ตอนที่ 3 : C H A P T E R 2
C H A P T E R 2
#ฟิคแฝดมยอง
“นายก็ลองเรียนที่โรงเรียนฉันสักสามเดือนแล้วกัน”
ประโยคคำพูดของแอลทำเอามยองซูเงียบไปหลายวินาที
“พูดบ้าอะไรของนายแอลคิม” มยองซูเอ่ยเสียงเครียดให้รู้ว่าถ้าอีกฝ่ายกำลังพูดตลกกับเขาอยู่บอกเลยว่าคิดผิด เขาไม่รู้สึกว่ามันน่าขำเลยสักนิด จะบ้าหรือไงให้เขาไปเรียนโรงเรียนระดับสูงอย่างนั้น ขอบายเหอะไม่เอาด้วยอย่างเด็ดขาดเลย!
(ฉันพูดจริง) ปลายสายเอ่ยเสียงนิ่งเหมือนเช่นทุกครั้ง มยองซูคงจะลืมไปว่าแฝดคนนี้ไม่ได้มีอารมณ์ขันเหมือนเช่นคนปกติทั่วไปที่เขามี
“ไม่มีทาง” ไว้คนออกลูกเป็นแมว หรือแมวมีลูกเป็นคนก่อนแล้วค่อยมาพูดกัน
จากนั้นทั้งสองก็ต่างคนต่างเงียบ มยองซูได้ยินเสียงถอนหายใจจากทางปลายสาย ก่อนที่คำพูดสามคำจะทำให้มยองซูถึงกับอ้าปากค้าง ไม่ใช่เพราะอะไรแต่เพราะอีกฝ่ายวางสายใส่ดื้อๆ
(ฝากด้วยล่ะ)
…
…
(ฝากด้วยล่ะ)
เสียงตู๊ดๆดังขึ้นก่อนที่สายจะตัดไปทำเอาร่างเพรียวกำมือแน่นด้วยความโกรธ
แอลคิม ไอ้พี่เวร!!!
ก๊อก ก๊อก
“อาหารมาแล้ว” เสียงทุ้มของรูมเมตตาตี่ดังลอดผ่านประตูยิ่งทำให้มยองซูในภาวะอารมณ์ที่ไม่ค่อยคงที่หงุดหงิดมากขึ้นกว่าเดิม นิ้วเรียวบางกดปุ่มโทรศัพท์ยิกๆหวังจะติดต่อกลับไปหาคนเป็นพี่อีกครั้ง การมาติดแหงกอยู่ในโรงเรียนอันดับหนึ่งของประเทศที่มีแต่ระดับพวกหัวกะทิไม่ใช่เรื่องน่าพิศมัยเลยแม้แต่น้อย
เสียงสัญญาณรอสายดังขึ้น มยองซูภาวนาให้แอลรับสายของเขาแต่ทว่า...
ติ๊ด ตู๊ด...ตู๊ด...ตู๊ด…
........... (-__-)
แอลคิม แกกล้าตัดสายฉันเหรอ! (╬ʘ益ʘ╬)
คอยดู ถ้าวันนี้เขาทำให้แอลคิมรับโทรศัพท์ไม่ได้ อย่ามาเรียกเขาว่าคิมมยองซู!!!
.
.
.
.
.
โอเค … แอลไม่รับโทรศัพท์เขา
ร่างเพรียวฟุบหน้าบนที่นอนอย่างรู้สึกท้อหลังจากเพียรพยายามต่อสายหาคนเป็นพี่นานเกือบครึ่งชั่วโมง ได้ยินเสียงสัญญาณดังติ๊ดจากนั้นสายก็ตัดไปเลย สงสัยว่าคงถูกบล็อกเบอร์ไปเรียบร้อย ขนาดเบอร์ห้องตัวเองยังบล็อกคิดดูเอาแล้วกัน
มยองซูถอนหายใจแรงอย่างจนปัญญา พอลองโทรเข้าเบอร์บ้านก็ไม่มีคนรับสงสัยดึงสายโทรศัพท์ออกอีก รอบคอบเกินไปหน่อยมั้งบ้าชะมัด!
