ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic Harry Potter] The troublesome stick

    ลำดับตอนที่ #4 : ระเบิดครั้งที่ 3 l Happened on the train

    • อัปเดตล่าสุด 16 พ.ค. 66


    03 l 100%

    TW : —

     

    1 กันยายน ค.ศ.1991

     

    เรเทียน่าปรายตามองวันที่บนปฏิทินตั้งโต๊ะ เวลาหนึ่งเดือนผ่านไปไวราวกับโกหก ถ้าให้เปรียบคงเหมือนสายลมที่ปลิววูบมาโดนที่ใบหน้าจนชวนให้รู้สึกเย็นชั่วขณะ ก่อนที่จะได้เผชิญหน้ากับพายุฤดูร้อนลูกใหญ่…

     

    แน่นอน ไม่มีอะไรโหดร้ายไปกว่าการถูกขังไว้ในฮอกวอตส์อีกแล้ว และการพรากฟิชแอนด์ชิปส์ฝีมือคุณนายเอเลนที่อร่อยจนแสงออกปากไปจากเด็กสาวถือเป็นบาปที่ควรชดใช้ด้วยชีวิต!

     

    เรเทียน่าขบฟันก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ด้วยความปลงตก เธอหันไปเล่นกับนกฮูกตัวโตที่กำลังเกาะอยู่ตรงกิ่งไม้ปลอมประดับในห้องแทน มันเอียงหัวซบมือเล็ก ๆ พลางถูไถไปมาอย่างออดอ้อน แตกต่างกับเมื่อหนึ่งเดือนก่อนหน้าเหมือนหลังเท้ากับหน้ามือ

     

    “ยังไม่ยกโทษเรื่องที่แกจิกมือฉันมาตลอดสิบวันแรกหรอกนะราเกล

     

    ราเกลมองหน้าเจ้านายตาแป๋ว มันยังคงเอาหัวของตนถูกับมือที่เต็มไปด้วยพลาสเตอร์ของเด็กสาวต่อไป ดูท่าไม่น่าเข้าใจคำพูดของเธอแม้แต่น้อย

     

    ราเกล เป็นชื่อที่เรเทียน่าตั้งให้นกเค้าอินทรียูเรเซียตัวนี้ มันเกลียดมนุษย์เข้ากระดูกดำ เด็กสาวพอเดาได้ว่าอาจจะเกี่ยวข้องกับตาซ้ายของมันที่บอดสนิท ดังนั้นในช่วงอาทิตย์แรกที่พามันมาที่บ้านเธอต้องใช้ความพยายามอย่างมากที่ทำให้มันไว้ใจ ราเกลจะจิกมือของเด็กสาวทันทีที่เข้าไปใกล้กรงของมัน มันเมินอาหารทุกมื้อที่เรเทียน่าให้ หนทางการทำให้มันเชื่องจึงดูมืดมนเสียเหลือเกิน

     

    ทว่าวันหนึ่งมันยอมหันมากินเนื้อที่เรเทียน่าคีบให้ และความสัมพันธ์ระหว่างพวกเธอก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ จนเป็นอย่างปัจจุบัน

     

    “ขี้เกียจจัดของชะมัด” เด็กสาวโอดครวญหลังจากลูบหัวเจ้านกฮูกจนพอใจ อีกหลายชั่วโมงกว่ารถไฟที่ชานชาลาเก้าเศษสามส่วนสี่จะออก เธอมีเวลาอีกมากในการยัดสัมภาระลงกระเป๋า แต่แค่เห็นภาพรวมของจำนวนแสนมากมายนั่นแล้ว จิตใจก็รู้สึกห่อเหี่ยวจนอยากจะกลับไปนอนต่อ

     

