คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : ความทรงจำที่ไม่อาจลืม
บทที่ 6
“ตื่นได้แล้วแพน”
“แพนตื่นได้แล้ว”
“ตื่นได้แล้ว !!!!!!”
“ค้าแม่”
โอ๊ยให้ตายเถอะนี่กี่โมงแล้วเนี่ย ว้ากกกกกอีก10 นาที 8 โมง
พรึ่บ
ตึง ๆๆๆ
ปัง !!
เสียงแรกฉันสบัดผ้าห่มออกจากตัว แต่อันที่จริงมันก็ไม่ค่อยได้อยู่ที่ตัวสักเท่าไร
เสียงต่อมาคือเสียงที่ฉันวิ่งเข้าห้องน้ำ
และเสียงปิดประตูห้องน้ำในที่สุด และอีกหลายๆเสียงที่ฉันกระทำอย่างเสียงดังไม่เกรงใจใครหน้าไหน จนสุดท้ายจึงจบด้วยเสียง
เพี้ย !
นั่นก็คือเสียงโดนแม่ตีนั่นเอง โทษฐานที่ฉันทำเสียงดังไม่มีมารยาท
10 นาทีต่อมาด้วยความว่องไว
ค่อยยังชั่วหน่อยที่วันนี้รถไม่ติดก็เลยถึงเร็ว (แต่ก็สายอยู่ดีแหละยัยบ้า )
“นี่ยัยบ๊อง ทำไมเธอมาโรงเรียนสายจังฉันรอเธอเป็นชาติเลย”
“ก็ใครใช้ให้นายรอล่ะ ช่วยไม่ได้”
“นี่พูดอย่างนี้ได้ไง”
“ก็ฉันจะพูดอย่างนี้แล้วใครจะทำไม”
“ดูวันนี้เธอปากเก่งจริงนะ เถียงฉันฉอดๆๆ”
“แน่นอน ฉันก็เป็นของฉันอย่างนี้อยู่แล้ว”
“เธอนี่แปลกดี”
“นี่ ถ้านายจะมาชวนฉันทะเลาะด้วยฉันไม่มีเวลามากพอขนาดนั้นหรอกนะ”
“ฉันก็แค่...ก็แค่...”
“ก็แค่...ทำไม”
“เอ่อคือว่า...”
“ถ้านายไม่พูดฉันไปแล้วนะ บาย”
“นี่กลับมาก่อน”
เชอะเรื่องอะไรฉันจะกลับ แล้วฉันก็วิ่งต่อไป
เฮ้อ ถึงโรงเรียนซะที
เอ๋ วันนี้ดูทะแม่งๆทำไมเจ๊มยุรีแกหายไปไหน ปกติแกต้องคอยจับเด็กที่มาช้านี่น่า แต่หายไปก็ดีจะได้ไม่ต้องโดนทำโทษ
“ภวิษย์ตา เลิศวิวัฒนากุล”
ตายยากจริงๆเลยพูดถึงไม่ทันขาดคำ ( ตกนรกนะยะว่าครู ) ตายแน่เลยฉัน
“เธอมาสายอีกแล้วนะ ไปวิ่งรอบสนาม 5 รอบ”
เฮ้อ ให้ตายเถอะแม่เจ้า
5 รอบผ่านไป
“เป็นไงบ้างจ๊ะ”
“ฉันจะตาย”
“อะไรวิ่ง 5 รอบแค่นี้ถึงขั้นจะตายเลยหรอ”
“แกลองไปวิ่งบ้างไหมล่ะยัยนิคกี้”
“ไม่ล่ะฉันขอบาย”
“แพนหัดมาโรงเรียนแต่เช้าบ้างสิ”
“ฉันก็อยากจะมาแต่เช้าเหมือนกันออมแต่มันทำไม่ได้”
“ไม่เป็นไรฉันเข้าใจแกแพน เพราะฉันก็เหมือนแกนั่นแหละ”
“แกสองคนนี่น้าจริงๆเลย”
“อ้าว เงียบๆๆได้แล้ว”
“นักเรียนทั้งหมดทำความเคารพ”
“สวัสดีค่ะอาจารย์”
“วันนี้เราจะเรียนกันถึงเรื่อง...”