ใบหน้าของมยองซูตะแคงมองออกไปยังนอกหน้าต่าง นัยน์ตาสีเข้มลากสายตามองไปไกลอย่างไร้จุดหมาย มือบางเผลอกำมือถือในมือแน่นด้วยแรงโกรธที่ยังคุกรุ่นอยู่ ภายในใจมีแต่คำด่าพี่ชายฝาแฝดตัวเองเป็นล้านประโยคไม่ซ้ำกัน อย่างให้ได้เจอตัวเชียวเขาจะพุ่งเข้าไปขย้ำให้แหลกไม่เหลือซากเลยเขาสัญญา
“เชี่ยแอล มึงใช้โทรศัพท์ห้องอยู่เปล่าวะ?” เสียงทุ้มของคนตาขีดตะโกนถามขึ้นอีกครั้ง ทำเอาคนอารมณ์ไม่ดีอยู่แล้วยิ่งอารมณ์เสียหนักขึ้นไปใหญ่
“เออ!” มยองซูกระแทกเสียงตอลกลับไปอย่างนึกรำคาญ
“ใช้เสร็จแล้วเอามาให้กูด้วยกูจะใช้ต่อ แล้วข้าวไม่กินเหรอไงวะ แม่งเย็นหมดแล้วมั้งเนี่ย” อีกฝ่ายเอ่ยเพียงแค่นั้นก่อนที่มยองซูจะได้ยินเสียงฝีเท้าค่อยๆหายไปจากหน้าประตูห้อง
ใช่ ตอนนี้มือถือของเขาไม่อยู่กับตัว เขาเลยจำต้องใช้โทรศัพท์ห้องโทรหาแอลและโทรเข้าบ้าน
เดี๋ยวนะ มือถือของเขางั้นเหรอ …
ร่างเพรียวขยับลุกพรวดจากที่นอนขึ้นมานั่งก่อนจะรีบรัวนิ้วลงบนโทรศัพท์ในมือทันที ไม่ใช่เบอร์ของแอลและเบอร์บ้านที่เขาพยายามติดต่อเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน แต่เป็นเบอร์มือถือของเขาเอง หลังจากที่กดปุ่มโทรออกก็ได้แต่รอให้อีกฝ่ายรับเท่านั้น
บางที...ความน่ารำคาญของไอ้เพื่อนตาขีดเดียวของแอลก็มีประโยชน์เหมือนกันนะ
“ห้ามวางนะ!” มยองซูเอ่ยดักคอทันทีเมื่ออีกฝ่ายรับสาย
“นายคงไม่คิดที่จะให้ฉันอยู่ที่นี่ .. โดยไม่มีกระเป๋าตังค์และโทรศัพท์มือถือหรอกนะ” ร่างเพรียวเอ่ยช้าๆชัดๆให้อีกฝ่ายได้ฟังอย่างชัดเจนทุกถ้อยคำทุกประโยค
(อืม เดี๋ยวเอาให้) ตอบรับง่ายเสียจนน่าตกใจ วินาทีนั้นมยองซูรู้สึกหัวใจเต้นแรงมากเพราะแผนขั้นแรกที่ต้องการหลอกล่อให้แอลมาหาที่โรงเรียนผ่านไปได้ด้วยดี
“รีบๆมาเลยนะ เอ่อ..นายก็รู้ว่าฉันติด SNS” ร่างเพรียวแก้ลำเมื่อรู้สึกว่าตัวเองเผยน้ำเสียงดีอกดีใจมากเกินไปจนเกรงว่าอีกฝ่ายจะจับได้พอดี
ไอ้บ้าแอลคิมยิ่งฉลาดๆอยู่ด้วย
(เย็นๆค่ำๆคงได้)
“แล้วฉันจะรอ” จะเย็นจะค่ำได้หมดขอแค่อีกฝ่ายยอมมาหาที่โรงเรียนเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว ส่วนที่เหลือเขาจะเป็นคนจัดการเอง
มยองซูเอ่บกำชับอีกรอบก่อนที่จะวางสายไป ที่เหลือจะแค่รอเวลาเท่านั้น…
โครก~
เสียงท้องร้องดังประท้วงขึ้นทันทีหลังจากที่เรื่องหนักหัวได้ผ่านพ้นไป
“กินข้าว กินข้าว” ที่อารมณ์เสียอยู่เมื่อครู่ดูจะหายแว้บไปชั่วพริบตา
ร่างเพรียวเปิดประตูออกมาจากห้องอย่างอารมณ์ดี โดยไม่ลืมหยิบโทรศัพท์ออกมาคืนให้กับรูมเมตตาตี่เพื่อนของพี่ชายตัวเองด้วย
“อ่าว เมนส์หมดแล้วเหรอไงมึง?” รูมเมตตาตี่ละสายตาจากโน๊ตบุ๊กตรงหน้าหันมาถามด้วยสีหน้าสงสัย คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเป็นปมกับท่าทางแปลกๆที่เพิ่งจะสังเกตเห็น
