ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    -Sector U-

    ลำดับตอนที่ #2 : One : Sector U

    • อัปเดตล่าสุด 19 ก.ค. 56





    One : Sector U

     

     

    “บอสกลับมาแล้ว”

    “ช้าเป็นบ้า ไหนบอสว่าจะกลับมาก่อนฝนตกไง?”

    “เห็นว่ามีเรื่องนิดหน่อยกับพวกสูท (Suits*)”

    “แล้วจะทำยังไงกับหมอนี่ล่ะ?”

    “บอสกลับมาแล้วเหรอ?!

    “บอสว่าเก็บมาจากข้างถนน แล้วนี่ฮาวนด์ไปไหน?”

    “จะไปรู้เรอะ ฉันไม่ใช่เมียมันสักหน่อย ว่าแต่บอสไปไหนน่ะ!!

    “เบาหน่อย เดี๋ยวบอสก็-- ”

    “หุบปาก”

    “...นั่นไง ไม่ทันขาดคำ”

    “บอสกลับมาแล้ว!

    “หนวกหูเป็นบ้า น่ารำคาญ หุบปากไปเลยเดรค”

    “โห เจ็บปวด”

    “บอส จะเอายังไงกับหมอนี่ดีครับ?”

    ชายที่ถูกเรียกว่าบอสหันไปมองตามเสียง ดวงตาสีดำสนิทเรียบเฉยแล้วเอ่ยสั่งอย่างไม่ใส่ใจ

    “เอาไปโยนไว้ในแล็บ ที่เหลือฉันจะจัดการเอง”

     

     

    เจ็บ...

    เจ็บเป็นบ้า...

    เจ็บ!!!!!

    ปฏิกิริยาตอบสนองของร่างกายฉุดกระชากให้เขาทะลึ่งพรวดลุกขึ้นมาในที่สุด แสงจ้าทำให้ต้องหรี่ตาลง ผ่านไปสักพักก็พอที่จะลืมตาได้

    ภาพที่เห็นคือห้องกว้างๆ เขานั่งอยู่บนเตียง ตรงหน้าเยื้องไปทางขวาคือประตู ถัดจากนั้นมีตู้เสื้อผ้า ชั้นหนังสืออยู่ถัดจากโต๊ะข้างเตียง ทางด้านขวาติดผนังของห้องมีชุดโซฟา โต๊ะรับแขกเล็กๆ และโซฟาเดี่ยวตั้งอยู่

    ที่โซฟาเดี่ยว มีคนนั่งอยู่ตรงนั้น

    “กว่าจะตื่นขึ้นมาได้นะ”

    เสียงเรียบเฉยไร้อารมณ์จนเหมือนไม่ใส่ใจกับอะไรสักอย่างของคนตรงหน้าทำให้เขานึกออก หมอนี่เป็นคนๆเดียวกับคนที่เจอในตรอกตอนที่เขาใกล้ตายเต็มที ภาพเหตุการณ์ลางเลือนยังติดตา โดยเฉพาะความเจ็บแปลบบนไหล่ที่ถูกเหยียบซ้ำและคำพูดเสียดแทงจิตใจ

    วันนี้คนๆนั้นอยู่ในชุดเสื้อกาวด์ทับเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนและกางเกงสีดำนั่งไขว่ห้างท่าทางหยิ่งยโส ใบหน้า รูปร่าง สีผิวและสำเนียงระบุไม่ได้ว่าเป็นชนชาติไหน ที่พอจะรู้คือหมอนั่นมีดวงตาสีดำ ผมสีดำปนน้ำตาล โครงหน้าดูจะไม่ใช่คนเอเชีย แต่ก็ไม่ใช่อเมริกัน ถึงขนาดตัวจะเล็กแต่รูปร่างไม่สูงไม่เตี้ย ผิวขาวแต่ไม่ใช่ขาวเพราะเชื้อชาติ มันเป็นขาวซีดเหมือนคนไม่เคยออกแดด สำเนียงที่พูดก็ไม่ใช่อเมริกันอิงลิช จะว่าเป็นสำเนียงบริติชอิงลิชก็ไม่ใช่ ดูเหมือนมันผสมผสานกันจนแยกไม่ออก อายุเองก็เดาไม่ถูก แต่ไม่น่าจะเกิน 28 และไม่น่าจะต่ำกว่า 20

    “ไล่นิ้วซิ”

    หา?

