ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    สายลมยุทธภพ

    ลำดับตอนที่ #3 : บทที่3

    • อัปเดตล่าสุด 8 ธ.ค. 56



    บุคคลสามท่านยังคงถกเถียง ผลัดกันเล่าเรื่องราว และเอ่ยถามอย่างไม่ต้องการคำตอบกับผู่เยว่ มันล้วนน่าหงุดหงิดรำคาญใจสำหรับนางมิใช่น้อย

    “นางเป็นนางคณิกาที่เคยปรนนิบัติเจ้าหลิ่งนั่น เพลงนั่นย่อมเป็นเพลงของหลิ่ง” กุ้ยฉินบอกกล่าวเสียงเรียบเรื่อย หากนัยน์ตายังคงจ้องมองมายังศิษย์น้องข้างกายอย่างจับผิด ผู่เยว่เพียงทอดมองหญิงสาวที่ศิษย์พี่เอ่ยจรดปากเล็กจิ้มลิ้มกับขลุ่ยเป่าเป็นทำนองไพเราะเศร้าคำนึงประการหนึ่ง

    “มิใช่” นางเอ่ยออกหลังนิ่งเงียบฟังเสียงคนเสียงขลุ่ยมานาน การพบเจอคราวนี้ดูท่ามิใช่เรื่องมงคลดังที่คาดแต่ต้น พลันนางถอนหายใจยืดยาววางตะเกียบลง ซดสุราอีกจอก “เพลงนั่นมิใช่วิหคร้องเร่ ข้าจะยืนยันอีกเพียงรอบเดียว”

    “แต่...” ซูเหวินเอ่ยออกเพียงเท่านั้น ผู่เยว่กลับกล่าวระงับศิษย์ผู้พี่ “ข้าย่อมอยากช่วยเหลือ แต่มันเกินกำลังข้า”

    “เราเพียงขอทราบชื่อพี่น้องเหล่านั้น” จิ้นฮุยเอ่ยเสียงเรียบ ผู่เยว่ส่งเสียงในลำคอดังเฮอะคล้ายหงุดหงิดไม่สบอารมณ์อยู่หลายส่วนนัก “อย่าคิดว่าข้ามิทราบ ท่านย่อมเอากำลังจับกุมให้ศิษย์พี่น้องเราลำบาก...หากไม่สามารถหาเจ้าหลิ่งอะไรนั่นได้ คงจะมีพี่น้องท่านใดท่านหนึ่งตกเป็นแพะรับบาป”

    ทั้งสามท่านพลันนิ่งเงียบไม่สามารถเอ่ยอันใดเพิ่มเติมออกมาได้ ผู่เยว่จ้องลึกลงไปยังนัยน์ตาคนทั้งสาม ล้วนมั่นคงปรารถนาสื่อทุกถ้อยคำที่นางกล่าวเป็นจริง หากทั้งสามท่านล้วนปนเปด้วยอารมณ์หลายประการ ต่างก็มิใช่ดวงตาที่แสดงความเชื่อถือนัก

    นางถอนหายใจแผ่วเบา เอื้อมหยิบพิณของตนมาดีดเป็นเพลงวิหคเร่ร้องทั้งสองฉบับ “นี่ย่อมคุ้นหูพวกท่านบ้าง ข้าเล่นสองรอบแล้ววันนี้ ข้าจะไม่เอ่ยเพิ่มเติมอีก หูท่านไม่พิการ ย่อมทราบว่าต่างกับเพลงที่แม่นางน้อยบรรเลง”

    นางลุกขึ้นยืน ย่อกายลงคารวะบอกลา วางขวดสุราใบหนึ่งลง ล้วนเหมือนกับที่เทดื่มกินเมื่อครู่มิผิด “ข้าอยู่เช่นนี้สี่ปี ท่องเที่ยวไปทั่ว มิใช่เสี่ยวเยว่ผู้เดิม ยานี้อย่าใช้ออกมั่วสั่ว นิทรายาวนานเกินคาดนัก”