    “ก็ไม่จำเป็นต้องจัดเองก็ได้นะจ๊ะ” พลันจบคำพูดนั้น สัมภาระที่วางระเกะระกะไว้บนพื้น เตียง พาดไว้ที่พนักเก้าอี้ หรือแม้แต่สิ่งที่ถูกคุ้ยออกมาจากตู้เสื้อผ้าก็ลอยขึ้นสูง พวกมันจัดการตัวเองให้เรียบร้อยก่อนจะลอยเข้าไปในกระเป๋าสีน้ำตาลเข้าที่เปิดอ้าอยู่และมันก็ปิดลงเมื่อตุ๊กตามังกรสีแดงเย็บมือเข้าไปเป็นอย่างสุดท้าย

     

    เรเทียน่าตาลุกวาว เวทมนตร์เป็นสิ่งมหัศจรรย์เสมอในสายตาของเธอ “ขอบคุณค่ะ”

     

    “ยินดีเสมอจ้ะ” จูเลียยิ้มตอบ “ว่าแต่ลูกไม่มีของแล้วใช่ไหมจ๊ะ เราจะได้ออกเดินทางเลย”

     

    “แล้วเรนกับพ่อล่ะค่ะ” เรนที่ว่าหมายถึงรูเบน ตลอดหนึ่งเดือนที่อยู่ที่นี่เรเทียน่ารู้สึกอึดอัดน้อยลงเรื่อย ๆ ครอบครัวเอเลนเป็นครอบครัวที่น่ารักและอบอุ่น พวกเขาพยายามอย่างมากที่จะทำให้เด็กสาวรู้สึกสบายใจซึ่งมันก็ได้ผลดีเยี่ยม

     

    “เรนรออยู่ข้างล่างแล้วจ้ะ ส่วนพ่อเขาคงจะไม่ได้ไปด้วย” เมื่อเห็นแววตาสงสัยของเด็กน้อย จูเลียก็รีบพูดแก้ต่างให้โรอานีดัสทันที “ไม่ได้หมายถึงว่าพ่อไม่อยากไปส่งลูก ๆ นะจ๊ะ เหมือนช่วงนี้เขาจะยุ่งนิดหน่อย เห็นว่าพวกหัวขโมยชุกชุมน่ะ”

     

    เรเทียน่าพยักหน้า เธอรู้มาว่าผู้เป็นพ่อของเธอทำงานในกระทรวงเวทมนตร์ แต่ไม่รู้ตำแหน่งที่แน่ชัดของเขา ที่แน่ ๆ คงไม่ใช่ตำแหน่งในแผนกเอกสารแน่นอน ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ถ้าในบางครั้งโรอานีดัสจะหายไปหลาย ๆ วัน เพราะเขาคงต้องทำงานชดเชยวันหยุดลาพักหนึ่งเดือนที่เอามาใช้เวลากับครอบครัวอย่างเลี่ยงไม่ได้

     

     

     

    ใช้เวลาไม่นานนักครอบครัวเอเลนก็มาถึงชานชาลาที่เก้าเศษสามส่วนสี่… อย่างหมดสภาพ?

     

    “ก็ไม่คิดว่าลูกสองคนจะเหมือนกันขนาดนี้นะเนี่ย” คุณนายเอเลนเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ฟังออกว่ากำลังกลั้นหัวเราะอยู่ พอโดนเรเทียน่ากับรูเบนหันขวับมามองด้วยสายตาคาดโทษ เธอก็กระแอมไอแล้วพูดขยายความ “ก็แหม กรณีเมาเพราะข้ามจากชานชาลาที่เก้ามาชานชาลานี้ไม่ได้เจอบ่อย ๆ นี่จ๊ะ”

     

    ที่จูเลียกำลังพูดถึงคือการวิ่งพุ่งใส่กำแพงในชานชาลาที่เก้าของสถานีคิงส์ครอสเพื่อมายังชานชาลาที่เก้าเศษสามส่วนสี่ซึ่งเป็นชานชาลาที่รถไฟปลายทางสถานีฮอกวอตส์จอดรออยู่ ปกติแล้วปฏิกิริยาทั่วไปคือความตกใจหรือตื่นเต้นเสียมากกว่า ใครจะไปคิดว่าจะมีกลุ่มคนที่เมาการข้ามผ่านระหว่างชานชาลาอยู่จริง ๆ 

