ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    indecentart ศิลปะกับอนาจาร

    ลำดับตอนที่ #8 : ► ภาพอีโรติกในวัฒนธรรมตะวันตก

    • อัปเดตล่าสุด 8 ม.ค. 55



                วัฒนธรรมกรีกโบราณได้สร้างงานปั้นที่เป็นภาพเปลือย(nude)ขึ้นมาเป็นจำนวนมาก, แม้ ว่าในจำนวนนั้นเพียงเล็กน้อยจะเป็นภาพจำลองกิจกรรมทางเพศที่ตรงไปตรงมาก็ ตาม. อย่างไรก็ตาม งานจิตรกรรมอีโรติกบนแจกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งนับจากศตวรรษที่ 5-4 ก่อนคริสตกาล ได้ให้ภาพเกี่ยวกับการกระทำทางเพศอย่างชัดแจ้งออกมา ทั้งภาพเกี่ยวกับ homosexual (การมีเพศสัมพันธ์กับเพศเดียวกัน) และ Heterosexual (การมีเพศสัมพันธ์ต่างเพศกัน).


            

                มีเรื่องที่ฟังดูอาจรู้สึกประหลาดใจเกี่ยวกับงานศิลปะอีโรติกของกรีกข้างต้น นี้ ซึ่งใคร่จะกล่าวก็คือ แม้แต่เมื่อไม่นานมานี้ ถ้วยโถโอชามและแจกันดังกล่าว - แต่เดิมหรือตามปกติเป็นสิ่งของเครื่องใช้ภายในบ้านสำหรับชนชาวกรีกมาในสมัย โบราณ แต่เมื่อข้ามผ่านมาสู่ยุคสมัยใหม่ของเรา ซึ่งได้รับการบ่มเพาะมาอย่างประหลาดผ่านความเชื่อทางศาสนาของตะวันตก มันได้ก่อให้เกิดความอึดอัดใจแก่บรรดาภัณฑารักษ์สมัยใหม่ทั้งหลายเป็นจำนวน มาก ผู้ซึ่งเกรงว่า การนำเอาผลงานแจกันกรีกเหล่านี้ออกแสดงในนิทรรศการ บางทีมันอาจจะไปกระตุ้นอารมณ์ทางเพศของบรรดาผู้มาเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ทั้ง หลาย แต่อย่างไรก็ตาม ในสายตาของชนชาวกรีกโบราณ สิ่งเหล่านี้ดูเหมือนว่าจะเป็นตัวแทนหรือภาพแทน ที่ไม่มีอะไรเกินเลยมากไปกว่าฉากต่างๆของชีวิตประจำวันเท่านั้น

    ในหัสนาฏกรรมทั้งหลายของชนชาวกรีก(Greek comediies), อย่างเช่น เรื่อง Aristophanes' Lysistrata (411 BC), ได้ ใช้ภาษาที่เกี่ยวกับเรื่องเพศอย่างตรงไปตรงมา หรือแบบขวานผ่าซากส่วนใหญ่ ทั้งนี้ก็เพื่อวัตถุประสงค์ที่เป็นไปในทำนองเสียดสีและล้อเลียนนั่นเอง

                วัฒนธรรมของชาวโรมัน อย่างที่ทราบและรู้กัน มันมีลักษณะที่ละม้ายคล้ายคลึงกับศิลปะกรีก(ทั้งนี้เพราะ โรมันได้รับอิทธิพลทางด้านศิลปะมาจากอารยธรรมที่ตนได้ชัยชนะมานั่นเอง) และเป็นศิลปะของการเปิดเผย แต่ส่วนใหญ่ของศิลปะเหล่านี้ได้ถูกทำลายลงไปโดยกาลเวลา และโดยอำนาจต่างๆของคริสเตียนสมัยที่เรืองอำนาจต่อมาอย่างใดอย่างหนึ่งใน คริสต์ศตวรรษที่ 4

     

    อย่างไรก็ตาม จากการที่เมือง Pompeii และ Herculaneum ได้ถูกฝังกลบโดยเถ้าถ่านของการระเบิดของภูเขาไฟ Vesuvius ใน ค.ศ. 79 กอง เถ้าถ่านเหล่านั้นได้ทำหน้าที่เสมือนแคปซูลเวลาที่นำพาเอาศิลปะของพวกเขา ข้ามผ่านห้วงเวลามาอย่างปลอดภัยโดยไม่บุบสลายจนถึงทุกวันนี้ และได้มาเปิดเผยให้เห็นถึงงานศิลปะของพวกเขาอีกครั้งในยุคของเรา ด้วยการขุดค้นทางโบราณคดีสมัยใหม่ ซึ่งเริ่มต้นขึ้นมาในคริสต์ศตวรรษที่ 18 แต่พวกเราส่วนใหญ่กลับรู้สึกตั้งข้อรังเกียจกับสิ่งที่ตนได้พบเห็น