เฮ้อ ฉันขอไปเฝ้าพระอินทร์ดีกว่า
โป๊ก !!
โอ๊ย!!!
“ใครเอาอะไรมาปาหัวฉันเนี่ย ใคร ใคร”
“ครูเองเธอมีอะไรมั้ยภวิษย์ตา เลิศวิวัฒนากุล !!!”
“แฮะๆไม่มีอะไรค่ะอาจารย์”
“ดี งั้นออกไปยืนนอกห้องไป ถ้าเธอไม่อยากเรียน”
“ค่ะ”
“วันนี้มันเป็นวันซวยอะไรของฉันเนี่ย”
“เธอบ่นอะไร”
“เปล่าค่ะ”
หูดีจังเลยนะค่ะอาจารย์ เฮ้อ
ออด!!!
“เป็นไงบ้างแพนเมื่อยไหม”
“แกลองมายืนดูสิ”
“ไม่ล่ะฉันเกรงใจ”
“ไปกินข้าวกันเถอะ”
“วันเสาร์นี้ไปเที่ยวกันไหม”
“ที่ไหนล่ะ”
“อืม พวกเธออยากไปไหนล่ะ”
“ฉันยังไงก็ได้” ออมบอก
“ฉันก็เหมือนกัน” นิคกี้บอก
“ฉันเหมือนยัยสองคนนี้ แล้วเธอล่ะแพน”
“เอาไว้นึกได้แล้วเดี๋ยวบอกแล้วกัน”
และเวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็วการเรียนวันนี้ก็จบลงเหมือนกัน
“ฉันกลับก่อนนะ บาย”
“บายนิคกี้ ออม”
“แกคิดได้ยังแพนว่าจะไปไหนกันดี”
“ยังเลย”
ปี๊น ปี๊น!!!
“อ้าวแม่”
“แพนงั้นสตางค์ไปก่อนนะ”
“สวัสดีค่ะคุณน้า บายสตางค์”
และฉันก็เดินต่อไปเรื่อยๆ จนมาถึงบนถนนสายยาว ฉันมาที่นี่ได้ไงเนี่ย เมื่อมองไปรอบๆทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม
“กินไหมค่ะ”
“ไม่ล่ะ แพนกินเถอะ”
“ตามใจ”
“ไปทางโน้นกันดีกว่า”
“อ้าว เดี๋ยวสิค่ะ”
“เร็ววิ่งเป็นยายแก่ไปได้”
“โฮ”
“ถึงแล้ว”
“อะไรหรอ”
“นั่นไง”
“ว้าว สวยจังเลย”
มันเป็นภาพพระอาทิตย์กำลังจะตกดินแต่ตัดกับทิวไม้ของต้นจามจุรีและตึกแถวนั้นที่มีความสูงต่ำไล่เลี่ยกัน
“น่าถ่ายรูปนะเนี่ย”
“ตรงนั้นมีช่างถ่ายรูปอยู่พอดีเลย ลุงครับช่วยถ่ายรูปให้เราสองคนนั้นหน่อยได้ไหมครับ”
“ได้สิ”
“เอานะ 1 2 3”
แชะ
“เท่าไหร่ครับ”
“ไม่เป็นไรฟรี”
“ขอบคุณครับ/ค่ะ”
“โฮใครเนี่ยน่ารักจังเลย”
“หลงตัวเอง”
“ไม่ได้หลง ทำไมหรือว่าไม่จริง”
“เรานี่น้า”
555
ฉันค่อยๆนอนลงบนหญ้าสีเขียวแหงนหน้ามองท้องฟ้า ป่านเนี่ยอยู่ที่นั่นจะเป็นอย่างไงบ้างสบายดีไหมนะ
“นี่ เธอ”
“นาย”
“เธอมาทำอะไรที่นี่ อ๋อ หรือว่าตามฉันมา”
“คนอะไรหลงตัวเองซะไม่มี”
“หรือว่าไม่จริง”
“นายจะบ้าหรอ ฉันจะตามนายทำไมนายเป็นญาติฝ่ายไหนของฉันไม่ทราบฉันถึงต้องตามนาย อย่าหลงตัวเองให้มันมากนักเลย”
“โอเคไม่ตามก็ไม่ตาม แต่เธอไม่ได้เป็นญาติกับฉันหรอกแต่เป็นแฟนฉันต่างหาก และฉันก็จะไม่มีวันเป็นญาติกับเธอด้วยเพราะฉันจะเป็นสามีเธอ”
“ไม่มีวัน”
“ซะเมื่อไหร่555”
“ไอ้บ้าเอ๊ย”
“นี่พูดจาไม่สุภาพนะ”
“แล้วไง สำหรับคนอย่างนายไม่จำเป็นต้องพูดดีด้วยหรอก”
“วันนี้เรามาพูดดีๆกันเอาไหม”
“ฉันพูดดีเสมอ นายต่างหากที่เป็นฝ่ายชวนฉันทะเลาะก่อน”
“โอเคฉันยอมรับผิด”
“ก็ดี”
“งั้นถือว่าเราดีกันแล้วนะ”
“....”