     

    เอาเถอะ ขนาดคนเมาการเดินทางด้วยเครือช่ายฟลูยังมีเลย

     

    ยังไม่ทันที่เรเทียน่ากับรูเบนจะหายจากอาการเมาดี เสียงหวูดรถไฟที่เป็นสัญญาณว่าใกล้จะถึงเวลาออกรถแล้วก็ดังขึ้นเสียก่อน จูเลียจึงหยิบไม้กายสิทธิ์ของตัวเองขึ้นมา สะบัดเล็กน้อย กระเป๋าสัมภาระในรถเข็นของเด็ก ๆ พลันหดเล็กลงอย่างน่าพิศวง เรเทียน่าหยิบกระเป๋าสีน้ำตาลขนาดเท่าฝ่ามืออันหนึ่งขึ้นมาดูอย่างสนอกสนใจ ต่างจากผู้เป็นพี่ชายที่ท่าทางเคยชินกับอะไรแบบนี้แล้ว

     

    “ถึงนู่นแล้วก็บอกพี่เขาให้ร่ายคาถาให้กระเป๋ากลับมาขนาดเดิมนะ” คุณนายเอเลนบอกผู้เป็นลูกสาว และไม่ลืมหันไปกำชับกับลูกชายคนโต “ไม่ลืมยาแก้เมายานพาหนะแน่ใช่ไหมจ๊ะ”

     

    รูเบนพยักหน้ารับหงึกหงัก ก่อนจะโผเข้ากอดผู้เป็นแม่ จูเลียที่ไม่ทันตั้งตัวตกใจเล็กน้อย แต่ก็ยกมือขึ้นมาลูบหลังลูกชายปุปุ อ้อนแม่ได้ไม่นาน พอเอเลนคนพี่รู้ตัวว่าเรเทียน่าไม่ได้เข้ามากอดด้วยก็หันมาเรียกน้องสาวที่กำลังยืนอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ อยู่ สุดท้ายสามคนแม่ลูกก็กอดกันกลม

     

    พอผละออกมาจากกัน เรเทียน่าก็หันไปแซวรูเบนที่ตาแดงก่ำเหมือนจะร้องไห้อยู่รอมร่อ กลายเป็นว่าก็โดนแซวกลับมาด้วยเสียงอู้อี้ เพราะสภาพทั้งสองคนก็ไม่ต่างกันมากนัก

     

    “รถไฟจะออกแล้ว รีบ ๆ ขึ้นรถไฟเถอะจ้ะ ถึงฮอกวอตส์แล้วก็ส่งจดหมายมาบ้างนะ”

     

    ครอบครัวเอเลนเอ่ยคำร่ำลากันอีกสองสามประโยค ก่อนที่ฝ่ายมาส่งกับฝ่ายที่ต้องออกเดินทางจะแยกย้ายออกจากกัน

     

    “แล้วเรย์จะมานั่งกับพี่ไหม เราขึ้นรถไฟมาช้า กว่าจะหาโบกี้ที่ว่างให้นั่งได้คงต้องเดินไปไกลหน่อย” รูเบนเอ่ยถามผู้เป็นน้องสาวหลังจากขึ้นมาบนรถไฟได้สักพัก

     

    “เพื่อน ๆ พี่จะไม่อึดอัดแย่เหรอ”

     

    “ใคร ๆ ก็อยากเจอน้องสาวที่น่ารักของพี่ทั้งนั้นแหล…” เอเลนคนพี่หยุดชะงักเหมือนกำลังทบทวนคำพูดของตนเองที่พึ่งบอกออกไป ก่อนจะหันขวับไปหาเรเทียน่า “เรย์ไม่ได้ชอบคนอายุมากกว่าใช่ไหม”

