ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    L'Horloge เรื่องเล่าของเข็มนาฬิกา

    ลำดับตอนที่ #4 : บทที่สาม : รอนแรม

    • อัปเดตล่าสุด 8 ส.ค. 56






    บทที่สาม

    รอนแรม

     

     

    “จากแรกกาลพานพบผู้เสกสรร

    ละถิ่นอันออกธรารอนแรมหมาย

    ผ่านม่านฟ้าแลจันทราคอยปักษ์ปราย

    ผ่านกาลไกลวนาลัยไว้พึ่งพา”

     

     

    “ร้อน...” ชายหนุ่มผมดำใต้ผ้าคลุมร้องอุทธรณ์

    “...หุบ-ปาก” คนข้างกายหันมาถลึงตาใส่

    “แต่ข้าร้อน...”

    “ข้าบอก...ให้หุบปาก!

    แล้วน็อคซ์ก็เซถลาจนเกือบคะมำพื้นด้วยหมัดของเฮล์ม

     

    นับเป็นวันที่สามที่พวกเขาลอบหนีออกมาจากเมืองดูเครย์

    เฮล์มใช้เวลาไม่นานนักในการตัดสินใจถึงข้อเสนอของน็อคซ์ ในคืนนั้น หลังจากที่น็อคซ์บอกว่าเขากำลังตามหา นาฬิกาไร้กาลสถานการณ์ดูเหมือนจะวุ่นวายขึ้นในทันที ชาวเมืองพบซากของรูเบนส์แล้ว เสียงตะโกนเอะอะดังขึ้นเรื่อยๆ จำนวนคนในจัตุรัสเพิ่มมากขึ้นทุกที แม้ที่ที่พวกเขายืนอยู่ ณ ตอนนั้นจะเป็นตรอกย่อยเล็กๆห่างออกไปจากถนนหลัก แต่ก็ยังไม่นับว่าปลอดภัยอยู่ดี

    ถึงเขาจะไม่รู้ว่า นาฬิกาไร้กาลคืออะไร แล้วทำไมช่างซ่อมนาฬิกาต้องตามหามัน แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหา ตอนนี้ออกห่างจากเมืองได้เร็วเท่าไหร่ย่อมเป็นเรื่องดีมากเท่านั้น

    น็อคซ์และเฮล์มแยกย้ายกัน และจะมาเจอกันอีกครั้งในอีกครึ่งชั่วยามที่ประตูตะวันตก

    เฮล์มกลับไปยังห้องพักของเขา เปิดประตูตู้ แล้วกวาดทุกอย่างที่มีออกมา เสื้อผ้าของเขามีไม่มากนัก จึงไม่เป็นอุปสรรคต่อการเดินทางเสียเท่าไหร่ ที่เป็นปัญหาจริงๆดูเหมือนจะเป็นอุปกรณ์วาดภาพของเขาเสียมากกว่า... มันเยอะ แน่นอนว่ามันเยอะ แต่เยอะในที่นี้หมายถึง มันมากมายมหาศาล

    ทีนี้ เขาจะทำอย่างไรกับมันดี?

     

    น็อคซ์ยืนรอเฮล์มอยู่ที่จุดนัดพบ เลยมาห้านาทีจากเวลาที่นัดไว้ จริงอยู่ที่มันไม่นาน แต่ตอนนี้เขาเริ่มที่จะกังวล ช่างซ่อมนาฬิการู้ดีว่าอีกฝ่ายนั้นค่อนข้างระแวงเขาไม่น้อย แต่หมอนั่นสัญญากับเขาแล้ว! ถึงจะไม่ได้คาดหวังมากแต่เขาก็เชื่อใจไปแล้วนี่นาว่าต้องมาแน่ๆ เขาเชื่อไปแล้วว่าต้องมา ต้องมา รึจะไม่มา? แต่น่าจะมา? บางทีอาจจะไม่มา? รึยังไง?

    น็อคซ์นึกบ่นในใจ แต่บ่นไปได้ไม่เท่าไหร่ก็ต้องสับสนในตัวเอง เขาเป็นแบบนี้เสมอจนไม่อยากจะแก้ ดังนั้นเขาจึงไม่แก้ อีกอย่างหนึ่ง เขาว่าเขาเห็นเงาคนกำลังเดินมา

    แล้วช่างซ่อมนาฬิกาก็ไม่ผิดหวัง อย่างน้อยเขาก็เชื่อใจคนถูก เฮล์มมาจริงๆ ถึงจะช้ากว่าเวลาที่นัดหมายเสียเกือบสิบนาที แต่เฮล์มก็มา มาพร้อมข้าวของพะรุงพะรังเต็มสองมือ...

    เจ้าจะย้ายบ้านหรือเฮล์ม?นั่นเป็นประโยคแรกที่เขาถาม

    แล้วจานสีก็ปลิวเข้าใส่หัวเขาเต็มๆ

     

    สุดท้ายเฮล์มก็สามารถจัด(ยัด)อุปกรณ์ของเขาทั้งหมดลงไปในกระเป๋าประหลาดของน็อคซ์ได้จนหมด

    ในตอนที่ใส่ลงไปเฮล์มได้แต่เลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ กระเป๋าโทรมๆของช่างซ่อมนาฬิกามีขนาดใหญ่กว่าจานสีของเขาเพียงเล็กน้อย แต่น็อคซ์กลับทำให้กระดานวาดรูปที่ใหญ่กว่าสักสิบเท่าของเขาลงไปจนได้ เพราะไม่เห็นกับตาตอนที่ใส่เข้าไปเฮล์มจึงมองอย่างเคลือบแคลง ยิ่งได้ฟังเสียงผิวปากเบาๆเขายิ่งสงสัยว่าจริงๆแล้วน็อคซ์เอากระดานของเขาไปโยนทิ้งไว้ใกล้ๆแทนหรือเปล่า?

    ในภายหลัง เมื่อเฮล์มเรียกหากระดาน น็อคซ์ก็เอาออกมาให้เขาเสียทุกครั้ง ข้อสงสัยนี้จึงตกไป

    แต่จนบัดนี้เขาก็ยังไม่รู้ว่ากระเป๋าใบนั้นทำได้อย่างไรอยู่ดี

     

    ตามปกติแล้วประตูเมืองจะปิดเมื่อพระอาทิตย์ตกดิน แต่ในวันนี้มันถูกเปิดเป็นกรณีพิเศษ

    ทหารรักษาเมืองถูกระดมมากลางดึกเพื่อตรวจสอบซากศพของรูเบนส์แล้วรายงานต่อเจ้าเมือง ชาวบ้านตื่นขึ้นมา ร้องเรียกคนที่ยังนอนอยู่บนเตียง พากันมุ่งตรงไปที่จัตุรัส รุมดูการทำงานของทหาร แล้ววิจารณ์อย่างสนุกปาก

    ดูเหมือนทุกคนจะไปรวมกันที่จัตุรัส เฮล์มทัก เขาไม่แน่ใจนักว่าทำไมน็อคซ์ถึงเลือกประตูตะวันตก แต่ที่แน่ๆดูเหมือนมันจะเป็นทางเลือกที่ชาญฉลาด ตลอดทางที่เขาเดินลัดเลาะมาจากห้องพักที่อยู่เยื้องไปทางใต้ของเมืองนั้นไม่พบอะไรหรือใครเลย ทหาร ชาวบ้าน กระทั่งสุนัข(สาบานได้ว่าเขาดีใจแค่ไหนที่ไม่เจอ ถ้าเจอพวกมันในตอนนี้เขาคงพลั้งมือหรือเท้าทำร้ายมันอย่างแน่นอน)

