ่อมนาฬิกาจริงหรือไม่

    อะไหล่จักรกลทุกชิ้นที่กระจายอยู่บนพื้นลอยขึ้นมาช้าๆแล้วหมุนเป็นวงรอบตัว ชาวบ้านส่งเสียงร้องออกมาด้วยความตื่นเต้นกับวงล้อตรงหน้า แต่บางคนก็อุทานขึ้นมา

    ดูตาเจ้าหนูนั่นสิ!!

    ดวงตาสีน้ำเงินล้ำลึกเข้มข้นจนเกือบดำของน็อคซ์เปลี่ยนไป มันเปลี่ยนเป็นสีที่สว่างขึ้น คล้ายสีฟ้าที่ทึบทึม ตาของเขาดูเรืองรองวาววับจับตา เงาเลื่อมอย่างลูกปัด ถึงประหลาด แต่กลับไม่พิกล ดูแปลก แต่ก็ไม่น่ากลัว

    คล้ายพ่อมดทิศตะวันออกใครคนหนึ่งพูดขึ้น

    แต่ตัวประหลาดพวกนั้นตาจะเป็นสีขาวอีกเสียงหนึ่งแย้ง

    ไม่หรอก ข้าว่าของเจ้าหนูนี่เหมือนมณีสีน้ำเงินคนข้างกายเอ่ยขัด

    พูดอย่างกับเจ้าเคยเห็นเสียงแรกเหน็บ

    ข้าก็เคยได้ยินเขาลือมาบ้าง...เสียงเดิมตอบอ้อมแอ้ม

    ชู่ว! เลิกเถียงกันได้แล้ว โน่น ไอ้หนูนั่นหยุดหมุนเครื่องมือแล้ว

    จริงดังว่า อะไหล่ทุกชิ้น ฟันเฟืองทุกตัว เข็มทุกอันหยุดนิ่งอยู่กับที่ ทุกอย่างสงบนิ่งเป็นวินาที เป็นนาที...
     

    ...แกร๊ง...
     

    เสียงจากการตกของฟันเฟืองตัวหนึ่งกระทบพื้นอิฐ เรียกสติของใครหลายๆคนให้ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง มองหน้ากันไปมาด้วยความสับสน บางคนถึงได้รู้ตัวว่าเผลอหยุดหายใจไปด้วย
     

    แกร๊ง

    แกร๊ง

    แกร๊ง แกร๊ง

    เมื่อฟันเฟืองแรกตก ชิ้นที่สอง ที่สาม ที่สี่ ก็ค่อยๆตกลงมาเป็นจำนวนมากเหมือนห่าฝน ดวงตาสีแปลกของช่างซ่อมนาฬิกายังคงสงบนิ่ง สดับฟังเสียงตกของทุกๆชิ้นที่ตกลงมาอย่างต่อเนื่อง

    เสียงนอตตัวสุดท้ายที่ทิ้งลงเป็นก้องกังวานเป็นพิเศษท่ามกลางความเงียบ เหลือไว้เพียงอะไหล่ไม่กี่ชิ้น น็อคซ์วาดมือเข้าหากัน ลดมือซ้ายลง แล้วมือขวาก็ดีดนิ้ว
     

    อะไหล่เก่ากระเด็นออก ตกลงสู่พื้น ชิ้นใหม่ลดขนาด ใส่เข้าไป ประกอบกันอีกครั้ง
     

    เหมือนจะธรรมดา แต่กลับไม่ธรรมดา เครื่องกลขยับไปมาด้วยตนเองราวกับมีชีวิต โดยมีช่างซ่อมนาฬิกายืนกำกับอยู่ข้างหลัง เสียงดังกริก กริก กระทบกันครั้งสุดท้าย แล้วนาฬิกาก็ร่วงปุลงมาบนฝ่ามือของสาวน้อยเจ้าของมันพอดิบพอดีพร้อมๆกับที่ น็อคซ์ยกมือขึ้นแตะอก โค้งอย่างสวยงามเป็นการปิดท้าย

    เด็กสาวกำนาฬิกาไว้แนบอก หันไปสบตาสีน้ำเงินที่กลับมาเป็นปกติของน็อคซ์ ชายหนุ่มเพียงแย้มยิ้มแล้วพยักเพยิดเชื้อเชิญให้เปิด เสียงยั่วยุจากคนข้างหลังดังขึ้นมา เธอกดสลักเปิด ฝาของนาฬิกาพกอ้าออก...