    “ฉันสั่งให้ไล่นิ้ว ขยับนิ้วไล่ไปเรื่อยๆน่ะ ทำไม่เป็นรึไง?”

    เขาทำตามคำสั่ง ฝ่ายนั้นจดบันทึกอะไรบางอย่างลงคลิปบอร์ดที่คว้ามาจากโต๊ะ

    “ยกแขนขึ้นแล้วลองหมุน บิด ขยับ อะไรก็ได้ที่พอจะคิดออก”

    เขาทำตามอีกครั้ง แล้วพยักหน้ายืนยันว่ามันโอเค

    “ลุกขึ้นยืน ทรงตัว เดินสองสามก้าว”

    เขาลุกขึ้นยืน ทรงตัว เดินสองสามก้าวแล้วกระโดดหนึ่งครั้งเช็คร่างกายไปด้วย

    “ใครสั่งให้กระโดด?”

    “...”

    “พวกชอบทำนอกสั่งอีกคนแล้ว น่ารำคาญจริง... เดรค!!

    “คร้าบ—ผม”

    “เลิกลากเสียงน่ารำคาญนั่นแล้วเข้ามา”

    “โห อะไรกัน อีกแล้วนะที่คุณว่าผมน่ารำคาญ” เดรคเปิดประตูเข้ามาในห้อง เท่าที่ดูน่าจะมีเชื้อสายละตินอเมริกา ผมสีน้ำตาลทอง ตาสีฟ้าซีด รูปร่างสูงใหญ่ในชุดสูทไม่เรียบร้อยเดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มรื่นเริงขัดกับคำพูด

    “แล้วเคยสำเหนียกบ้างไหมล่ะว่าฉันด่า?”

    “ม่าย—เลย”

    “ไปตายซะ” เดรคหัวเราะร่าอย่างไม่ยี่หระแล้วขยิบตา

    “ผมไม่มีทางตายก่อนคุณหรอกบอส รับรองได้เลย”

    “ไปจัดการเรื่องหมอนั่นก่อนไป”  บอส เอาคลิปบอร์ดเคาะลงบนหัวเดรค เดินไปที่ประตูแล้วหันมาทิ้งท้าย “พาไอ้หมาข้างถนนนั่นไปอาบน้ำ หาข้าวให้มันก่อนที่จะตาย สอบประวัติให้เรียบร้อยแล้วจะทำยังไงต่อก็ตามใจ ”

    “แล้วคุณล่ะ?”

    “ห้องแล็บ ถ้ามีเรื่องค่อยมาตาม” หัวคิ้วของคนพูดขมวดลงแล้วเสริม “อันที่จริง ต่อให้มีก็ไม่ต้องเรียก”

    “อ้าว...ไหงงั้น”

    “ฉันจะนอน”

     

     

    เดรคพาเขาไปห้องอาบน้ำ เดินจากห้องไปไม่เท่าไหร่ก็ถึง พอเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยก็ลากเขาไปในห้องใหม่ ในห้องมีเก้าอี้และโต๊ะเรียบๆถูกจับจองด้วยคอมพิวเตอร์และเอกสารที่วางอย่างไม่เป็นระเบียบ บนพื้นและเพดานกลางห้องมีวงจรและเครื่องจักรอะไรซักอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เดรคเชื้อเชิญให้เขานั่ง ทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ กอดอกแล้วใช้ดวงตาสีฟ้าซีดจับจ้องมาที่เขาอย่างพิจารณา

    “งั้นก็...มาเริ่มกันเลยแล้วกัน” เขาพยักหน้า เหมือนตัวเองจะเกร็งขึ้นมากระทันหัน “บอสสั่งให้ฉันสอบประวัตินาย เพราะงั้นบอกมาซะว่านายชื่ออะไร?”

