คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ❤❤ มารู้จักกับศิลปะหรืออนาจารกันเถอะ !!
เราได้ยินกันมาเป็นเวลานานพอสมควรแล้ว ขณะที่พบภาพเขียนหรือภาพถ่ายซึ่งมีคนเปลื้องผ้าห่อหุ้มร่างกายออกหมด และแสดงท่าทางต่างๆ มักมีคำถามปรากฏออกมาว่า เป็นภาพศิลปะหรืออนาจาร
กระทั่ง หลังจากที่สังคมวางกฎระเบียบ ติดตามมาด้วยการใช้อำนาจควบคุม โดยที่คิดว่าถ้าเป็นงานศิลปะ ควรถือว่าคือการศึกษาที่ลึกซึ้งถึงจิตวิญญาณมนุษย์ หากเห็นว่าเป็นอนาจาร ย่อมถือว่าขัดศีลธรรมอันดีงาม
ประเด็น ดังกล่าว ได้มีการนำมาถกเถียงกันอย่างกว้างขวาง แต่แล้วในที่สุดก็ค่อยๆ เงียบหายไปเสมือนคลื่นกระทบฝั่ง วันดีคืนดีก็เกิดเรื่องราวเช่นเดียวกันขึ้นมาอีก
หาก มองเห็นภาพรวม อีก ทั้งใช้ความจริงจากธรรมชาติเป็นพื้นฐานการพิจารณา น่าเข้าใจได้ว่า สิ่งที่กล่าวมาแล้วทั้งหมด ไม่ว่าจะผ่านพ้นมาแต่อดีตหรือกำลังจะก้าวต่อไปสู่อนาคต หากคิดว่าเป็นภาพคลื่นกระทบฝั่ง ลูกแล้วลูกเล่า ก็น่าจะเป็นไปได้ แต่ถ้าไม่สนใจค้นหาความจริงให้ลึกซึ้งถึงที่สุด ก็คงหาจุดจบยังไม่พบ
หาก ใช้หลักธรรมชาติเป็นพื้นฐาน แล้วมองไปยังภาพรวมของปรากฏการณ์ทั้งหมด โดยไม่นำเอาเงื่อนไขในด้านกาลเวลาหรือสิ่งอื่นใดมาผูกติดไว้ ย่อมรู้ความจริงได้ว่า แท้จริงแล้วก็คือการกระจายสิ่งซึ่งเป็นปรากฏการณ์ อันมีสภาพที่เรียกกันว่า 2 ขั้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดก็ตาม
ถ้า คิดที่จะค้นหาความจริงต่อไป ก่อนอื่นควรเริ่มต้นสร้างความเข้าใจให้ตนเองรู้ว่าเรื่องนี้เกิดจากความ รู้สึกนึกคิดอันเป็นธรรมชาติของคนซึ่งอยู่ร่วมกันในสังคม หาก สะดุดคิดลึกลงไปอีกขั้นหนึ่ง น่าจะช่วยให้มองเห็นความจริงว่า สิ่งที่เป็นของแท้ซึ่งทำให้เกิดเงื่อนไขดังกล่าวแล้ว ย่อมมีความจริงอยู่ในรากฐานจิตใจคนซึ่งมีธรรมชาติแตกต่างกัน
หวน กลับไปนึกถึงชีวิตเราแต่ละคน จากยุคดึกดำบรรพ์ ซึ่งแต่ก่อนก็คงไม่มีสิ่งใดมาใช้ห่อหุ้มร่างกาย หากคงเป็นไปอย่างเปิดเผย โดยไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องแปลกประหลาด
ช่วง ถัดมา คนเริ่มมีการนำวัตถุจากธรรมชาติที่อยู่ภายนอกตัวเองมาใช้เสริมสร้างการดำรง ชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค ที่อยู่อาศัย และอาหาร อันถือเป็นธรรมชาติในด้านรูปวัตถุระดับพื้นฐาน มีผลทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างซึ่งประกอบขึ้นเป็นภาพรวมของกระบวนการธรรมชาติรวม ถึงชีวิตคน มีการเปลี่ยนแปลงอย่างสานเหตุและผลถึงซึ่งกันและกัน