    “...เข็มเดิน?”

    เดินแล้ว...เดินจริงๆด้วย!!” อีกเสียงตะโกน

    ไอ้หนูนี่ของจริง! ช่างซ่อมนาฬิกาจริงๆ!

    เฮ้ เจ้าหนู นี่นาฬิกาของข้า มันหยุดเดินมาตั้งแต่ปีก่อน รบกวนเจ้าซ่อมให้ข้าที

    เดี๋ยวสิ! ข้ามาก่อนนะ!

    ไม่ๆ ให้ข้าก่อน เจ้าไปที่บ้านข้าที นาฬิกาตั้งพื้นของข้ามันไม่ส่งเสียง...

    เจ้าหนู งั้นเจ้าช่วย...

     
     

    การค้าขายของน็อคซ์ดีเป็นเทน้ำเทท่า แทบจะเทกระจาดทิ้งหมด หลังจบโชว์ตื่นตาอันหาดูได้ยากยิ่ง ไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน ชาวเมืองคนไหนที่มีนาฬิกาล้วนส่งให้ชายหนุ่มรับไปซ่อม บ้างก็ให้ความสนใจกับนาฬิกาที่น็อคซ์เอาออกมาวางขาย รูปทรงตัวเรือนแสนแปลกตา บ้างฉลุฝาโปร่ง บ้างแกะออกมาในรูปทรงอื่น บางเรือนมีกลไกหากใครที่ไม่ใช่เจ้าของก็จะเปิดไม่ออก ช่างซ่อมนาฬิกาขายพวกมันในราคาไม่แพงนัก ดึงดูดทั้งคนที่มีนาฬิกาอยู่แล้วให้อยากได้เรือนใหม่ แถมช่างซ่อมนาฬิกายังออกปากรับซื้อเรือนเก่าอีก การแลกเปลี่ยนจึงยาวตั้งแต่ช่วงสายไปถึงเย็นย่ำ เมื่อชายหนุ่มประกาศปิดร้าน

    น็อคซ์เริ่มเก็บของทันทีที่ฝูงชนกระจายหายไปกันเกือบหมดแล้ว บิดตัวไปทางซ้ายมีเสียงลั่นกร็อบ บิดไปทางขวาเหมือนกล้ามเนื้อจะลั่นดังเปรี๊ยะ ชายหนุ่มเบ้ปากแล้วนึกบ่นใส่ตัวเอง

    ธุรกิจดีจริง แต่เยอะขนาดนี้บ่อยๆคงไม่ไหว... ตัวเขาเองก็มีเลือดเนื้อ ไม่ใช่เหล็กกล้าจากไหนจะได้แข็งได้ทนได้ขนาดนั้น ทีหลังไม่ต้องเปิดโชว์แบบนั้นดีกว่า แค่ตั้งป้ายไว้คงพอ แต่ถ้าลูกค้าน้อยก็แย่... แต่เยอะแบบนี้ตลอดก็ไม่ไหวอีก จะเอายังไงดี? ลูกค้าน้อยก็ดี หรือไม่ดี? หรือดี? อาจจะเหนื่อยนิดหน่อย หรือไม่หน่อย? ยังไงดีนะ...? น็อคซ์ได้แต่ถียงกับตัวเอง รู้สึกตัวอีกทีรอบๆก็มืดลงทุกขณะ ร้านอื่นเก็บของกันหมดแล้ว บางร้านกลับไปแล้ว ชายหนุ่มถอนหายใจ ก้มลงเก็บของอีกครั้ง แต่เสียงรองเท้าบดกับพื้นอิฐก็แว่วเข้ามาให้หันไปมอง