“นี่นายชื่ออะไรนะ?” คำเอ่ยถามของร่างเพรียวยิ่งทำให้คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันแน่นขึ้นอีก
“ไรของมึงเนี่ย? ประสาทกลับเหรอไงวะ” พอพูดจบก็ส่ายศีรษะไปมาอย่างนึกเอือมก่อนจะหันกลับไปทำงานที่คั่งค้างอยู่ต่อ
“ถามก็ตอบดิ” มยองซูถามเสียงเรียบ กอดอกรอฟังคำตอบ
“คิม ซองกยู” เสียงทุ้มเอ่ยก่อนจะหันกลับมามองใบหน้าของมยองซูอีกครั้ง
“กูว่าหลังกินข้าวมึงกินยาสักหน่อยแล้วกันว่ะ แล้วช่วงบ่ายค่อยติวกับไอ้พวกโฮวอนมัน” คนตาตี่หรือที่เจ้าตัวบอกว่าชื่อคิมซองกยูเอ่ยอย่างนึกห่วง
“ติว?” ร่างเพรียวถามกลับเสียงสูง
“อาฮะ นี่มึงคงไม่คิดว่าการที่กูไปลากมึงถึงบ้านเพื่อให้มานั่งๆนอนๆอยู่เฉยๆหรอกนะ” ไม่มีเสียงตอบรับหรือปฏิเสธ มยองซูแค่ยืนนิ่งกระพริบตาปริบๆเท่านั้น
“ตั้งแต่วันนี้ไปมึงต้องอ่านหนังสือและฝึกทำโจทย์อย่างต่ำวันละสองชั่วโมงก่อนที่จะถึงวันแข่ง”
อ่านหนังสือและฝึกทำโจทย์เนี่ยนะ?!!
ปกติตอนสอบเขายังไม่แตะเลย แล้วนี่จะให้อ่านวันละสองชั่วโมงคิดว่าเขาจะทำมั้ยล่ะ คิดสิคิด!
“กูคาดหวังมึงเอาไว้สูงมากนะ” น้ำเสียงจริงจังและใบหน้าที่จริงจังจนคนฟังถึงกับกลอกตาไปมา
อห...ครั้งแรกเลยนะที่มีคนคาดหวังในตัวเขามากขนาดนี้ ปริ่มมากขอแชร์ได้มั้ย?
หมดแรงจะพูดร่างเพรียวเพราะหิวมากเลยเดินเลี่ยงเข้าไปในห้องครัว จัดการอุ่นอาหารใหม่อีกครั้งเพราะที่ซื้อมาดูจะเย็นหมดแล้ว ใช้เวลาไม่นานอาหารที่เต็มโต๊ะก็หายเกลี้ยงภายในพริบตา ล้างถ้วยชามเก็บเรียบร้อยเดินออกมาได้ยินเสียงเหมือนคนตาตี่ซองกยูกำลังพูดอะไรสักอย่าง แอบเห็นเสี้ยวหน้าจริงจังด้านข้างคิดว่าคงจะหนีไม่พ้นเรื่องงานที่ทำอยู่เป็นแน่
มยองซูไหวไหล่ไม่สนใจตั้งใจจะเดินกลับห้องของแอลไปเล่นโน๊ตบุ๊กหรือนอนฆ่าเวลา แต่ยังไม่ทันจะถึงห้องเสียงทุ้มที่กำลังพูดโทรศัพท์ก็เรียกเขา(ด้วยชื่อของแอล)เอาไว้เสียก่อน
“เฮ้ยแอล มึงมากินยาก่อนดิวะแล้วค่อยไปนอน” จังหวะที่ร่างเพรียวหันไปกระปุกยาสีขาวขนาดกลางก็ลอยมากระแทกโดนหน้าผากเต็มๆ
ปึก ...
“โอ๊ย!!!!” ทั้งสองเสียงเกิดขึ้นเวลาห่างกันไม่ถึงสองวินาที
“กูว่ามึงชักอาการแย่แล้วว่ะ” ซองกยูส่ายศีรษะไปมา ระยะห่างแค่นี้ถ้าเป็นปกติอีกฝ่ายรับมือเดียวได้สบายอยู่แล้วไม่เอาหน้าเข้ารับเช่นนี้หรอก ถอนหายใจเล็กน้อยปิดท้ายก่อนจะหันกลับไปสนใจงานตรงหน้าต่อ
มยองซูที่ถูกกระปุกยาปากระแทกอัดใส่เต็มๆได้แต่ลูบคลำหน้าผากป้อยๆ นึกเข่นเขี้ยวอีกฝ่ายอยู่ในใจกับแค่คำขอโทษยังไม่พูดเลย ไร้มารยาทที่สุด ไม่นึกแปลกใจสักนิดเลยที่เป็นเพื่อนสนิทกับแอลได้
มยองซูก้มลงเอื้อมหยิบกระปุกยาที่นอนกลิ้งแอ้งแม้งอยู่ไม่ไกลขึ้นมากำแน่น ดวงตากลมตวัดสายตามองไปยังศีรษะที่โผล่พ้นออกมาจากโซฟาอย่างอาฆาตแค้น
ไอ้ตาตี่ซองกยู...ไอ้เจ้าคนไร้มารยาท!