    “...”

    “เฮ้ บอกมาน่า ไม่เป็นไรหรอก รับรองเลยว่าฉันจะไม่หัวเราะแน่ๆต่อให้นายใช้ชื่อว่า จอห์น สมิธ”

    “...แล้วทำไมฉันต้องบอก?” เดรคเลิกคิ้วกับคำตอบของคนตรงหน้า นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินหมอนี่เปิดปากพูด มหัศจรรย์มาก ตอนแรกนึกว่าบอสเก็บคนใบ้มาซะอีก

    “เพราะฉันต้องรื้อประวัตินายมาซักให้ขาวไง” ดวงตาสีเขียวเพริดอตของอีกฝ่ายวาววับ เดรคยกมือขึ้นสองข้างประกาศยอมแพ้ “โอเคเพื่อน ไม่บอกก็ไม่บอก ฉันเข้าใจว่านายกำลังสงสัย—”

    “มาก”

    “ใช่ ไม่ ฉันหมายถึง ใช่ นายกำลังสงสัยมาก แต่ตอนนี้ฉันก็สงสัยเหมือนกันว่านายจำอะไรได้บ้างไหมว่าบอสพูดกับนายว่าอะไรตอนที่พามา?”

     เขาขมวดคิ้วกลับไปเป็นคำตอบ นั่นทำให้เดรคถอนหายใจแล้วล้วงกระเป๋ากางเกงดึงโทรศัพท์มือถือออกมา ดูจะคิดหนักอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจโทรออก

    คู่สนทนาในสายไม่รับง่ายๆจนกระทั่งสัญญาณลากไปถึงครั้งที่เจ็ด

    -โทรมาหาพ่อแกรึไง?-

    โทรศัพท์ของเดรคเปิดลำโพง เพราะงั้นมันจึงดังไปทั้งห้อง

    “เอ้อ...คือ เรามีปัญหานิดหน่อยน่ะครับบอส คือ—”

    -งั้นก็ไปตายซะ-

    สายวางไปแล้ว การสนทนาทั้งหมดกินเวลาไม่ถึงหนึ่งนาที

    เดรคต่อสายใหม่ คราวนี้เขาชิงพูดก่อน “อย่าเพิ่งวางเชียวนะ บอส คุณยังไม่ได้บอกอะไรกับ หมาข้างถนน ที่คุณเก็บมา—”

    -ฉันจะนอน-

    สายวางไปอีกครั้ง ครั้งนี้เดรคบอกให้เขารอก่อน แล้วลุกขึ้นเดินออกจากห้อง

    5 นาทีต่อมาเดรคกลับมาพร้อมเสียงจิกกัดแต่นิ่งเรียบของคนที่เขาเรียกว่าบอส

    “ฉันบอกว่าฉันจะนอน พูดภาษาคนไม่เข้าใจรึไง?”

    “รู้น่าว่าคุณจะนอน แต่ขอล่ะครับบอส ครั้งนี้ครั้งเดียว น่า—นะ”

    “ฉันเคยเชื่อคำพูดนายได้ด้วยเหรอ? เอาหัวออกไปไกลๆ เกะกะสิ้นดี”

    เดรคเปิดประตูเข้ามา หลบไปด้านข้างให้อีกคนเข้ามาก่อน บอสยังอยู่ในชุดเดิมคือเสื้อกาวด์ทับเสื้อเชิ้ต ที่เปลี่ยนไปคือผมที่ดูจะยุ่งเหยิงกว่าเดิมเท่านั้น

    บอสใช้ขาเขี่ยเก้าอี้ นั่งลง ยกขาขึ้นไขว่ห้าง แล้วขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิด “เดรคบอกว่านายมีปัญหา”

    เขาพยักหน้า “ผมสงสัย—”

    “ว่าที่นี่มันที่ไหน อะไร ยังไง เมื่อไหร่ ฉันเป็นใคร เดรคเป็นใคร นายรอดมาได้ยังไง วันนี้วันที่เท่าไหร่ เดือนอะไร ปีอะไร วันอะไร เวลาอะไร” บอสร่ายยาว “เรียงตามลำดับ : Sector U : องค์กร : ฉันเก็บนายมา : ตั้งแต่อาทิตย์ก่อน : บอส หัวหน้า ผู้นำ : สมาชิก ขี้ข้า ตัวน่ารำคาญ : เพราะฉันช่วย สำนึกบุญคุณซะเดี๋ยวนี้ : 23 : กันยายน : 2012 : วันอาทิตย์ : อีก 6 นาทีบ่ายโมง :

    บอส เอนตัวลงพิงกับเก้าอี้แล้วถาม “ชัดรึยัง?”