    ผู้มาเยือนยืนอยู่ห่างจากเขาประมาณสองหลา แสงจากโคมผลึกเรืองแสงมุมถนนส่องมาให้เห็น เป็นชายหนุ่มอายุราวยี่สิบต้นๆ รูปร่างสูงใหญ่ ตัวหนาเหมือนทหาร ผิวสีน้ำผึ้งออกขาวเหมือนพวกแดนเหนือตอนล่าง น็อคซ์จำได้เลาๆว่าเป็นเจ้าของร้านวาดรูปที่อยู่ตรงข้ามเพราะเส้นผมสีน้ำตาล ทองตัดสั้น โครงหน้าคมเข้มแบบชาวเหนือนี่เองที่ดึงดูดลูกค้าสาวๆเมื่อตอนสายให้มุงล้อม กอปรกับดวงตาสีเขียวมรกตเข้มๆแวววาวระยับจับตาด้วยนี่ยิ่งแล้วใหญ่

    เขาจะคิดไปเองหรือเปล่าว่ามันดูวาววามประหลาดตาพิกล?
     

    ช่างซ่อมนาฬิกาเพียงยิ้มน้อยๆให้เหมือนกับที่ยิ้มให้ลูกค้าทุกคราแล้วบอกชาย หนุ่มว่าวันนี้ร้านของเขาปิดแล้ว หากอยากได้นาฬิกาเรือนไหนหรือต้องการซ่อมเขาจะมาใหม่ในวันพรุ่งนี้ เจ้าของดวงตาสีเขียวยิ้ม ครางตอบรับในลำคอ ยังคงยืนนิ่ง จับจ้องมาที่เขาจนชักเริ่มอึดอัด แต่ประโยคแรกของชายหนุ่มก็แทบจะทำเขาแข็งค้าง

    ข้าคิดว่า...ชายหนุ่มเปรย พนันของเจ้ามันดูน่าสงสัย...ว่าไหม? ช่างซ่อมนาฬิกา

    น็อคซ์เลิกคิ้วขึ้น สองมือกอดอก แล้วเชื้อเชิญให้อีกฝ่ายพูดต่อ

    เจ้าบอกว่านาฬิกาเรือนนั้นหยุดเดินที่เวลาแปดนาฬิกาสี่สิบสองนาทีชายหนุ่มเปรยต่อ และมันก็เป็นจริงอย่างที่เจ้าว่าไว้

    น็อคซ์พยักหน้าขึ้นลงอย่างเห็นดีเห็นชอบ

    แต่...ดวงตาสีเขียวหรี่ลง ถ้าข้าจำไม่ผิด เจ้าใช้กลประหลาดแยกส่วนนาฬิกานั่นออกเป็นชิ้นๆ แล้วจึงส่งให้เด็กผู้หญิงนั่นดู

    “...”

    ชายหนุ่มขยับยิ้มเมื่อเห็นอาการคิ้วกระตุกของน็อคซ์

    เป็นไปได้ไหมว่าการที่แยกมันออกเป็นชิ้นๆนั่นทำให้มันหยุดเดิน แล้วใช้กลประหลาดทำให้เข็มของมันเคลื่อนไปในเวลาที่เจ้าเป็นคนกำหนดไว้ในเดิมพัน!

     
     

     

    เอายังไงดี...จับมัดด้วยเชือก เอาผ้าอุดปาก ลากไปทิ้งคูเมือง ...ไม่ดี... หมอนี่ตัวใหญ่ ท่าจะหนัก ...งั้นจับหั่นเป็นชิ้นๆแล้วทยอยเอาไปทิ้ง... ไม่เวิร์ค ใช้เวลานานเกินไป ที่สำคัญเราเองก็ไม่มีเลื่อย ...รึจะเอาปืนเป่าหัวแล้ววิ่ง... พอใช้ได้อยู่ แต่ตอนนี้ประตูเมืองปิดไปแล้ว เสียงปืนก็จะเป็นที่สังเกตมากเกินไป งั้น...นี่ก็ไม่ดี... นั่นก็ไม่ดี หรือว่าดี? รึยังไง?