ได้แต่นึกด่าในใจก่อนจะหมุนตัวเดินกลับเข้าไปในห้อง ทันทีเมื่อปิดประตูร่างเพรียวเพิ่งจะได้สังเกตห้องของพี่ชายฝาแฝดอย่างเต็มตาครั้งแรก เมื่อวานเพราะอารมณ์โมโหฉุนเฉียวเลยไม่มีอารมณ์อยากจะรับรู้สิ่งใดเท่าไหร่
สองขาพาร่างของตัวเองเดินไปรอบๆห้องที่ตกแต่งเรียบง่ายด้วยโทนสีดำเทาและขาวเป็นหลัก แนวสไตล์คลาสสิคเหมาะกับภาพลักษณ์ของเจ้าตัวดี เรียบง่ายแต่มีเสน่ห์ … นี่เขาไม่ได้ชมอะไรแอลมันอยู่ใช่มั้ย?
ร่างเพรียวเผลอเบ้ปากออกมาอย่างเสียไม่ได้ที่เผลอนึกชมพี่ชาย พอสำรวจจนพอใจก็เดินไปนั่งที่โต๊ะเขียนหนังสือที่มีโน๊ตบุ๊กวางอยู่ มือเรียวเปิดฝาพับขึ้นมาตั้งใจจะท่องโซเชียลมีเดียสุดฮิตอย่างยูทูปเพื่อหารีรันตอนของเมื่อวานดู ถึงจะเป็นซับภาษาอังกฤษที่เขาสุดแสนจะง้อยอ่านไม่ออกแปลไม่ได้ก็ตาม แต่เพราะความหล่อและความเท่ของท่านฮิบาริชนะทุกสิ่ง เขายินดีจะดูภาพเฉยๆโดยไม่สนคำบรรยายก็ได้
ดูไปดูมาชักเริ่มเพลินคลิปการ์ตูนรีบอร์นถูกคลิกดูอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะฉากคัตเฉพาะของท่านฮิบาริที่มีคนใจดีทำเอาไว้ให้คือสิ่งที่ยั่วยวนใจเขาให้กดดูได้ง่ายมาก ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่จนเวลาล่วงเลยผ่านไปเกือบจะสามชั่วโมงแล้ว จนกระทั่งเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นขัดจังหวะและตามด้วยเสียงขยับลูกบิดประตู ก่อนที่ตาตี่ซองกยูจะโผล่หน้ามาให้เห็น
“เฮ้ยแอล กินข้าวได้แล้ว เดี๋ยวพวกไอ้โฮวอนก็จะมากันแล้ว” ซองกยูเข้ามาตามเมื่อเห็นว่าได้เวลากินข้าวเที่ยงแล้วแต่อีกฝ่ายยังไม่ยอมออกมาจากห้องเสียที
“ได้ยินที่กูพูดมั้ยวะ?” ท่าทางที่ยังคงนิ่งอยู่ทำให้ร่างสันทัดต้องขยับเดินเข้าไปใกล้จนมายืนอยู่ทางด้านหลังของร่างเพรียวที่ยังจับจ้องไปที่ภาพปรากฏอยู่บนหน้าจอโดยไม่วางตา แถมยังได้ยินเสียงลอดออกมาจากหูฟังที่ใส่อยู่ทั้งสองข้าง
เปิดดังทะลุหูฟังขนาดนี้ไม่แปลกใจนักหรอกที่จะไม่ได้ยินเสียงเขา
“ไอ้แอลกินข้าวโว้ย” นิ้วแกร่งเกี่ยวหูฟังข้างหนึ่งทิ้งก่อนจะตะโกนกรอกหูเข้าไปเต็มๆ จนมยองซูตกใจสะดุ้งเฮือกอย่างรู้สึกตกใจแรงก่อนที่มือจะยกขึ้นจับใบหูขยับไปมาเพื่อให้ขี้หูกลับเข้าที่
“ไอ้ตี่! ไอ้บ้าเอ๊ย! ตกใจหมด เรียกให้มันดีๆไม่เป็นเหรอไงวะ?” มยองซูตวาดแว๊ดใส่อย่างโมโห เขวี้ยงหูฟังที่ยังใส่ติดอยู่ที่หูอีกข้างปาลงโต๊ะด้วยแรงโกรธล้วนๆ ขณะที่คนโดนว่าโดนโมโหใส่กลับเลิกคิ้วขึ้นมองใบหน้าทะมึงทึงอย่างนึกประหลาดใจ
“กินยาแล้วไม่ดีขึ้นเลยหรือไงวะ?” มือแกร่งเอื้อมมาตั้งใจจะแตะหน้าผากแต่กลับถูกปัดออกอย่างไม่มีคำว่ารักษาน้ำใจกัน
“แล้วเข้ามาทำไม” คนร่างเพรียวถามกลัวด้วยน้ำเสียงเหวี่ยงจัดเพราะหงุดหงิดที่ถูกขัดตอนกำลังดูฉากสำคัญของท่านฮิบาริสุดที่รักของเขา
“มาตามมึงไปกินข้าวไง จะกินไหม ข้าวเนี่ย?”