    ชัดเลย...

    “ฉันพูดเรื่องที่ต้องพูดแล้ว เรื่องอื่นเกี่ยวกับที่นี่เดี๋ยวถามเดรคเอาเอง ฉันขี้เกียจตอบ”

    “แล้ว—”

    “แต่ไอ้ตัวน่ารำคาญนั่นมันปลุกฉันขึ้นมาด้วยเรื่องที่ว่านายไม่ยินยอมให้ซักประวัติ” ดวงตาสีดำสนิทลุกวาว “ทำไม? อย่าลืมนะว่าที่รอดมาจนถึงตอนนี้ก็เพราะว่าฉันเก็บแกมา

    เจ้าหมาที่เก็บมาชะงักไปเล็กน้อย ก้มหน้าลง แล้วไม่ตอบอะไรกลับมาอีกเลย

     

    เงียบอยู่ได้ น่ารำคาญจริง พอเห็นอีกฝ่ายไม่ตอบเขาก็ได้แต่ถอนหายใจระบายความหงุดหงิด งี่เง่าเป็นบ้า เรื่องแค่นี้คิดเองไม่เป็นรึยังไง? แค่ซักประวัติแค่นี้ทำยังกับจะเป็นจะตาย ปล่อยไว้แบบนี้ก็ยุ่งยากอีก แล้วอีกอย่างหนึ่ง...

    “ช่วยไม่ได้” เจ้าตัวยุ่งยากเงยหน้าขึ้นมอง “ฉันจะถือเสียว่าแกในตอนนั้นตายไปแล้ว ส่วนไอ้ตัวไร้ค่าหาประโยชน์ไม่ได้ที่อยู่ตรงหน้าฉันมันป็นหมาข้างถนนที่มาจากไหนไม่รู้ โดนอะไรมาไม่รู้ ทำอะไรได้บ้างก็ไม่รู้ ขนาดรักษาจนหายยังไม่มีแม้แต่คำขอบคุณซักคำ กระทั่งส่งเสียงเห่าให้ฉันได้ยินก็ยังไม่มีเลยสักนิด คิดจะทำอะไรต่อไปก็ตามใจแล้วกัน”

    “แต่ผมได้ยินเสียงของหมอนี่แล้วนะบอส”

    “อย่าสอด”

    เดรคหงอยไปทันตา ไอ้นี่มันชอบยุ่งเกินความจำเป็น เขาหันมาให้ความสนใจกับ หมาแล้วยื่นข้อเสนอ

    เขาชูนิ้วเป็นสัญลักษณ์ “ฉันมีช็อยส์ให้เลือก หนึ่ง ยอมสวามิภักดิ์และนับฉันเป็นเจ้านาย เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งขององค์กร เป็นขี้ข้าที่ภักดีเห็นชีวิตฉันสำคัญกว่าภารกิจและตัวเอง หรือสอง ตายซะตอนนี้เลยแล้วเอาตับ ไต หัวใจ ลูกตา ออกมาให้ฉัน และสาม ฆ่าฉันเดี๋ยวนี้แล้วหนีออกไป อย่าให้ใครจับได้ แล้วก็ไปตายอยู่ข้างถนนเหมือนเดิม”

    เดรคผิวปากอย่างถูกใจนัก บอสเจ๋งเป็นบ้า แต่เล่นยื่นข้อเสนอแบบนี้มันคงไม่มีใครเลือกซักข้อหรอก เอาจริงๆนะ ต่อให้เป็นเขาก็เถอะ ถ้าไม่รู้จักบอสมาก่อนแล้วเจอสถานการณ์เดียวกับหมอนี่เขาคงเลือกข้อสุดท้ายแบบไม่คิด