     

    เรเทียน่าขมวดคิ้ว “พี่ถามคำถามอะไรกับเด็กสิบเอ็ดขวบเนี่ย”

     

    “กันไว้ก่อนไง”

     

    “เอาเป็นว่าหนูไม่ไปนั่งด้วยนะ เจอกันที่โรงเรียนค่ะ” เอเลนคนน้องว่าแล้วปลีกตัวเดินออกไปตามทางเดินที่มุ่งสู่โบกี้ต่อไป พลางมองหาห้องพักที่ว่างอยู่ไปด้วย

     

    ในขณะที่กำลังจะก้าวเท้าไปที่โบกี้สุดท้าย เสียงเปิดประตูของห้องห้องหนึ่งที่เรเทียน่าพึ่งเดินผ่านโดยไม่ได้สนใจจะมองข้างในเพราะม่านที่ถูกปิดไว้ครึ่งหนึ่งก็เลื่อนเปิดออกอย่างแรงจนได้ยินเสียงกระทบ จนเด็กสาวเกือบจะปากรงนกฮูกในมือใส่ตามสัญชาตญาณ

     

    “เธอจริง ๆ ด้วย! เด็กที่ขูดรีดเงินฉันไปซื้อไอศกรีม!” เสียงนั้นตามมาด้วยใบหน้าคุ้นเคยที่โผล่ออกมาเลยขอบประตู เรเทียน่าจำได้ทันทีว่านั่นคือเด็กชายผมบลอนด์ที่กล่าวหาว่าเธอเป็นหัวขโมยในตรอกไดแอกอน ทว่ายังไม่ทันที่เด็กชายคนนั้นจะโวยวายอะไรต่อ ก็มีเสียงครวญครางด้วยความเจ็บปวดออกมาเสียก่อน ตามด้วยตัวของเด็กชายผมขาวที่โผล่ออกมาเป็นคนที่สอง เรเทียน่าจำได้เช่นกันว่าเขาคือเด็กชายอีกคนในเหตุการณ์เข้าใจผิดวันนั้น

     

    “ขอโทษด้วยที่เพื่อนฉันเสียมารยาท” เด็กชายที่ดูเป็นผู้ใหญ่กว่ากล่าว เขาขยับแว่นของตนเล็กน้อย “ถ้ายังหาที่นั่งไม่ได้มานั่งกับพวกเราไหม”

     

    “แต่ดูเหมือนเพื่อนพวกนายจะไม่ค่อยสะดวกใจเท่าไหร่นะ?” เรเทียน่าบุ้ยหน้าไปทางเด็กสาวอีกคนที่กำลังทำท่าทางเหมือนกำลังย่องหนีไป เด็กชายผมขาวคว้าหมับเข้าที่คอเสื้อของเด็กสาวคนนั้นโดยไม่ได้หันไปมอง แล้วชวนเธอให้ไปนั่งด้วยกันอีกรอบ

     

    เรเทียน่ารู้สึกเหมือนกำลังเข้าไปยุ่งกับเรื่องยุ่งยากอย่างไรอย่างนั้น

     

     

     

    “ก็คือจะบอกว่าเด็กคนนี้เป็นขโมยที่มีใบประกาศจับติดอยู่ทั่วตรอกไดแอกอนงั้นเหรอ?” เรเทียน่าที่สุดท้ายขี้เกียจจะเดินไปหาห้องว่างในโบกี้อื่นจึงยอมรับข้อเสนอของเด็กชายผมขาวกำลังเอ่ยถามคนในห้องย้ำเพราะไม่เชื่อ

     

    แต่พอหันไปมองหน้าตาเลิ่กลั่กของเด็กสาวที่กำลังโดนกล่าวหา เอเลนคนน้องจึงตัดสินใจลองพินิจผมสีสตรอว์เบอร์รี่บลอนด์และดวงตาสีฟ้าซึ่งเป็นลักษณะเด่นของอีกฝ่ายอีกครั้ง