“ยังไม่หิว!!”
โครกกกกกกกก
…
“ก่อนตอบมึงปรึกษากับท้องมึงก่อนนะ” ซองกยูเอ่ยแซวอีกฝ่ายพร้อมกับคลี่ยิ้มกวนๆเพื่อยั่วอารมณ์เพื่อนสนิทตัวเอง คนตัวเล็กได้แต่ส่งสายตาค้อนให้อีกฝ่ายพลางสะบัดหน้าและลุกจากเก้าอี้พร้อมทั้งเดินกระแทกไหล่ของร่างหนาไปเต็มแรง แต่ซองกยูก็ไม่ได้รู้สึกสะทกสะท้านอะไรเลยด้วยซ้ำ …
“มึงตายอดตายอยากมาจากไหนวะ” ซองกยูเอ่ยถามคนที่นั่งฝั่งตรงข้าม เห็นอีกฝ่ายจ้วงข้าวเข้าปากเอาเข้าปากเอาโดยไม่คิดจะเงยหน้าขึ้นมาสนทนากับเขาเลยแม้แต่น้อย ฝ่ามือแกร่งรีบหยิบแก้วมารินน้ำอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นว่าเพื่อนตัวเองทุบอกอย่างแรงและใบหน้าที่แดงก่ำเพราะอาหารไปอุดตรงกลางลำคอ มยองซูรีบคว้าแก้วน้ำจากมือของอีกฝ่ายมาดื่ม ก้อนข้าวที่ติดในคอหลุดไปแล้ว ร่างเพรียวก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
“มึงจะรีบกินไปไหนวะ ยังมีเวลาอีกตั้งครึ่งชั่วโมง” ซองกยูถามพลางเลิกคิ้วขึ้นมองอีกฝ่ายอย่างงุนงง มยองซูไม่ตอบแต่เอื้อมมือไปที่ชามของทอดที่วางไม่ไกลจากเขานัก
เคร้ง
เสียงตะเกียบเหล็บชนกันอย่างไม่ได้ตั้งใจของมยองซูและซองกยูที่หมายมั่นจะหยิบหมูทอดมากินเหมือนกัน ดวงตากลมจ้องที่หมูทอดตรงหน้านิ่งก่อนจะเป็นฝ่ายถอนตะเกียบออกไปก่อน
“เอาไปสิ”
“จริงเหรอ? ลัคกี้” ซองกยูคลี่ยิ้มอย่างอารมณ์ดีก่อนใช้ตะเกียบคีบหมูทอดชิ้นสุดท้ายเข้าปากไปเคี้ยวตุ้ยๆอย่างมีความสุขโดยไม่ได้สนใจสายตากลมที่จับจ้องก้อนหมูทอดด้วยความอยากกินเช่นกัน
ที่พูดว่าเอาไปสิมันตามมารยาทเฟร้ย!