    “หนึ่ง”

    “เยี่ยม”

    “หา?!” เดรคร้องลั่น

    ทั้งบอสทั้งหมาที่บอสเก็บมามองเขาเป็นตาเดียว ไม่ต้องบอกก็พอจะเดาจากสีหน้าของบอสได้ว่ากำลังรำคาญเขาขนาดไหน ว้าว บอสรำคาญเขาอีกแล้ว เจ๋ง! ว่าแต่ไอ้เจ้านั่นมันเลือกอะไรนะ?!

    “ผมเลือกหนึ่ง” เปลือกตาของคนพูดหลุบลงก่อนจะสบกับดวงตาสีดำอย่างแน่วแน่ “ถ้าผมตายไปแล้ว เรื่องเก่าๆพวกนั้นก็ไม่มีค่าอะไรอีก”

    เฮ้! คิดอย่างนั้นไม่ง่ายไปหน่อยรึไง? ฆ่าตัวเองในอดีตง่ายๆอย่างนี้เลยเรอะ?!

    “อ่าห๊ะ” บอสพยักหน้า เดี๋ยวสิ บอสพยักหน้า? อย่าบอกนะ... “ถ้าเลือกจะเป็นขี้ข้าฉัน ฉันก็ยินดี แต่ถามหน่อยเถอะว่าถ้าในอดีตมันไร้ค่าขนาดนั้นแล้วตอนนี้มีดีอะไรบ้างล่ะ?”

    ดวงตาสีดำสนิทหรี่ลงอย่างน่ากลัว “ฉันไม่คิดจะเลี้ยงพวกไร้ประโยชน์เอาไว้หรอกนะ”

    ทั้งห้องดูจะเงียบไปชั่วอึดใจ แรงกดดันมหาศาลอย่างที่ไม่คาดคิดแผ่กระจายไปทั่วทั้งห้อง คนที่ดูไม่น่าจะมีพิษสงมากที่สุดกลับดูน่าสะพรึงในเวลาแบบนี้ รอยยิ้มเครียดๆผุดขึ้นที่ริมฝีปากของเดรคเมื่อตระหนักได้ว่าเขาเผลอก้าวถอยห่างออกมาจากนายที่เขาเล่นหัวอยู่เป็นประจำ แม้แต่เจ้าหมอนั่นยังผงะไปชิดติดพนักเก้าอี้

    “ว่ายังไง”

    น้ำลายเหนียวข้นถูกกลืนลงคออย่างฝืดเฝื่อน เหงื่อเย็นๆลามเลียที่ปลายคาง พยายามสงบใจจนกลับมาคงอารมณ์เรียบเฉยไว้ที่แบบเดิม นัยน์ตาสีเขียวเพริดอตไหววูบก่อนจะยกขึ้นสบกับดวงตาของฝ่ายตรงข้ามอย่างแน่วแน่

    “ผมจะเป็นดวงตาให้คุณ”

    “ขอบใจ แต่ตาฉันยังไม่บอด”

     

    กริบ...

    บอสเลิกคิ้ว “ตกลงจะเอายังไง? นายมีดีอะไรบ้าง?”

    เดรคเดินเข้ามาหา ป้องปาก แล้วกระซิบ “บอกบอสไปตรงๆเหอะว่านายมีอะไรพิเศษ จมูกดี แรงเยอะ ตอแหลเก่ง วิ่งเร็ว อะไรก็ว่าไป แต่อย่าพูดอะไรแนวๆดราม่า หรือสไตล์หนังฮอลลีวูดเลย ทุกคนเคยพยายามแล้ว ล้มเหลวไม่มีชิ้นดี”

    อีกฝ่ายพยักหน้ารับเป็นเชิงว่าเข้าใจ แล้วบอกไปตรงๆว่าสายตาดี

    บอสครางในลำคอ ปลายนิ้วลูบคางอย่างครุ่นคิด “เข้าใจล่ะ ถ้าอย่างนั้นก็ข้ามเรื่องความสามารถไปเลย แล้วนายถนัดอะไรมากกว่ากัน? ใช้อะไรเป็นบ้าง?  SMG* ได้ไหม? Assault Rifle*  กับ Sniper Rifle* ล่ะ? แล้วอย่าง AT-Gun* นี่ใช้ได้หรือเปล่า? สถิติการพลาดและระยะที่เคยยิงมาไกลที่สุดคือกี่พันเมตร?”