    แน่ล่ะ รูเบนส์ของเจ้าออกจะโด่งดัง ใครจะมาสนใจทางนี้กันเล่า น็อคซ์เหวี่ยงกระเป๋าเครื่องมือไปมา สัมภาระเสื้อผ้าของเขาในตอนนี้อยู่กับเฮล์มทั้งหมด ในทีแรกที่หมอนั่นขอร้อง(อันที่จริง...ยัดเยียด) ให้เขาใส่ของๆหมอนั่นลงมาด้วยเขาคิดที่จะอาละวาดไปแล้ว ดีที่เฮล์มยื่นข้อเสนอขึ้นมาในทันทีทันใดเหมือนเดาใจเขาได้ว่าจะรับผิดชอบสัมภาระอย่างอื่นในส่วนของเขาเป็นการตอบแทน แน่นอนว่าน็อคซ์ตอบตกลง ถือกระเป๋าใบเดียวแต่หนักนิดหน่อย ส่วนหมอนั่นถือตั้งสองใบ อย่างไรเขาก็ได้เปรียบอยู่เห็นๆ

    ทำไมเจ้าถึงเลือกประตูตะวันตก? เฮล์มถาม ข้าสงสัยตั้งแต่เจ้านัด ตอนนั้นมันเร่งรีบ ข้าจึงไม่ได้ท้วงอะไร แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว ทำไมเจ้าถึงเลือกทางนี้ ในเมื่อประตูทิศใต้อยู่ใกล้กว่าทั้งจากที่พักของเจ้าและข้า

    น็อคซ์หมุนตัวกลับมาเผชิญหน้าเฮล์มแล้วเริ่มเดินถอยหลังแบบก้าวกระโดด

    เพราะประตูทิศใต้จะวุ่นวาย น็อคซ์ว่า จริงอยู่ว่าประตูทิศใต้ใกล้กับที่พักมากกว่า แต่ในขณะเดียวกันมันก็ใกล้จัตุรัสมากเช่นเดียวกัน ตอนที่ข้าได้แผนที่ของเมืองนี้มาข้าเห็นว่าลักษณะของเมืองเป็นวงรี ดังนั้นทางไปประตูทิศใต้มันจะใกล้กับจัตุรัสมากเช่นเดียวกับทิศเหนือเมื่อเทียบกับประตูตะวันตกและออก

    เฮล์มพยักหน้าอย่างเข้าใจ หมอนี่มีเหตุผลดีอย่--

    อีกอย่างหนึ่ง น็อคซ์ว่าต่อ ประตูทิศใต้จะตรงลงไปทางทิศใต้ของอาณาจักร และทางทิศใต้ของอาณาจักรก็มีเมืองใหญ่ๆที่ขึ้นชื่อเรื่องทหารและคนใหญ่คนโตอยู่เยอะ ถ้าให้เดาคงมีม้าเร็วไปตามมาแน่นอน ส่วนประตูทิศเหนือมันจะเป็นทางที่ใกล้ที่สุดที่จะออกจากดูเครย์แล้วมุ่งสู่เมืองหลวงวาลินอร์ เรื่องใหญ่แบบเจอศพหมาป่ายักษ์นอนตายกลางเมืองมีกระสุนเจาะหัวคงต้องรายงานเข้าถึงหูราชา ประตูทางตะวันออกก็ดีหรอกเสียแต่ว่ามันอยู่ไกลไปหน่อย ชักช้ามากจะไม่ทันการ เพราะงั้นข้าจึงเลือกตะวันตกนี่แหละ

    ใช่หมอนี่มีเหตุผลดี แต่ทำไมต้องขัดเขาทุกทีที่--

    แล้วข้าก็ยังไม่เคยไปเมืองทางตะวันตก น็อคซ์ยิ้มกว้างแล้วหมุนตัว น่าสนุกจะตายไป ข้าว่านะ มันต้องมี--โอ้ย

    แล้วเฮล์มก็หมดความอดทน

    ทุกอย่างเป็นไปตามที่ช่างซ่อมนาฬิกาว่าไว้ไม่มีผิด ม้าเร็วถูกส่งไปยังประตูทิศเหนือและใต้ ทั้งสองทางมีทหารขวักไขว่ ในขณะที่ทางตะวันตกพวกเขาสามารถผ่านมาได้อย่างสบายๆ ไม่ต้องหลบทหารหัวซุกหัวซุน

    เฮล์มเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า วันนี้ฟ้าสวย ไม่มีเมฆ นั่นเป็นเรื่องดีสำหรับจิตกรที่ต้องการอารมณ์สุนทรีย์ในยามค่ำคืน แต่ไม่ใช่กับพวกเขาสักนิด... ท้องฟ้าในคืนนี้สว่างด้วยจันทร์เสี้ยวและดวงดาว ถึงจะดีที่ไม่ใช่จันทร์เต็มดวง แต่ในสถานการณ์อย่างนี้เขาขอเป็นคืนเดือนมืดเสียเลยยังดีกว่า

    น็อคซ์และเฮล์มเดินออกมาจากเมืองอย่างรวดเร็ว ทั้งสองตกลงกันว่าจะไม่หยุดพักจนกว่าจะพ้นจากเขตกสิกรรมของเมือง การเดินทางของทั้งคู่ลำบากตรงที่ไม่มีพาหนะให้ขี่ จะซื้อม้าต้องใช้เงิน น็อคซ์และเฮล์มมีเงินแค่พอดีค่าม้าสองตัว ถ้าจ่ายไปพวกเขาจะไม่เหลืออะไรเลย อีกอย่างหนึ่ง พวกเขาไม่ได้ออกจากเมืองอย่างปกติ ดึกดื่นป่านนี้แล้วถึงอยากซื้อก็คงไม่มีใครขายให้อยู่ดี

    ทว่า เมื่อห่างออกมาจากเมืองได้ไม่ไกล น็อคซ์กลับหยุดเดิน ทำให้เฮล์มต้องหยุดตาม ช่างซ่อมนาฬิกาหันหลัง ขมวดคิ้ว แล้วมองไปที่เมืองดูเครย์อย่างสงสัย

    เป็นอะไร?เฮล์มร้องถาม น็อคซ์ดูแปลกไป ปกติหมอนี่ดูหยิบโหย่ง ไร้สาระ ถึงอย่างนั้นมันก็ฉลาด เป็นพวกคมในฝัก แต่คราวนี้มันผิดไป ขนาดอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงตายกับรูเบนส์ก็ยังยิ้มได้ แต่ตอนนี้สีหน้าของน็อคซ์จะดูเคร่งเครียดเสียยิ่งกว่า ใบหน้าที่เคยยิ้มกว้างดูเรียบตึง คิ้วขมวดเข้าหา ดวงตาสีดำสนิทหรี่ลง มันเหมือนกับคนที่กำลังมองเห็นบางสิ่ง... บางสิ่งที่เลวร้าย

    นั่นทำให้เขาพลอยใจไม่ดีไปด้วย

    ช่างซ่อมนาฬิกาหันกลับมาหาเขาแล้วส่ายหน้า

    ข้าเสียดาย เพราะดูเหมือนข้าจะลืมขนมที่ซื้อมาทิ้งไว้กลางจัตุรัส

    ...