ลมหายใจอุ่นๆพ่นออกมาอย่างหงุดหงิดก่อนจะคีบข้าวคำเล็กๆเข้าปากไปพลางเคี้ยวเงียบๆ บทสนทนาจบลงเพียงแค่นั้นมีเพียงเสียงตะเกียบและช้อนกระทบถ้วยชามดังคลอไปเรื่อยๆจนกระทั่งทั้งคู่รับประทานอาหารจนหมด
ซองกยูเก็บถ้วยทั้งหมดไปไว้ที่ครัวในขณะที่มยองซูย้ายตัวเองไปนั่งที่โซฟากลางห้องรับแขกพลางกดรายการทีวีเปลี่ยนช่องไปเรื่อยๆ
“ไอ้คุณชายแอล มึงคิดจะให้กูล้างจานคนเดียวเหรอวะ” เสียงของตาตี่ซองกยูเจ้าเก่าตะโกนดังมาจากในครัวเพื่อถามหาความมีน้ำใจของไอ้มนุษย์ที่นอนเอนเขนกสบายอยู่บนโซฟา
“ถุงมือมันมีอันเดียวนิ” มยองซูตอบกลับไปทั้งที่ความสนใจยังอยู่ที่ช่องรายการโทรทัศน์ตรงหน้า
“ปกติมึงใช้ถุงมือด้วยเหรอ?” ซองกยูเอ่ยถามพลางย่นคิ้วเข้าหากันทันที เขาจำได้ว่าไอ้เพื่อนตัวแสบเนี่ยแหละที่เป็นคนเอาถุงมือไปโยนทิ้งถังขยะและบอกว่าไม่จำเป็นต้องใช้ของแบบนี้ แถมยังใช้มันเป็นข้ออ้างในช่วงฤดูหนาวเพื่อปัดหน้าที่ล้างจานมาให้เขาแต่เพียงผู้เดียวด้วย
“ใช้ดิ” มยองซูเอ่ยตอบไปด้วยความเคยชิน
“งั้นดีเลย กูซื้อถุงมือมาใหม่พอดี มึงไปเอาในห้องกูเลย”
“แล้วจะรู้มั้ยว่ามันอยู่ไหน” มยองซูสวนกลับทันควัน
“อยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือกูเลย” ซองกยูตอบสั้นๆจากนั้นก็เงียบเสียงไป มีเพียงแค่เสียงก๊องแก๊งและเสียงน้ำไหลดังให้รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังล้างจานอยู่ ร่างเพรียวไม่เห็นถึงความจำเป็นต้องทำตามที่อีกฝ่ายบอกเลยสักนิด จานเพียงไม่กี่ใบ ช้อนและตะเกียบก็ไม่ได้มากล้างไปคนเดียวก็น่าจะพอแล้ว จึงเลือกที่จะนั่งอยู่เฉยๆไม่ขยับเขยื่อนให้เปลืองพลังงานไปเปล่าประโยชน์
“กูรู้ว่ามึงยังนั่งอยู่ที่เดิม”
“ฉลาดนิ” นี่คำชมนะไม่ได้ตั้งใจกวนประสาทสาบานได้ :)
“เฮ้ออออออออ เอาเถอะเห็นแก่ว่ามึงยอมช่วยกูเรื่องลงแข่งแล้วกัน” ซองกยูเอ่ยปัดๆไปด้วยความรำคาญ แต่นั่นก็ทำให้มยองซูที่เหมือนจะลืมไปแล้วนึกขึ้นมาได้ว่าอีกเดี๋ยวคนที่ชื่อโฮอะไรเนี่ยของไอ้เพื่อนตาตี่ซองกยูก็จะมาเพื่อติวหนังสือกันที่ห้อง
มีหวังได้โชว์โง่แหง๋เลย....
คราวนี้รายการตรงหน้ากลับไม่ได้รับความสนใจจากมยองซูอีกต่อไปเพราะร่างเพรียวกำลังคิดว่าวิธีที่จะทำให้ตัวเองอยู่รอดไม่ต้องนั่งติวหนังสือจนกว่าตัวจริงเจ้าของเรื่องทั้งหมดจะมารับภาระของตัวเองกลับไป
แล้วจะทำยังไงดี?
มยองซูขบเล็บตัวเองอย่างครุ่นคิดแต่ด้วยหัวสมองน้อยๆที่มีแต่ภาพสุดเท่ของท่านฮิบาริเก็บกักอยู่เต็มไปหมดทำให้ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็คิดไม่ออก
ปิ๊งป่อง ...
เสียงออดหน้าห้องทำให้ร่างเพรียวถึงกับชะงัก หันไปมองด้านหลังของครัวที่ยังคงมีเสียงน้ำไหลอยู่ให้รู้ว่าอีกฝ่ายยังคงล้างจานอยู่ ช่วยไม่ได้ที่ต้องเป็นตัวเขาเองที่เป็นฝ่ายต้องลุกจากโซฟานุ่มเดินไปที่ประตูเพื่อต้อนรับแขก
พอเปิดประตูก็พบกับผู้ชายสองคน คนหนึ่งหน้าตาคล้ายหมี ส่วนอีกคนหน้าตาสวยน่ารักไม่ต่างจากผู้หญิง ใครสักคนในสองคนนี้คงจะชื่อโฮวอนอย่างไม่ต้องสงสัย
เดี๋ยวก่อน … หมีงั้นเหรอ? ...
เขาบอกว่าเจอหมีให้ลองแกล้งตาย ...