    เจ้าหมาตาสีเขียวชะงักไปเล็กน้อย ดวงตาไร้อารมณ์ในทีแรกแวววาวขึ้นมากระทันหัน

    “ทั้งหมดที่คุณพูดมาผมใช้ได้ โดยเฉพาะสไนเปอร์ ผมไม่ค่อยชอบ SMG เพราะมันประชิดตัวเกินไป แต่ก็ใช้ได้ไม่มีปัญหา เคยยิงพลาดเมื่อตอนเจ็ดขวบเพราะแรงสะท้อน ระยะยิงที่ไกลที่สุดคือ 2,172 เมตรด้วย Cheytac M200* บวกกับแรงลมหนุน”

    Cheytac M200 แบบใน SHOOTER ? หนังปี 2007 นั่นน่ะนะ?”บอสผิวปาก “ไม่เลวนี่ เยี่ยมเลย บุคลากรอย่างนี้แหละที่ฉันต้องการ ลูกน้องที่ใช้งานได้จริง” ประโยคนี้เหลือบตาไปมองเดรค หมอนั่นหัวเราะหึๆแล้วหันหนีไปทางอื่น

    “คุณรู้ได้ยังไงว่าผมถนัดปืน?” คนถามมีสีหน้าคาดคั้น “ผมบอกไปว่าตาดี แต่ไม่ได้พูดว่าถนัดปืน ดีไม่ดีผมอาจจะยิงธนูก็ได้ ใครจะไปรู้”

    “ธนู? แบบฮอว์คอายในดิ อเวนเจอร์ส? ไม่ล่ะ ตลกไป สมัยนี้แล้วยังใช้ธนูอยู่ไม่คิดว่ามันแปลกไปหน่อยรึไง? นี่ไม่ใช่หนังของมาร์เวลเสียหน่อย”

    “แล้วคุณ—”

    “ก็ฉันไม่โง่นี่ ตอนที่ลากนายมาจากตรอกเน่าๆนั่นก็มีแผลจากกระสุนเต็มตัว พอเอามาโยนไว้ในแล็บตอนรักษาก็เจอดินปืนติดตามซอกเล็บ มือของนายมีปุ่มปมที่บอกว่าใช้งานหนัก แต่ที่นิ้วมันเป็นไตลักษณะการใช้งานแบบเฉพาะของคนที่ลั่นไกบ่อย เข้าใจรึยัง?” เจ้าหมาขี้สงสัยพยักหน้ารับโดยดุษฎี

    เจ้าหมา

    เจ้าหมา  เจ้าหมา  เจ้าหมา  เจ้าหมา  เจ้าหมา  เจ้าหมา  เจ้าหมา  เจ้าหมา 

    เจ้าหมา...

    “ตกลงชื่ออะไรน่ะ?” บอสถาม “เพราะตอนนี้ฉันเผลอเมมไว้ว่า เจ้าหมา แล้ว”

    เจ้าหมา ดูจะอารมณ์ไม่ดีขึ้นมากระทันหัน “ผมทิ้งไปแล้ว ลบไปหมดแล้ว คุณอยากเรียกอะไรก็เรียกไปเถอะ หมาข้างถนนก็ได้ เหมาะกับสถานภาพของผมดี” สงสัยจะหงุดหงิดจัด แต่ถ้อยคำดูตัดพ้อแบบสาวน้อยยังไงชอบกล

    “ไม่ดี เพราะหมามีแล้ว”

    “อ้อใช่ ฮาวนด์” เดรคทุบกำปั้นลงบนฝ่ามือ “ผมลืมหมอนั่นไปสนิทเลย”

    “นิสัยไม่ดี ว่าแต่ฮาวนด์ไปไหน?”