     

     

                    หลังจากเดินทางมาได้สามวันความอดทนของเฮล์มก็สิ้นสุดลงเพราะคำบ่นว่า ร้อน ของน็อคซ์

    เฮล์มคงจะไม่เดือดจัดจนถึงขึ้นลงไม้ลงมือ หากไม่ใช่เพราะต้องทนฟังเสียงบ่นนี้มานานกว่าครึ่งชั่วยาม โดยธรรมชาติแล้วเขาไม่ใช่คนอารมณ์ร้อน แน่นอนว่าไม่ จนกระทั่งมาพบกับช่างซ่อมนาฬิกา

    อันที่จริง น็อคซ์ไม่ได้นิสัยแย่หรือน่ารำคาญจนทำให้เขาอารมณ์เสียแบบที่เป็นมากเท่าคนอื่น เขาเองก็ไม่แน่ใจนัก แต่ดูเหมือนอะไรบางอย่างในตัวน็อคซ์จะทำให้เส้นอารมณ์ของเขาไม่คงที่เสียเท่าไหร่ ทั้งๆที่ไม่ได้แสดงสีหน้าท้าทายเหยียดหยาม หรือหาเรื่องเลยแม้แต่นิด มีเพียงรอยยิ้มกระหยิ่มย่องที่เขาดูจะไม่ค่อยถูกกับมันสักเท่าไหร่นัก

    ใช่...ดูเหมือนเขาจะไม่ค่อยถูกชะตากับรอยยิ้มนั่น

    ...เพราะเห็นทีไรก็นึกอยากพุ่งเข้าไปต่อยปากนั่นจังๆเสียทุกที...

    “เจ็บ...”

    ความคิดของเฮล์มหยุดชะงักก่อนจะปรายตาไปยังคนที่เปลี่ยนจากบ่นสภาพอากาศเป็นร้องโอดโอย น็อคซ์กุมต้นแขนซ้ายที่เขาเพิ่งจะต่อยไปเมื่อครู่ สบถเบาๆแล้วหันมาถลึงตาใส่

     “แผลข้ายังไม่หายเลยนะ!

    เฮล์มร้องอ้อ

     

    บาดแผลของน็อคซ์ที่ได้รับมาจากรูเบนส์ที่ต้นแขนซ้ายยังไม่หายดี พอคิดแบบนั้นแล้วดูเหมือนแผลที่บ่าขวาของเขาก็ปวดตุบขึ้นมาเช่นกัน แต่ยังนับว่าเป็นเรื่องดีสำหรับทั้งคู่ที่เฮล์มมีอุปกรณ์ทำแผลติดมาด้วย พวกเขาช่วยกันทำแผลอย่างสุดความสามารถ เขายอมรับว่าตัวเองไม่ค่อยถนัดเรื่องนี้เท่าไหร่ ดังนั้นผ้าพันแผลที่ต้นแขนของน็อคซ์จึงกลายเป็นเงื่อนตาย แกะไม่ออกถ้าไม่ตัด แล้วนี่เป็นเคราะห์ร้าย เพราะพวกเขาไม่มีกรรไกร เจ้าตัวโวยวายเป็นหมีกินผึ้งเมื่อเห็นสภาพแขนของตัวเอง น็อคซ์บ่นแล้วบ่นอีก และยังพร้อมที่จะเอาเรื่องนี้มาบ่นทุกครั้งที่เริ่มทำแผล เฮล์มฟังแล้วนึกอยากสวนกลับว่าน็อคซ์เองก็ไม่ได้เรื่องเช่นกัน แต่ไม่มีโอกาส เพราะช่างซ่อมนาฬิกาดันจัดการกับบาดแผลของเฮล์มได้ดีกว่าที่คาด คมเขี้ยวของรูเบนส์ที่บ่าขวาของเขาถูกดูแล ใส่ยาและพันแผลอย่างดี ไม่แน่นเกินไป และไม่รัดจนเกินไป และนั่นก็ทำให้เขาแปลกใจ ไปเรียนมาจากที่ไหนกัน?

                    เฮล์มที่จมจ่อมอยู่กับความคิดถูกน็อคซ์กระชากกลับขึ้นมาด้วยการปลดผ้าคลุมแล้วถลกแขนเสื้อที่ยาวถึงศอกขึ้น เผยให้เห็นผ้าพันแผลและรอยเลือดที่ซึมออกมาแผ่ขยายเป็นวงกว้าง ทำให้พวกเขาตัดสินใจหยุดพักการเดินทางชั่วคราวใต้ต้นไม้ใหญ่แถวๆนั้น

    ผิวของน็อคซ์ขาว มันขาวแปลกตา ไม่เหมือนผิวแบบคนเหนือที่ดูขาวใส ไม่เหมือนคนใต้ที่มีผิวคล้ำ มันออกจะเป็นขาวนวลออกทางเหลืองเหมือนชาวตะวันออก เวลาต้องแสงจากดวงอาทิตย์ทำให้ดูสว่างแปลกๆ 

    และมันยิ่งแปลกเข้าไปอีกเมื่อประดับด้วยรอยแผลพาดยาวที่แขน

    บาดแผลของน็อคซ์อักเสบ มันบวมเป่งและเริ่มจะกลายเป็นสีม่วง เลือดที่ซึมออกมามีสีคล้ำส่งกลิ่นสนิมเหล็ก ยิ่งไปกว่านั้นคือน้ำเหลืองที่ทำให้แกะผ้าพันแผลยากยิ่งขึ้น ช่างซ่อมนาฬิกาถึงกับเบ้ปากเมื่อต้องดึงผ้าออกอย่างระมัดระวัง

    “แผลเจ้าอักเสบ” เฮล์มทัก เขายอมรับว่าเป็นห่วงมันไม่น้อย และอาจจะเป็นเพราะเขาเองที่ทำแผลไม่ดีพอจึงทำให้มันอักเสบ ต่างจากของเขาที่น็อคซ์ทำให้โดยสิ้นเชิง

    “ข้ารู้หรอกน่า...” น็อคซ์กัดฟันเมื่อเฮล์มเอื้อมมือมาดึงผ้าพันแผลออกให้เขาแทน หมอนี่มือหนัก โดยเฉพาะเวลาทำร้ายร่างกายเขา แต่พอถึงเวลาทำแผลก็ดูจะเบามือ ระมัดระวังขึ้นไม่น้อย แต่นั่นแหละ อย่างไรเสียมันก็เจ็บอยู่ดี

    กรงเล็บของรูเบนส์คมเหลือเชื่อ ขนาดเขาที่เป็นผู้สร้างยังอดไม่ได้ที่จะภูมิใจ เขาจำได้ดีว่าในตอนนั้นน็อคซ์มัวแต่สนใจเรื่องของเขาจนไม่ทันระวัง รูเบนส์ตวัดกรงเล็บ เขาดึงหลบทัน แต่ก็ยังโดนถากๆเข้าที่ต้นแขนซ้าย นี่ขนาดแค่ถากเป็นแผลตื้นๆยังอักเสบได้ถึงขนาดนี้ ถ้าโดนเต็มๆขึ้นมาจะเป็นอย่างไรเขาไม่อยากจะนึก เฮล์มตรวจสอบการอักเสบของมันแล้วตัดสินใจไปต้มน้ำ เขารวบรวมกิ่งไม้แห้งๆแถวนั้นแล้วเริ่มจุดไฟ รื้อค้นสัมภาระจนได้หม้อสนามใบเล็กๆออกมาตั้งไฟ เฮล์มคว้ากระติกน้ำข้างเอวออกมารินลงไปในหม้อ รอมันร้อนแล้วใส่เกลือลงไปละลาย

    “น้ำเกลืออีกแล้วเหรอ??” น็อคซ์ร้อง

    “อยากหายก็เงียบแล้วอดทนซะ”

    น็อคซ์อ้าปากอยากจะเถียงแต่แล้วก็หุบ แล้วอ้าอีกครั้ง แล้วหุบ อ้าแล้วก็หุบ อ้าอีกครั้ง แต่คราวนี้น็อคซ์ได้ร้องโหยหวนออกมาแทนเพราะเฮล์มเทน้ำเกลือราดแผลเขาตรงๆ!