“นะ...นะ...น้า”
“ก็ได้ลองดูแต่ถ้านายกวนประสาทฉันเมื่อไหร่เลิกพูดกัน”
“ตกลง”
“แล้วนายมาที่นี่ทำไม”
“ฉันมาเดินเล่นนะ รู้มั้ย...”
“ไม่รู้”
“ฉันยังไม่ทันพูดเลยนะ ช่วยฟังให้จบก่อนได้ไหม อันที่จริงฉันว่าเธอเป็นฝ่ายหาเรื่องก่อนนะเนี่ย”
“นี่”
“โอเคฉันยอมแพ้ ฉันชอบที่นี่มากเลยเธอรู้มั้ย”
“ไม่รู้”
“นี่ ช่วยสงสัยหน่อยไม่ได้เหรอไง”
“ก็ได้ ทำไมล่ะ”
“เพราะที่นี่บรรยากาศดีมาก เงียบสงบ ไม่วุ่นวายเหมือนในเมืองแล้วก็เป็นส่วนตัวดีไม่มีใครมายุ่งวุ่นวาย”
“.....”
“นี่เป็นอะไร ทำไมเงียบจัง”
“นายพูดเหมือนคนๆหนึ่งที่ฉันเคยรู้จัก”
“งั้นเหรอ แล้วเขาเป็นใครหรอ”
“เขาเป็น...เป็น...”
“เป็นใครหรอ”
“เป็น...”
“เป็น...”
ฟึ่บ
“อ้าว จะไปไหน เธอยังไม่ได้บอกฉันเลยนะ นี่”
ฉันลุกขึ้นวิ่งหนีจากนายนั่นโดยไม่พูดอะไรและไม่รู้ทิศทางด้วยว่าจะวิ่งไปถึงที่ไหน ฉันวิ่งไปเรื่อยๆพร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมา โดยไม่รู้เลยว่าเมื่อไหร่กันนะที่ฉันถึงจะหยุดร้องได้ซะที เมื่อไหร่กัน เมื่อไหร่กัน ฉันจะต้องร้องไห้ไปถึงเมื่อไหร่ ฉันค่อยๆทรุดนั่งลงกับพื้นพร้อมกับน้ำตาที่หยดลงบนพื้นดิน เมื่อไหร่กัน
“นี่เธอวิ่งหนีฉันมาทำไมเนี่ย”
“นี่ถามแล้วยังไม่ตอบอีก”
“นี่...”
“เธอ เธอเป็นอะไร แล้ว...ร้องไห้ทำไม”
“ฉัน...”
ฮือๆๆๆๆๆ
นายนั่นโผเข้ามากอดฉันทันที โดยที่ฉันไม่ทันตั้งตัว
“อย่าร้องไห้เลยนะ รู้มั้ยเวลาเธอร้องไห้เหมือนเด็กปัญญาออ่อนเลย5555”
“อีตาบ้า นายมีสิทธิ์อะไรมาว่าฉันไม่ทราบ อีตา...”