    สีหน้าของน็อคซ์ดูจะประหลาดมากขึ้นเรื่อยๆตามลำดับของความคิดจนทำให้อีกฝ่ายเสียวสันหลังวาบพิลึก จนอดเอ่ยปากออกไปอย่างอดไม่ได้

    เจ้าคิดบ้าอะไรอยู่ ช่างซ่อมนาฬิกา

    น็อคซ์กระชากตัวเองขึ้นมาจากความคิดไม่น่าพึงประสงค์แล้วฉีกยิ้มการค้ากลบเกลื่อนอย่างแนบเนียน

    ข้าแค่กำลังคิดว่าสุภาพบุรุษผู้มากล่าวหาว่าข้าเป็นพวกต้มตุ๋นนั้นจะมีนามว่าอะไรเท่านั้นเอง

    แปลว่าเจ้าเป็นพวกต้มตุ๋นจริงๆ?”

    ข้าเปล่าน็อคซ์เถียง ข้าคือช่างซ่อมนาฬิกา

    ช่างซ่อมนาฬิกาอะไรจะใช้กลประหลาดแบบนั้นได้หากไม่ใช่นักต้มตุ๋น?”

    ข้าย่อมมีเทคนิคเล็กๆน้อยๆบ้างอยู่แล้ว ที่สำคัญคือข้าเป็นช่างซ่อมนาฬิกาต่างหาก

    เจ้าแน่ใจที่พูด?”

    แน่เสียยิ่งกว่าแน่น็อคซ์กอดอกแล้วเชิดหน้าขึ้นเล้กน้อย

    แต่ข้าว่าไม่ชายหนุ่มส่ายหน้า

    หา?”

    ถ้าจะมีเทคนิคจริงก็น่าจะเป็นช่างที่ดูภูมิฐาน มีความรู้ ซึ่งทั้งหมดนั้นตรงข้ามกับเจ้า

    ข้าดูไม่มีความรู้ตรงไหนกัน?!

    แล้วนาฬิกานั่นหยุดเดินได้ยังไง?”

    ก็ข้าบอกแล้วไงว่าข้าก็มีเทคนิคนิดหน่อยเหมือนกันน่ะ!!

    เทคนิคอะไรของเจ้า ข้าไม่เชื่อ

    ข้าไม่บอก มันเป็นอาชีพของข้า

    นักต้มตุ๋นน่ะเหรออาชีพของเจ้า?”

    ก็บอกว่าข้าเป็นช่างซ่อมนาฬิกาไง!””

    ข้าไม่เชื่อ นักต้มตุ๋น ไม่อย่างนั้นนาฬิกาจะหยุดเดินได้ยังไง

    พอจับมันแยกส่วนมันก็หยุดเดินแล้วนี่! มันจะแปลกตรงไหน ไม่หยุดสิแปลก

    แปลว่าที่ข้าสงสัยเจ้าก็ถูกต้องทุกประการ

    น็อคซ์ตะครุบปิดปากตัวเอง

     
     

    จริงอย่างที่คิดไม่มีผิด เฮล์มนึก หมอนี่ดูเหมือนเจนประสบการณ์ ยิ้มลวงโลก แต่เวลาโมโหก็หลุดอะไรต่อมิอะไรออกมาง่ายจนน่าหัวเราะ แต่แปลกดี...ทั้งๆที่โดนจับได้แต่อย่างมากก็แค่ตกใจว่าหลุดปากไปได้อย่างไร ไม่มีการแตกตื่น หน้าซีด หรือแม้แต่หวาดกลัวที่มีคนรู้ว่าต้มตุ๋นเลยซักนิด แต่นั่นก็ไม่ใช่ธุระของเขาอยู่ดี...