     

    เรเทียน่าเบิกตากว้าง ท่าทางเหมือนพึ่งเชื่อมโยงอะไรในหัวเข้าด้วยกัน “เธอน่ะ เราเคยเดินชนกันที่ร้านเสื้อคลุมของมาดามมัลกิ้นใช่ไหม”

     

    “จ จำผิดแล้วหรือเปล่า เราไม่เคยเจอกันเลยนะ” เด็กสาวกล่าวปฏิเสธตาใส

     

    ไม่ผิดแน่ เพราะสีผมที่โดดเด่นนั่นและบทบาทที่หนังสือไม่เคยกล่าวถึงเรเทียน่าจึงจำได้ดี เพราะแบบนั้นเหรียญแกลเลียนไม่กี่เหรียญที่เธอพกอยู่ในกระเป๋าจึงหายไป เพราะแบบนั้นเธอจึงต้องติดหนี้บุญคุณแฮร์รี่ พอตเตอร์— 

     

    “เธอล้วงกระเป๋าฉันใช่ไหม”

     

    เด็กสาวหน้าซีด ท่าทางพิรุธนั่นเป็นคำตอบได้ชัดเจนยิ่งเสียกว่าคำพูด

     

    “คราวนี้เชื่อหรือยังล่ะ” เด็กชายผมบลอนด์ที่แนะนำตัวเองว่าชื่อแพทริค ทรีลอว์นีย์บอกกึ่ง ๆ คล้ายจะต่อว่า

     

    “เธอชื่ออะไร” เรเทียน่าไม่ได้สนใจการเสียมารยาทนั้น เธอกดเสียงลงถามหัวขโมยด้วยความไม่พอใจ “ตอบฉัน เธอชื่ออะไร”

     

    “…ลูเซียน่า วินเทอร์”

     

    “ดี ฉันจะจำไว้ว่าชื่อนั่นเป็นชื่อของนักเรียนที่โดนไล่ออกจากฮอกวอตส์ตั้งแต่ปีแรกเพราะเป็นขโมย”

     

    ดวงตาสีฟ้าของลูเซียน่าเบิกกว้างด้วยความตกใจ “ฉัน— ฉันโดนบังคับมาน่ะ! หมอนั่นบอกว่าถ้าขโมยแหวนประจำตระกูลของพวกเธอไม่ได้ เขาจะเอาชีวิตฉันไป…”

     

    “หา แล้วมันเกี่ยวอะไรกับการมาล้วงกระเป๋าชั้นเล่า ตระกูลชั้นไม่มีแหวนตกทอดสักหน่อย” แพทริคโวยวาย

     

    “ฉันก็นึกว่านายเป็นคือคุณชายแคร์โรว์นี่นา ได้ข่าวว่าเป็นเมตามอร์เมกัส* ฉันเองก็ไม่รู้หรอกนะว่าจริง ๆ แล้วหน้าตายังไงน่ะ! จริง ๆ ก็แค่กะจะทำไปงั้นเพื่อตบตาพวกมันเฉย ๆ แล้วหนีไปสักพัก” เด็กสาวก้มหน้ากล่าวด้วยน้ำเสียงฟึดฟัด “แต่ตอนนี้กำลังจะไปอยู่ที่ฮอกวอตส์แล้ว แถมเดี๋ยวพวกนั้นก็คงจะถูกจับ…”

     

    คุณชายแคร์โรที่ลูเซียน่าพูดถึง คือ ฟีแลน แคร์โรว์ เด็กชายผมขาว ใส่แว่นตา ดูท่าทางเป็นผู้ใหญ่คนนั้นนั่นแหละ

     

    “ที่บอกว่าตอนนั้นตบตาไปเฉย ๆ งั้นแสดงว่าจะไม่ล้วงเอาเงินในกระเป๋าของฉันไปก็ได้น่ะสิ?” เรเทียน่าจับผิด

     