    ชายหนุ่มเชื้อสายละตินส่ายหน้าวืด “ไม่รู้สิครับ หายไปหลายวันแล้วเหมือนกัน”

    “ช่างมันเถอะ เดี๋ยวก็กลับมา ว่าแต่นายชื่ออะไรดี?”

    คราวนี้ดูบอสจะคิดหนัก อย่างน้อยๆก็หนักกว่าที่เคยคิดให้คนอื่น

    “นายตาดี เป็นสไนเปอร์ เป็นมือปืน ตาดี แต่ไม่ยิงธนู อ้อ! ธนู” บอสดีดนิ้วเปาะ “ธนู = ฮอว์คอายในอเวนเจอร์ส แต่นายไม่ใช่มือธนู อีกอย่างขืนชื่อฮอว์คอายไปมีหวังโดนฟ้องร้องอานเลย งั้นไม่เอาฮอว์ค เอาเป็นอีเกิ้ล... ไม่ดีเชยไป มันให้อารมณ์อเมริกาไป งั้นเอาฮอว์คแต่ไม่ใช่ตาเหยี่ยว นายเจ๋งกว่านั้น งั้นเอาเป็นพันธุ์เหยี่ยว เหยี่ยวมีอะไรบ้าง เอายังไงดี”

     คิดแล้วคิดไม่ตก ถามเจ้าตัวเลยน่าจะง่ายกว่า “นายชอบสีอะไร?”

    “หา?”

    “สีน่ะสี” บอสสะบัดมือไปมา “สีที่ชอบ เสื้อผ้าที่ใส่ปกติ สีน่ะ สีแดง ขาว เขียว เหลือง ฟ้า อะไรทำนองนั้น”

    “เอ้อ... ผมคิดว่า—”

    “ผมชอบสีแดง!!” เดรคพูดทะลุกลางปล้องขึ้นมาเรียกร้องความสนใจ ปล่อยเขายืนโง่ๆอยู่คนเดียวมานานเกินไปแล้วนะ! ให้ตายเถอะ ตอนนี้เขาชักจะไม่ชอบขี้หน้าเจ้าคนใหม่นี่ซะแล้วสิ

    “หุบปากไปซะ”

    “โธ่... ก็—”

    “ตกลงชอบสีอะไร?” 

    ชายหนุ่มอ้ำๆอึ้งๆ มองสลับไปมาระหว่างคนที่พยายามเรียกร้องความสนใจสารพัดกับหัวหน้าที่เมินกันดื้อๆไม่แม้แต่จะสนใจ แล้วตอบ

    “ผมไม่ค่อยใส่สีสดใส ถ้าในตู้ส่วนใหญ่จะมีแต่สีเข้มๆมากกว่า...”

    “เช่น?”

    “ดำ...น้ำตาล ประมาณนั้น”

    บอสดีดนิ้ว

    “ออสเปรย์*”

    “ครับ?”

    “ออสเปรย์ ไง ออสเปรย์ ออส-เปรย์ น่ะ เหยี่ยวพันธุ์ออสเปรย์ สีดำๆขาวๆน้ำตาลๆ สวยดี เก่งด้วย ตาดีอีก เหมาะเลย อย่างแรง” คนอธิบายฝอยจนหมดแล้วตบบ่าดังปับ

    “สวัสดีออสเปรย์”

    นับแต่นั้นเขาก็ได้ชื่อว่า ออสเปรย์ ไปโดยปริยาย

     

    “ส่วนเรื่องนามสกุล... คิดอะไรออกก็เขียนๆไปแล้วกัน ถ้าคิดไม่ออกที่ห้องหนังสือจะมีลิสต์นามสกุลเท่ๆที่คนดังในอดีต หรือไม่ก็พวกนามสกุลแปลกๆแต่ดูดีแปะอยู่ บางอันที่ขีดฆ่าไปแล้วก็อย่าเลือกล่ะ เพราะเจ้าพวกนั้นเอาไปใช้แล้ว” บอสชี้นิ้วหัวแม่มือไปทางเดรค “ส่วนเรื่องอายุกับวันเกิด ถ้าจะเอาตามจริงมีปัญหาอะไรไหม?”

