ตอนที่ 19 : บทที่ 13 : ลั่นชัตเตอร์ (3)
“ไปเอาโน้ตบุ๊กมาแล้วเหรอ”
“ก็...อืม ว่าจะทำงานหน่อย” ช่างภาพสาวตอบไปส่งๆ มองริมฝีปากที่ไร้สีของเขาแล้ว เธอไม่มีกระจิตกระใจจะทำอะไรทั้งนั้น ที่เดินไปเอาของที่รถและแวะซื้อของที่มินิมาร์ต ก็เป็นแค่ข้ออ้างที่จะหนีจากสถานการณ์ขุ่นใจก็เท่านั้น “มีไฟล์รูปบางส่วนที่แบ็กอัปเอาไว้ในเน็ต โหลดลงเครื่องก็ทำงานต่อได้”
“งั้นพี่ก็เอามาทำตรงนี้ดิ” เขาตบตรงที่ว่างบนเตียงข้างๆ ตัว เป็นเชิงให้เธอยกโน้ตบุ๊กมาวาง แต่หญิงสาวส่ายหน้าปฏิเสธ
“อย่าเลย ต่อพักผ่อนเถอะ เดี๋ยวฉันไปนั่งทำที่โซฟา”
“ผมหลับไม่ลงหรอก ปวดๆ หายๆ น่ารำคาญ แถมยังทรมานสุดๆ มานั่งคุยเป็นเพื่อนหน่อย ไหนบอกจะชดใช้ความผิดไง”
สุดท้ายก็เพราะคำว่า ‘ทรมานสุดๆ’ และ ‘ชดใช้ความผิด’ นั่นละ ที่ทำให้เธอใจอ่อนยอมยกโน้ตบุ๊กไปนั่งทำงานข้างๆ เขา
นิธินันท์โหลดไฟล์รูปที่เธอแบ็กอัปเอาไว้ในเว็บไซต์หนึ่งมาไว้ในเครื่อง ตั้งใจว่าจะแต่งรูปไปคุยกับเขาไป คนป่วยที่ขยับหมอนขึ้นสอดด้านหลัง เอนตัวกึ่งนอนกึ่งนั่งตามระดับของหัวเตียงที่ถูกปรับขึ้น มองเธอทำงานอยู่เงียบๆ แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ถือความเป็นเจ้าของโน้ตบุ๊ก ยื่นมือมาดันหน้าจอให้เปิดกว้างออกอีก ปรับให้อยู่ในองศาที่เขาเห็นได้ชัด โดยไม่สนใจว่านั่นกำลังทำให้เธอทำงานได้ลำบากขึ้น
“กดจอไปแบบนี้ ฉันก็ไม่เห็นสิ” คนที่ระดับสายตาอยู่ต่ำกว่าว่าพลางดึงหน้าจอให้กลับมาอยู่ในตำแหน่งเดิม
“อ้าว แต่แบบนั้นผมก็ไม่เห็น”
“งั้นเอากลางๆ ประมาณนี้” นิธินันท์ปรับองศาของหน้าจอใหม่ให้อยู่กึ่งกลางระหว่างตำแหน่งที่เขาและเธอต้องการ แต่ก็เหมือนยังไม่เป็นที่พอใจของเขาอยู่ดี
“ไม่เอา มันเห็นไม่ชัด” เขาว่าก่อนจะหยุดคิดนิดหนึ่ง แล้วขยับไปชิดอีกฝั่งหนึ่งของเตียง “พี่ขึ้นมานั่งบนนี้กับผมดีกว่า”
นิธินันท์ส่ายหน้าดิกแทบจะทันที ปฏิเสธไม่ยอมทำตามข้อเสนอ ทว่าก็ต่อรองเขาได้อีกแค่สองสามประโยค พอเขาทำท่าเหมือนไม่มีแรงจะเถียงกับเธอ หญิงสาวก็ต้องจำยอม เดินไปลากโต๊ะคร่อมเตียงมาใช้เป็นโต๊ะทำงาน แล้วขึ้นไปนั่งบนเตียงคนป่วยตามที่เขาบอก
ตอนแรกเธอคิดว่าระยะห่างน่าจะพอๆ กับเวลาที่เธอนั่งทำงานในห้องนั่งเล่นข้างๆ เขา เธอเลยยอมทำตาม แต่พอได้ขึ้นมานั่งบนเตียงเท่านั้น เธอก็เพิ่งรู้ตอนนี้ละ ว่ามันทั้งใกล้ชิดและแนบชิดเสียจนตัวสัมผัสโดนกันอยู่หลายหน
กีรติขยับตัวเล็กน้อย จำต้องเอาแขนข้างหนึ่งอ้อมไปด้านหลังหญิงสาวเพื่อระวังไม่ให้เธอทับสายน้ำเกลือ แม้ว่าเขาจะวางแขนเอาไว้บนหมอน แต่คนตัวเล็กที่นั่งอยู่ก็รู้สึกหวิวๆ จั๊กจี้เหมือนเขากำลังโอบเธออยู่อย่างไรไม่รู้ โชคดีว่าตอนที่เธอเดินไปลากโต๊ะมา เขาขอให้เธอหรี่ไฟในห้องพักจนสลัว เผื่อว่าเขาจะหลับได้ง่ายขึ้น เธอเลยไม่ต้องกังวลว่าเขาจะเห็นสีหน้าของเธอหรือเปล่า