    ออกไปจากเมืองนี้ซะ

    หมอนั่นเงียบ

    ข้าจะไม่เอาเรื่องที่เจ้าหลอกลวงชาวเมือง เจ้าซ่อมนาฬิกาได้จริง แต่ก็หลอกเอาเงินจากการพนันเด็กๆนั่น เจ้าไม่สมควรจะอยู่ที่นี่ต่อ

    ยังคงเงียบ

    ไปซะก่อนที่ข้าจะเปลี่ยนใจไปเรียกชาวเมืองมา

    ก็ยังเงียบ

    ข้าให้เวลาเจ้าเก็บของหนึ่งชั่วโมง แล้วข้าจะนำเจ้าไปทางออกอื่นของเมือง

    เจ้าวาดรูปสวยดีนะน็อคชี้ไปยังผืนผ้าใบที่เขายังไม่ได้เก็บ

    คราวนี้เฮล์มเป็นฝ่ายเงียบ

    อย่ามานอกเรื่อง จะออกจากเมืองไปดีๆ หรือจะให้ข้าตามคนมาไล่เจ้า

    สวยจริงๆนั่นแหละ มันเหมือนมีชีวิตเลย

    คราวนี้เฮล์มแทบกุมขมับ

     

    รูปที่น็อคซ์พูดถึงคือรูปของสุนัขป่าบนผ้าใบผืนใหญ่ มันมีขนสีดำสนิท สีที่ใช้น็อคซ์เองก็ไม่รู้ว่ามันเป็นสีอะไร แต่เมื่อแสงจากโคมกระทบลงมาก็ทำให้ขนของมันวาวเลื่อมเหมือนของจริง สุนัขป่าในรูปแยกเขี้ยวขู่คำราม ฟันทุกซี่ดูแหลมคมพร้อมที่จะขย้ำ ดวงตาเป็นสีแดงจัด น็อคซ์เชื่อว่าหากเอารูปนี้ไปตั้งในตรอกมืดๆมีแสงริบหรี่ ใครเดินผ่านมาคงไม่พ้นขวัญกระเจิงกลับไป

    อันที่จริงน็อคซ์ไม่คิดจะนอกเรื่อง ไหนๆก็ความแตกไปแล้ว แก้ตัวไปก็ไร้ความหมาย เขาตั้งใจจะพูดต่อรองกับชายหนุ่มตรงหน้าด้วยซ้ำว่าเขาจะออกจากเมืองพรุ่งนี้ แทนได้หรือไม่ นี่ก็มืดเต็มที ขอพักสักคืนจะเป็นอะไรไป ถ้าไม่ใช่เพราะสะดุดตากับรูปประหลาดที่อยู่เบื้องหลังหมอนี่เขาก็คงไม่ทัก ขึ้นมา

    รูปที่วางอยู่ระเกะระกะสวยทุกรูป แต่เหมือนรูปนี้จะดึงดูดเขาที่สุด น็อคซ์ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่ยิ่งมองลึกลงไปกลับยิ่งถอนสายตาออกมาไม่ได้ ทุกอย่างดูลงตัวอย่างประหลาดจึงเผลอพูดออกไปให้อีกฝ่ายทักว่าตนออกนอกเรื่อง

     

    มันมีชื่อหรือเปล่า?” เขาเดินเข้าไปหาเจ้าสุนัขป่าในรูป

    เจ้าหมายความว่า--

    เจ้านี่ มีชื่อหรือเปล่า?”

    เงียบ

    มีไหม?”

    ไม่มี ใครจะไปตั้งชื่อให้รูปภาพกัน ตกลงว่าเจ้าจะออก--

    งั้นข้าจะตั้งให้เอง

    เฮล์มหันไปมองน็อคซ์ด้วยความประหลาดใจ หมอนี่คิดอะไรอยู่? เมื่อครู่เขากำลังไล่เจ้าคนต่างถิ่นนี่ออกจากเมืองอยู่หยกๆ แต่ตอนนี้พวกเขากลับมาเถียงกันเรื่องชื่อของรูปวาด ซ้ำร้ายยังคิดจะตั้งชื่อให้กับมันอีก 

    ทำไมช่างซ่อมนาฬิกาถึงสนใจรูปนี้? ดวงตาสีเขียวหรี่ลง ทำไมถึงสนใจ? รูปนี้มีอะไรพิเศษถึงได้สน? แล้วรูปอื่นทำไมถึงไม่แม้แต่จะชายตามอง?