    นางเอ่ยคำสุดท้ายเสียงเย็นเยียบ คว้าหยิบพิณสัมภาระ บุรุษสามท่านนิ่งอึ้งชั่วครู่พลันจ้องหน้ากันล้วนครุ่นคิด เจ้าหลิ่งอะไรนั่นอาจหาญหยิบฉวยขโมยหยกดำเลอค่าขององค์ฮ่องเต้ ข้าราชบริพารอย่างตนสนองรับสั่ง หากมิสำเร็จมิแคล้วประหารเก้าชั่วโคตร หนทางทุกประการล้วนดิ้นรนด้วยจำเป็น

    ผู่เยว่ทราบดี มิได้โกรธเคืองศิษย์พี่ทั้งสามท่านนัก หากก็มิได้หลงเหลืออารมณ์ยินดีกับการพบเจอครั้งนี้เช่นแต่แรกอีก เพียงรู้สึกโล่งใจที่คนคุ้นหน้าคุ้นตายังอยู่ดีมิได้ตายไปกับกองเพลิงเมื่อห้าปีก่อน แท้แล้วศิษย์พี่ทั้งสามล้วนไม่เชี่ยวชาญดนตรี มุ่งแต่ทางบู๊ จึงไม่ละเอียดละออพอจะแยกแยะจดจำเสียงต่างๆได้ดีนัก เพลงของหลิ่งคล้ายกับวิหคร้องเร่ราวสองส่วน ทั้งข่าวที่เล่าลือว่าเป็นเพลงเดียวกัน มิแปลกที่ศิษย์พี่ทั้งสามจะสงสัยนาง

    ครั้นจิ้นฮุยแลเห็นศิษย์ผู้น้องเดินลงบันไดออกจากโรงเตี๊ยม กลับใช้กำลังภายในโยนบุตรตนที่หลับใหลตรงตั่งข้างๆใส่ผู่เยว่ไม่ลังเล นางตระหนกตกใจเห็นเป็นเด็กพลันฉวยคว้าก่อนตกพื้นทันท่วงที มืออีกข้างรับกระบี่เล่มบางมา ย่อมเป็นกระบี่ประจำกายจิ้นฮุย

    “ข้าฝากด้วย จิวฮุ่ยเป็นบุตรของข้ากับซิ่นซิน นางตายแล้ว” จิ้นฮุยบอกเพียงแค่นั้นก็กลับไปครุ่นคิดกับบุรุษอีกสองท่านต่อ ผู่เยว่ตกใจร้องอาหนึ่งคำ พลันนางถอนหายใจยืดยาว มองดูเด็กชายที่ยังคงหลับใหล หันไปส่งยิ้มแย้มไม่บอกอารมณ์ประการหนึ่ง ผิวปากเรียกซือเล่อควบออกจากเมืองไป

    ซิ่นซินเป็นบุตรของท่านกงหยางกับฮูหยินเล็ก ฮูหยินใหญ่ไม่โปรดปรานกดขี่นางเช่นคนใช้ ครั้นท่านกงหยางเสีย ท่านตาของผู่เยว่ที่เป็นสหายสนิทจึงรับมาอุปการะเป็นบุตรบุญธรรมตามคำสั่งเสีย  นับได้ว่าเป็นอาหญิง แต่อายุไล่เลี่ยกันกับผู่เยว่ ล้วนเล่นหัวพากันซุกซนแต่เล็ก ครั้งนั้นผู่เยว่เคยตกน้ำ นางลงไปช่วยเหลือจนต้องเจ็บป่วยทำให้สุขภาพไม่แข็งแรงเรื้อรัง ทั้งสองล้วนรักกันไม่ต่างจากพี่น้อง แต่จำพลัดพรากกันตอนที่นางกลับไปตระกูลกงหยางหลังฮูหยินใหญ่เสีย

    ผู่เยว่ถอนหายใจยืดยาวอีกครา ตระกูลเจ้าล้วนต้องฝากฝังไว้เพียงเจ้าหนูนี่เสีย แผ่นดินกว้างใหญ่สุดหล้า บทเพลงเดียวที่เคยยืนยันได้ยามนี้ก็มิสามารถระบุอันใดได้ ศิษย์พี่จิ้นฮุยคงมิคาดหวังกับการตามหาครั้งนี้แล้ว นางเองมิใช่มิอยากช่วย หากรายชื่อศิษย์พี่น้องล้วนควรเก็บงำ หลายท่านไม่รู้เห็นหาควรเดือดร้อนกับเรื่องนี้