    “ไม่ได้ร้อนอะไรขนาดนั้นไม่ใช่เหรอ?...” น็อคซ์ถลึงตาใส่ ถ้าคิดว่ามันไม่น่าจะร้อนทำไมเสียงของหมอนั่นถึงดูลังเล?! นี่มันรู้อยู่แล้วว่าร้อนชัดๆแต่ก็ยังราดลงมาเห็นๆ!

    มันไม่ได้ร้อนอะไรมากจริงอย่างที่เฮล์มว่า แต่เขายังคงหาข้ออ้างให้ตัวเอง ถึงอย่างไรมันก็ร้อนอยู่ดี จริงอยู่ที่น้ำไม่เดือด แต่ควันยังพุ่ง หม้อยังร้อน น้ำที่เทลงมามันอุ่น ไม่ใช่...มันร้อนต่างหาก แล้วที่สำคัญคือมันแสบ

    น็อคซ์สูดปากแล้วครางอู้ มันแสบจริงๆ แสบมากจนน้ำตาเล็ด แล้วแน่นอน มันอุ่น...คือมันร้อน เลยดูเหมือนจะยิ่งแสบ เขากลั้นใจก้มลงมองแผล กล้ามเนื้อต้นแขนของเขาสั่นระริกจากการเกร็ง รอบปากแผลเป็นสีม่วงดูน่ากลัว เขารู้ตัวว่าไม่ได้โรคจิตขนาดชอบความเจ็บปวด แต่ตอนที่แสบเพราะน้ำเกลือร้อนๆกลับทำให้เขารู้สึกดีพิกล ความคิดพิลึกที่ทำอย่างไรก็ไม่เข้าใจตัวเองนั่นทำให้น็อคซ์กัดริมฝีปากจนห้อเลือดอีกครั้ง

    ตั้งแต่ออกจากเมืองดูเครย์มาน็อคซ์กัดปากตัวเองเป็นรอบที่ร้อย ทุกครั้งล้วนเกิดจากรอยข่วนของรูเบนส์นี่ทั้งสิ้น ตอนนี้เขาไม่อยากจะคิดเลยสักนิดว่าระหว่างปากของเขากับแผลที่ต้นแขนอย่างไหนจะระบบน่าอนาถกว่ากัน

    เฮล์มไม่เก่งเรื่องทำแผล เขารู้ทันทีที่เห็นสีหน้าหมอนั่นตอนขอให้ทำ สีหน้าพิลึกเหมือนรับไม่ได้ บอกตามตรงว่าถ้าเลือกได้น็อคซ์ก็ไม่คิดจะใช้ให้เฮล์มช่วยเลยสักนิด แต่พวกเขายังต้องเดินทางกันอีกไกล(หากหมอนั่นไม่เปลี่ยนใจไปเสียก่อน) โอกาสที่จะบาดเจ็บมีอีกมาก ถ้าตอนนี้ทำไม่เป็น ต่อไปก็ทำไม่เป็น สุดท้ายมันก็จะไม่มีอะไรดีขึ้นเลย สู้ยอมเป็นหุ่นไม้ให้เฮล์มฝึกเสียตั้งแต่ตอนนี้คงจะดีกว่า

    แต่นั่นย่อมหมายความว่าเขาจะไม่ช้ำในตายไปเสียก่อนนะ...

    เฮล์มใช้นิ้วหยิบสมุนไพรที่บดเป็นผงในถุงหนังเล็กๆปาดลงที่บาดแผลของน็อคซ์ เลือดข้นๆดูจะหยุดไหลไปแล้ว แต่สีหน้าของช่างซ่อมนาฬิกากลับย่ำแย่ลงทุกทีที่เขาใส่ยา เฮล์มพยายามจะไม่คิดอะไรมาก ดังนั้นจึงหยิบผ้าพันแผลแล้วพันอย่างรวดเร็ว

    น็อคซ์ยังคงเบ้หน้า กระทั่งพันเสร็จก็ยังเบ้ ชายหนุ่มหันกลับมาตรวจสอบผลงานของเฮล์ม บิดตัวแล้วเคลื่อนไหวด้วยท่าทางอย่างง่ายเป็นการทดสอบแล้วก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ

    “ดีขึ้นเยอะ อย่างน้อยๆข้าก็ว่ามันดีกว่าตอนแรกที่เจ้าทำสุดๆ”

    “ตอนนั้นข้าทำไม่เป็น” เฮล์มชักสีหน้า “ข้าไม่ใช่พวกแส่หาเรื่องเห็นปัญหาแล้ววิ่งโร่เข้าใส่แบบเจ้า ถึงได้ไม่มีแผลเป็นลายทั่วตัวอย่างนี้ยังไงล่ะ”

    น็อคซ์ฟังที่เฮล์มพูด ฉีกยิ้มกว้าง แล้วไหวไหล่อย่างไม่ยี่หระ

    เฮล์มชี้ได้ถูกจุด บนตัวของน็อคซ์มีแผลเยอะมาก เยอะเกินกว่าที่ช่างซ่อมนาฬิกา(ไม่)ธรรมดาคนหนึ่งจะมีได้ ตั้งแต่ฝ่ามือไล่มาจนถึงบ่า ปกติน็อคซ์มักจะใส่ถุงมือเปิดนิ้ว ตัวถุงมือจะยาวตั้งแต่บริเวณข้อมือรัดไว้ด้วยแถบโลหะไปจนจรดโคนนิ้ว ทว่าทันทีที่ออกจากดูเครย์ก็ถอดมันโยนลงในกระเป๋าอย่างไม่ใยดี ฝ่ามือของช่างซ่อมนาฬิกามีบาดแผลเล็กๆ น้อยๆอยู่เต็มไปหมด บางแห่งเป็นแผลเก่า มีสีขาวจนกลืนไปกับผิวเนื้อ แต่บางแห่งกลับนูนแดงจนน่ากลัว บนแขนเองก็มีริ้วรอยขีดข่วนจำนวนมากจากการเดินทางทิ้งรอยแผลเป็นไว้ให้เห็นเด่นชัด

    แค่บริเวณแขนก็เยอะจนนับไม่หวาดไม่ไหว ถึงส่วนใหญ่จะเป็นแค่รอยขีดเล็กๆแต่ก็ยังนับว่าเป็นบาดแผล ถึงแม้วันหนึ่งมันจะไม่ทิ้งรอยไว้ก็ตาม เขาไม่อยากจินตนาการเลยว่าส่วนอื่นของน็อคซ์ที่เขายังไม่เห็นจะมีมากขนาดไหน

    ดูเหมือนเขาจะตัดสินใจผิดอย่างไรชอบกลที่เลือกเดินทางกับช่างซ่อมนาฬิกา

     

    คืนนั้นผ่านไปอย่างไม่มีอะไรคืบหน้า นอกเสียจากความลังเลที่วิ่งวนไปมาในหัวของเฮล์ม

    เช้าวันที่สี่ของการเดินทางเริ่มขึ้นอย่างทุลักทุเล น็อคซ์ลืมตาตื่นขึ้นมาก็ตกใจแทบสิ้นสติ เบื้องหน้าของเขาคือภูมิประเทศกึ่งทะเลทรายแบบเดิมที่ไม่เหมือนเดิม ดวงตาสีน้ำเงินเบิกกว้างเมื่อตระหนักได้ว่ากำลังจะเจอกับอะไร

    “เฮล์ม ตื่น!

    “อะไร...” เฮล์มลืมตาขึ้นมามองน็อคซ์อย่างหงุดหงิด เมื่อคืนเขานอนไม่หลับ มีแต่เรื่องของหมอนี่อยู่ในหัว รบกวนจนเขาว้าวุ่นไปทั้งคืน แล้วนี่อะไร? ปลุกเขาขึ้นมาตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง

    ...