“เป็นอะไรไป”
“เมื่อกี้นายพูดว่าอะไรนะ”
“ฉันถามเธอว่าเป็นอะไรไป”
“ไม่ใช่ก่อนหน้านั้นสิ”
“อ๋อ ที่ฉันบอกเธอว่าเวลาเธอร้องไห้แล้วเหมือนเด็กปัญญาอ่อนเลยนะเหรอ”
“นาย...ทำไมนายถึงพูดว่าเวลาฉันร้องไห้แล้วเหมือนเด็กปัญญาอ่อนล่ะ”
“อืม ฉันเห็นหน้าเธอมันเหมือนดี ทำไมหรอ”
“มันเหมือน...เหมือนกับ...”
“เหมือนกับใคร”
“เหมือน...เหมือนคนคนหนึ่งที่ฉันเคยรู้จัก”
“ใครหรอ”
“ช่างเถอะ”
“ไม่ได้ เมื่อกี้เธอก็ยังไม่ได้บอกฉันเลยว่าคนคนนั้นเป็นใครแล้วนี่อีก”
“....”
“ไม่เป็นไรถ้าเธอไม่อยากบอกฉันก็จะไม่บังคับเธอ”
“ฉันกลับบ้านก่อนนะ”
“ให้ฉันไปส่งมั้ย”
“ไม่เป็นไร”
ทำไมนายนั่นถึงได้มีอะไรหลายๆอย่างคล้ายเขาจัง มันคงเป็นเรื่องบัญเอิญละมั้ง เด็กปัญญาอ่อนเหรอ
“เป็นอะไรไปแพน ร้องไห้ทำไม”
“ฮือๆๆๆ”
“โอ๋ อย่าร้องไห้เลยนะเด็กน้อย”
“ไม่ใช่เด็กน้อย”
“อ๋อเหรอ งั้นเด็กปัญญาอ่อนหยุดร้องไห้นะ”
“ไม่ใช่นะ”
“โอเค ไม่ใช่ก็ไม่ใช่55555”
เอาอีกแล้วน้ำตาเจ้ากรรมมันไหลออกมาอีกแล้ว ป่านนี้จะเป็นยังไงบ้างนะ
ที่บ้าน
“กลับมาแล้วค่ะ”
เงียบ
สงสัยว่าคงจะยังไม่มีใครกลับมาแน่เลย ฉันจึงเดินขึ้นห้องและนั่งลงบนเก้าอี้ริมหน้าต่าง สายตาเหม่อมองออกไปข้างนอก ภาพบรรยากาศนี้ช่างดูสวยงามเหลือเกิน แสงไฟส่องออกมาจากบ้านแต่ละหลังระยิบระยับตัดกับความมืดมิดและความเหว่ว้าของยามค่ำคืน มองไปรอบๆตัวมีแต่ความว่างเปล่า แต่มีสิ่งหนึ่งที่ฉันรู้สึกได้คือฉันยังคงเชื่อว่าเขาอยู่กับฉันทุกๆที่และตลอดเวลา ไม่ว่าฉันจะทำอะไร ไปที่ไหนเขาก็คงยังอยู่ข้างๆฉันเสมอ ฉันค่อยๆเปิดไดอารี่และบรรจงเขียนด้วยลายมือที่คิดว่าน่าจะสวยที่สุด
20 พฤษภาคม 2549
ค่ำคืนนี้แม้จะดูเงียบเหงาและว่างเปล่าไม่มีใคร แต่มีสิ่งหนึ่งที่ยังคงเหมือนเดิมคือฉันคิดว่าเขาอยู่ข้างฉันตลอดเวลา วันนี้เจอเรื่องเยอะแยะมากมายจนไม่รู้ว่าจะเริ่มเล่าจากตรงไหนก่อนดี วันนี้ฉันเจอนายนั่นอีกแล้ว ไม่รู้ว่าเป็นความบังเอิญหรือเพราะอะไรกันแน่ ฉันมีความรู้สึกว่านายนี่มีอะไรๆหลายๆอย่างคล้ายเขา แต่ฉันคงคิดมากไป สงสัยว่าจะคิดถึงเขามากเกินไปเลยเจออะไรๆก็เหมือนเขาไปหมด เฮ้อ!
ความคิดเห็น