    นางครุ่นคิดครู่หนึ่ง หลังเกิดเรื่องนั้นผู่เยว่ได้พบสตรีนางหนึ่ง โขกหัวเรียกเหล่าซือ นางสอนวิชาตัวเบา การใช้อาวุธนานาประการ ยาพิษ ล้วนเป็นศาสตร์ลอบสังหาร ผู่เยว่สำเร็จแล้วลาออกมาท่องเที่ยวตามชนบท หาได้ประกอบอาชีพอย่างเหล่าซือ ภูเขาแม่น้ำธรรมชาติศิลปะย่อมเชี่ยวชาญกว่าเรื่องราววุ่นวายในยุทธภพที่นางไม่เคยใส่ใจ

    แต่ครั้นจะปล่อยให้ทั้งสามท่านตายไปก็มิได้ นางเองก็ยินดีเท่าที่ช่วยได้ ป่าไผ่เขียวเองไม่ไกลจากที่นี่นัก ครานี้คงจะต้องไปพบเหล่าซือเสียหน่อย มารร้ายไร้เงาแห่งยุทธภพเยี่ยงเหล่าซือย่อมทราบความเป็นไปทั่วหล้า ถ้าหากเจ้าหลิ่งนั่นโลภมากนำมันไปเร่ขายในตลาดมืด เพียงติดตามหาหยกดำอะไรนั่นกลับไปถวายองค์ฮ่องเต้ได้ศิษย์พี่ทั้งสามท่านกับข้าราชบริพารท่านอื่นน่าจะพ้นโทษตายได้  

    “อ้าว ตื่นแล้วรึเจ้าหนู” นางกระตุกบังเหียนชะลอฝีเท้า เหลียวมองจิ่วฮุยที่สะลึมสะลือตื่นขึ้นมา ซือเล่อที่หยุดฝีเท้าเองก็หันมามองมาที่เด็กน้อยบนหลังมันอย่างไม่สบอารมณ์ ผู่เยว่ยิ้มให้มัน ลูบหัวปลอบโยนเบาๆ “มันเป็นเพียงลูกสุนัขตัวน้อย อย่าสนใจมันเลย”

    นางเพิ่งระลึกได้ แท้แล้วซือเล่อเป็นม้าป่าที่ศิษย์พี่จิ้นฮุยจับได้พร้อมกับม้าป่าอีกสองสามตัว ลักษณะล้วนเหมือนทุกประการทั้งสามตัว ฝึกแล้วยอมให้ขึ้นขี่ได้ไม่ยาก มีเพียงซือเล่อมิยอมให้ใครขึ้นขี่ ซ้ำร้ายกลับเคียดแค้นประการใดกับศิษย์ผู้พี่หาทราบไม่ เคยถีบจนสลบไปสามวัน ศิษย์พี่จิ้นฮุยจึงมอบมันให้เสี่ยวเยว่น้อยแทน

    “อย่าแค้นเด็กน้อยนี่นักเลย” ผู่เยว่คิดอย่างขำขัน กระนั้นแล้วม้านางเคียดแค้นคนผู้นี้ไม่เว้นแม้แต่บุตรสืบสายเลือดเชียวหรือ

    “บิดาข้า” เด็กน้อยมิได้สนใจกับการสนทนาของคนตรงหน้ากับม้านัก มันเอ่ยเสียงหวาดระแวงกวาดตามองทั่ว ผู่เยว่ซ่อนสายตาเวทนาอุ้มจิ่วฮุยขึ้นมา ยิ้มแย้มกล่าวความเท็จแก่มัน “ศิษย์พี่ฝากเจ้าเอาไว้กับข้า มินานคงจะมารับ”