    ฟ้าไม่สว่าง?

    เฮล์มลุกพรวดแล้วหันไปรอบๆอย่างตื่นตะลึง เท่าที่เดินทางมาด้วยกันตลอดสี่วันที่ผ่านมาเขาและน็อคซ์มักจะตื่นไล่เลี่ยกัน และนั่นย่อมหมายความว่าแดดและไอร้อนจะส่องแยงตาจนทนไม่ไหว ที่สำคัญ น็อคซ์มักจะตื่น ณ เวลาเดียวกันของทุกวันไม่ขาดไม่เกินเหมือนมีนาฬิกาอยู่ในตัว ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่น็อคซ์จะตื่นเช้ากว่าเวลาจริง

    ชายหนุ่มกวาดตามองตามสายตาของน็อคซ์ ก่อนจะนิ่งค้างไปพร้อมๆกัน

    เบื้องหน้าของพวกเขาทั้งสองคือหมอกควันสีทรายทึบหนากำลังเคลื่อนตัวมาอย่างรวดเร็ว สายลมรุนแรงขึ้นเรื่อยๆบาดผิวส่งเสียงอื้ออึงผ่านใบหู ท้องฟ้าที่น่าจะสว่างจนร้อนถูกปกคลุมด้วยเมฆหมอกสีทะมึน

    พายุกำลังมา

    ช่างซ่อมนาฬิกาครางเสียงอ่อนในลำคอ

    “ฉิบหายล่ะทีนี้”

     

    น็อคซ์และเฮล์มเริ่มงานเฉพาะกิจอย่างรวดเร็ว พายุทรายกำลังมา พวกเขาเก็บของทุกอย่างที่น่าจะปลิวได้ใส่กระเป๋า น็อคซ์รื้นค้นกองสัมภาระได้เชือกขนาดเล็กสีเทาแปลกตาออกมาสองขดแล้วโยนให้เขา มันหนักกว่าที่คิด เฮล์มขมวดคิ้วหรี่ตามองมันอย่างไม่ไว้ใจนัก เชือกแค่นี้จะทนพายุไหวแน่เหรอ?

    “รับรองด้วยเกียรติของช่างซ่อมนาฬิกาเลยว่ามันจะไม่ขาดกลางคัน” น็อคซ์ยืนยัน เหมือนรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ “หรือถ้ามันขาดขึ้นมาจริงๆข้าจะยอมให้เจ้าแทงสหายข้าให้หายแค้น”

    เฮล์มขมวดคิ้ว

    “ใคร?”

    น็อคซ์ผิวปาก ไม่ตอบอะไรกลับมา

     

    ทั้งสองขดตัวอิงแอบกับต้นไม้ใหญ่ที่อาศัยมาทั้งคืน สัมภาระทั้งหมดถูกมัดไว้รวมกันแล้วผูกเข้ากับลำต้น เชือกอีกขดนำมามัดเป็นเงื่อนอย่างง่ายแต่แน่นหนาและแข็งแรงเข้ากับเข็มขัดของน็อคซ์ โยงมาหาเฮล์มแล้วนำไปผูกไว้กับลำต้นเช่นกัน ผ้าคลุมสีอ่อนของน็อคซ์ถูกนำมาใช้คลุมพวกเขาได้มิดทั้งตัว ช่างซ่อมนาฬิกานิ่งคิดก่อนจะดีดนิ้วเปาะ ร้องอ้อ แล้วรื้อกองสัมภาระอีกครั้ง

    “เอ้านี่” น็อคซ์โยนของที่ค้นเจอใส่เฮล์ม “ใส่ไว้ซะ มันกันเม็ดทรายเข้าตาได้”

    เฮล์มเลิกคิ้วแล้วพิจารณาของในมือ มันเป็นแว่นตากันลมสีดำขนาดกลาง มีสายหนังคล้องโดยรอบ รูปร่างกระชับแปลกตา ชายหนุ่มหมุนมันไปมาในมือก่อนจะสวมมัน

    “ไปหามาจากไหน” เฮล์มชมเปาะ เจ้านี่มันน่าสนใจไม่ใช่น้อย ถึงเขาจะไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญแต่ก็พอจะรู้ว่าวัสดุที่ทำมันดีกว่าแว่นกันลมทั่วไปที่เขาเคยเห็นอยู่มากโข

    “ท่าเรือ” น็อคซ์ฉีกยิ้มกว้าง “มีทุกอย่างที่นายต้องการและไม่ต้องการ”

    เขานึกขำกับคำกล่าวนั้นไม่น้อย แต่ยังไม่ทันได้ซักอะไรเพิ่มเติมช่างซ่อมนาฬิกาก็เดาะลิ้นแล้วยกนิ้วชี้ขึ้นทาบบนริมฝีปาก

    “พายุมาแล้ว ข้าแนะนำให้เจ้าปิดปากให้สนิทก่อนที่จะกลืนทรายแทนน้ำดีกว่านะ”

     

    ไม่กี่ชั่วโมงต่อมาพายุทรายก็ผ่านพ้นไป

    กองขยุกขยุยใต้ต้นไม้ใหญ่เคลื่อนไหวน้อยๆทำเอาเม็ดทรายที่ปกคลุมร่วงกราว ก้อนรูปทรงแปลกประหลาดนั่นหยุดนิ่งไปชั่วครูก่อนที่จะทะลึ่งพรวดโผล่ขึ้นมา

    น็อคซ์และเฮล์มผุดตัวลุกขึ้นมาสูดหายใจเฮือกใหญ่ แล้วไอออกมาไม่หยุด ถึงจะใช้ผ้าหนาๆมาช่วยปิดปากปิดจมูก มั่นใจว่าแน่นหนาดีแล้วแท้ๆ สุดท้ายก็ไม่ได้ช่วยอะไรสักเท่าไหร่ ดูเหมือนที่มีประโยชน์จริงๆน่าจะเป็นผ้าคลุมของน็อคซ์ และแว่นตากันลมเพียงเท่านั้น

    น็อคซ์พยุงตัวเองลุกขึ้นมาไอโขลก ฝุ่นทรายที่แทรกเข้าไปได้ทำเขาระคายคอไปหมด! ออกเดินทางมาไม่ทันไรก็เจอพายุทราย โชคดีเป็นบ้า... นึกบ่นได้ไม่เท่าไหร่อาการระคายคอก็กำเริบ ช่างซ่อมนาฬิกาไอจนน้ำตาเล็ด ในตอนนั้นเขาคิดอยากจะล้วงคอให้อ้วกออกมาเป็นเม็ดทรายเสียให้รู้แล้วรู้รอด ถ้าไม่เป็นเพราะกระติกน้ำที่เฮล์มยื่นพรวดใส่หน้า

    “ขอบใจ” น็อคซ์ก้มหัวน้อยๆตอบกลับไปด้วยเสียงแหบแห้ง เฮล์มเพียงแค่พยักหน้าน้อยๆเป็นเชิงรับรู้ก่อนจะจัดการดึงสัมภาระขึ้นมาปัดฝุ่น

    ช่างซ่อมนาฬิกาทรุดลงไปนั่งกับพื้นอย่างเหนื่อยอ่อน เขายอมรับว่าทำอย่างนี้มันเอาเปรียบอีกฝ่ายไม่ใช่น้อย แต่สารภาพตามตรงเลยว่าตอนนี้แค่จะกระดิกขาเปลี่ยนท่านั่งเขาก็ไม่ไหวแล้ว