    “ก็เพราะแบบนั้นเลยเอาเงินของพวกเธอมาคืนนี่ไง!” ลูเซียน่าแย้งพลางหยิบเหรียญแกลเลียนเกือบยี่สิบเหรียญออกมาจากถุงผ้าสีชมพูขนาดเท่าฝ่ามือที่คาดว่าร่ายคาถาขยายพื้นที่ข้างในไว้ เธอหยิบสิบกว่าเหรียญในจำนวนนั้นให้แพทริค และหยิบที่เหลือให้เรเทียน่า “จะไม่เอาเรื่องกันแล้วใช่ไหม”

     

    “เอาเถอะ เห็นแก่ที่เธอโดนข่มขู่นะ ถ้ามีครั้งหน้าฉันไม่ปล่อยไว้แน่” เด็กสาวผมสั้นหรี่ดวงตาลง ก่อนจะเก็บเงินที่ได้คืนมาเข้ากระเป๋าของตน

     

    แคร์โรว์นั้นถือเป็นตระกูลสายเลือดบริสุทธิ์ที่ค่อนข้างร่ำรวย ไม่ต่างอะไรจากเอเลนที่ถึงแม้จะโดนปลดออกจากรายชื่อตระกูลศักดิ์สิทธิ์แต่นั่นก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อธุรกิจที่ทำเงินของตระกูลแต่อย่างใด แหวนของตระกูลนั้นทำหน้าที่ไม่ต่างจากตราประทับประจำตระกูล จึงมีพวกโง่ ๆ ที่ไม่รู้ผลกรรมที่จะตามมาหากมายุ่งกับทั้งสองตระกูลหมายปองต้องใจอยากจะได้แหวนพวกนี้เข้า เพราะคิดเอาง่าย ๆ ว่าหากได้มาคงทำเงินได้มากโข

     

    บรรยากาศที่ตึงเครียดถูกหยุดชะงักเมื่อหญิงชราคนหนึ่งเลื่อนประตูของห้องให้เปิดออก “อยากได้อะไรจากรถเข็นไหมจ๊ะ” เธอว่าก่อนจะเลื่อนประตูให้กลับไปปิดสนิทดังเดิม

     

    เสียงกุกกักที่ยังไม่ห่างหายไปไหนทำให้เดาได้ว่าหญิงชราคนเดิมกำลังหยุดรอลูกค้าเด็ก ๆ อยู่ สุดท้ายแพทริคที่ทนไม่ไหวก็ออกไปจากห้องแล้วกลับมาพร้อมกับกบช็อกโกแลตสี่ตัวถ้วน

     

    “อะไร” พอโดนมองด้วยสายตาแปลก ๆ แพทริคก็ร้อนตัวขึ้นมาทันที “ฉันเข้าใจว่านี่มันแปลกนะ ยิ่งฉันพูดอะไรแบบนี้กับคนที่ขโมยเงินฉันไปด้วย แต่ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้วพวกเราก็เป็นเด็กปีเดียวกัน มาสนิทกันไว้เถอะ”

     

    พอพูดจบเขาก็แจกจ่ายกบช็อกโกแลตให้พวกเราคนละตัว ซึ่งมันก็ได้ผล จากที่ไม่พูดไม่จากันเมื่อกี๊ พวกเราก็เริ่มเปิดปากพูดด้วยอิทธิพลของปาร์ตี้กบช็อคโกแลตเล็ก ๆ

     

    “พ่อเธอคือโรอานีดัส เอเลนคนนั้นน่ะเหรอ บ้าไปแล้ว!” แพทริคเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ

     

    “แพท เคี้ยวช็อกโกแลตในปากให้หมดก่อนแล้วค่อยพูด” ฟีแลนเอ่ยปราม

     

    “โรอานีดัสคนนั้นเลยนะฟิล! คนที่โดนส่งไปปราบปรามโจรในตรอกไดแอกอนน่ะ แล้วก็นะ—”

     