เมื่อสืบเสาะหาทางรอดได้แล้วไม่รอช้ามยองซูก็ปฏิบัติตามสิ่งที่ตัวเองคิดในทันที ร่างเพรียวลงทุนแกล้งล้มแต่ก็ฉลาดพอที่จะไม่ล้มลงไปกระแทกพื้นให้ตัวเองต้องเจ็บตัว เลยเลือกจะเอนล้มไปที่ผู้ชายร่างหนาหน้าตาคล้ายหมีที่เพิ่งเปิดประตูเข้ามาแทน
“เฮ้ย!” โฮวอนร้องออกมาด้วยความตกใจก่อนจะรับร่างของเพื่อนเอาไว้ได้ทัน โดยมีร่างของใครอีกคนเผลอร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจจนซองกยูต้องวิ่งออกมาจากในครัว
“เกิดอะไรขึ้น ไอ้แอล!” ซองกยูเบิกตากว้างขึ้นด้วยความตกใจเมื่อเห็นโฮวอนกำลังพยุงร่างของเพื่อนให้มานอนที่โซฟาโดยมีร่างบางของอีกคนคอยช่วยพัดอยู่ไม่ห่าง
“กูไม่รู้ พอมันมาเปิดกประตูก็เป็นลมไปเลย” โฮวอนบอกไปตามจริง เพราะไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมอยู่ๆอีกฝ่ายก็เป็นลมไปเช่นนั้น
“เดี๋ยวฉันไปเอาผ้าชุบน้ำมาเช็ดให้นะ” ร่างบางเอ่ยก่อนจะรีบกุลีกุจอไปจัดการตามที่บอก ขณะที่ซองกยูเองก็ไปหยิบยาดมมาเช่นกัน
“มันไม่สบายเหรอวะ?” โฮวอนเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่แน่ใจนักเพราะเท่าที่รู้จักกันมาแอลมันป่วยง่ายที่ไหน ถ้าไม่หนักหนาจริงๆไม่มีทางเป็นลมเป็นแล้งไปแบบนี้แน่นอนเลย
“ที่จริงมันดูแปลกๆตั้งแต่เมื่อวานแล้วว่ะ” ซองกยูเอ่ยขณะโบกยาดมไปมาใต้จมูกของคนที่แกล้งเป็นลม
“แปลกไงวะ?” โฮวอนเลิกคิ้วถามด้วยความสงสัยแต่ถูกขัดด้วยเสียงเล็กของร่างบางที่เดินออกมาพร้อมกะละมังขนาดกลางพร้อมด้วยผ้าชุบน้ำ
“มาแล้ว หลบไปเลยทั้งสองคน” ทั้งสองคนขยับออกเพื่อให้ร่างบางสามารถแทรกตัวเข้าไปตรงกลางได้ มือบางบิดน้ำพอหมาดจากนั้นก็เริ่มเช็ดไปตามใบหน้าและลำคออย่างเบามือ แม้จะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นลมเพราะอะไรแต่คิดว่าความเย็นของน้ำอาจจะช่วยให้อีกฝ่ายรู้สึกผ่อนคลายและสบายตัวขึ้น
“ที่ว่าแปลก..แปลกยังไงวะ?” โฮวอนเอ่ยถามต่อจากที่ซองกยูพูดคั่งค้างเอาไว้
“ไม่รู้สิกูว่ามันแปลกอธิบายไม่ถูกว่ะ แต่กูก็ไม่แน่ใจว่าแม่งลีลาหาเรื่องไม่ลงแข่งรึเปล่า” คำพูดของซองกยูทำเอาคนที่นอนหลับตาพริ้มถึงกับชะงักลมหายใจไปชั่วแว้บหนึ่ง
ไอ้ตาตี่กยูสรุปมันฉลาดหรือโง่กันแน่...
“แอลไม่ใช่คนแบบนั้นสักหน่อย”
“จงงี่พูดถูก แอลไม่ใช่คนแบบนั้น” คนที่ตรงเผงเหมือนไม้บรรทัดไม่มีทางลีลาอย่างที่ซองกยูว่าหรอก
“นั่นสิ กูคงคิดมากไปเอง” ซองกยูเอ่ยพูดออกมาในที่สุด มยองซูเมื่อเห็นแผนแกล้งตายดูท่าจะไม่เวิร์คจึงตัดสินใจยอมฟื้นขึ้นมาดีกว่า
“ฟื้นแล้วเหรอ?” ร่างบางตรงหน้าเอ่ยด้วยน้ำเสียงระรื่น ใบหน้ายิ้มแย้มทำเอามยองซูรู้สึกผิดไปนิด
“อืม..”