    เฮล์มที่เก็บกู้สัมภาระที่จมอยู่ใต้ผืนทรายเหลือบตามองน็อคซ์เป็นระยะ ในทีแรกเขาคิดที่จะเสียดสีหมอนั่นที่ไม่ยอมมาช่วย แต่พอได้เห็บใบหน้าซีดขาวจนน่าเป็นห่วง เขาก็ต้องล้มเลิกความคิดนั้นไป น็อคซ์เป็นอะไร? ทำอะไรมาถึงได้ดูเหมือนคนที่วิ่งรอบเมืองสักสามรอบอย่างนี้? เขามั่นใจว่าน็อคซ์อยู่ข้างเขาตลอดเวลาในระหว่างที่พายุพัดอยู่ข้างนอก ถ้าคิดในแง่ปกติทั่วไปก็คงไม่เหนื่อยอะไรขนาดนั้น จะว่าแกล้งทำก็ยิ่งไม่ใช่ใหญ่ ชายหนุ่มขมวดคิ้วกับตัวเองแล้วหันไปให้ความสนใจกับสัมภาระอื่นแทน สงสัยไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้น เขาคิดอย่างนั้นแล้วตัดสินใจปล่อยให้มันผ่านไปทั้งหมด

     

    น็อคซ์และเฮล์มเริ่มเดินทางอีกครั้งในช่วงบ่าย

    ฟ้าหลังพายุดูจะสดใสจนน่าหงุดหงิด แสงแดดแรงกล้าแผดเผาจนแสบผิว ภูมิประเทศที่เป็นกึ่งทะเลทรายยิ่งทำให้ร้อนขึ้นหนักกว่าเก่า ต่อให้แวะข้างทางก็หาร่มไม้ไม่เจอ พวกเขาจึงได้แต่รีบเดินจ้ำอ้าว หวังว่าวันนี้จะไปได้ไกลที่สุดสักสาม-สี่ไมล์

    ในมือของช่างซ่อมนาฬิกามีแผนที่อย่างคร่าวๆของอาณาจักร อีกมือหนึ่งถึงเข็มทิศทรงกลมแปลกตาวัดระยะทิศทางไปด้วย ยิ่งช่วงบ่ายอากาศก็ยิ่งร้อนขึ้นเรื่อยๆ ถ้าไม่รีบพวกเขาอาจจะนอนเป็นซากเพราะขาดน้ำอย่างแน่นอน น็อคซ์ดึงผ้าขึ้นคลุมหัวให้มิดชิดกว่าเดิมก่อนจะยกหลังมือขึ้นปาดเหงื่อที่ปลายจมูก ว่าแต่ไอ้แผนที่นี่ยังไงของมัน? ทำไมสัดส่วนมันแปลกๆ... หรือไอ้พ่อค้านั่นจะเมาจนหยิบแผนที่ส่งๆให้?

    “น็อคซ์” คนถูกเรียกสะดุ้งสุดตัว หรือว่าหมอนั่นจะจับได้ว่าเขาดูแผนที่ไม่ออก? ไม่ใช่ความผิดของเขานะที่เขียนแผนที่ดูไม่รู้เรื่องแบบนี้น่ะ!

    “หืม?” น็อคซ์กลั้นหายใจ ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ไปสิ แกถนัดอยู่แล้วนี่นา ว่าแล้วก็ปั้นยิ้มใส่จนตาหยี

    เฮล์มมีสีหน้าขยะแขยง

    “หยุดเถอะ ขอร้องเลย” เฮล์มว่า “จะว่าอะไรไหมถ้าข้าจะถาม?”

    “ตามสบายเลย” น็อคซ์โล่งอก อย่างน้อยหมอนี่ก็ยังไม่รู้ นั่นเป็นเรื่องดี “ถ้าตอบได้ข้าก็จะตอบ”

    เฮล์มนิ่งคิด ก่อนจะถามคำถามที่กินใจเขามานานเกินทน

    “นาฬิกาไร้กาลคืออะไร?”

    “ไม่รู้”

    เฮล์มคิ้วกระตุก

    “จะหามันเจอได้ที่ไหน?”

    “ไม่รู้”

    ดวงตาสีเขียวหรี่ลง

    “แล้วจะหาไปทำไม?”

    “ไม่--”

    “ถ้าตอบว่าไม่รู้อีกข้าจะกรอกทรายใส่ปาก”

    “...”

    เส้นเลือดในขมับของเฮล์มเต้นตุบ คืออะไร-ไม่รู้ หาเจอไหม-ไม่รู้ หาทำไม-ไม่รู้ มีแต่ไม่รู้ ไม่รู้ และไม่รู้ ตกลงมันรู้อะไรบ้าง? ยิ่งไปกว่านั้นคือเขาหลงเชื่อตามมันมาเพราะคำชักชวนของคนไม่รู้อะไรเลยได้ยังไงกัน?! เฮล์มนึกอยากเอาหัวโขกกำแพง แน่นอนว่าต้องไม่ใช่หัวของเขา แต่เป็นหัวของเจ้าตัวปัญหาที่เอาแต่ปิดปากเงียบตั้งแต่เขาขู่ไปนั่นต่างหาก!

    “น็อคซ์...” เขายกมือขึ้นลูบหน้า หลอกตัวเองให้ใจเย็นๆ ในขณะที่อีกฝ่ายได้แต่เลิกคิ้วด้วยความสงสัย

    “ตกลงเจ้าจะหามันไปเพื่ออะไร?”

    “ก็บอกแล้วไงว่าข้าไม่--”

    “หยุด! ถ้าเจ้าบอกว่าไม่รู้อีกข้า--

    “เจ้าจะกรอกทรายใส่ปากข้า ข้ารู้แล้วล่ะน่า!” น็อคซ์โบกมือไปมาอย่างหงุดหงิด จะย้ำอะไรกันนักกันหนาเจ้าคนป่าเถื่อน! “ข้าไม่รู้ว่าเพราะอะไร ทำไมถึงต้องหา แต่เพราะข้าจำเป็นต้องหาถึงได้ออกเดินทางอย่างไงเล่า”

    “จำเป็น? หมายความว่ายังไง?”

    “เพราะเป็นคำสั่ง”

    เฮล์มเลิกคิ้ว

    “คำสั่ง?”

    น็อคซ์พยักหน้า แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

    “คำสั่งของอาจารย์ จงตามหานาฬิกาไร้กาล

    เรื่องเล่าของช่างซ่อมนาฬิกาย้อนไปตั้งแต่ในวัยเด็กไม่ต่างจากเฮล์ม

    เริ่มด้วยการมาอยู่กับคนที่น็อคซ์เรียกว่า อาจารย์ ตั้งแต่แปดขวบ มันไม่ใช่เรื่องเศร้าทุกข์ระทมอย่างพ่อแม่รังเกียจ ทอดทิ้ง ไม่ดูแล หรือเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงจนไม่เหลือใครแล้วอาจารย์มาช่วยไว้ทันเวลาอะไรอย่างนั้น เรื่องของน็อคซ์มันก็แค่ความอยากล้วนๆ น็อคซ์ในวัยเด็กแค่อยากออกเดินทาง อยากเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยากไปในที่ๆไม่เคย อยากเห็นในสิ่งที่ไม่เห็น พ่อและแม่ก็ไม่ได้ห้าม แต่ไม่รู้จะทำตามใจเด็กตัวเล็กๆได้อย่างไร ประจวบเหมาะกับที่อาจารย์เดินทางผ่านมา พอรู้ว่าเป็นคนเก่ง มีฝีมือ ไม่มีภาระ(ในที่นี้หมายถึงภรรยา) พึ่งพาได้ พ่อแม่ของเขาก็โยน(ยัดเยียด)เขาให้กับอาจารย์ทันที

    “...” เฮล์มทำสีหน้าประหลาด “ทำไมถึงง่ายขนาดนั้น...”