หัวใจของนิธินันท์เต้นแรงราวกับอยากจะหนีออกจากอก ไอร้อนๆ ที่ลอยวนอยู่ใกล้ๆ กำลังบอกว่าคนป่วยประชิดตัวเธอมากแค่ไหน หญิงสาวไม่กล้าแม้แต่จะหันไปมองเขา กลัวว่าถ้าได้สบสายตาในระยะที่เรียกว่าแทบจะใช้ลมหายใจร่วมกันแบบนี้ มีหวังเธอต้องหยุดหายใจโดยไม่รู้ตัวแน่ๆ
“นี่รูปที่ตลาดเช้านี่” เสียงแหบพร่าของเขาดังอยู่ข้างหู
“อื้ม ใช่” คนที่กลัวว่าเสียงจะสั่นตามหัวใจตอบรับได้เพียงสั้นๆ
“ป้าขายผักต้องดีใจแน่ ถ้าเห็นว่าพี่ถ่ายป้าได้สวยขนาดนี้” กีรติมองซีกหน้าของช่างภาพสาว เขาเห็นลักยิ้มที่บุ๋มลงข้างแก้ม แสงไฟจากโน้ตบุ๊กส่องให้เขาเห็นเครื่องหน้าของเธอได้ชัดขึ้น
“ตั้งแต่เรียนจบ พี่ก็เริ่มถ่ายรูปแบบนี้เลยเหรอ”
คนที่เอาแต่จดจ่อกับภาพถ่ายในจอส่ายหน้า “เปล่าหรอก ที่ออกมาถ่ายรูปขายเองก็เมื่อปีกว่าๆ มานี้เอง แต่เมื่อก่อนน่ะ ฉันถ่ายรูปให้นิตยสารแฟชั่น”
“แล้วทำไมจู่ๆ ถึงลาออก”
“อืม...จะบอกยังไงดี” พอเขาเริ่มชวนคุย อาการเกร็งก็ค่อยๆ จางหาย นิธินันท์เอียงใบหน้ามองคนถาม “คงเริ่มอิ่มตัวมั้ง”
“อิ่มตัวยังไง เบื่อแล้วอย่างงี้เหรอ”
“ก็ไม่เชิงนะ แต่แค่รู้สึกว่า เวลาถ่ายภาพแฟชั่น ความรู้สึกของภาพที่เราถ่ายออกมา มันจะถูกตีกรอบตามคอนเซปต์ของงาน มันก็สวยนะ แต่มันคือความรู้สึกที่ปรุงแต่งไง พอเราทำไปนานๆ มันก็เหมือนกับได้ถ่ายแต่ความรู้สึกเดิมๆ แค่เปลี่ยนตัวนางแบบ เปลี่ยนชุด เปลี่ยนฉากหลัง แต่ความรู้สึกที่อยู่บนภาพ มันก็ยังเป็นความรู้สึกที่ปรุงแต่งอยู่อย่างนั้น มันก็เหมือนกับที่ต่อเอาอาหารแช่แข็งเข้าเวฟแล้วกินนั่นแหละ อิ่มเหมือนกัน แต่ขาดรสชาติของความสดและแปลกใหม่”
คนฟังแกล้งทำเสียงขึ้นจมูก ตีหน้ายุ่ง แถมย่นคิ้วให้ “พูดเรื่องของกินตอนหมอสั่งห้ามกินสุ่มสี่สุ่มห้าเนี่ยนะ ใจร้ายมาก”
คนเล่าหลุดหัวเราะขัน ไม่วายยั่วเขาต่ออีกหน่อย “จริงๆ เมื่อกี้ฉันไปมินิมาร์ตมา ซื้อขนมมาเต็มถุงเลย”
“หยุด!” เขาชี้นิ้วสั่ง นิธินันท์หมั่นไส้คว้านิ้วแกล้งจะงับ จนเขาต้องรีบชักหนี แล้วเปลี่ยนมาจิ้มจมูกเธอแทน “ซน”
คนโดนหาว่าซนแจกค้อนเขาไปหนึ่งที กีรติมองแล้วยิ้มกว้าง เพิ่งรู้ว่าบางทีพี่สาวร่วมบ้านของเขาก็ทำตัวเหมือนเด็ก น่ารัก มันเขี้ยวเสียจนอยากยื่นมือไปบีบแก้มใสๆ สักทีสองที
“แล้วถ่ายรูปที่ตลาด มันไม่เหมือนถ่ายแฟชั่นเหรอ” กีรติตัดสินใจดึงหัวเรือกลับเข้าเรื่องเดิม ก่อนหัวใจที่เต้นตึกๆ จะดึงความรู้สึกให้เตลิดไปไกล