    “รู้แล้วน่า แต่ช่วยเคี้ยวขนมในปากให้เสร็จก่อนเถอะ”

     

    “แล้วนี่พวกเธอคิดว่าจะได้อยู่บ้านไหนกัน” ลูเซียน่าตัดบทเพื่อเปลี่ยนบทสนทนา หลังจากส่งสายตาขอโทษขอโพยเรเทียน่าอยู่สักพักตอนรู้ว่าโรอานีดัสเป็นคนช่วยกวาดล้างอันธพาลในตรอก เพราะแบบนั้นเธอจะได้สามารถกลับไปที่นั่นได้โดยไม่ต้องหวาดกลัวจะโดนข่มขู่อีกต่อไป

     

    “ฉันต้องได้อยู่กริฟฟินดอร์อยู่แล้ว☆” แพทริคที่ตอนนี้กลืนช็อกโกแลตในปากลงคอไปแล้วตอบ

     

    “ครอบครัวฉันอยากให้อยู่สลิธีรินน่ะ” ถือว่าเป็นคำตอบที่ไม่น่าแปลกใจสำหรับฟีแลนที่อยู่ในตระกูลเลือดบริสุทธิ์

     

    “ฉันเองยังไงก็ได้น่ะ” ลูเซียน่าตอบคำถามของตัวเองพลางแกะการ์ดของแถมในห่อของกบช็อคโกแลต

     

    “อืม ถ้าเป็นไปได้ก็ขออยู่บ้านฮัฟเฟิลพัฟไม่ก็เรเวนคลอล่ะมั้ง?” เรเทียน่าว่า เหตุผลนั้นง่ายแสนง่าย เพราะเธอไม่อยากจะอยู่ในบ้านเด่น ๆ ที่จิกกัดกันทุกวันเป็นว่าเล่น

     

    ยังไม่ทันที่เด็กทั้งสี่คนจะได้เปลี่ยนหัวข้อบทสนทนาอีกรอบ ประตูของห้องก็ถูกเปิดออก เด็กสาวผมยุ่งสีน้ำตาลชะเง้อหน้าเข้ามา พอเรเทียน่าได้ยินประโยคคุ้นหูนั้น เธอก็เดาได้ทันทีว่าเด็กสาวคนนั้นเป็นใคร

     

    “มีใครเห็นคางคกหรือเปล่า เด็กที่ชื่อเนวิลล์ทำมันหายน่ะ” เฮอร์ไมโอนี่ เกรนเจอร์เอ่ยถาม เมื่อทุกคนปฏิเสธว่าไม่พบ เธอจึงปิดประตูแล้วจากไป

     

    ทว่าผ่านไปสักพักประตูเลื่อนก็ถูกเปิดออกอีกครั้ง แพทริคส่งเสียงจิ๊ปากอย่างไม่สบอารมณ์ที่โดนรบกวนบ่อยเกินไป แต่ยังไม่ทันจะถามว่าอีกฝ่ายมีธุระอะไร เรเทียน่าที่ตกใจซึ่งกำลังจะเปิดประตูห้องออกไปในจังหวะเดียวกันเพื่อเข้าห้องน้ำก็ดันสวนหมัดออกไปเข้าหน้าผู้มาใหม่เต็ม ๆ

     

    พอมองหน้าผู้เคราะห์ร้ายดี ๆ เรเทียน่าก็เกือบจะร้องอ๋อออกมา เป็นเดรโก มัลฟอยนี่เอง

     

     

     

     

    *เมตามอร์เมกัส : พ่อมดแม่มดที่เปลี่ยนแปลงส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายได้ตามใจนึก

    *ยังไม่ได้แก้คำผิด


    : ชื่อเรื่องพูดถึงไม้กายสิทธิ์ คำโปรยก็พูดถึงไม้กายสิทธิ์ แต่น้องไม้กายสิทธิ์ยังไม่มีบทเด่น ๆ สักที ฮือ555555555

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×