“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว” ร่างบางตรงหน้าพูดต่อถ้าเขาได้ยินตอนแกล้งสลบไม่ผิดรู้สึกจะชื่อจงงี่ แต่มันไม่น่าจะเป็นชื่อคนได้เลยนะ
“ไม่เป็นไรก็ดีแล้วมาเริ่มติวกันเลยแล้วกัน” ซองกยูลุกขึ้นท่าทางเป็นการเป็นงานขึ้นมาทันที
สรุปแล้วเขาคงได้แต่รอเวลาที่แอลเอาของมาให้เท่านั้น
มยองซูคิดอย่างปลงๆ
โซฟาที่อยู่หน้าโทรทัศน์ถูกจัดให้เป็นสถานที่นั่งติวหนังสือกันแบบง่ายๆ แตกต่างจากที่โรงเรียนเขาที่อยู่ชะมัดการที่มานั่งรวมสุมกันแบบนี้ก็มีแต่เรื่องกินและปาร์ตี้เท่านั้นแหละ
“แอล มึงลองทำโจทย์ดูก่อนแล้วกัน ลองดูว่าพอไหวมั้ยมันอาจจะยากกว่าคราวที่แล้วที่มึงไปแข่งหน่อยนะ” คนนี้เห็นจะชื่อโฮวอนสินะ ดวงตากลมมองใบหน้าคมที่ยื่นหนังสือมาให้นิ่งอย่างพินิจ แต่หนังสือเล่มหนาถึงกับทำให้ร่างเพรียวถอนหายใจเล็กน้อย ท่าทางเขาคงจะหนีไม่พ้นจริงๆสินะ
แต่พอรับหนังสือมาเปิดดูก็แทบช็อค…
นี่มันโจทย์นรกอะไรกันเนี่ยยย~ย TOT
“แอล มีพัสดุมา” คำพูดของซองกยูเรียกให้คนที่กำลังนั่งคิดหาคำตอบหัวแตกอยู่เงยหน้าจากหนังสือขึ้นมอง พัสดุกล่องไม่ใหญ่มากนักถูกยื่นมาตรงหน้า มยองซูรับมาด้วยสีหน้างงๆตั้งใจจะเก็บไว้ให้เจ้าของที่แท้จริงมาเปิดแต่แล้วลายมือหน้ากล่องและข้อความสั้นๆทำให้ความตั้งใจนั้นหยุดชะงักแล้วรีบเปิดพัสดุที่ว่าออกทันที
ไอ้แอล...ไอ้เจ้าพี่บ้า…
มือบางถึงกับสั่นระริกเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ภายในกล่องเป็นโทรศัพท์มือถือกับกระเป๋าตังค์ของเขาเอง
อย่าให้เจอตัวจะข่วนหน้าไม่เลี้ยงเลยคอยดู!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! >O<
AMANE; มีคนบอกขอยาวๆ นี่ยาวพอหรือยัง? คึคึ มีแต่แมวมยองทั้งนั้นเลย อย่าหลงความน่ารักและความเปิ่นของคนน้องจนลืมความเท่ห์ของพี่เสือนะ ตอนหน้าพี่เสือกับน้องหมาออกแล้วอย่างลืมติดตาม มาปูเสื่อรอ #ทีมเสือแอล กันเถอะ !
BEEBER; น้องแมวไม่ได้พกแต่ความน่ารักมาอย่างเดียวนะ จริงๆน้องแมวพกทั้งความเปิ่น ปัญญาอ่อนและคลั่งท่านฮิบาริเต็มขั้น อ่านตอนนี้แล้วมาอยู่ #ทีมแมวมยอง กันเถอะ เห็นความน่ารักของน้องแมวกับพี่จิ้งจอกไหม เห็นไหมว่าพี่จิ้งจอกขโมยก้อนหมูทอดของน้องแมว … #มันไม่ใช่เรื่องดีสินะ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ตอนนี้ ขออยู่ #ทีมแมวมยอง พอแอลเพิกเฉยกับน้องตัวเองมากไปแล้ววววว
แต่มยองซูนี้ไม่เรียกว่าโง่นะ แต่แค่ไม่ฉลาดพอ ถึงได้คิดว่าเจอหมีให้สลบ= =
แต่ก็อยากอ่านตอนแอลไปเรียนแทนมยองแล้ว 5555
ไงหละ คราวนี้ แมวมยองจะเป็นไงล่ะเนี่ย สงสารนาง
แอลนายส่งน้องมาลงนรกหรอ!!!!!!!
#ทีมแมวมยอง สู้ๆนะคะไร้เท่อออ ทั้งสองรออ่านตอนต่อไปอยู่นะคะ^^