    เจ้ามีตาสีแดงสด สีแดงเหมือนทับทิม แดงเหมือนกับไฟปลายนิ้วแตะไปที่ผืนผ้าใบ ลูบไล้เหมือนกำลังสัมผัสขนของมันจริงๆ จากนี้ข้าจะเรียกมันว่า รูเบนส์สุนัขป่ากระหายเลือดที่มีนัยน์ตาสีเดียวกับชื่อของมัน

    เฮล์มนิ่งงันไปทั้งตัว เขาไม่เข้าใจ...ทำไมช่างซ่อมนาฬิกาถึงให้ความสนใจเจ้าภาพนี้เป็นพิเศษ? ทำไมถึงตั้งชื่อให้กับมันทั้งๆที่เป็นแค่ภาพ? หมอนั่นกำลังมองเห็นอะไร? แล้วทำไม...ทำไมตอนที่ตั้งชื่อถึงทำเหมือนกับว่ามันมีชีวิตจริงๆ!

    เจ้าว่าดีไหม?” น็อคซ์หันมาฉีกยิ้มกว้าง

    อะไรดี?”

    ชื่อไง รูเบนส์แปลว่าสีแดง แดงสดเหมือนนัยน์ตาของมันช่างซ่อมนาฬิกาหัวเราะออกมาดังๆ ให้ตายเถอะ ข้าตั้งชื่อให้รูปภาพเชียวนะ! ทำไปได้ยังไงเนี่ย

    ในตอนนั้นเฮล์มชาวาบไปทั้งตัว

    ความคิดสับสนวุ่นวายตีกันอยู่ในหัว ทุกๆอย่างเกี่ยวกับรูปสุนัขป่านามว่ารูเบนส์ที่เขาเป็นคนวาดขึ้นเองกับมือ รายละเอียดทุกอย่าง เส้นขน อุ้งเท้า ปลายหาง ใบหู เขี้ยว กรงเล็บ ดวงตา ชื่อของมัน และสิ่งที่เลวร้ายที่สุด...

    ตัวเขาเอง

     

    หนีเร็ว!!

    เฮล์มคว้าข้อมือน็อคซ์แล้วฉุดกระชากออกจากบริเวณนั้น สัมภาระข้าวของของทั้งคู่ที่ยังไม่ได้เก็บนับเป็นอุปสรรคชั้นยอด น็อคซ์ที่ไม่ทันตั้งตัวถูกกระชากลากถูจนแทบล้มคะมำ เมื่อออกห่างจากบริเวณร้านของเขาและกองสัมภาระได้ราวๆสี่หลาช่างซ่อมนาฬิกา จึงขืนตัวแล้วกระชากข้อมือออกจากการเกาะกุม

    ด...เดี๋ยว เป็นอะไรของเจ้า!?”

    เรื่องนั้นช่างมันก่อน ตอนนี้ถ้ายังไม่อยากตายก็หนีซะ!

    เสียงของเฮล์มร้อนรน สั่นพร่า เหมือนกำลังหวาดกลัวอะไรบางอย่าง นั่นเป็นจุดที่เขาสงสัย ก่อนหน้านี้เจ้าหมอนี่ยังมาทำหน้าดุเหมือนคนแดนเหนือ... แต่หมอนี่ก็เป็นคนแดนเหนืออยู่แล้วนี่? ยิ่งคิดน็อคซ์ยิ่งปวดหัว เพราะงั้นจึงเลิกคิดแล้วหันไปให้ความสนใจกับคำตอบของเฮล์ม
     

    หนีอะไร? มีอะไรให้หนี?  