    “แล้ว...ท่านจะพาข้าไปที่ใด” มันยังคงหวาดระแวงหลายส่วน ครานั้นพบบิดาแล้วพากันเข้ามานั่งยังโรงเตี๊ยมเล็กๆ มันฟังผู้ใหญ่สนทนาเพียงสี่ห้าประโยคก็เริ่มง่วงงุน หากบิดาสนทนาตบบ่าเรียกขานคนผู้นี้ไม่เครียดเกร็งเช่นปกตินัก ย่อมพอไว้ใจได้หลายส่วน

    นางไม่ได้เอ่ยตอบ เมื่อเห็นท่าทีหวาดระแวงผู่เยว่นึกขำขันปนสังเวชใจหลายส่วน ลูบศีรษะปลอบโยนมันเบาๆหลายครา ครั้นจึงส่งซาลาเปาในย่ามให้ทานรองท้องก่อน แล้วจึงควบม้ามุ่งไปทางทิศเหนือ

     

    ผู่เยว่กระโดดลงจากหลังม้า กลับพบบุรุษชุดแดงสี่ท่านล้อมรอบเกี้ยวขุนนางสีขาวรั้งกายไม่ไกลจากเรือนของเหล่าซือนัก ทั้งสี่ท่านล้วนใบหน้าหล่อเหลาหากเรียบนิ่งไร้อารมณ์ ปล่อยพลังออกมาสายหนึ่งน่าเกรงขาม ย่อมมีวรยุทธ์มิใช่น้อย

    นางเปลี่ยนใจอุ้มจิ่วฮุยพาดบ่า คนพวกนี้มิตรศัตรูหาทราบ มิควรวางใจ ศัตรูมารร้ายไร้เงามีมากเกินจะนับ หลายท่านเคียดแค้นเผื่อแผ่มาถึงลุกศิษย์คนรอบกาย ผู่เยว่ล้วนไม่วางใจปล่อยให้จิ่วฮุยวิ่งเล่นรอบๆดังเช่นที่คาดไว้แต่แรก

    “อาจารย์เจ้าคะ” นางเคาะประตูส่งเสียงเรียกหนึ่งคำ ได้ยินเสียงอนุญาตจึงค่อยผลักประตูเรือนเข้าไป กลับโดนเด็กน้อยข้างกายรั้งชายเสื้อด้วยสีหน้าสงสัย “เจ้าคะ?

    “อ่า...ข้าเป็นหญิง” นางพยักหน้าเอ่ยอธิบายเพียงแค่นั้น ปล่อยให้เด็กน้อยนิ่งอึ้งพิจรณาเอง ใบหน้าเล็กขมวดมุ่นสงสัยเรียกความขบขันได้มิใช่น้อย ผู่เยว่พูดกระซิบกับมันแผ่วเบา “คนที่ข้าจะไปพบนี้ จงสงบปากสงบคำเรียบร้อยไว้ให้ดี”

    พลันนางจึงเดินเข้าไปในเรือนไม้ พบบุรุษท่านหนึ่งร่างอ้วนใหญ่แต่งหน้าคล้ายสตรีนั่งงอยู่บนตั่งไม้ มีโต๊ะขวางกั้นกับสตรีนางหนึ่ง เส้นผมนางกลายเป็นสีขาวย่อมเป็นวัยชรา หากใบหน้าล้วนอ่อนเยาว์ไม่ต่างจากหญิงสาวทั่วไป

    ผู่เยว่ตกใจจนอุทานหนึ่งคำ แล้วจึงวางจิ่วฮุยลง เร่งประสานมือ “คารวะอาจารย์ คารวะท่านเจ้าพรรค”

    สตรีนางนั้นย่อมเป็นอาจารย์ของนาง มารร้ายไร้เงา ผู้ลอบสังหารอันดับหนึ่งแห่งพรรคทิวาไร้ตะวัน หากชายท่านนี้ผู้นี้มิเคยคาดจะได้เจอ สตรีไม่ใช่ บุรุษไม่เชิง เงามืดแห่งยุทธภพ ผู้ออกคำสั่งโดยตรงกับอาจารย์ของนาง...เจ้าพรรคทิวาไร้ตะวัน พรรคมารอันดับหนึ่งของยุทธภพ
     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×