                บรรดานักขุดค้นได้พบภาพจิตรกรรมฝาผนังที่โรงโสเภณีต่างๆและห้องที่ใช้ในการ ประกอบพิธีสมรส ตามพยานหลักฐานที่พบ ทำให้มีการสันนิษฐานว่า ภาพเหล่านี้ตั้งใจที่จะทำขึ้นเพื่อสนองตอบต่อแรงดลใจแก่ผู้เป็นเจ้าของหรือ ผู้ครอบครองสถานที่เหล่านั้น นอกจากนี้ จากการขุดค้นยังได้พบศิลปะที่เกี่ยวกับองคชาติเป็นจำนวนมาก(phallic art) รวมทั้งเครื่องรางและตุ้มหูต่างๆที่จำลองเป็นรูปขององคชาติด้วย

                        

    อย่าง ไม่ต้องสงสัย วัตถุพยานข้างต้น มันได้ก่อให้เกิดอาการช็อคในสิ่งที่พบเห็นซึ่งเกิดกับผู้สังเกตการณ์ทั้ง หลาย ทั้งนี้เพราะ การขาดเสียซึ่งความเข้าใจในมโนคติที่มีอยู่ในประวัติศาสตร์ที่ข้ามยุคมา หลายๆสมัยนั่นเอง. วัตถุประสงค์ดั้งเดิมของชนชาวโรมัน ดูเหมือนว่า พวกเขาได้กระทำสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาเพื่อที่จะสร้างความมั่นใจในเรื่องความ อุดมสมบูรณ์

    สำหรับ ชนชาวโรมัน ก็เหมือนกับกับชาวกรีก กล่าวคือ การเปลือยกายนั้น ในตัวของมันเองไม่ใช่เป็นเรื่องอีโรติคหรือเรื่องของกามโลกีย์แต่อย่างใด แต่มันคือวิถีชีวิตตามปกติของพวกเขา ซึ่งไม่เกี่ยวพับเรื่องของการมักมากในกามคุณอย่างที่เราเข้าใจกันเอาเอง

                สำหรับ ศาสนาคริสต์ เนื่องด้วยความไม่ไว้วางใจในเรือนร่างของมนุษย์ จึงไม่ได้สร้างงานศิลปะอีโรติกขึ้นมา และซ้ำร้ายไปกว่านั้น กลับเป็นผู้ทำลายภาพผลงานศิลปะอิโรติกเหล่านั้นที่เหลือรอดมาถึงยุคสมัยของ ตนที่รุ่งเรืองด้วย. แต่อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่จะสิ้นสุดของยุคกลาง, บทกวีที่เรียกว่า troubadour (บทกวีที่มีลักษณะบรรยายความรู้สึกอันเร่าร้อนอันหนึ่งในเชิงการเกี้ยว พาราสี - คริสต์ศตวรรษที่ 13-14), ความรักทางโลกได้หวนกลับมาสู่วรรณคดีอีกครั้ง แต่ผลงานเหล่านั้นเป็นเพียงเรื่องกามโลกีย์ในรูปของความบังเอิญเท่านั้น

                หลัง จากสมัยกลาง อารยธรรมตะวันตกได้ก้าวมาสู่ยุคของการฟื้นฟู หรือยุคเรอเนสซองค์. ยุคดังกล่าวถือเป็นการฟื้นคืนอดีตใหม่อีกครั้ง จากการได้หวนกลับไปเรียนรู้เรื่องราวโบราณในสมัยกรีกและโรมัน เรอเนสซองค์ยินยอมให้มีการเลียนแบบผลงานคลาสสิกของกรีกและโรมันขึ้น ซึ่งการกระทำดังกล่าวได้แพร่กระจายไปอย่างกว้างขวาง บรรดาช่างหรือศิลปินในยุคนี้ได้มีการจำลองแบบผลงานต่างๆ ที่มีลักษณะคลาสสิกของอู่อารยธรรมของตน อย่างเช่น งานจิตรกรรมมากมายเกี่ยวกับภาพเปลือยของ Titian และ Rubens พร้อมกับผลงานประติมากรรมโดย Bernini และคนอื่นๆอีกมากมาย, ที่ได้เข้ายึดกุมคุณภาพผลงานศิลปะในลักษณะของอีโรติกอย่างแจ่มชัด

                 


                               

    ใน ขณะเดียวกันกับที่กล่าวข้างต้น ก็ได้เกิดแรงต้านขึ้นมาเช่นกัน มีการหวนกลับไปสู่สำนึกของศาสนาในเวลาต่อมา และได้ขยายผลไปสู่ความเคร่งครัดของขนบจารีต โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกิดขึ้นในยุควิคตอเรีย และสำนึกดังกล่าวได้ส่งผลมาเป็นความฝังใจที่ยังหลงเหลือในยุคปัจจุบัน

     

     



    © Tenpoints !

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×