    “เพราะอาจารย์เก่งยังไงล่ะ” น็อคซ์มาดมั่นจริงจัง ดวงตาสีน้ำเงินมีแววเคารพเทิดทูนอย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนปรากฏฉายชัด

    “เก่ง?”

    “ข้ายังเล่าไม่ถึง เจ้าอย่าขัดสิ”

    “งั้นก็เล่าสิ ขอสั้นๆเลย”

    น็อคซ์พยักหน้ารับ เอ่ยต่อด้วยเสียงเรียบๆ

    “อาจารย์ข้าเป็นช่างซ่อมนาฬิกา”

    เฮล์มนิ่งงันไป

    “เก่งด้วยนะ” น็อคซ์เสริม “หลังจากนั้นก็ออกเดินทาง ประมาณนั้นแหละ”

    เรื่องหลังจากนั้นไม่มีอะไรมากนัก เป็นการเดินทางของอาจารย์และตลอดเกือบสามปี อาจารย์พาเขาไปทั่วทุกแห่ง ขึ้นเหนือ ลงใต้ ตะวันออกและตะวันตก อาจารย์แวะไปเยี่ยมคนรู้จักและซ่อมนาฬิกา แต่ที่น็อคซ์แปลกใจมาตลอดคืออาจารย์เกลียดการที่ต้องผ่านเมืองใหญ่ๆ

    “ทำไมล่ะ?” เฮล์มเลิกคิ้ว “เมืองใหญ่ๆน่าจะมีลูกค้ามากกว่าไม่ใช่เหรอ? แล้วไหนจะเสบียง ไหนจะเสื้อผ้าอีกล่ะ”

    “ข้าเองก็ไม่แน่ใจ” น็อคซ์ไหวไหล่ “ดูเหมือนอาจารย์จะมีเหตุผลของอาจารย์เอง ถ้าเลี่ยงไม่ได้ถึงจะเข้าเมือง แต่ถ้าเลี่ยงได้เมื่อไหร่ก็เลี่ยงเลยล่ะ ส่วนเรื่องเสบียงกับเสื้อผ้าส่วนใหญ่เราจะหาเอาจากเมืองเล็กๆ หมู่บ้าน หรือซื้อโดยตรงจากพวกกองคาราวานเลย”

    น่าแปลกที่การเดินทางของอาจารย์-ศิษย์ จะราบรื่นจนน่าแปลกใจ น็อคซ์เล่าว่าไม่เคยเจอกระทั่งโจรป่าหรือสัตว์ร้าย ที่เจอบ่อยๆคือพ่อค้าเร่ หมู่บ้านเล็กๆ และป่า เรียกได้ว่าสะดวกสบายจนเกินควร

    เฮล์มลองถามถึงการเดินทาง ก็ได้รับคำตอบยืนยันจากน็อคซ์ว่าเดินเท้าเกือบตลอด นานๆทีถึงจะขี่ม้าที่ไม่รู้ว่าอาจารย์หามาจากไหน วันหนึ่งๆเดินทางได้ราวๆไม่ต่ำกว่าสิบไมล์ขึ้นอยู่กับความขี้เกียจของอาจารย์

    ได้ฟังอย่างนั้นเฮล์มก็ท้วงทันทีว่าเด็กอายุแปดขวบยังไม่มีแรงถึงขนาดที่จะเดินได้ระยะทางขนาดนั้นต่อวันแน่ๆ แค่ได้สักสองหรือสามไมล์ก็ถือว่ามากโขแล้ว

    “อุ้ม”

    “หา?”

    “อาจารย์อุ้มข้า” น็อคซ์พยักหน้า “ถึงจะไม่ได้นับแต่ข้าก็กล้ายืนยันว่าเวลาที่ข้าเดินจริงๆมีแค่สามถึงสี่ชั่วโมงจากเวลาครึ่งวันเท่านั้น”

    ดูเหมือน อาจารย์ของน็อคซ์นอกจากจะเก่งกล้าสามารถตามคำอวดของลูกศิษย์แล้วยังแข็งแรงเป็นที่หนึ่งอีกด้วย มีอย่างที่ไหนแบกเด็กแปดขวบเดินทางรอนแรมผ่านทุ่งผ่านทะเลทรายได้กว่าครึ่งวัน ถึงเด็กตัวเล็กๆจะน้ำหนักไม่มาก แต่ถ้าอุ้มนานๆเฮล์มก็มั่นใจว่าถึงจะเป็นเขาก็คงไม่ไหวเหมือนกัน

    น็อคซ์ใช้เวลาเดินทางไปทั่วอาณาจักรกว่าสามปี เขาและอาจารย์สิ้นสุดการเดินทางที่บ้านของน็อคซ์ อาจารย์พาน็อคซ์ไปคืน ทิ้งที่อยู่และวิธีติดต่อไว้ แล้วหายไปไม่กลับมาเยือนอีก

    อันที่จริงน็อคซ์มารู้ในภายหลังว่าพ่อแม่ขอไว้กับอาจารย์ว่าให้พาเขากลับมาเมื่อถึงเวลาสมควร ด้วยเหตุที่ว่าน็อคซ์ยังเด็กมาก ไม่ควรออกไปบุกป่าฝ่าดงในวัยนี้ ที่สำคัญพวกเขาเองก็อยากให้น็อคซ์ได้เรียนรู้สิ่งอื่นทีต้องเรียนจากที่นี่ด้วยเช่นกัน ดังนั้นน็อคซ์จึงรั้งรออยู่ที่หมู่บ้านห้าปี เมื่อได้รับคำอนุญาต เขาจึงออกเดินทางไปหาอาจารย์ตามที่อยู่ที่เขาให้ไว้

    “ทำไมล่ะ?” เฮล์มถาม “ข้าไม่เข้าใจว่าทำไมเจ้าถึงยึดติดกับอาจารย์ของเจ้าเสียขนาดนั้น ระยะเวลาสามปีนั่นไม่ทำให้เจ้าเบื่อบ้างหรือไง”

    “ไม่เบื่อเลย” รอยยิ้มกว้างผุดขึ้นที่ริมฝีปาก ท่วงท่าการเดินของน็อคซ์กึ่งๆก้าวกระโดดอย่างรื่นเริงขึ้นทันควัน “อาจารย์ไม่เคยทำให้ข้าเบื่อได้เลย บอกตามตรง ยิ่งเขาพยายามไล่ข้าออกไปจากชีวิตเท่าไหร่ข้าก็ยิ่งสนใจมากเท่านั้น”

    “ไล่?” ช่ายซ่อมนาฬิกาพยักหน้า

    “ในระหว่างเดินทางอาจารย์พยายามทิ้งข้า สลัดข้าให้หลุด หรือไม่ก็จงใจให้ข้าเบื่อกับการรอเขากว่าสี่ชั่วยาม แต่นั่นก็ไม่ทำให้ข้าล้มเลิกการติดตามเขา สุดท้ายอาจารย์เลยยอมแพ้” ดวงตาสีน้ำเงินพราวระยับด้วยความขบขัน “อีกอย่างหนึ่ง อาจารย์สัญญากับข้าไว้แล้ว”