“ไม่เหมือนนะ พอลาออกจากงานมา ฉันก็เดินทางไปเรื่อยๆ ได้ถ่ายหลายอย่าง ธรรมชาติ สิ่งของ คน แต่ที่ชอบที่สุด คือถ่ายความรู้สึกของคน อย่างเวลาไปถ่ายรูปที่ตลาดเช้าเนี่ย” เธอว่าพลางเปิดรูปให้เขาดูไปด้วย “อย่างอันนี้ ดูสิ ความสุขของป้าขายผักที่ยิ้มแป้นให้ลูกค้าที่มาเหมาผักถุงใหญ่ ส่วนอันนี้ก็เด็กน้อยร้องไห้อยากได้ขนม” เธอหันไปยิ้มตาหยีให้คนที่ตั้งใจฟัง
“ส่วนนี่ลุงขายปลาที่หน้าตาไม่ค่อยจะตื่นเท่าไหร่เพราะคงต้องตื่นไปเอาปลาแต่เช้า เห็นไหม มันเป็นความรู้สึกจริง ความรู้สึกสด ไม่ได้ปรุงแต่งอะไรเลย แล้วการถ่ายรูปเก็บความรู้สึกที่เป็นธรรมชาตินี่ละ...ที่ฉันตกหลุมรัก”
คนที่ฟังจนเคลิ้มระบายยิ้ม มองดวงหน้าจิ้มลิ้มใต้แสงสลัวที่หันมาแบ่งความสุขผ่านยิ้มหวานท่าประจำมาให้ สงสัยอยู่ในใจว่าเคยมีใครบอกเธอไหมนะ ว่าเวลาที่เธอยิ้มจนตาหยี แก้มบุ๋มลงไปทั้งสองข้างแบบนี้ เธอน่ารัก น่าดึงเข้ามากอดให้แน่นขนาดไหน
กีรติได้ยินเสียงเต้นโครมครามของก้อนเนื้อในโพรงอก ความรู้สึกแบบนี้...หายไปจากชีวิตเขานานหลายปี พอมันเริ่มกลับมาเคาะประตูหัวใจใหม่ เขากลับไม่ทันได้เอะใจ จนอ่านความรู้สึกของตัวเองไม่ได้เสียอย่างนั้น แต่ถ้าจะพูดให้ถูกจริงๆ ความรู้สึกแบบนี้มันไม่เคยเกิดขึ้นกับเขามาก่อน เขาไม่เคยไม่รู้ตัวเลยสักครั้งว่าเขาหลงรักผู้หญิงคนไหน
ไม่เหมือนกับครั้งนี้...
ครั้งนี้...ที่เขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าความรู้สึกที่มีต่อพี่สาวร่วมบ้านเปลี่ยนไปตอนไหน ทุกครั้งที่เขารู้สึกวูบวาบในหัวใจ สมองเจ้ากรรมก็ดันสรุปเอาเองว่าเป็นเพราะปฏิกิริยาตอบสนองตามธรรมชาติของร่างกายผู้ชายที่มีต่อผู้หญิง...ผู้หญิงที่เขาดันเผลอไปเสียมารยาททั้งทางการสัมผัสและทางสายตา บางทีก็คิดเอาว่าอาการจี๊ดๆ ในอกมาจากโรคหวงน้องสาวของเขา ที่ดันเผลอเอามาใช้กับพี่สาวร่วมบ้าน
มันไม่ใช่ มันไม่ใช่เหตุผลที่เขาเคยบอกตัวเองเอาไว้เลย!
ให้ตายเหอะ! เขาไม่ได้อ่อนหัดเรื่องความรัก แต่ทำไมถึงโง่นักเรื่องอ่านความรู้สึกตัวเอง!
กีรติเลื่อนมือที่กุมเบาๆ ที่ท้องไปวางไว้ที่อกซ้าย รับรู้ถึงแรงเต้นที่เขามั่นใจว่า ถ้าพยาบาลมาวัดความดันหรือจับชีพจรของเขาตอนนี้ พรุ่งนี้ถ้าหมอไม่วินิจฉัยว่าเขาเป็นโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ ก็ต้องมีจ่ายยาลดความดันโลหิตให้เขาแน่ๆ เรียวปากของชายหนุ่มแย้มยิ้มน้อยๆ แต่แววตาปรากฏรอยสุขใจอย่างชัดเจนในความมืดสลัว รู้สึกว่าค้นเจอหัวใจตัวเอง ทั้งที่มันก็อยู่ตรงนี้มาตั้งนานแล้ว
ชายหนุ่มหันไปมองคนตัวเล็กช้าๆ ถามเธอในสิ่งที่ค้างอยู่ในใจ
“พี่ว่า...คนเราจะตกหลุมรัก โดยไม่รู้ตัวได้ไหม”
ฝากอีบุ๊กเรื่องล่าสุดด้วยนะค้าาาา
![]() |
|
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ปล. ไรท์ลืมเปลี่ยนผลงานล่าสุด หรือป่าว