    “ปีนี้ 27 วันที่ 14 เมษายน 1984”

    คนถามเดาะลิ้นอย่างขัดใจ “นายมากกว่าฉันตั้ง 4 ปี น่าหมั่นไส้เป็นบ้า ที่สำคัญๆเสร็จแล้ว จะไปไหนก็ไปเลยไป”

    ออสเปรย์พยักหน้าแล้วลุกขึ้นเดินออกจากห้องตามสัญญาณเรียกของเดรค ยังไม่ทันก้าวออกจากห้องก็ถูกรั้งไว้ด้วยเสียงของผู้เป็นนายอีกครั้ง

    “ที่นี่ เวลานี้ ฉันคือบอสของนาย” บอสเปรยขึ้นขณะเล่นกับเล็บมือตัวเอง “แต่ถ้ามันกระดากปากนักเรียกฉันว่า ดอนก็ได้ เพราะฉันเองก็กระดากหูพิลึกเวลาพวกนั้นมันเรียกบอสอย่างนู้น บอสอย่างนี้เหมือนกัน”

    เขาพยักหน้ารับคำ ส่วนเดรคที่โดนพาดพิงก็ร้องโอดครวญอยู่ข้างหลัง

    รอยยิ้มแสยะแยกเขี้ยวร้ายๆปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของดอน

     

    ยินดีต้อนรับเข้าสู่ Sector U เจ้าเหยี่ยวปีกหัก”

     

     

     

     

     

     

    - Suits - ในที่นี้กล่าวถึง FBI เป็นการล้อเลียน FBI ที่มักจะใส่สูทราคาแพงมาทำงาน

    - SMG ,Submachine Gun - ปืนกลมือ เป็นปืนที่ทำงานด้วยระบบอัตโนมัติ มีขนาดกระทัดรัดสามารถประทับยิงได้อย่างรวดเร็ว มีระยะยิงหวังผลไม่ไกลนัก นิยมใช้ในการยิงต่อสู้ระยะประชิดตัว

    - Assault Rifle - ไรเฟิลจู่โจม ยิงด้วยระบบอัตโนมัติหรือกึ่งอัตโนมัติไปตามวงรอบจนกว่ากระสุนจะหมด นิยมใช้ทางการทหาร รุ่นที่รู้จักกันเป็นวงกว้างและปรากฏบ่อยในภาพยนต์คือ M16

    - Sniper Rifle - ปืนไรเฟิลซุ่มยิง เป็นปืนที่มีระยะยิงที่ไกลกว่าปืนชนิดอื่น ติดกล้องส่องไว้ที่ตัวปืนเพื่อความแม่นยำ ผู้ใช้จะนอนราบ รุ่นที่ถือเป็นมาตราฐานของหน่อยนาวิกโยธินสหรัฐอเมริกาคือ M40

    - AT-Gun - ปืนสำหรับต่อสู้กับรถถัง ถือเป็นปืนใหญ่ชนิดหนึ่ง ยิงได้ไกล อำนาจการทะลุทะลวงสูง ใช้กระสุนเจาะเกราะในการยิง

    - Cheytac M200 - ใช้กระสุนขนาด .408 ระบบปฏิบัติการแบบ Bolt-action ความจุ 5 - 7 นัด ระยะหวังผลสูงสุด 2,000 เมตร ถูกใช้ในภาพยนต์ SHOOTER ราคาประมาณ 13,000 ดอลลาร์สหรัฐ

    - ออสเปรย์ (Osprey) - เหยี่ยวกินปลาเป็นอาหาร มีขนาดใหญ่ ยาว 60 ซม.ช่วงปีกกว้าง 2 ม. ขนส่วนบนเป็นสีน้ำตาล ศีรษะและส่วนล่างมีสีค่อนข้างเทา มีสีดำบริเวณตาและปีก
     

     



     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×