โดย เฉพาะอย่างยิ่งเหตุที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งหมด ล้วนมีผลสืบเนื่องมาจากเงื่อนไขซึ่งอยู่ในรากฐานจิตใจคน ดังนั้น จึงคงหนีไม่พ้นไปจากการที่รากฐานจิตใจคน จำต้องได้รับผลจากการกระทำ ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงร่วมด้วย
ภาย ในรากฐานจิตใจของแต่ละคน ต่างก็มีจิตวิญญาณที่มีเหตุผลสานถึงความรู้สึกนึกคิดของตัวเอง ดัง นั้น หลังจากคนนำสิ่งต่างๆ จากภายนอกมาใช้ประดิษฐ์เป็นอุปกรณ์เพื่อให้ความสะดวกสบายแก่ชีวิตตนเอง จิตใจคนจึงไม่อาจหลีกเลี่ยงพ้นไปจากอิทธิพลของวัตถุสำเร็จรูปซึ่งเปลี่ยน แปลงมาตามยุคสมัย ทำให้หลงไหลถึงกับยึดติดอยู่กับมันจนเป็นนิสัย ไม่ว่าใครจะรับเข้าไว้มากน้อยแค่ไหน
แต่ ความจริงจากธรรมชาติก็ได้ชี้ไว้อย่างชัดเจนว่า ไม่มีชีวิตใด สิ่งใด จะเปลี่ยนแปลงไปจนหมดสิ้น ดัง นั้นส่วนที่สามารถยืนหยัดอย่างเข้มแข็งอยู่ได้ ย่อมยังคงมีอยู่ ไม่ว่าเหลือน้อยแค่ไหน ดังนั้น ผู้ที่ไม่ยอมตกเป็นทาสอิทธิพลของสภาพดังกล่าวจึงมีโอกาสหยั่งรู้ความจริงได้ ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
สำหรับ ผู้ที่หยั่งรู้ความจริงจากธรรมชาติที่อยู่ในใจตนเองให้มั่นใจได้ถึงระดับ หนึ่ง ย่อมสามารถหยั่งรู้ความจริงของธรรมชาติจากใจเพื่อนมนุษย์ได้อย่างหลากหลาย ดังนั้น แม้เรื่องราวจากภาพคนที่เปลื้องเครื่องนุ่งห่มออกจากร่างกายทั้งหมดและแสดง ท่าทางต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นคนใดคนหนึ่งหรือหลายคน อีกทั้งเป็นคนชาติไหน ภาษาไหน ย่อมเห็นเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดจากใจคน ทั้งผู้ปฏิบัติและผู้ที่มีโอกาสสัมผัสกับภาพดังกล่าว
สำหรับ ภาพเขียนหรือภาพถ่ายซึ่งปรากฏออกมาในลักษณะที่กล่าวมาแล้ว แทนที่จะมุ่งความสนใจไปยังภาพเหล่านั้นด้านเดียว ผู้ซึ่งมีรากฐานจิตใจอิสระย่อมสามารถหวนกลับมามองเห็นความจริงจากใจผู้เขียน หรือผู้ถ่ายภาพรวมถึงผู้ที่มองว่าเป็นศิลปะหรืออนาจารซึ่งเป็นอีก ด้านหนึ่งร่วมด้วย นอกจากนั้นน่าจะให้ความสนใจมองมายังด้านนี้เหนือกว่าอีกด้านหนึ่ง ทั้งนี้และทั้งนั้นเพื่อค้นหาความจริงให้ลึกซึ้งถึงที่สุด
ยิ่ง ไปกว่านั้น หากผู้พิจารณาไม่ลืมความจริงจากใจตัวเอง ถ้าสามารถหยั่งรู้ให้ถึงจุดอันเป็นเหตุที่ทำให้คนสนใจ ควรถือว่า ณ จุดนี้น่าจะมีความสำคัญอย่างที่สุด ดังเช่นที่คนยุคก่อนเคยชี้แนะไว้ว่า ถ้ามองเห็นสิ่งอื่นใดก็ตาม มีสภาพเป็นอย่างไร เงื่อนไขซึ่งฝั่งลึกอยู่ในรากฐานจิตใจผู้มองนั่นแหละที่กำลังคิดให้เป็นเช่น นั้น
Creme brulee
© Tenpoints !
ความคิดเห็น