    แต่ตลกดี สีหน้าของหมอนี่มันตลกดี...ว่ายังไงดีล่ะ... ประมาณว่ามันแปลกตา เห็นแล้วอยากขำพิลึก...

    น็อคซ์ขำออกมาจริงๆ

    เป็นการขำแบบผิดที่ผิดเวลาที่สุดในชีวิตของเฮล์ม ไอ้บ้านี่...เวลาอย่างนี้ยังอุตส่าห์ขำออกมาได้ ว่าแต่มันขำอะไรของมัน? ทำไมพอเห็นเจ้าหมอนี่ขำแล้วชักอยากตะบันหน้าจังๆซักทีพิลึก? 

    น็อคซ์ปาดน้ำตาออก ควบคุมลมหายใจให้คงที่ เงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มตรงหน้า แล้วก็หลุดหัวเราะออกมาอีกครั้ง บ้าจริง ทำไมหมอนี่ทำเขาหัวเราะจนปวดท้องได้ขนาดนี้? จะว่าหมอนี่หน้าตาตลกอยู่แล้วก็ไม่ใช่เข้าไปใหญ่ ว่าแต่ทำไมเขาถึงขำกันนะ? นั่นสิ...ทำไม? แปลกดี เมื่อกี้เขาหัวเราะแทบเป็นแทบตาย แต่ตอนนี้ดันลืมไปหมดแล้วว่าหัวเราะเพราะอะไร... ทำหน้าตาประหลาด? ก็คงราวๆนั้น...ประหลาดเพราะอะไร? ตกใจ? กลัว?

    ใช่...หมอนี่กลัว

     

    ว่าแต่กลัวอะไร?

    ปลายผมสีดำสนิทข้างหูของเขาไหวเบาๆทำให้น็อคซ์หยุดคิด ปาดน้ำตาอีกครั้ง แล้วหันหลังไปยังที่มาของลมตามสัญชาติญาณ ดวงตาสีน้ำเงินเบิกกว้าง ภาพที่เห็นทำเอาชาวาบไปทั้งตัว

     

    เบื้องหน้าของช่างซ่อมนาฬิกาคือสุนัขป่าสีดำสนิท รูปร่างของมันใหญ่โตอย่างไม่น่าเชื่อ ความสูงจากอุ้งเท้าถึงใบหูราวห้าฟุตเป็นอย่างต่ำ ขนสีดำเป็นประกายยุ่งเหยิง กรงเล็บตะกุยพื้นอิฐจนเป็นรอย เขี้ยวยาวดูอันตรายยิ่งกว่าสุนัขป่าทั่วไป ลมหายใจเหม็นเน่าโชยเข้ามาในโสตประสาท น้ำลายข้นเหนียวหยดลงบนพื้นหยดแล้วหยดเล่า ยิ่งไปกว่านั้นคือดวงตาสีแดงสด แดงยิ่งกว่ามณีใดๆ แดงฉานเหมือนเปลวไฟจากอเวจี...

     
     

    มันอยู่ห่างจากเขาไม่ถึงหนึ่งหลา

    นี่ คุณนักวาด

    อะไร?”

    ไอ้เจ้าหมานี่คงไม่ใช่รูเบนส์ในรูปของเจ้าหรอกใช่ไหม? ว่าแต่มองเห็นมันหรือเปล่า หรือข้าหลอนไปคนเดียว

    น็อคซ์ยิ้มออกมาอย่างนึกสนุกกับความคิดของตน ตลกดี ไอ้เจ้านี่น่าจะเป็นภาพหลอน สงสัยเขาจะกินมากไป

    เฮล์มถอนหายใจ

    เสียใจด้วยที่มันเป็นอย่างที่เจ้าคิด

    เหงื่อเย็นๆลามเลียแผ่นหลัง

    ว่า?”

    มัน คือรูเบนส์ ภาพของสุนัขป่าที่ข้าวาด และเจ้าตั้งชื่อ

    รอยยิ้มบนริมฝีปากของน็อคซ์ค่อยๆจางหายไป

    ชักจะไม่ตลกแล้วสิ

     

     


     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×