    น็อคซ์หันมาแย้มรอยยิ้มพราว

    “สัญญาไว้ ว่าจะสอน ศาสตร์แห่งการเวลา

    น็อคซ์ไม่ได้เล่าละเอียดถึงเรื่องนี้ และเฮล์มเองก็เข้าใจ เขาเคยได้ยินมาว่า ศาสตร์แห่งการเวลา ถือเป็นภูมิปัญญาล้ำค่าอันจะเป็นความลับเฉพาะในหมู่ของช่างซ่อมนาฬิกาเท่านั้น มีข่าวลือหนาหูว่าหากคนที่รู้ศาสตร์แห่งการเวลาเป็นผู้มีอิทธิฤทิ์มนตราจะเป็นภัยร้ายแรง ต้องถูกตามล่า ทรมานให้แดดิ้น แล้วจึงเผาทั้งเป็น

    ช่างซ่อมนาฬิกาโอดครวญถึงสิ่งที่อาจารย์สอนว่ามันเป็นหนังสือเล่มใหญ่ยักษ์ กระดาษเป็นสีเหลืองทั้งเก่าและกรอบจนแทบแหลกเป็นผุยผงหากเขาจามใส่ กลิ่นของมันเหม็นอับรุนแรงแทบทนไม่ไหว ยิ่งไปกว่านั้นคือแมลงกินกระดาษที่น็อคซ์ร้องเสียลั่นบ้านเมื่อเจอรังของมันอยู่ข้างหนังสือ

    “บ้านของอาจารย์น่ะสุดยอด” น็อคซ์ว่า “หมายถึง สุดยอดในแบบไม่ปกติน่ะนะ ดูภายนอกเป็นบ้านขนาดกลางน่าอยู่ดีอยู่หรอก แต่พอเข้าไปเจ้าจะต้องตกใจกับกองหนังสือเป็นตั้งๆยาวจรดเพดาน”

    น็อคซ์อาศัยและร่ำเรียนกับอาจารย์เป็นเวลากว่าหกปี จนเมื่ออาจารย์ไม่รู้ว่าจะสอนอะไรแล้วนั่นแหละจึงเรียกว่าจบการศึกษาศาสตร์แห่งกาลเวลาแบบจริงๆ

    “...เจ้าว่าหกปี?”

    “ประมาณนั้น ข้าไม่ได้นับแน่ชัด แต่น่าจะประมาณนั้น อยู่ในบ้านอาจารย์ข้าแทบไม่ได้เห็นคืนเห็นตะวัน เจ้าก็รู้ หนังสือของอาจารย์น่ะมัน--”

    “ตอนนี้เจ้าอายุยี่สิบสอง?”

    “อันที่จริง ยี่สิบสาม” น็อคซ์ลูบคาง “ที่บ้านข้านับปีเกิดแปลกๆ ปีแรกที่ข้าเกิดมาถือเป็นปีที่ศูนย์ ดังนั้นถ้าเรียบเรียงใหม่คือข้าออกเดินทางตั้งแต่เก้าขวบ กลับมาตอนประมาณสิบสอง ออกจากบ้านประมาณสิบเจ็ด เรียนกับอาจารย์จนถึงตอนนี้คือยี่สิบสาม”

    เฮล์มร้องครางแล้วยกมือขึ้นกุมหน้า โดยที่น็อคซ์ได้แต่เอียงคอสงสัย

    “ข้านึกว่าเจ้าอ่อนกว่ามาตลอด!

    หลังจากที่เริ่มนับอายุกันอย่างจริงจังพวกเขาก็พบว่าน็อคซ์แก่เดือนกว่าเฮล์มถึงสองเดือน

     

    “สรุปว่าตอนนี้เจ้าเป็นช่างซ่อมนาฬิกาเต็มตัว?” น้ำเสียงของเฮล์มอ่อนระโหยโรยแรง ผิดคาดมากที่น็อคซ์แก่กว่า ทั้งๆที่มั่นใจว่าเขามากกว่าแท้ๆ หรือว่าอายุจะวัดจากรูปร่างและหน้าตาไม่ได้อีกต่อไปแล้วกัน?

    “ยังหรอก” น็อคซ์ส่ายหน้า “อาจารย์ไม่ให้ข้าผ่านง่ายขนาดนั้น”

     “เขาสั่ง ให้ข้าตามหา นาฬิกาไร้กาล

    คำสั่งของอาจารย์ค่อนข้างคลุมเครือ เรื่องของนาฬิกาไร้กาลและบททดสอบนั้นอาจารย์พูดโพล่งขึ้นมาในคืนหนึ่งระหว่างมื้อเย็น เช้าวันต่อมาอาจารย์ก็หายไปพร้อมจดหมายที่ว่า ถ้าหาไม่เจอไม่ต้องกลับมาให้เห็นหน้าตอกตะปูไว้กับประตูบ้าน เพราะเหตุนั้นน็อคซ์จึงต้องเดินทางเป็นครั้งที่สามของชีวิต และเป็นการเดินทางที่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะสิ้นสุดอีกด้วย

    เพราะไม่มีข้อมูลใดๆ น็อคซ์จึงตัดสินใจค้นทุกอย่างจากตำนานและเรื่องเล่า คำว่า นาฬิกาไร้กาล นั้นดูจะมีความหมายที่เกี่ยวข้องกับกาลเวลา และถ้ามันเกี่ยวข้องกับเวลา มันก็จะไม่มีทางหาได้ง่ายๆเลย

    “ข้าตีความว่า ไร้กาล น่าจะหมายถึง อยู่นอกขอบเขตของกฎแห่งกาลเวลา”

    “หมายความว่ายังไง?”

    “นอกขอบเขตของกาลเวลา...นอกเหนืออำนาจของกาลเวลา เวลาไม่สามารถเข้าไปยุ่งเกี่ยวได้ ถ้าจะอธิบายให้เข้าใจง่ายๆคือเหมือนกับมนุษย์ที่เป็นอมตะ ไม่แก่ ไม่ตาย แต่มันไม่อยู่ในกฎของกาลเวลา มันเป็นไปไม่ได้เลยสักนิด อาจารย์เคยบอกว่าไม่มีสิ่งไหนหนีเวลาพ้น และไม่มีสิ่งใดไล่ตามเวลาทัน

    “แล้วเจ้าจะไปหาจากไหน” เฮล์มเลิกคิ้ว “ถ้าเป็นจริงอย่างที่เจ้าพูดมันก็ไม่น่าจะเป็นของที่มีอยู่จริงด้วยซ้ำ หรือที่ค้นในตำนานจะเป็นเพราะเหตุผลนี้?”

    น็อคซ์พยักหน้า ดวงตาทอประกายเคร่งเครียด คิ้วเรียวขมวดมุ่นจนเป็นปม เป็นสีหน้าจริงจังที่หาได้ยากยิ่งของช่างซ่อมนาฬิกา

    “เพราะเหตุนั้นข้าถึงต้องการเพื่อนร่วมทาง ข้าคนเดียวคงทำมันไม่ไหว” นัยน์ตาสีน้ำเงินยกขึ้นสบกับเขา “เจ้าพิเศษ เฮล์ม คาร์ลาน เจ้าไม่เหมือนใคร ข้าเชื่อว่าเจ้าจะช่วยเหลือข้าได้เป็นอย่างมาก”

    เฮล์มได้แต่นิ่งเงียบ ใบหน้าไม่สื่อความหมายใดๆ

    “เจ้าจะเดินทางตามหามันกับข้าจนกว่าจะพบหรือไม่ นักวาดฝัน”

    นักวาดฝันหันหน้าไปทางอื่น ภาพนั้นทำให้เขาถอดใจแล้วออกเดินต่ออีกครั้ง

    คราวนี้...เขาคงต้องไปต่อคนเดียว

     

    “แล้วเจ้ามีทางเลือกอื่นให้ข้าหรือ ช่างซ่อมนาฬิกา”

     

    รอยยิ้มบางผุดขึ้นบนริมฝีปากของน็อคซ์อีกครั้งหนึ่ง

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×